azul!
เริ่มต้นทักทายกันด้วยภาษา Berber ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของชาว “Morocco”
ประเทศที่หลายๆ คน (รวมทั้งเราด้วย) เคยสงสัยว่ามีอะไรน่าสนใจ และอยู่ส่วนไหนของโลก?
เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเที่ยว Morocco
ซึ่งช่วงเวลานี้ใกล้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว และเราก็โชคดีมากที่อากาศดี ฟ้าสดใสตลอดทั้ง 7 วัน
ทำให้ทริปนี้เราได้ภาพดีๆ แสงสวยๆ มาเยอะแยะเลย
เราจึงอยากจะแนะนำ Morocco ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักผ่านมุมมองของเรา
ให้ได้สัมผัส Morocco ด้วยตากันสักนิด
และครั้งหน้า เราจะพามารู้จักกันอย่างเจาะลึก ผ่านรีวิวแบบเต็มๆ กันอีกที
ดูจบแล้วถ้าชอบ…จะกดหาตั๋วโปรไว้ก่อนก็ไม่ว่ากันนะครับ
Camera : CONTAX T2 , Minolta P’s (Panorama shot)
Film : Lomo 100, Lomo 400
Scan & Dev : Flashbox
เริ่มต้นทริปนี้ที่ Casablanca เมืองที่ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อ แต่ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงของ Morocco หรอกนะ
สถานที่เที่ยวที่เป็น Landmark ของ Casablanca ก็คือ “Hassan II Mosque”
ที่นี่จัดเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา และใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก
ด้านในสามารถจุคนได้ถึง 25,000 คน และลานด้านนอกจุได้ประมาณ 80,000 คน
สถาปัตยกรรมของมัสยิดนี้ก็สวยงามอลังการณ์ไม่แพ้ขนาดเช่นกัน
คาเฟ่เก๋ๆ ที่นี่เขามี %Arabica กาแฟชื่อดังจาก Kyoto มาเปิดสาขาอยู่ใจกลางเมืองด้วย
จาก Casablanca เดินทางต่อประมาณ 80 กม. เพื่อไปยัง Rabat ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Morocco
จุดแรกที่ได้ไปแวะก็คือ “Kasbah of Udayas” ซึ่งเป็นป้อมปราการที่สร้างติดกับมหาสมุทร Atlantic
ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ทำให้เราสามารถชมวิวมหาสมุทร Atlantic และเมือง Rabat ได้จากจุดนี้
วิวมหาสมุทร Atlantic จากบนป้อมปราการ
บรรยากาศด้านบนของป้อมปราการ
บรรยากาศในชุมชนระหว่างทางเดินขึ้นไปยังป้อมปราการ
บ้านเมืองที่นี่มีความคุมโทนมาก อย่างบริเวณนี้บ้านทุกบ้านจะทาสีฟ้าครึ่งล่าง ครึ่งบนเป็นสีขาว
ถัดจาก Kasbah of Udayas ไปไม่ไกล จะพบกับ Landmark ของ Rabat นั่นคือ Hassan Tower
และ Mausoleum of Mohammed V ซึ่งเป็นสุสานของกษัตริย์ Mohammed V มีทหารยามเฝ้าประตูทางเข้า – ออกทั้ง 2 ฝั่ง
คืนแรกเราพักที่ Riad ในย่าน Old Medina หรือย่านเมืองเก่าของ Rabat
ทำให้มีเวลาเดินสำรวจแถวนั้นบ้างเล็กน้อยก่อนพระอาทิตย์จะตก
สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเกี่ยวกับการถ่ายรูปใน Morocco คือ อย่าถ่ายรูปคน โดยเฉพาะคนแก่
เพราะคุณอาจจะโดนเขาเดินเข้ามาด่าและให้ลบรูปได้ (เพื่อนเราโดนไปแล้ว) แต่โชคดีที่การใช้กล้องฟิล์มเล็กๆ
ก็ลดความน่าสะดุดตา และดูเป็นมิตรกว่ากล้องใหญ่ได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไงก็ควรระมัดระวังอยู่ดี
วิถีชีวิตของผู้คนใกล้กับ Kasbah of Udayas ฝั่งตรงข้ามเป็นย่านเมืองใหม่ของ Rabat
วันที่ 2 ใน Morocco เรานั่งรถกันยาวนานประมาณ 5 ชม. เพื่อมาเที่ยวยังเมืองที่ได้ฉายาว่า “Blue Pearl”
นั่นก็คือเมือง “Chefchaoun” ที่ได้ฉายานี้ก็เพราะว่าเมืองนี้ทาด้วยสีฟ้าทั้งเมือง
เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวทุกคนที่มา Morocco ยังไงก็ต้องมาแวะเมืองนี้สักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงเหมือนมาไม่ถึง
มุมนี้เป็นจุดชมวิวข้างทาง ก่อนจะเข้าไปยังตัวเมือง Chefchaoun
ส่วนที่เป็นจุดท่องเที่ยวนั่นคือส่วนที่อยู่ตรงเชิงเขา ที่เป็นหมู่บ้านสีฟ้าทั้งหมด
ประตูเมือง Chefchaoun มีสีฟ้าเป็นเอกลักษณ์
บ้านเรือนสีฟ้าตั้งไล่ระดับกันอยู่ตรงเชิงเขา
แนะนำให้นอนค้างในเมืองสักคืน มีมุมให้เดินถ่ายรูปกันได้ตั้งแต่เช้า คนจะได้ไม่เยอะ
The Blue Street : จุดถ่ายรูปยอดนิยมในเมือง Chefchaoun
HAMSA : Cafe ที่วิวดีที่สุดใน Chefchaoun
DarSababa : Riad ที่เราพักที่ Chefchaoun อยู่ในใจกลางของเมือง และมีวิว Rooftop ที่ดีงามสุดๆ
กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง คือ การขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Spanish Mosque
สามารถเดินขึ้นมาได้จากใจกลาง Medina ใช้ระยะเวลาประมาณ 20 – 30 นาที (แล้วแต่กำลังขา)
บรรยากาศระหว่างทางเดินขึ้น Spanish Mosque
บรรยากาศเมือง Chefchaoun ก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า
จากเมือง Chefchaoun เราเดินทางต่อไปยัง Fes อดีตเมืองหลวงของ Morocco
เมืองนี้จัดเป็นอีกเมืองที่ใหญ่และมีผู้คนอาศัยอยู่มาก จุดขายของที่นี่คือ Medina ที่ใหญ่มากๆ
เรียกว่าใหญ่ที่สุดใน Morocco ก็ว่าได้ ทำให้ที่นี่เราต้องอาศัย Local Guide เพื่อพาเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ
ซึ่งถ้านับระยะทางเดินรวมทั้งหมดใน Medina จะเป็นระยะทางถึง 30 กม. แต่เราเดินเที่ยวกันแค่ 6 กม.เท่านั้น
ภายใน Medina จะมีอาคารที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์ Morocco ที่สวยงาม
อาคารเหล่านี้เคยเป็นโรงเรียนของชาวมุสลิม ซึ่งใน Medina ก็มีโรงเรียนแบบนี้อยู่หลายที่
