อยากดูภูเขาไฟฟูจิ ไปที่ไหนดี?
คำตอบที่คนส่วนใหญ่นึกถึง มักจะเป็น Kawaguchiko ไม่ก็ Hakone ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในการไปชมภูเขาไฟฟูจิแบบใกล้ชิด แต่ที่จริงแล้วก็ยังมีเมืองอื่นๆ ที่สามารถมองเห็น Fujisan ได้ และมีมุมสวยๆ ให้ไปถ่ายรูปได้เช่นกัน ครั้งนี้เราจึงอยากจะมาแนะนำอีกสถานที่หนึ่งที่สามารถมายลโฉม Fujisan ได้ และเดินทางสะดวก อยู่ไม่ไกลจาก Tokyo มีเวลาแค่วันเดียวก็เที่ยวได้ นั่นคือจังหวัด Shizuoka
ถึงจะเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกล Tokyo แต่ที่นี่ก็กลายเป็นแค่ทางผ่านสำหรับหลายๆ คน
วันนี้เราจะพาไปเที่ยว Shizuoka แบบไปเช้าเย็นกลับกันดู ว่าจะน่าสนใจแค่ไหน
ไปเที่ยวกันเลย!
เนื่องจากช่วงเวลาที่เราไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งอากาศเริ่มอุ่นขึ้น (จนบางครั้งก็ร้อนไป) ดอกไม้ ต้นไม้ต่างๆ เริ่มผลิดอกออกผลให้เห็นกัน เช่นเดียวกับไร่ชาที่ Shizuoka ซึ่งเริ่มผลิใบเขียว พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวให้ได้ไปเยี่ยมชม แต่โชคไม่ดี ช่วงที่เราไปเกือบทุกวันมีเมฆมาก บางวันมีฝนตก จึงได้แต่ภาวนาให้มีสักวันที่ฟ้าจะโปร่งพอให้ Fujisan โผล่หน้ามาให้ได้เห็นบ้าง
การเดินทางไป Shizuoka ง่ายที่สุด คือ รถไฟ ซึ่งก็มีให้เลือกหลากหลายแบบ ครั้งนี้เราซื้อ JR Pass แบบ 7 วันมา จึงเลือกที่จะนั่ง Shinkansen ไปเพราะรวดเร็ว ยิงยาวจากสถานี Tokyo ไปได้เลย แต่ถ้าใครไม่ได้ซื้อ JR pass ก็สามารถซื้อตั๋วเป็นเที่ยวๆ ได้ (ซื้อรถไฟธรรมดาที่ไม่ใช่ Shinkansen ก็ประหยัดเงินไปได้พอสมควร) หรือถ้าอยากไปเที่ยวหลายๆ ที่ในจังหวัด Shizuoka ตอนนี้เขาก็ออก Pass พิเศษที่ชื่อว่า “Mt.Fuji-Shizuoka Area Tourist Pass Mini” ราคา 4,500 เยน (ใช้ต่อเนื่องได้ 3 วัน) ซึ่งสามารถใช้โดยสารได้ทั้งรถไฟและรถบัสที่ให้บริการในจังหวัด Shizuoka สำหรับรายละเอียด Pass สามารถเข้าไปอ่านได้ในกระทู้ของคุณ abyss ครับ
Pass ออกใหม่ “Mt.Fuji Shizuoka Area Tourist Mini Pass”
https://pantip.com/topic/35311523
จากสถานี Tokyo นั่ง Shinkensen ไป Shizuoka ใช้เวลาเพียง 1 ชม.เท่านั้น
สำหรับแพลนการท่องเที่ยว 1 วันของเราใน Shizuoka ได้แก่
- ช่วงเช้า : ไปเที่ยว Nihondaira ถ่ายรูปไร่ชาและ Fujisan
- ช่วงบ่าย : นั่ง Cable Car จาก Nihondaira ไป Kunozan Toshogu Shrine
- ช่วงเย็น : นั่งรถบัสจาก Kunozan ไป Miho Beach
เดิมทีมีแพลนแวะไปที่ไร่สตอเบอรี่ ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับ Kunozan และกะว่าจะไปเดินตลาดปลาแถว Shimizu Port ช่วงเย็น แต่เวลาไม่พอ หากใครมีเวลามากกว่านี้ อาจแทรกโปรแกรมพวกนี้เข้าไปได้ด้วยครับ
พอถึงสถานี Shizuoka เดินออกมาทาง North Exit เพื่อจะขึ้นรถบัสต่อไปยัง Nihondaira แต่เพื่อความชัวร์ในการเดินทาง เราจึงไปปรึกษา Tourist Information Center ที่สถานีก่อน
