เช้าวันนี้ฝนหยุดตกแล้ว
เป็นสัญญาณที่ดีว่าพายุไต้ฝุ่นระดับ 4 กำลังจะจากลากันไปอย่างเป็นทางการ
แต่ถึงจะไม่มีพายุ อากาศก็ยังแปรปรวนอยู่ดี ทำให้จากแพลนเดิมที่ตั้งใจจะขับรถไป Azuma Bandai Skyline เป็นอันต้องเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้แทน ส่วนแพลนของวันนี้ก็เพิ่งนั่งคิดเมื่อคืนว่าจะไปไหนดีที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการเปียกและลำบากมากแบบเมื่อวาน
สรุปก็คือ…ไปเที่ยว Koriyama แล้วกัน
Koriyama เป็นเมืองหนึ่งในจังหวัด Fukushima ที่เรารู้สึกว่าที่นี่มีความคึกคักมากกว่าเมือง Fukushima เองซะอีก เพราะเป็นเมืองที่มีรถไฟ Shinkansen ผ่าน และมีรถไฟที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น Aizu-Wakamatsu, Lake Inawashiro, Goshikinuma เป็นต้น แต่ถ้าถามว่าในเมือง Koriyama เอง มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง? เท่าที่รู้ก็มีเพียงพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ กับท้องฟ้าจำลอง (ซึ่งก็ไม่ได้อินสักเท่าไร)
แต่จากการหาข้อมูลมาล่วงหน้า พบว่ามีร้านกาแฟ 2 ร้านที่น่าสนใจ และวันนี้ตั้งใจจะไปเพื่อกลับมาทำรีวิวให้ได้อ่านกันนี่แหละ เผื่อสาย cafehopping ที่มาเที่ยว Fukushima จะได้แวะมาลิ้มลองรสชาติของกาแฟที่นี่กัน
วิธีการเดินทาง
การเดินทางจาก Fukushima ไป Koriyama นั้นสะดวกมาก เพราะมี Shinkansen Yamabiko
ซึ่งใช้เวลาเพียง 13 นาทีเท่านั้น (ค่ารถ 840 เยน แต่ถ้ามี JR Pass ขึ้นฟรีกี่เที่ยวก็ได้) และไม่จำเป็นต้องไปจองที่นั่งให้วุ่นวาย เพราะคนไม่เยอะ สามารถไปเลือกที่นั่งในขบวน Non-reserved ได้เลย
ถึงสถานี Koriyama ก็ต้องไปแวะขอข้อมูลจาก Tourist Information Center กันสักหน่อย
Tourist Information Center จะอยู่ที่ชั้น 2 ของสถานี เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปแล้วเลี้ยวขวา
Tourist Information Center จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ก่อนจะถึงโซนร้านอาหารของห้าง S-PAL
Tourist Information Center Koriyama
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่ใน Information Center สรุปได้ความว่า สถานที่เที่ยวที่ (พอจะ) น่าสนใจใน Koriyama อยู่ไม่ไกลจากสถานี และสามารถเดินไปได้ ก็คือ
- เริ่มจากไปชิมกาแฟที่ร้าน OBROS COFFEE
- ไปเที่ยวสวน Hayama Park และ 21st Century Anniversary Park
- แวะชมวัด Nyohoji / Zendoji / Asaka-Kunitsuko Shrine
- กลับมาแวะกินข้าวกลางวันที่สถานี Koriyama
- ไปร้านกาแฟ Flat White Coffee Factory ซึ่งอยู่นอกเมือง
- แวะกลับมาเดินช็อปนิดหน่อยที่สถานี Koriyama ก่อนกลับที่พัก
ก่อนจะออกจากสถานี ขอแวะสำรวจในสถานีสักหน่อย ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
เริ่มจากโซนร้านอาหารของห้าง S-PAL ที่อยู่ติดกับ Tourist Information Center
มีร้าน Wako Tonkatsu ที่รู้จักกันดี ในไทยก็มีสาขามาเปิดด้วย
ติดกับสถานีมีห้าง S-PAL เหมือนที่ Fukushima แต่สาขานี้เล็กกว่า (มีร้าน Muji ใหญ่พอควร)
ชั้นล่างสถานีมีร้านสบู่ชื่อดังอย่าง LUSH ให้แวะช็อปด้วย
ออกมาด้านนอกสถานี มองไปทางด้านซ้ายมี Yodobashi Camera
ใครตั้งใจมาหาซื้อฟิล์ม ซื้อกล้อง / เลนส์ แนะนำให้ช็อปจากที่นี่ไปเลย
หรืออาจจะไปช็อปที่ biccamera ที่ Fukushima แต่ร้าน bic จะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟมาก ต้องใช้รถส่วนตัวจึงจะสะดวก
OBROS COFFEE
การเดินทางไปร้าน OBROS COFFEE สามารถนั่งรถบัสไป (ประมาณ 3 ป้าย) หรือจะใช้วิธีแบบเรา คือ เดินไป ระยะทางประมาณ 1 กม. เส้นทางไม่ยุ่งยาก อากาศวันนี้ก็เย็นๆ ฝนไม่ตก เหมาะแก่การเดินชมเมืองไปในตัว
เดินออกมาตรงถนนใหญ่หน้าสถานี Koriyama จะเห็น Daiwa Roynet Hotel
ให้เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ ตามทาง
เดินมาจนถึงแยกที่มีตึก Leopalace 21 ให้เดินมาขึ้นสะพานลอยด้านข้างตึก เพื่อข้ามไปถนนอีกฝั่ง
ลงจากสะพานลอย จะเห็นซุ้มประตูศาลเจ้าทางด้านขวา นั่นคือ Asaka-Kunitsuko Shrine ให้เดินตรงต่อไปก่อน
เดินต่อมาอีกประมาณ 100 เมตร จะเจอวัด Zendoji อยู่ทางด้านขวามือ ให้เดินตรงต่อไป
(ในรูปนี้คือ วัด Zendoji ถ้ามีเวลาจะแวะเดินชมดูก่อนก็ได้ วัดไม่ใหญ่มาก)
เดินมาจนสุดรั้ววัด จะเจอซอยด้านขวา มีรูปปั้นอยู่ตรงด้านหน้าตึก ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ
เดินตรงต่อไปประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอ OBROS COFFEE อยู่ตรงแยกพอดี
ถึงแล้ว OBROS COFFEE
ร้านตกแต่งแบบ Minimal ด้วยไม้และสีผนังแบบปูนเปลือย มีจุดเด่นคือป้ายสีดำสัญลักษณ์ของร้านติดอยู่ด้านหน้า
ถึงปุ๊บก็แวะไปสั่งกาแฟและขนมปังก่อน ราคากาแฟต่อแก้ว ประมาณ 400 – 600 เยน
ในร้านเป็นที่นั่งแบบ Counter bar สามารถดูบาริสต้าชง / drip กาแฟได้อย่างใกล้ชิด
เมนูที่สั่ง คือ Ice Latte กับ Toast
เรื่องรสชาติ เนื่องจากเราเพิ่งเป็นมือใหม่หัดดื่ม คงตอบยากว่ามันดีกว่ากาแฟที่อื่นยังไง แต่สำหรับเรา รู้สึกว่ากาแฟที่ชงมารสชาติมันจะกลางๆ นวลๆ ไม่ขม แล้วก็ไม่ได้อมเปรี้ยวเหมือนเม็ดกาแฟของบางที่ ส่วน Toast ก็เป็นขนมปังทาเนยธรรมดาๆ กินกับผักดองแก้เลี่ยน ก็พอได้อยู่นะ แต่บรรยากาศภายในร้านดีงาม ถ้าแดดดีกว่านี้คงจะดีมาก เพราะร้านเป็นกระจกทั้งหมด แสงเข้าได้ทุกด้านเลย เหมาะกับช่างภาพสาย cafehopping
Hayama Park / 21st Century Anniversary Park
จากร้าน OBROS COFFEE ถ้ายืนอยู่ตรงสี่แยกแล้วหันหน้าเข้าหาร้านเหมือนตอนขามา ให้เลี้ยวไปทางด้านซ้าย เดินตรงต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร จะเจอป้ายบอกทางไป Hayamonori Park ให้เลี้ยวขวาไปตามป้ายแล้วเดินตรงไปประมาณ 200 เมตร จะเจอ Hayama Park อยู่ทางซ้าย และ 21st Century Anniversary Park อยู่ทางด้านขวามือเยื้องๆ กันนิดนึง
เจอป้ายนี้ เลี้ยวขวาตามป้ายได้เลย
เราแวะไปเดินเล่นใน Hayama Park ก่อน บรรยากาศภายในสวนดูร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นสนต้นใหญ่ และมีคลองขุดอยู่ตรงกลางสวน มีศาลาริมน้ำให้ไว้ไปนั่งชิลๆ ได้ มีต้นเมเปิลที่ใบกำลังเริ่มเปลี่ยนสีอยู่บ้างนิดหน่อย น่าเสียดายที่ฝนตกในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา น้ำในสวนเลยขุ่นมาก
ถ้าได้มาช่วงใบไม้แดงพีค คงจะสวยกว่านี้
เสร็จแล้วเดินข้ามฝั่งมาที่ 21st Century Anniversary Park จากโบชัวร์ที่ทาง Information Center แจกมา มีจุดเด่นคือดอกไม้ที่ปลูกไว้ในสวนช่วงฤดูร้อน แต่ช่วงที่เราไปเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดอกไม้เลยเริ่มเหี่ยว แต่ก็ยังดีที่มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้ชมกันพอสมควร
ใบเมเปิ้ลเพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี
Nyohoji Temple / Zendoji Temple / Asaka-Kunitsuko Shrine
จาก 21st Century Anniversary Park เดินย้อนกลับมาทางเดิมแล้วเปิด Google map หาพิกัดของ Nyohoji Temple ได้เลย เพราะอยู่ห่างกันไม่ถึง 500 เมตร ตรงนี้ต้องขออภัยจริงๆ ที่เราก็ไม่รู้ข้อมูลความสำคัญของวัดที่ได้แวะไปชมเหมือนกัน เลยขอเก็บภาพมาให้ได้ชมกันเพลินๆ แทน
บริเวณวัด Nyohoji
บริเวณประตูทางเข้าวัด Nyohoji
วัด Zendoji ที่เราผ่านมาตอนเช้า ฟ้าเริ่มโปร่ง มีแสงแดดให้เห็นบ้างแล้ว
บริเวณรั้วข้างวัดมีต้นเมเปิ้ลอยู่ แต่ยังไม่เปลี่ยนสี
บริเวณทางเข้า Asaka-Kunitsuko Shrine ที่นี่ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมาก ไม่เสียค่าเข้าชมด้วย
Asaka-Kunitsuko Shrine
ออกจาก Asaka-Kunitsuko Shrine เดินขึ้นสะพานลอยแล้วย้อนกลับไปที่สถานี Koriyama ตามทางเดิม เพื่อแวะไปหาข้าวกลางวันกิน ก่อนจะออกไปร้านกาแฟอีกร้านนึง ซึ่งมื้อกลางวันอันแสนสิ้นคิดของเราก็ไปจบที่ร้าน Wako Tonkatsu (ที่กรุงเทพก็มี 555) เพราะง่ายดีและอิ่มด้วย
มีเมนูภาษาอังกฤษ สามารถขอจากพนักงานได้
เมนูพิเศษในช่วงนี้ ก็คือ Korokke ไส้ไก่กับเห็ดและครีม แต่ขอผ่านละกันเพราะกลัวเลี่ยน
สุดท้ายก็ไปจบที่ทงคัตสึหมูสันนอกและหอยนางรม
ข้อแตกต่างของ Wako ที่นี่กับที่ไทยก็คือ ไม่มีน้ำสลัดงา และข้าวก็ไม่มีมาให้เป็นหม้อ ต้องขอเพิ่มเอง
Flat White Coffee Factory
อิ่มท้องแล้วได้เวลาเดินทางกันต่อ ช่วงบ่ายเราเลือกที่จะไปร้าน Flat White Coffee Factory ซึ่งแต่แรกเรากะว่าจะไม่ไปแล้ว เพราะนั่งรถบัสไปไกลพอสมควร แถมยังต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 2 กม. แต่ถ้าไม่ไปที่นี่ ก็ไม่รู้จะทำอะไร อีกอย่าง ร้านนี้ก็เป็นร้านที่อยากไปมากที่สุดระหว่างที่หาข้อมูลก่อนมา เลยตัดสินใจเดินก็ได้ เพราะฝนก็หยุดแล้ว แล้วก็จะได้ย่อยทงคัตสึที่กินเมื่อกี้ไปด้วย
ป้ายรถบัสหมายเลข 3 และตารางเดินรถแต่ละสาย
วิธีการเดินทางจากสถานี Koriyama ให้มาขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 3 (ป้ายรถบัสจะอยู่ด้านหน้าสถานี) แต่ตรงป้ายหมายเลข 3 ก็มีรถหลายเบอร์เหลือเกิน แล้วจะขึ้นรถสายไหนดี แนะนำว่าให้เช็คตารางเวลารถได้ จาก Google map ครับ (กรอก Destination ว่า “Flat White Coffee Factory” ใน google map จะบอกเลยว่าต้องขึ้นรถรอบกี่โมง และเดินต่อไปทางไหน)
ด้วยความงงในตอนแรก เราเลยเอาชื่อป้ายรถบัสที่ Search จาก google map เดินไปที่ Bus Information ซึ่งอยู่ใกล้กับป้ายหมายเลข 3 พอดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ให้ข้อมูลน่ารักมาก ตอนแรกบอกแค่ว่าให้ขึ้นรถที่ป้ายหมายเลข 3 พอรถมาถึงตามเวลาที่ดูไว้ เราก็เดินขึ้นไป เจ้าหน้าที่คนนี้ก็รีบเดินตามเข้ามาบนรถอีก เพื่อบอกชื่อป้ายที่จะต้องลง และให้เราสังเกตที่จอหน้ารถ พร้อมทั้งแจ้งราคาค่ารถ 390 เยน ที่จะต้องจ่ายก่อนลงรถให้อีก ใจดีมากๆ
รถบัสที่เราขึ้นมา คือ สาย 76-1 ค่ารถ 390 เยน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
บรรยากาศบนรถ อย่างโล่ง
รถจะขับพาเราออกนอกเมืองมาเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าป่าเข้าดง มีบ้านคนอยู่ริมทางบ้างประปราย จนกระทั่งถึงป้ายนี้…
ป้ายที่ต้องลง ชื่อ “Midorigaokadanchi” จุดสังเกตก็คือ แถวนั้นจะเป็นละแวกที่อยู่อาศัย มีบ้าน และแมนชั่นเรียงรายอยู่เต็มเลย ขาไปจะไม่มีป้ายตามรูป ป้ายจะอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเราจะมาขึ้นรถขากลับเข้าเมืองกันตรงป้ายนี้แหละ
ลงจากรถแล้วเดินตรงมาอีกนิด จะเจอแยกแบบนี้ เลี้ยวขวาไปเลย
เดินตรงไปตามทางเรื่อยๆ จะเจอทางโค้งและดอกไม้ใบหญ้าแบบนี้
มันดีมากกกกกกกก ถ่ายรูปเพลินมากกกกกกกก
ถึงท้องฟ้าจะไม่เป็นใจ แต่ลมที่พัดมา และความสวยงามของธรรมชาติรอบๆ ก็ทำให้เราเสียเวลากดชัตเตอร์อยู่แถวนี้พักหนึ่ง
มองย้อนกลับไปจากทางที่เราเดินมา จะเห็นตึกที่พักอาศัยเรียงราย
เดินตรงไป จะเจอทางแยกด้านขวา ให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงตามทางในรูปไปเรื่อยๆ
รอบๆ มีแต่ทุ่งนา และป่า
เดินตรงมาเจอสามแยก ให้เลี้ยวไปทางซ้าย
แต่ก่อนเลี้ยวขอแวะถ่ายรูปแวบนึง
เดินตรงมาตามทางเรื่อยๆ จนเจอสี่แยกนี้ ให้เดินตรงข้ามแยกต่อไปอีกประมาณ 400 เมตร
เดินจนเจอทางสามแพร่งแบบนี้ ให้เลี้ยวขวา
ตามป้าย Miharu Herb Hana Garden เข้าไปนี่แหละ
ตรงจุดนี้เรียกว่า “Britomart” เป็น Community Mall ย่อมๆ ที่มีทั้งร้านขายต้นไม้ ดอกไม้ ร้านอาหาร และร้านกาแฟที่เป็นจุดหมายของเรา พร้อมลานจอดรถที่สามารถจุรถได้หลายสิบคัน (แต่เราเดินมาไง โคตรจะไกล)
แวะไปชมร้านขายต้นไม้กันก่อน
ร้านอาหาร SARARA แต่วันนี้ปิด
เจอร้าน Flat White Coffee Factory แล้ว เข้าไปได้เลย
ร้านจะอยู่ภายในโกดัง มีร้านทั้งหมดประมาณ 4 ร้านอยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยที่ร้านกาแฟ Flat White Coffee Factory จะอยู่ติดกับประตูทางเข้า และมีร้านข้างเคียง ขายสินค้าพวกของใช้ในบ้าน และร้านอาหาร
เมนูต่างๆ และราคา
หลังจากเดินตากลมมานาน ขอ Hot Latte สักแก้วละกัน
เมล็ดกาแฟที่ร้านนี้ใช้ชง มีทั้งจาก Ethiopia และ Columbia ที่เราได้ชิมเป็นเมล็ดจาก Ethiopia รสชาติมันจะหวานๆ เปรี้ยวติดปลายลิ้นนิดๆ ก็อร่อยไปอีกแบบ
ถ่ายรูปเล่นได้สักแปบ ก็มีชายญี่ปุ่นวัยกลางคน เดินเข้ามา Speak English อย่างคล่องแคล่ว ถามว่าเรามาจากที่ไหน ชอบกาแฟไหม คุยไปคุยมาจึงรู้ได้ว่าเขาคือเจ้าของร้านตัวจริงเสียงจริง ชื่อคุณ Yoshitaka Nakazawa แต่เขาให้เรียก “Mickey” ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษของเขาเอง
ที่คุณ Mickey พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแบบนี้ เพราะก่อนหน้าที่จะมาเปิดร้าน Flat White Coffee Factory เขาเคยไปทำงานเป็นบาริสต้าอยู่ที่ประเทศ New Zealand และใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมา มาเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเองนี่แหละ โดยร้าน Flat White Coffee Factory มีทั้งหมด 3 สาขา 2 สาขาแรกอยู่ที่ Sendai และสาขาที่ Fukushima คือสาขาที่ 3 โดยสาขานี้มีจุดเด่นตรงที่มีเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟแบบพิเศษที่ 2 สาขาแรกไม่มี
คุณ Mickey เล่าถึงกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟให้ฟัง แถมยังเอากาแฟที่คั่วแต่ละแบบมาให้ลองชิมด้วย การคั่วแบบแรก คือ “Tyoka” (เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไรเหมือนกัน) เป็นการคั่วโดยใช้ไฟแรง ทำให้ด้านนอกของเมล็ดไหม้ แต่ไม่ไหม้ถึงด้านใน รสชาติที่ได้ก็จะออกขมกว่าอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า “Han nepu” ซึ่งใช้ความร้อนปานกลาง คั่วโดยใช้เวลานานกว่า การคั่วแบบหลังก็จะทำให้ได้รสชาติที่ขมน้อยลง จากที่ได้ลองเราว่าแบบหลังอร่อยกว่าแบบแรก (แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงดี เพราะก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านกาแฟขนาดนั้น)
ต้องขอบคุณ คุณ Mickey และ คุณ Hanzawa บาริสต้าหน้าใส ที่มานั่งคุยเป็นเพื่อน แถมยังแนะนำร้านกาแฟใน Fukushima ร้านอื่นๆ ให้เราได้แวะไปอีก คิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจมาที่นี่ ประทับใจตั้งแต่ทางเดินมา จนกระทั่งในร้านกันเลยทีเดียว
บรรยากาศร้านอื่นๆ ใน Britomart
เป็นอีกวันที่เราประทับใจกับการท่องเที่ยวในเมือง Koriyama และหวังว่าเพื่อนๆ ที่ได้แวะมาอ่าน คงจะอยากมาเที่ยวที่ Koriyama สักครั้ง โดยเฉพาะร้านกาแฟที่เราได้แนะนำไป ไม่อยากให้พลาดจริงๆ
ส่วนพรุ่งนี้ จะไปเที่ยวที่ไหน รอติดตามกันได้นะครับ
วันนี้ขอตัวไปนอนแล้ว
ราตรีสวัสดิ์ 🙂
สำหรับใครที่อยากติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ของเรา
หรืออัพเดทกระทู้ใหม่ๆ ก่อนใคร
ฝากติดตามใน Facebook Fanpage : ThirtyWander ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/thirtywander
หรือจะติดตามชมรูปสวยๆ ได้ที่ Instagram : porsuke13