แต่จุดที่ไกด์พาไปต้องเสียค่าเข้าชม ไกด์บอกว่าดูที่เดียวก็พอ ที่อื่นๆ ก็คล้ายกันหมด
บรรยากาศภายใน Fes Medina
เด็กๆ เพิ่งเลิกเรียนพอดี
และ Hi-light อีกอย่างของ Fes ก็คือ Chouara Tannery
เป็นสถานที่ฟอกหนังและย้อมสีที่ใหญ่ที่สุดใน Morocco
ใครชอบเครื่องหนังที่นี่ก็มีให้เลือกซื้อกัน ณ ที่ผลิตเลยแหละ แต่ราคาก็แรงใช้ได้อยู่
เราสามารถเข้าไปชมที่จุดนี้ได้โดยไม่เสียเงิน
แต่เจ้าของร้านก็จะทำการขายกับเราไปด้วย ถ้าขี้เกรงใจก็มีโอกาสได้ของติดไม้ติดมือออกมาแน่นอน
บริเวณจุดชมวิวที่ Chouara Tannery
ภายใน Medina ของ Fes ที่กว้างมาก ทำให้มีมัสยิดกระจัดกระจายอยู่หลายที่
และแทบทุกที่ที่เราผ่านไม่อนุญาตให้คนศาสนาอื่นเข้าไปได้
และแต่ละที่ก็จะมีเวลาละหมาดไม่ตรงกัน (แต่อาจจะเหลื่อมกันไม่มาก)
เผื่อว่ามาที่แรกไม่ทัน จะได้เผื่อเวลาไปอีกที่หนึ่งได้
เราใช้เวลาเดินเที่ยวใน Fes Medina ประมาณ 3-4 ชม. ไกด์ก็พาเราไปปิดทริปของวันนี้ที่จุดชมวิวของเมือง Fes
จากมุมนี้สามารถมองเห็นเมืองได้แบบ Panorama จะเห็นได้ว่าเมืองนี้ใหญ่มากจริงๆ (นี่เฉพาะส่วนที่เป็นเมืองเก่านะ)
วันต่อมาถือว่าเป็นวันที่นั่งรถนานที่สุดก็ว่าได้ เพราะเราต้องเดินทางจาก Fes ไปยังทะเลทราย Sahara
ซึ่งอยู่ในเมือง Merzouga ระยะทางกว่า 500 กม. ใช้เวลาประมาณ 7 – 8 ชม.
แต่ไม่ต้องกลัวว่านั่งรถนานแล้วจะเบื่อ เพราะระหว่างทางมีวิวสวยๆ ให้ชมกันตลอด
แนะนำว่าอย่าเผลอหลับยาวจะดีกว่า
เราเดินทางมาถึงทะเลทราย Sahara เกือบ 6 โมงเย็น คนขับรถจะพาเรามาส่งที่ทางเข้า
แล้วจะมีรถ 4WD ของ Camp ที่เราจะเข้าพักมารอรับ เพื่อส่งเราไปยังจุดขึ้นอูฐ
เพราะว่าวันนี้ เราจะขี่อูฐเข้าไปในแคมป์ และชมพระอาทิตย์ตกท่ามกลางทะเลทราย Sahara กัน!
คนนำขบวนอูฐของเรา มีหน้าที่คอยดูแลและคอยถ่ายรูปให้เป็นระยะ
มีหลายขบวน ที่มุ่งหน้าไปยังแคมป์ต่างๆ
การนั่งบนหลังอูฐท่ามกลางทะเลทรายแบบนี้ ก็ได้บรรยากาศและความทรงจำที่ดีเหมือนกันนะ
ชมวิวพระอาทิตย์ตกกลางทะเลทราย Sahara
เราพักกันที่ Orient Desert Camp ได้ยินว่านอนแคมป์อย่าคิดว่าต้องไปลำบากเหมือนเข้าค่ายลูกเสือ
เพราะแคมป์นี้ไฮโซมาก แต่ละแคมป์มีเตียงนอนอย่างดี มีห้องน้ำในตัว มีไฟให้ใช้ ไม่ต้องจุดเทียนอย่างที่คิด
แถมด้วยอาหารจัดเต็มทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า ไม่ต้องก่อไฟ หุงข้าวกันเองนะ
ตอนเช้าก็ตื่นมาเก็บภาพทะเลทรายก่อนกลับ
สักครั้งหนึ่งที่ได้มานอนกลางทะเลทราย Sahara แบบนี้ มันดีมากจริงๆ นะ
จาก Merzouga เราเดินทางต่อไปยังเมือง Ouarzazate ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 – 6 ชม.
