[Fukushima Diary] Day 2 : Adatara ในวันที่พายุเข้า / เดินสำรวจ S-PAL ห้างใหญ่ติดสถานี JR Fukushima
Mount Bandai เป็นภูเขาที่มีชื่อเสียงของ Fukushima และถือเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีแบบนี้ เพราะตามเส้นทางที่ไต่ขึ้นไปบนภูเขานั้นมีความสวยงามอย่างมาก และทริปนี้เราก็ไม่พลาดที่จะไปเที่ยว Mount Bandai ด้วยเช่นกัน…แต่ยังไม่ใช่วันนี้
เพราะนอกจาก Mount Bandai แล้ว ยังมี Mount Adatara หรือภูเขา Adatara ซึ่งเป็นอีกภูเขาหนึ่งที่มีชื่อเสียงของ Fukushima และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 100 แห่ง ของภูเขาที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่เล่นสกียอดนิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว แต่จากการหาข้อมูลมา ที่นี่ก็เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีความสวยงามไม่แพ้ Mount Bandai เช่นกัน
ช่วงเวลาที่ดีในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Mount Adatara เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นถึงกลางเดือนตุลาคม จากพยากรณ์ในปีนี้ (ค.ศ. 2017) คาดไว้ว่าช่วงพีคของที่นี่ จะอยู่ในช่วงวันที่ 19-20 ตุลาคม ซึ่งประจวบเหมาะกับเวลาที่เราเดินทางมาพอดี จึงจัดที่นี่ไว้เป็นที่แรกของทริปนี้
และนี่คือภาพของภูเขา Adatara ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีที่เราคาดหวังอย่างมากว่าจะได้เจอ…
Credit : http://www.pixpot.net/articles/u_d_view/368/adatara-autumn/
แต่เรื่องจริงที่เกิดขึ้นก็คือ พายุไต้ฝุ่น ความรุนแรงระดับ 4 ได้พัดเข้ามาในประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่เมื่อคืน ทำให้ฝนตกต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อวานที่เรามาถึงญี่ปุ่น และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลยจนกระทั่งเช้าวันนี้
ตอนแรกก็ว่าจะถอดใจ ไม่ไปดีกว่า เพราะฝนและเมฆที่ปกคลุมท้องฟ้า แค่มองไปที่ตึกใกล้ๆ สถานีรถไฟ ยังมองไม่เห็นยอดตึกเลย ครั้นจะขึ้นไปดูวิวจากบนภูเขาแล้วจะให้มองลงมาเห็นพื้นข้างล่าง…คงเป็นเรื่องยาก
จากเดิมที่คิดว่าจะตื่นเช้าเพื่อไปให้ทันรถบัสรอบแรก ด้วยความเหนื่อยจากการเดินทางและเห็นว่าฝนคงตกยาว เราเลยหลับต่อและตื่นสายในที่สุด 555 แต่ก็ไม่รู้ว่าจะไปไหนดี เลยกะว่าจะไปถามข้อมูลที่ Information Center ที่สถานี Fukushima ว่ามีที่ไหนน่าไปเที่ยวบ้าง ไปๆ มาๆ ก็เลยลองถามเจ้าหน้าที่ว่า Ropeway ที่ Adatara ในวันฝนตกแบบนี้ เปิดให้บริการไหม ทางเจ้าหน้าที่ก็ดีมาก โทรถามให้ทันที และได้รับคำตอบว่า “เปิดเป็นปกติ”
ไปก็ไป…ไม่รู้จะไปไหนอยู่แล้ว
ถึงไม่ได้เห็นวิว แต่ก็จะได้เอาข้อมูลการเดินทางมารีวิวละกัน เพราะที่นี่ยังไม่มีรีวิวการเดินทางของคนไทยให้ได้อ่านเลย
แต่ขอแจ้งไว้เบื้องต้นก่อนนะครับ ว่ารีวิวของวันนี้ ไม่มีรูปวิวที่สวยงามแบบที่เพื่อนๆ ได้เห็นตอนต้นแน่นอน (เพราะเราไม่ได้เห็นวิวอะไรเลย นอกจากฝนและเมฆ T_T) แต่จะมีข้อมูลการเดินทางอย่างละเอียด ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามรอย และเก็บภาพสวยๆ ในวันฟ้าใสๆ มาให้เราได้ดูแก้ช้ำใจบ้างแล้วกัน
วิธีการเดินทางไป Mount Adatara
สำหรับการเดินทางไปจุดหมายปลายทางของวันนี้ คือ Adatara Ropeway (เป็นกระเช้าที่ใช้ขึ้นไปบนภูเขา Adatara) วิธีเดินทางที่สะดวกที่สุด คือ เช่ารถขับ (ถ้าไปเกิน 2 คน แนะนำให้เช่ารถขับ จะสะดวกและประหยัดกว่าใช้ขนส่งสาธารณะ) แต่เนื่องจากเรามาคนเดียว และอยากแนะนำการเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองแบบง่ายๆ ที่ต่อให้ขับรถไม่เป็น (หรือไม่อยากจะขับ) ก็ไปได้ ก็เลยต้องลุยเดี่ยวด้วยรถสาธารณะนี่แหละ
ตั้งต้นจากสถานี Fukushima ที่เราพักอยู่ แนะนำให้ออกเดินทางแต่เช้า ตามเวลานี้ครับ
จากสถานี Fukushima นั่งรถไฟ JR Tohoku Line ไปลงที่สถานี Nihommatsu ค่ารถ 410 เยน (ใช้ JR East pass หรือ JR Pass ได้)
ขึ้นรถไฟที่ Platform 1 ( JR Tohoku Line ขบวนนี้ ปลายทางไปที่สถานี Koriyama)
ขึ้นรถไฟขบวนนี้แหละ
นั่งรถมาประมาณ 20 นาที ก็มาถึงสถานี Nihommatsu
สถานี Nihommatsu เล็กๆ เงียบๆ ไม่เห็นนักท่องเที่ยวต่างชาติเลย (นอกจากเรา)
เดินออกมาจากชานชาลา ทางด้านขวามือจะมี Tourist Information Center
หากใคร plan ใช้เวลาเที่ยวที่ Nihommatsu ทั้งวัน ก็ยังมีที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจนะ สอบถามตรงนี้ได้
ตรงกระดานในรูปขวามือ จะมีตารางรถบัสจากสถานี Nihommatsu ไปที่ Adatara Ropeway หยิบได้ฟรี
เดินออกมาจากสถานี จะเจอป้ายรถบัสอยู่ด้านหน้า
ตารางเวลารถบัสไป Dake onsen และ Okudake (ตารางของปี 2017)
(ของจริงไม่มีภาษาอังกฤษแบบนี้นะ ทำเพิ่มให้อ่านกันง่ายๆ)
หมายเหตุ : แต่ละปีตารางเดินรถอาจต่างกันเล็กน้อย แนะนำให้สอบถามที่ Tourist Information Center ที่สถานี Fukushima ก่อนเดินทาง
หรืออาจสอบถามจาก Facebook Page : Welove Fukushima ก่อนวางแผนได้ครับ ผมก็ขอข้อมูลจาก admin Page ไปก่อน
RECOMMEND***
กาดอกจันทร์ไว้เพราะอยากให้อ่าน
จุดหมายปลายทางของเราคือ Adatara Ropeway ซึ่งป้ายรถบัสที่ต้องไปลงก็คือป้าย Okudake
จะเห็นได้ว่ารอบรถที่ไป Okudake จะมีเพียงวันละ 3 รอบ และกลับเพียง 2 รอบเท่านั้น เพื่อให้ประหยัดเวลาในการเดินทางให้มากที่สุด ขาไปแนะนำให้มาขึ้นรถบัสรอบแรกให้ทัน คือ ต้องมาถึงสถานี Nihommatsu ก่อน 8.15 น. (นั่งรถไฟออกจาก Fukushima ตามเวลาที่เราแนะนำไว้ข้างบน) จะใช้เวลาต่อรถไป Okudake ไม่นาน ส่วนขากลับแนะนำให้ออกจาก Okudake รอบ 12.20 น. ถึง Dake Onsen 12.40 น. และต่อรถจาก Dake Onsen ไปสถานี Nihommatsu รอบ 12.50 น. (รอต่อรถแค่ 10 นาทีเอง) ด้วยเวลาตามนี้ จะประหยัดเวลาได้มาก และยังไปเที่ยวที่อื่นต่อในช่วงบ่ายได้อีก
แล้วลองมาดูซิ ว่าเราเดินทางไปยังไง…
ด้วยความลำไยจากการนอนตื่นสาย เราจึงต้องไปให้ทันรถบัสจาก Dake Onsen ไป Okudake ในรอบ 12.50 น. และจะมีเวลาเที่ยวที่ Adatara ประมาณ 2 ชม. เพื่อกลับรถรอบ 15.30 น. ซึ่งเป็นรอบสุดท้าย
เรามาถึงสถานี Nihommatsu เกือบ 11 โมง รถบัสรอบที่เร็วที่สุดจากสถานี Nihommatsu ไป Dake Onsen คือ 11.03 น.
บรรยากาศในรถบัส ขึ้นรถจากประตูด้านท้าย (อย่าลืมหยิบตั๋วมาด้วย)
และนั่งไปจนสุดสายที่ Dake onsen ค่ารถ 500 เยน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที
หน้าตารถบัสที่นั่งมา ถึง Dake onsen แล้ว
หน้าตาป้ายรถบัสที่ Dake onsen ใช้หลบฝนได้ดี
รูปโปสเตอร์ตอกย้ำความสวยงามของ Adatara ที่เราอยากมาเห็นกับตา…แต่ไม่ได้เห็น T_T
รถบัสมาถึง Dake onsen ประมาณ 11 โมงครึ่ง เหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงครึ่งกว่ารถที่ไป Okudake จะมาถึง ตอนแรกตั้งใจว่าถ้าฝนไม่หนัก จะเดินสำรวจบริเวณรอบๆ แต่ของจริงคือฝนหนักมาก เราเลยหาร้านอาหารใกล้ๆ ไปหลบฝนแทน ซึ่งร้านนี้ก็อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากป้ายรถบัส แค่เดินข้ามถนนมา
ไม่บอกไม่รู้ว่านี่คือร้านอาหาร เราก็เดินๆ ตามคนอื่นไป
จากการเดินไปสอบถาม Information Center ซึ่งอยู่ติดกับป้ายรถบัส บอกว่าร้านนี้ขายทงคัตสึ ไม่รู้ว่าพิเศษกว่าที่อื่นยังไง แต่ด้วยความขี้เกียจเดิน และหิว ก็เลยเลือกร้านนี้แหละ
ตามสไตล์ร้านอาหารญี่ปุ่นตามต่างจังหวัด คือ ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ และเจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
วิธีการสั่งคือ เลือกเมนูจากหน้าแรก และจิ้มจากเมนูวัดดวงเอาเอง
บรรยากาศภายในร้าน
เมนูที่สุ่มเลือกมาได้ เป็นทงคัตสึหมูสันนอกที่ผ่านการชุบซอสมาแล้ว
วางบนข้าวกะหล่ำปลีที่อยู่บนข้าวสวยอีกที พร้อมผักดองเครื่องเคียงและซุปมิโสะ ในราคา 1,100 เยน
กินเสร็จก็ได้เวลาเดินทางต่อ กลับมานั่งรอรถไป Okudake ที่ป้ายรถบัสที่เดิม
บรรยากาศภายในรถบัสไป Okudake
ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเช่นกัน ค่ารถ 300 เยน
ลงจากรถก็จะเห็นสถานี Adatara Ropeway
และนี่คือสภาพที่เจอ มีแต่ฝนและหมอกหนามาก ไม่เห็นวิวอะไรเลย
เข้ามาด้านในมีที่นั่งพัก ตู้ขายเครื่องดื่ม และห้องน้ำให้เข้า
ขึ้นมาชั้นสอง มีร้านอาหารและร้านขายของที่ระลึก
ถ้ายังไม่ได้กินข้าวมาก็แวะมากินที่นี่ได้ ขายถึง 16.00 น.
ด้วยความที่เวลามีจำกัด และดั้นด้นมาถึงจุดนี้แล้ว
ต่อให้สภาพอากาศจะแย่ขนาดไหน ก็ต้องขึ้น Ropeway ซะหน่อย
ตั๋ว Ropeway ไป – กลับ ราคา 1,700 เยน มีให้ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องเวลา
สิ่งที่คาดไว้ กับสิ่งที่พบเจอ มันช่างต่างเหลือเกิน T_T
และนี่คือภาพแรกที่เห็น หลังเดินออกมาจากสถานี Ropeway
มีแต่หมอกและฝน เพิ่มเติมคือลมแรงมากจนร่มเกือบปลิว
มีป้ายบอกเส้นทางเดินเขาด้วย ไหนๆ ก็มาละ ลองไปเดินสำรวจดูซะหน่อย (ดูเป็นกระทู้พลีชีพมากๆ)
จุดชมวิวแรกอยู่ห่างไปประมาณ 200 เมตร ทางเดินช่วงแรกเป็นทางเดินไม้ ดีทีเดียว
หมดจากทางเดินไม้เมื่อกี้ เจอทางน้ำขังแบบนี้ เดินไต่หินกันไปจ้า รองเท้าเปียกชุ่ม
และนี่คือจุดชมวิว…
ไม่เห็นอะไรเลยจ้า คนก็ไม่มี
ถ้ามีเพื่อนมาด้วยแล้วเดินห่างไปหน่อย ก็หาเพื่อนไม่เจอแล้วอ่ะ
นี่เดินไปก็กลัวจะมีสัตว์ป่าอะไรโผล่มาหรือเปล่า ใช้เวลาอยู่ตรงนั้นได้ไม่ถึง 5 นาทีขอกลับแล้วจ้า
กลับมาที่สถานี Ropeway ยังดีที่มีห้องให้นั่งพัก
ข้างนอกฝนหนักกว่าเดิม ลมแรงขึ้น หมอกหนาไปอีก มองไม่เห็นอะไรเลย
นั่งฟังเสียงลมไปได้สักพัก รู้สึกได้ว่าถ้าไม่รีบลง เกิดพายุแรงขึ้นกว่านี้ จะไม่ได้ลงแน่ๆ
งั้นกลับเลยแล้วกัน
ขาลงสภาพอากาศแย่กว่าขาขึ้นมาซะอีก มองไม่เห็นอะไรเลย
จากพยากรณ์ที่ว่าใบไม้แดงจะพีคช่วงนี้ เราว่ามันยังไม่พีคอ่ะ
ใบไม้เขียวๆ เต็มเลยเพราะอากาศแปรปรวน (หรือมันโดนพายุพัดจนร่วงไปหมดแล้ว)
สรุปคือใช้เวลาบนเขาไม่ถึงครึ่ง ชม. เลยต้องมานั่งรอรถขากลับไปอีกชั่วโมงกว่าๆ
เท่านั้นยังไม่พอ เพราะมาถึง Dake onsen แล้ว ก็ต้องรอรถบัสไปสถานี Nihommatsu อีกประมาณ 1 ชั่วโมง เสียเวลาอย่างมาก จึงอยากแนะนำให้เดินทางตามเวลาที่บอกไว้ข้างต้น (ย้ำอีกรอบ) เพราะจะได้ไม่ต้องมานั่งรอแบบเรา
ปิดท้ายการท่องเที่ยววันแรก (ที่ไม่ค่อยจะดีเพราะพายุเข้า) ด้วยการเดินห้าง
ห้างชื่อดังของ Fukushima คือ ห้าง S-PAL มีทางเชื่อมจากสถานี JR เข้าไปที่ตัวห้างได้เลย
มี Cafe สำหรับมื้อเช้าหลายร้าน ไม่ต้องกลัวอด
ห้างมีทั้งหมด 5 ชั้น พื้นที่ไม่ใหญ่มาก เดินวนไปวนมาไม่ถึง 15 นาทีก็ทั่วห้างแล้ว
มี Starbuck ถือว่าผ่าน
ร้านรองเท้าชื่อดังอย่าง ABC Mart ก็มี แต่ร้านไม่ใหญ่มาก
มีเสื้อผ้าทั้งแบรนด์ของญี่ปุ่น และต่างประเทศ (แต่ไม่มีพวก Hi-End นะ)
Muji ร้านใหญ่ใช้ได้ อยู่ที่ชั้น 4
บริเวณชั้น 1 มีร้านยา Matsumoto Kiyoshi สาวๆ มาช็อปได้เพลินๆ
นอกจากนี้ ยังมี Supermarket ที่ขายทั้งของสด และอาหารปรุงแล้ว
มีซูชิกับปลาดิบที่จะลดราคาช่วงค่ำๆ ก่อนห้างปิดด้วย ราคาไม่แรงมาก
ร้านขนมและร้านอาหารก็มี ทั้งแบบนั่งกินในร้านและ Take away
ร้านทงคัตสึชื่อดังที่คนไทยคุ้นเคย มีสาขาในห้าง S-PAL (เฉพาะ Take away)
และมีเป็นร้านให้นั่งกินได้เลย อยู่ที่สถานี JR Fukushima
สำหรับวันที่สองของเราที่ Fukushima ก็ขอจบลงเพียงเท่านี้
พรุ่งนี้จะเป็นอีกวันหนึ่งที่พายุจะยังแผลงฤทธิ์อยู่ ตอนนี้ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี
ไว้รอติดตามกันด้วยนะครับ…
สำหรับใครที่อยากติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ของเรา
หรืออัพเดทกระทู้ใหม่ๆ ก่อนใคร
ฝากติดตามใน Facebook Fanpage : ThirtyWander ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/thirtywander
หรือจะติดตามชมรูปสวยๆ ได้ที่ Instagram : porsuke13