จากรูป : เวลาด้านบนของแต่ละตาราง คือ จากสถานี Shizuoka ไป Nihondaira
เวลาด้านล่าง คือ จาก Nihondaira ไป สถานี Shizuoka
ที่ TIC ได้แนะนำข้อมูลการเดินทาง และให้ตารางเวลารถบัสสาย 42 ซึ่งเป็นสายที่เราจะนั่งไป Nihondaira กัน จากตารางด้านบนจะเห็นว่าถ้ามาวันเสาร์-อาทิตย์ จะมีรถออกถี่กว่ามาก แต่เราเลือกมาในวันธรรมดาเพราะไม่อยากเจอนักท่องเที่ยวเยอะ แต่ก็ต้องทำใจเรื่องรถที่ออกน้อยกว่า
จากตารางเดินรถ ทาง TIC แนะนำวิธีการเดินทางไป Miho Beach อีก 1 วิธี (อาจจะอ้อมไปอ้อมมา แต่มีรถมากกว่า) นั่นคือ หลังจากเที่ยว Nihondaira ข้าม Cable Car ไปที่ Kunozan แล้ว ให้นั่ง Cable Car ย้อนกลับมาที่ Nihondaira ก่อน เพื่อนั่งรถบัสสาย 42 กลับมาในเมือง แต่จะลงที่ป้าย Higashi Shizuoka Eki minamiguchi ซึ่งจะจอดหน้าสถานีรถไฟ JR เพื่อนั่งต่อไปสถานี Shimizu แล้วค่อยต่อรถบัสไป Miho Beach อีกต่อนึง แต่เราคิดว่าอยากลองอีกทางตามแพลนที่คิดไว้มากกว่า จะได้ไม่ต้องย้อนกลับมาอีก แต่จะมีอุปสรรคยังไงบ้างกับทางที่เลือก ไว้รออ่านต่อไปครับ
ด้านหน้าสถานี Shizuoka (North Exit) มีป้ายรอรถบัสหลายป้าย แต่รถของเราจอดที่ป้ายหมายเลข 11
หลังจากยืนต่อคิวรอรถบัสหมายเลข 42 ไม่นาน รถก็มาตรงตามเวลา
หลังจากนั่งรถมาประมาณ 40 นาที ก็มาถึงสถานี Cable Car ที่ Nihondaira แต่เรายังไม่ขึ้น Cable Car เพราะจุดหมายแรกของเราในวันนี้คือไร่ชา แล้วไร่ชาไปทางไหนล่ะ? ใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ เพราะมองจากจุดที่รถจอด ก็ไม่เห็นไร่ชา ฟูจิก็ไม่เห็น แต่มองไปทางฝั่งตรงข้ามกับสถานี Cable Car จะมีเนินสูงๆ ให้เราขึ้นบันไดไป เดินขึ้นไปเลยครับ
หลังจากขึ้นมาถึงบนเนิน ก็เห็น Fujisan มาทักทาย โชคดีที่ฟ้ายังเปิดอยู่บ้างทำให้พอมองเห็น Fujisan ได้ จุดแรกที่สามารถขึ้นไปถ่ายรูปชมวิว Fujisan เป็นศาลาสีเขียว อยู่ติดกับร้านอาหาร (เดินไปยังไงก็เห็นครับ) จุดนี้สามารถถ่ายวิว Fujisan ได้แบบในรูปนี่แหละ ถ้าอยากถ่ายให้ออกมาสวยกว่านี้พกเลนส์เทเลมาได้จะดีมากครับ
บรรยากาศภายในศาลา
ใกล้เที่ยงแล้ว พวกเราจึงแวะหาอะไรกินกันก่อน ตรงร้านอาหารที่อยู่ติดกับศาลาเขียวนี่แหละ ที่ร้านจะมี 2 ชั้น ด้านล่างเป็น Supermarket ขายของทั่วไป ส่วนด้านบนเป็นร้านอาหาร วิวจากร้านก็ดี มองเห็น Fujisan ได้เช่นกัน
วิวจากร้านอาหารชั้น 2
มื้อกลางวันที่ Nihondaira เมนูเด่นของร้านนี้ เป็นกุ้งฝอยชุบแป้งทอดเป็นแพแบบในรูป
เรากับเพื่อนสั่งเป็นกุ้งทอดกินกับโซบะเย็น อีกจานเป็นข้าวหน้ากุ้งทอดชุบไข่
หลังจากอิ่มกันแล้ว ได้เวลาตามหาไร่ชาเขียวสักที จากร้านอาหาร ให้เดินตรงต่อไปเรื่อยๆ (เดินเข้าหา Fujisan) จะมีถนนลาดยาง เดินตามทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 500 เมตรก็จะเจอวิวแบบนี้…
เดินพ้นโค้งไปนิดนึง ก็จะเจอจุดหมายที่เราตามหา
ถึงแล้ว!
แต่เดี๋ยวก่อน สิ่งที่คิดตอนเห็นรูปครั้งแรก คือ ไร่ชาที่มีแต่ต้นชาอยู่รอบๆ สุดลูกหูลูกตา เหมือนไร่ชาที่เชียงรายบ้านเรา แต่ไร่ชาที่เจอ ขอเรียกว่าอยู่กันเป็นหย่อมๆ ดีกว่า บางหย่อมใหญ่ บางหย่อมเล็ก แต่ก็ใช้พื้นที่กันได้คุ้มค่าตามสไตล์คนญี่ปุ่นนี่แหละ
ด้วยความที่จังหวัดนี้น่าจะปลูกชากันเป็นเรื่องปกติ เดินผ่านบ้านคนทั่วไป ก็มีไร่ชาเป็นของตัวเองอยู่หน้าบ้านได้เหมือนกัน (แต่ขนาดก็เล็กกว่าในรูปที่เห็นนี่แหละ) ส่วนไร่ชาในรูปนี้ ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่เขาก็ทำทางเดินไว้ให้ อย่าไปซนวิ่งเข้าไปในส่วนที่ไม่มีทางเดินนะครับ เดี๋ยวต้นชาเขาเสียหายได้
เดินต่อลงไปอีกหน่อย จะเป็นไร่ชาที่ปลูกตรงเนินเขา วิวสวยมากเหมือนที่เคยเห็นในรูป แต่น่าเสียดายที่เวลาไม่พอที่จะเดินสำรวจต่อ ไม่แน่ใจว่าสามารถเดินลงไปถ่ายรูปได้ไหม หากใครทราบข้อมูลมาแชร์กันได้นะครับ
ไร่ชาตรงนี้อยู่ติดๆ กันมากกว่าด้านบน สวยดี แต่เข้าไปถ่ายรูปไม่ได้
ยิ่งสาย เมฆยิ่งเยอะมากกว่าเดิม จนตอนนี้บัง Fujisan ไปแล้ว T_T
หลังจากถ่ายรูปกันหนำใจแล้ว ก็ได้เวลาเดินกลับที่สถานี Cable car ตามทางเดียวกับขามา ระหว่างทางก็มีดอกไม้ใบหญ้าให้ถ่ายรูปเล่น
แค่จับ แต่ไม่ได้เด็ดมานะ
Cable car จะมีตั๋วให้ซื้อแบบขาเดียว และไปกลับ แต่เราเลือกซื้อแบบขาเดียว
เพราะเราจะเดินลงจาก Kunozan เพื่อไปขึ้นรถบัสต่อไป Miho Beach
ค่าตั๋ว Cable car = 600 เยน (ขาเดียว)
วิวจาก Cable car มองเห็นทะเล สวยมาก
ข้ามมาถึงฝั่ง Kunozan แล้ว มีวิวสวยๆ ให้ถ่ายรูปได้อีก
ศาลเจ้า Kunozan Toshogu นี้ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1616 เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ท่านโชกุน Tokugawa Ieyasu ท่านเป็นผู้รวบรวมประเทศญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่นรวมทั้งยังสถาปนารัฐบาลทหาร (bakufu) ขึ้นที่เมือง Edo (Tokyoในปัจจุบัน) อันเป็นจุดเริ่มต้นของยุค Edo ในปีค.ศ.1603 ต่อมาในปีค.ศ.1605 ท่านส่งต่อตำแหน่งโชกุนให้กับบุตรชายและหลบไปวางแผนการอยู่หลังฉากที่เมือง Suruga (Shizuokaในปัจจุบัน) เพื่อสั่งสมอำนาจและความมั่นคงให้กับตระกูลของตนก่อนถึงแก่อสัญกรรมลงไปในปีค.ศ.1616
เนื่องด้วยท่านโชกุน Tokugawa Ieyasu ได้ทำพินัยกรรมเลือกศาลเจ้า Kunozan Toshogu ให้เป็นสถานที่สุดท้ายที่ท่านจะพักหลับใหลชั่วนิรันดร์ ศาลเจ้าแห่งนี้จึงบรรจุอัฐิของโชกุน Tokugawa Ieyasu และเชื่อว่ามีวิญญาณของท่านสถิตอยู่
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก fusion-guide.org)
ศาลเจ้านี้เป็นสถาปัตยกรรมแบบชินโต มีภาพสลักลวดลายของสัตว์ต่างๆ ประดับอยู่ เช่น เสือ มังกร เต่า ช้าง นกกระเรียน เป็นต้น ทางเดินขึ้นมาบนศาลเจ้า เป็นบันไดหิน จำนวน 1,159 ขั้น โดยคนที่นี่เชื่อกันว่า ถ้าเดินจากด้านล่าง ขึ้นมาถึงศาลเจ้าได้ จะได้รับพลังพิเศษ
ศาลเจ้า Kunozan Toshogu นี้ เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 9.00 – 17.00 น. (ยกเว้นเดือน ต.ค.-มี.ค. เปิดถึง 16.00 น.)
ค่าเข้าชม 500 เยน (เฉพาะศาลเจ้า) ถ้าชม Museum ด้านในด้วย ราคา 800 เยน
ชมศาลเจ้ากันได้ประมาณ 1 ชม. ก็ถึงเวลาไปต่อ พวกเราเลือกเดินลงบันไดหิน 1,159 ขั้นที่บอกไป เพื่อไปขึ้นรถบัส
บันไดไม่ชันมาก แต่เป็นหินขรุขระและลื่น เวลาเดินต้องระมัดระวังพอสมควร
วิวตอนเดินลงก็สวยนะ จะเห็นพื้นที่ที่มีหลังคาสีขาว นั่นแหละไร่สตอเบอรี่
ใช้เวลาเดินลงจากศาลเจ้า ประมาณ 15 นาที ก็จะเจอแยกนี้ ให้เลี้ยวซ้ายและเดินต่อไปประมาณ 200 เมตร จะถึงป้ายรถบัส
ระหว่างทางผ่านไร่สตอเบอรี่ด้วย
เดินมาจนถึงจุดนี้ นี่แหละป้ายรถบัส ทางซ้ายมือของรูปจะมีป้ายกับซุ้มเล็กๆ อยู่
ถ้าไม่สังเกตแทบไม่รู้เลยว่าคือป้ายรถบัส
ป้ายนี้ชื่อว่า “Kunoyamashita Bus Stop” ถ้าหาไม่เจอ Search ใน google map ได้เลยครับ
ตารางเวลารถบัสจากป้าย Kunoyamashita (สามารถขอได้ตอนซื้อตั๋ว Cable Car)
ด้านขวาที่วงไว้ คือ เวลาเดินรถช่วงวันธรรมดา ด้านซ้ายคือวันหยุด
หากใครมาวันธรรมดา (แบบเรา) ก็ต้องวางแผนเวลาให้ดีนะครับ ตกรถทีนึงรอไปเลย 2 ชม.
จุดหมายปลายทางของเรา คือ Miho Beach แต่การเดินทางจาก Kunoyamashita ต้องแวะเปลี่ยนรถอีกรอบ ดูรูปด้านล่างได้ครับ
จากป้ายรถบัส Kunoyamashita ซึ่งเป็นต้นทาง นั่งรถยาวไปจนถึงป้าย Banseicho (ในแผนที่เขียนผิดเป็น Manseicho) ค่ารถ 410 เยน (Search จาก Google map จะเจอเป็นคลินิกเสริมความงามอะไรสักอย่าง สามารถใช้เป็น Reference ในการเดินทางได้ครับ)
หน้าตาป้ายรถบัส Banseicho
มองมาฝั่งตรงข้าม จะเจอตึกนี้ เดินข้ามถนนมาแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตามทางไปเรื่อยๆ ครับ
จากแผนที่ด้านบน จะเห็นว่าพอถึงป้าย Banseicho ให้เดินข้ามถนนมาตามที่บรรยายรูปด้านบน ข้ามถนนแล้ว เลี้ยวซ้าย เดินไปตามทางเรื่อยๆ จะเจอป้ายรถบัสอีกจุดนึง ซึ่งเราจะขึ้นรถบัสต่อไปที่ Miho Beach
เดินตรงตามทางมาเรื่อยๆ พอใกล้ถึงป้ายรถบัสด้านขวามือจะเจอผนังสายรุ้ง
ถึงป้ายรถบัสที่ตามหาแล้ว
สายรถบัสตามที่แผนที่แนะนำ มีทั้งสาย 54, 56, 57, 58 แต่เราพยายามมองหารถทั้ง 4 สายนี้ ยังไงๆ ก็ไม่เจอ ตารางเวลารถตรงป้าย ก็ไม่มีสายเหล่านี้บอก เราจึงอาศัยการเดา + เปิด Google Map ตามไปด้วย จนในที่สุดก็ตัดสินใจขึ้นรถบัสสาย 257 ก่อนขึ้นถามคนขับรถว่าไปถึง Miho Beach ไหม คนขับรถบอกโอเค พวกเราไม่หลงแล้ว (ค่ารถบัสจากป้ายนั้นไปที่ Miho Beach = 330 เยน)
รถบัสจะไปจอดถึงแค่ปากทางเข้า Miho beach เท่านั้น (ตอนขากลับก็ขึ้นรถบัสที่ป้ายฝังตรงข้ามกับขามา) ต้องเดินต่อเข้าไปอีกประมาณ 1 กม. เดินสบายๆ รอบข้างมีบ้านสวยๆ ให้เพลินตา แปบเดียวก็มาถึง
เห็นทางเดินไม้ใต้ต้นสน นี่แหละทางเข้าของ Miho Beach สวยงาม เดินถ่ายรูปเล่นกันได้
ใกล้ถึงบริเวณชายหาด มีต้นสนต้นใหญ่มากมาย รูปทรงดูสวยงามแปลกตา
Miho Beach เป็นคาบสมุทรที่อื่นออกไปในอ่าว Suruga ทอดตัวยาวประมาณ 3 กม. ตามแนวชายฝั่งทิศตะวันออกของคาบสมุทร ชายหาดนี้เป็นหาดทราย + หิน ทรายจะสีออกดำๆ ด่าง และไม่ละเอียดเหมือนทรายปกติ ริมชายหาดมีต้นสนเก่าแก่ อายุกว่า 650 ปี เรียงรายกันอย่างสวยงาม และที่นี่ก็ถือเป็นจุดชมวิว Fujisan อีกจุดหนึ่งที่สวยงามมาก แต่น่าเสียดายที่เราโชคไม่ดี ฟ้าขมุกขมัวมีเมฆหมอก ทำให้เห็น Fujisan แบบเลือนลางได้แวบนึง
ตรงนั้นควรจะเป็น Fujisan ตั้งตระหง่านให้เห็น แต่นี่คือสิ่งที่เจอ…
ต้นสนริมชายหาดที่นี่สวยมาก มีนักท่องเที่ยวและคนญี่ปุ่นมาเดินเล่นถ่ายรูปกันสบายๆ
ทรายที่นี่ไม่สวยเท่าชายหาดบ้านเรา น้ำก็ไม่ได้ใสหรือสีสวยเท่าไร แต่บรรยากาศโดยรอบมันดีจริงๆ
ด้วยความที่ถ่ายรูปจนเพลินไปหน่อย จากแพลนเดิมที่ตั้งใจจะไปถ่ายรูปแสงเย็นที่ Shimizu Port เป็นอันต้องยกเลิกไปเพราะแสงดันหมดไปซะก่อน พวกเราเดินทางด้วยรถบัสสาย 257 กลับไปที่สถานีรถไฟ JR Shimizu (ค่ารถ 360 เยน) และหาปลาดิบอร่อยๆ แถวสถานีเป็นมื้อเย็นของวันนี้แทน
และนี่ก็คือ 1 วันใน Shizuoka อีกเมืองหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและน่าสนใจ ที่สำคัญเลยคือคนไม่พลุกพล่านมากเหมือนสถานที่เที่ยวยอดนิยมต่างๆ ใครที่รักความสงบ ชอบหามุมถ่ายรูปสวยๆ และแตกต่างจากคนอื่น อย่าลืมเก็บ Shizuoka ไว้ในลิสท์ด้วยนะครับ
สำหรับรีวิวนี้ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้ แล้วรอติดตามกันว่าคราวหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนต่อ
ขอบคุณที่ติดตามและเข้ามาเยี่ยมชมนะครับ 🙂