ระหว่างทางไกด์ก็แวะให้เราพักทานข้าวกันก่อน
ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นคำเตือน (สำหรับนักท่องเที่ยว) ดีไหม? เกี่ยวกับผู้คนใน Morocco ที่ยังไงก็ต้องได้เจอแน่ๆ
เพราะคนที่นี่ชอบทักทายนักท่องเที่ยวมาก เห็นหน้าเอเชียก็ทัก “หนีห่าว” “คอนนิจิวะ” เหมารวมไปหมดว่าเป็นคนจีน คนญี่ปุ่นแน่ๆ
(แต่ยังไม่เจอใครทัก “สวัสดี” สักคน) ซึ่งการทักทายส่วนใหญ่มักมีจุดประสงค์แอบแฝง เช่น ชักชวนเราไปร้านค้า ร้านอาหาร
หรือเสนอขายของแบบ Direct sell กันไปเลย กับอีกกลุ่มหนึ่งคือ “เด็ก” ที่มักจะเข้ามาหาด้วยการยื่นของเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำเอง
(ส่วนใหญ่ก็งานสานปลา สานรูปสัตว์ต่างๆ อย่างเด็ก 2 คนในรูปนี่แหละ) และบอกเราว่าเป็นของขวัญ ให้ฟรี
รวมถึงพยายามยัดเยียดใส่มือ แม้เราจะปฏิเสธก็ตาม
พอเรารับมาปุ๊บ ก็จะขอเงินทันที ไม่ก็ขอขนมที่เรากำลังกินอยู่นี่แหละ
ขอกันซื่อๆ เลย สุดแท้แต่จะให้หรือไม่ให้ก็แล้วแต่ (เพราะถ้าไม่ให้แล้วโดนเด็กด่าก็ฟังไม่ออกอยู่ดี)
ส่วนเราก็ให้เงินไปนิดหน่อย แลกกับการขอถ่ายรูปน้องๆ มาเป็นที่ระลึกสักรูป
(รวมถึงเอาน้องมาเมาท์ในนี้ด้วย 555)
บรรยากาศและวิวระหว่างทางจาก Merzouga ไปยัง Ouarzazate
Todgha Gorge : อารมณ์ประมาณ Grand Canyon เป็นส่วนหนึ่งของ High Atlas Mountain
สูงประมาณ 160 เมตร ตั้งเรียงรายไปตามทาง
มีลำธารเล็กๆ ทอดตัวไปกับ Todgha Gorge
ริมถนนก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงขายของ
คนที่นี่ส่วนใหญ่น่ารัก เป็นมิตร ชอบทักทายนักท่องเที่ยว
เข้าสู่เมือง Ouarzazate เมืองนี้มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นสถานที่ที่ Hollywood ชอบมาถ่ายทำภาพยนตร์
จนมีการทำโรงถ่ายภาพยนตร์ไว้ให้เช่า และเป็นแหล่งท่องเที่ยว
Ksar of Ait Ben Haddou : 1 ใน 9 ของ UNESCO World Heritage Sites
อดีตเคยเป็นป้อมปราการ และที่พักระหว่างทางของกองทัพที่เดินทางจากยุโรป มายังทวีปแอฟริกา
แต่ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็น Location ถ่ายทำภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็น The Mummy, Gladiators, Prince of Persia และซีรีส์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones เป็นต้น
วิวจากด้านบนของ Ait Ben Haddou
วิวภูเขาระหว่างทางจาก Ouarzazate ไปยัง Marrakesh
Le Jardin Majorelle
Marrakech เมืองที่หลายคนคุ้นชื่อ และเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
มีหลายสถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่ ที่เป็นจุดน่าสนใจ ถ่ายรูปสวยมาก
แต่น่าเสียดายที่เมืองนี้เป็น Tourist attractions ไปแล้ว จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ดูวุ่นวาย
ต่างจากเมืองแรกๆ ที่เราได้สัมผัสมา โดยส่วนตัวแล้วเราจึงไม่ค่อยประทับใจที่นี่เท่าไรนัก
Marrakech มี Riad และโรงแรมที่ตกแต่งสวยงามให้เลือกพักมากมาย
และสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ คือการถ่ายรูปใน Riad สวยๆ ไว้อัพลง Social สักรูปนี่แหละ
Jemaa el-Fna : ถ้าให้เปรียบกับบ้านเราก็คงคล้ายกับตลาดนัดจตุจักร
ที่เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้า และนักท่องเที่ยว มีสินค้าทั้งของกิน ของใช้ ของฝากมากมายที่นี่
แต่เรามาที่นี่เพื่อถ่ายรูปจัตุรัสจาก Rooftop ของร้านอาหารสักร้าน ไม่ได้มาช็อปปิ้งหรอก
ร้านไหนวิวดี พอช่วงเย็นคนก็จะเยอะแบบนี้แหละ
ภายใน Medina ของเมือง Marrakech เดินเที่ยวไม่ยาก
มีทั้งพิพิธภัณฑ์ จุดถ่ายรูป และ Cafe ที่น่าสนใจให้ได้เดินชมกันเพลินๆ
หรือจะเดินดูวิถีชีวิตของคนที่นี่ก็ได้ เพียงแค่ต้องระวังเรื่องการถ่ายรูปอย่างที่เตือนไว้ด้านบน
ร้านค้าหลายร้านก็จัดร้านได้สวยงาม ขออนุญาตเจ้าของร้านก่อนถ่ายรูปก็ดีนะ
ที่ไม่อยากให้พลาด คือ Museum de Marrakech ค่าเข้า 50 DH (ประมาณ 200 บาท)
แต่ความสวยงามของสถาปัตยกรรมด้านในดูแพงเกินราคาไปมาก
ข้อดีอีกอย่างคือคนไม่เยอะ เดินชมสบายๆ ถ่ายรูปได้เพลินๆ
(แต่ด้านในแสงที่ผ่านหลังคาลงมาจะเหลืองมาก ถ้าใช้กล้อง Digital ก็ปรับ White balance กันให้ดี)
Bahia Palace
Bahia Palace : สำหรับเราที่นี่คือที่ที่อยากมามาก เพราะดูจากรูปคือสวย
แต่พอเจอนักท่องเที่ยวที่ต่อคิวเข้าแถวมาที่นี่ ก็รู้สึกเซ็งเล็กน้อย
และพอเข้ามาก็ตามคาดคือคนเยอะมาก ใครรักความสงบ ชอบถ่ายรูปชิลๆ ควรหลีกเลี่ยง
ถ่ายรูปยังไงก็หลบนักท่องเที่ยวไม่ได้
ปิดท้ายทริปนี้โดยการวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น คือเมือง Casablanca อีกครั้ง
เราตั้งใจมาปิดทริปนี้ด้วยการถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่ด้านนอกของ Hassan II Mosque
อากาศในวันที่เราไปค่อนข้างเย็น และมีลมพัดจากทะเลมาตลอด
แต่เสื้อผ้าที่เราใส่ไปวันนั้นคือเสื้อเชิ้ตบางๆ และกางเกงชิโนขายาว ซึ่งแทบไม่ได้ป้องกันความหนาวได้เลย
ขอส่งท้ายกระทู้นี้ด้วยภาพ Hassan II Mosque ก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
หวังว่าเพื่อนๆ ที่แวะเข้ามาชม จะได้ทำความรู้จักกับ Morocco มากขึ้น
และอาจจะได้แรงบันดาลใจในการไปเที่ยวที่ประเทศนี้กันสักครั้ง
แล้วไว้กระทู้หน้า เราจะมาแนะนำและรีวิวเกี่ยวกับการเตรียมตัวไปเที่ยว Morocco ให้ได้อ่านกันเต็มๆ
อดใจรอกันอีกนิดนะครับ 🙂
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาแวะชมครับ