Morocco มีอะไรน่าเที่ยวเหรอ?
นั่นสิ…ประเทศนี้จะมีอะไรให้เที่ยวนะ
นอกจากรูปสถาปัตยกรรมสวยๆ ที่เราเห็นจาก Instagram
และชื่อเมืองดังๆ อย่าง Marrakesh และ Casablanca
เราก็ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับประเทศนี้เลย
แต่เพราะความอยากรู้ และตั้งใจว่าทุกปีจะต้องหาประเทศใหม่ๆ ไปเที่ยวสักครั้ง
ทำให้เราเริ่มหาทีม และตัดสินใจกดจองตั๋ว ก่อนที่จะเริ่ม search ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ซะอีก
และหลังจากได้กลับมาแล้ว ก็พบว่า Morocco เป็นประเทศที่ครบเครื่อง
ทั้งสถานที่เที่ยวตามธรรมชาติ ที่สวยงาม อลังการ
สถาปัตยกรรมที่งดงามและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
พิพิธภัณฑ์ที่เก๋ และมีเรื่องราวน่าค้นหา
ที่สำคัญคือ เที่ยวง่าย ค่อนข้างปลอดภัย และไม่แพงอย่างที่คิด!
เราจึงอยากนำเสนอ Morocco ในมุมมองของเรา
และข้อมูลการเตรียมตัว รวมถึงสถานที่เที่ยวที่รับประกันว่าไปยังไงก็ได้รูปสวยๆ กลับมาแน่นอน
ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปเที่ยว Morocco ด้วยกันได้เลยครับ…
เที่ยว Morocco ช่วงไหนดี?
Morocco ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือ ตอนเหนือของประเทศอยู่ใกล้กับประเทศสเปนและทะเลเมดิเตอเรเนียน โดยมีช่องแคบยิบรอลตาร์กั้นอยู่ ด้านตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทางตะวันออกติดกับประเทศแอลจีเรีย ทิศใต้ติดกับประเทศมอริเตเนีย
Morocco เที่ยวได้เกือบทั้งปี ยกเว้นช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน ควรหลีกเลี่ยงเพราะอากาศจะร้อนมาก โดยส่วนตัวเราว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม – กลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งตรงกับช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย เสื้อผ้าไม่ต้องเตรียมอะไรมากนัก อย่างทริปของเราไปช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเกือบจะเข้าช่วง Low season แล้ว อากาศเริ่มร้อน (แต่ยังร้อนน้อยกว่าฤดูร้อนบ้านเรา) แต่มีข้อดีก็คือราคาที่พักไม่แรงเท่าช่วง High Season ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน และโชคดีที่ฟ้าเปิดทุกวัน มาเจอฝนวันสุดท้ายก่อนกลับวันเดียว
สายการบินไหนดี?
ขณะนี้ยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปถึง Morocco นักท่องเที่ยวมักบินจากยุโรปต่อไป Morocco หรือใช้สายการบินตะวันออกกลาง ที่นิยมได้แก่ Etihad, Emirates, Qatar แต่ราคาของสายการบินกลุ่มนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นปลายๆ ถึง 3 หมื่นกลางๆ ซึ่งมีอีก 2 สายการบินที่ช่วงหลังมักจะมีโปรโมชั่นไป Morocco ราคาอยู่ที่ 2 หมื่นต้นๆ เช่น Oman Air (Transit ที่ Muscat) และ Gulf Air (Transit ที่ Bahrain)
สำหรับทริปนี้เราเลือกบินกับ Oman Air ไปลงที่ Casablanca ได้ราคาตั๋วอยู่ที่คนละประมาณ 22,xxx บาท ซึ่งเราว่ามันคุ้มค่ามากๆ ที่ตัดสินใจเลือกบินกับ Oman Air เนื่องจากเวลา Transit แต่ละขาอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 ชม. ซึ่งไม่นานจนเกินไป และขาไปไปถึง Casablanca ประมาณ 8 โมงเช้า ทำให้เริ่มเที่ยวได้ทันที สนามบินที่ Oman ก็สวยงาม ทันสมัย ห้องน้ำสะอาด ที่ชอบมาก คือ ไฟลท์ที่ออกจาก Oman เช่น Oman ไป Casablanca หรือ Oman กลับกรุงเทพฯ ผู้โดยสารไม่เยอะ ทำให้เราเลือกที่นั่งไว้นอนเหยียดขาได้สบายๆ
ไป Morocco ต้องใช้ VISA ด้วยนะ!
จองตั๋ว จองที่พัก และวางแผนการเดินทางคร่าวๆ ให้พร้อม แล้วเตรียมเอกสารไปขอ VISA ก่อนบินไป Morocco ด้วย โดยขอ VISA ได้ที่สถานเอกอัครราชทูตโมรอคโค อาคาร Sathorn City Tower ชั้น 12 (ชั้นเดียวกับที่ไปขอ VISA ฝรั่งเศส) สามารถยื่นเอกสารได้ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่ 9.30 – 12.00 น. และมารับ VISA ได้เวลา 14.00 – 17.00 น. ใช้เวลาในการดำเนินการไม่เกิน 7-10 วัน ค่าธรรมเนียม VISA 719 บาท (ณ วันที่ 19 เมษายน 2562) ค่าธรรมเนียมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น แนะนำให้โทรไปสอบถามที่สถานทูตก่อนไปยื่นเอกสาร (ควรเตรียมเงินไปให้พอดีกับค่าธรรมเนียม)
เอกสารที่ใช้ในการยื่นวีซ่า
- Application Form (สามารถ Download ได้จาก http://www.moroccoembassybangkok.org/visa.html.pdf )
- หนังสือรับรองสถานะทางการเงิน (Bank Certificate) ชื่อสะกดตรงตาม Passport, ต้องมีตราประทับและลายเซ็นจากธนาคาร
- หนังสือรับรองการทำงานภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “To whom it may concern” แทนชื่อสถานฑูตที่ยื่น ระบุตำแหน่ง
ระยะเวลาการทำงาน และเงินเดือน - แผนการเดินทางคร่าวๆ + รายชื่อผู้ร่วมทริป
- สำเนา Booking เครื่องบินและที่พักทั้งหมด
- Passport + สำเนาหน้าแรกที่มีรูป
- รูป 1.5 x 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
- สำเนาบัตรประชาชน + คำแปลเป็นภาษาอังกฤษ (สามารถใช้แบบฟอร์มการแปลได้จาก http://www.consular.go.th/main/th/form/1421/21818-ตัวอย่างคำแปลแบบฟอร์มเอกสารราชการ.html )
- ประกันเดินทาง วงเงินขั้นต่ำ 1,500,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมวีซ่า 719 บาท (อาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน)
***เอกสารที่เป็นสำเนาทั้งหมด ไม่ต้องเซ็นสำเนาถูกต้อง***
เดินทางใน Morocco อย่างไรดี ?
วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด คือ รถยนต์ จะเป็นการเช่ารถ หรือ เช่ารถพร้อมคนขับก็ได้ หรือถ้าไม่อยากแพลนอะไรด้วยตัวเอง ก็มี Local Tour ให้บริการหลากหลายเจ้า ทริปของเราครั้งนี้ใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับ (ที่พูดภาษาอังกฤษได้ และเป็นไกด์ทัวร์ให้บ้าง) จาก https://www.realmoroccotours.com รถที่เช่าเป็น Minivan นั่งได้ประมาณ 4-5 คน ราคา 180 Euro / คัน / วัน (รวมค่าน้ำมันและทางด่วน) โดยเราติดต่อกับทัวร์ทาง E-Mail ส่งแพลนไปให้ เราเป็นคนจัดการจองที่พักและวางแผนสถานที่เที่ยวเอง ยกเว้นวันที่นอน Camp ที่ Sahara เราให้เขาช่วยจองให้ 1 คืน โดยทางทัวร์จะตอบกลับเรื่องราคามาทาง E-Mail ไม่ต้องจ่ายมัดจำใดๆ แต่ก่อนบินประมาณ 2-3 วัน ต้อง Confirm ทาง E-Mail และนัดหมายเรื่องวัน-เวลาที่ไปถึง เพราะเขาจะให้รถมารับที่สนามบิน
หากใครอยากเช่ารถขับเอง ก็สามารถทำได้ แต่ต้องเตือนไว้ว่าใน Morocco ถนนส่วนใหญ่เป็นถนนสองเลนวิ่งสวนกัน บางช่วงเป็นทางลัดเลาะเขา และหากที่พักเป็น Riad ที่อยู่ภายใน Medina ก็จะลำบากเรื่องหาที่จอดรถพอสมควร อาจจะต้องวางแผนเรื่องการเดินทางและที่พักให้ดี อ้อ ที่นี่ขับพวงมาลัยด้านซ้ายนะ เหมือนทางยุโรปเลย
วางแผนการเดินทาง
ถ้าอยากเที่ยวเมืองหลักให้ครบ โดยไม่ต้องเหนื่อยมากนัก แนะนำว่าควรมีเวลาสัก 10-14 วัน ก็สามารถเก็บได้ทั่วประเทศ จะได้ไม่เหนื่อยกับการนั่งรถมากเกินไปด้วย โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะเริ่มต้นที่ Casablanca หรือ Marrakech แล้วเที่ยววนทวนเข็มนาฬิกา เช่น Casablanca – Marrakech – Ouarzazate – Sahara Dessert – Meknes or Fes – Chefchaouen – Rabat – Casablanca เป็นต้น ข้อดีของการวนแบบนี้ ก็คือจะเดินทางไกลๆ ตั้งแต่วันแรกๆ (โดยเฉพาะเส้นทางจาก Ouarzazate – Sahara Dessert – Meknes or Fes) ทำให้วันท้ายๆ ของการเดินทางไม่ต้องเหนื่อยมากนัก แต่ทริปของเราเลือกที่จะเที่ยวตามเข็มนาฬิกาสวนทางกับคนอื่น เพราะเราอยากให้วันท้ายๆ อยู่ที่เมืองท่องเที่ยวหลักๆ เผื่อไว้ซื้อของฝากในวันท้ายๆ
และนี่คือแผนการเดินทางตลอด 8 วันของเรา…
Day 1 – ถึง Casablanca เที่ยว Hassan II Mosque / เดินทางต่อไป Rabat / เที่ยวและพักที่ Rabat
Day 2 – เดินทางไป Chefchaouen แต่เช้า / เที่ยวและพักที่ Chefchaouen
Day 3 – เดินทางไป Fes / Fes Medina Tour / พักที่ Fes
Day 4 – เดินทางไป Sahara Desert ที่เมือง Merzouga / พักที่ Desert Camp
Day 5 – เดินทางไป Ouarzazate / Ait Ben Haddou / พักที่ Ouarzazate
Day 6 – เดินทางไป Marrakech / Yves Saint Laurent Museum & Jardin Majorelle / Jamaa el-Fna / พักที่ Marrakech
Day 7 – เที่ยวใน Marrakech Medina / Bahia Palace / เดินทางกลับ Casablanca
Day 8 – เดินทางกลับกรุงเทพฯ
เลือกที่พักแบบไหนดี?
ที่พักที่ควรจะต้องพักอย่างน้อยสัก 1 คืน คือ พักที่ Riad ซึ่ง Riad ก็คือบ้านสไตล์ Morocco ที่เขาเอามาทำเป็น Bed & Breakfast แต่ละเมืองก็จะมี Riad ให้เลือกหลากหลายแบบ เมืองที่มี Riad สวยๆ ให้เลือกก็คือ Marrakech ความสวยก็แปรตามราคา ใครงบเยอะก็มีตัวเลือกมากหน่อย ส่วนพวก Riad ที่โด่งดังใน Instagram ก็จะเต็มค่อนข้างเร็ว ขนาดเราเข้าไปดูล่วงหน้า 4-5 เดือนยังจองไม่ทันเลย ดังนั้นถ้าใครมีแพลนอยากไป ก็ไปส่องๆ Riad ที่สนใจและรีบจองไว้แต่เนิ่นๆ
เราจะมาแนะนำ Location ที่ควรเลือกพักจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสบรรยากาศของแต่ละเมืองมาให้คร่าวๆ แล้วกัน ส่วนจะเลือกพักที่ไหน จะโรงแรมหรือ Riad อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบและงบประมาณของเพื่อนๆ เลยแล้วกัน
Casablanca : เราพักที่ Hotel Odyssee Center ข้อดีก็คือโรงแรมนี่อยู่ในย่านธุรกิจ มีร้านอาหาร ร้านค้า Fast Food และอยู่ไม่ไกลจาก Old Medina ของเมือง สามารถเดินไป Hassan II Mosque ได้ แถบนี้มีอีกโรงแรมที่ราคาย่อมเยาว์คือ Ibis City Center
Rabat : เป็นเมืองที่มีจุดท่องเที่ยวสำคัญอยู่แถว Old Medina (Medina คือ ตลาดอะ แต่เป็นตลาดที่สเกลใหญ่กว่า และไม่ได้มีเฉพาะขายของเท่านั้น แต่จะมีบ้านเรือนผู้คน ร้านอาหารต่างๆ อยู่ในนั้นด้วย) ถ้าเน้นเดินเที่ยวสะดวก หาที่พักแถวย่านเมืองเก่าก็เที่ยวง่ายหน่อย แต่เอาจริงๆ ตกกลางคืนก็ไม่ควรออกมาเดินเล่นนะ ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร
Chefchaoune : แนะนำว่าควรนอนใน Medina เท่านั้น เพราะสามารถเดินถ่ายรูปได้สะดวก ยิ่งถ้าตื่นเช้า ทัวร์ยังไม่ลง พวกมุมถ่ายรูปยอดนิยมก็จะโล่ง มีมุมให้เดินถ่ายรูปเล่นได้สบายมาก
Fes : นอนที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรเลือกนอนในเขตเมืองใหม่ เพราะใน Old Medina เหมาะแก่การไปเดินเที่ยวโดยมีไกด์เท่านั้น เดินเองมีสิทธิ์หลงทางได้
Sahara Desert : ควรนอน Camp เท่านั้น แต่ระดับความหรูหรามีหลากหลาย ลองเลือกที่ถูกใจและเหมาะสมกับเงินในกระเป๋า
Ouarzazate : เราไปเที่ยวแค่ตรง Ait Ben Haddou ซึ่งถ้านอนตรงนั้นได้ก็สะดวกดี มี Hostel และ Riad น่าสนใจให้เลือกหลายที่อยู่ ราคาพอรับได้
Marrakech : เป็นเมืองที่มีโรงแรม, Riad และ Hostel ให้เลือกเยอะมากกกกกกกก ดังนั้นเลือกที่ชอบได้เลย แต่ถ้าเน้นว่าอยากเดินเที่ยวเองแบบเรา นอนใน Medina ก็สะดวกดี เพราะที่เที่ยวใน Medina และจุดถ่ายรูปก็มีเยอะ
แลกเงินไปเท่าไรดี?
Morocco ใช้เงินสกุล Dehram (ย่อว่า DH หรือ MAD) และต้องไปแลกเงินสกุลนี้ที่ประเทศ Morocco เท่านั้น
ถ้าจะแลกเงินสดจากไทยไปต้องแลกเป็นเงิน Dollar หรือ Euro แล้วค่อยเอาไปแลกเป็น Dehram อีกที แนะนำว่าควรเอาเงิน Euro ไปแลกเพราะจะได้เรทที่ดีกว่า Dollar หรือสามารถใช้บัตรเครดิต VISA ไปแลกที่สนามบินได้เลย จะได้เรทที่ดีกว่าการใช้เงินสดแลก
อัตราแลกเปลี่ยนจากเงิน Euro : Dehram ประมาณ 1 Euro = 10 – 11 DH (แล้วแต่อัตราแลกเปลี่ยน) คิดเป็นเงินบาท อยู่ที่ประมาณ 3.6 – 3.8 บาท/ 1 DH คิดเป็นเลขกลมๆ ก็ 1 DH = 4 บาท เวลาคำนวณค่าใช้จ่ายก็ง่ายดี
ที่แลกเงิน แนะนำให้แลกที่สนามบินได้เลย รับกระเป๋าเดินออกจาก Gate แล้ว อย่าเพิ่งออกนอกสนามบิน ให้เดินหาบูทแลกเงินให้เรียบร้อย ก่อนไปเราอ่านรีวิวว่าให้แลกไปนิดเดียวก็พอ แล้วค่อยไปแลกข้างนอกเพราะเรทที่สนามบินไม่ดี แต่เอาจริงๆ เราว่ามันไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น ถ้ามีแพลนจะใช้จ่ายค่าโรงแรม ค่าเช่ารถอยู่แล้ว แลกไปเลยให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเที่ยวมาหาร้านแลกเงินอีก (แต่ถ้าพักโรงแรม บางโรงแรมก็มีให้แลกนะ แต่เรทจะไม่ดีเท่าตามร้านแลกเงิน)
ส่วนจะแลกไปเท่าไรดี เราไปประมาณ 8 วัน กะว่าใช้วันละ 100 Euro ซึ่งสำหรับเราก็พอดีๆ นะ
ค่ากิน ถ้าไม่ได้กินหรูมาก ตกมื้อละ 100-150 DH เอาอยู่ (ถ้าเจอร้าน Fast Food พวก Set Meal ราคาประมาณ 50-80 DH)
Shopping เราไม่เน้น แต่พวกร้าน Local จะรับเฉพาะเงิน Dehram นะ ถ้าจ่ายเป็น Euro จะเสียเปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
ตามห้าง หรือ Supermarket ใหญ่ๆ หรือร้านอาหารที่ดูดีหน่อยก็รับบัตรเครดิตนะ แต่ว่าเจอน้อย แนะนำให้ใช้เงินสดชัวร์สุด
***สำหรับค่าใช้จ่ายทริปนี้ต่อคน*** (แบบคร่าวๆ นะครับ)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน = 22,000 บาท
- ค่าวีซ่า = 719 บาท
- ค่าเช่ารถ = 12,000 บาท
- ค่าที่พัก = 8,000 บาท
- ค่ากิน + ซื้อของ = 15,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 57,719 บาท / 7 วัน
ชีวิตขาด Internet ไม่ได้ ทำไงดี?
อย่า Roamimg จากไทยไปเป็นอันขาด เพราะเรทค่าโทร ค่าเน็ตโหดมาก!
พวก sim card สำหรับท่องเที่ยวต่างประเทศก็ไม่มีใครไปผูกมิตรกับประเทศนี้เลย
ทางออกที่ดีที่สุด คือ ซื้อ sim card บ้านเขาเนี่ยแหละ เครือข่ายที่นิยมก็มี Moroc telecom / True ราคาซิมตกประมาณ 10 Euro ใช้ได้ 4-5 GB แล้วแต่โปรโมชั่น แนะนำให้ซื้อที่สนามบิน หลังจากแลกเงิน หรือจะซื้อตั้งแต่ก่อนออกจาก Gate เลยก็ได้ มีบูทเครือข่ายโทรศัพท์ให้เลือกอยู่ 2-3 แบรนด์
ส่วนสัญญาณเน็ตบ้านเราดีกว่ามาก บ้านเมืองนี้ยังเป็น 3G ซะส่วนใหญ่ และสัญญาณก็ไม่ค่อยจะแรง เวลาเลือกโรงแรมก็ดูโรงแรมที่มี Wifi ให้ด้วยละกัน
อาหารการกิน
จากประสบการณ์อาหารที่พบเจอในทริป Leh Ladakh เราก็เตรียมความพร้อมในทริปนี้อย่างเต็มที่ เพราะ Morocco เป็นประเทศมุสลิม สิ่งที่คุณต้องเจอคือ เนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อไก่ ไม่นับพวกเครื่องเทศ ที่คนไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศอย่างเราทำใจไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องเจอ ทำให้คนกินยากอย่างเราต้องจัดเตรียมมาม่า อาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จแพ็คถุง และขนมต่างๆ แพ็คใส่กระเป๋าไปเต็มที่ เพราะมั่นใจมากว่าเราคงอยู่กับอาหาร Morocco ไม่ได้ทุกมื้อแน่ๆ
อาหาร Morocco แทบทุกร้านที่ไกด์พาไป เมนูอาหารจะเหมือนกันแทบทั้งนั้น หลักๆ เลย คือ Morocco Salad (ประกอบไปด้วยผัก เช่น มะเขือเทศ แครอท มันฝรั่ง คลุกกับน้ำสลัดจืดๆ) Targine (อาหารประจำชาติ ทุกร้านต้องมี เป็นเนื้อเอาไปตุ๋นกับเครื่องเทศ กินคู่กับขนมปังแข็งๆ แห้งๆ ที่มักเสิร์ฟเป็นจานแรกในทุกร้าน) ซุปต่างๆ (แต่ละร้านเสิร์ฟแตกต่างกันไป แต่คนไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศก็คงไม่อิน)
แต่ถ้าคุณเบื่อหน่ายอาหาร Morocco ตามเมืองท่องเที่ยวที่เราไปมักจะมีอาหารชาติอื่นๆ ให้ได้เลือกทานด้วย เช่น ร้านอาหารจีน / ฝรั่งเศส / KFC / McDonald / Burger King / Pizza Hut และร้านอาหารไทย ซึ่งก็ไม่ได้มีกันทุกที่ และโชคร้ายตรงที่เราไปช่วงเดือนรอมฎอน ร้านอาหารปิดช่วงกลางวันกันเพียบ แนะนำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เตรียมอาหารจากไทยไปให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนกินง่าย ไม่ต้องเตรียมอะไรไปก็ได้…ขอบอกว่าคุณคิดผิด อย่าได้ประมาทอาหาร Morocco เชียวนะ
และทั้งหมดนี้ก็คือคำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนจะไปเที่ยว Morocco กัน
ถ้าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว…ก็ตามไปเที่ยวกันได้เลย!!!
เริ่มต้นทริปนี้ที่ Casablanca กันครับ สำหรับสถานที่เที่ยวที่เป็น Landmark ของเมืองนี้ก็คือ “Hassan II Mosque” ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา และใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก กว้างใหญ่ขนาดสามารถจุคนได้ประมาณ 100,000 คน (รวมทั้งด้านในมัสยิดและลานด้านนอก) โชคดีที่ไฟลท์ของเรามาถึงตั้งแต่เช้า ไกด์ของเราจึงแนะนำให้ไปที่นี่ก่อนเป็นที่แรก เพราะเริ่มเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ รอบละ 1 ชม.
โดยปกติในช่วงวันเสาร์ – พฤหัส มีรอบ 9.00 / 10.00 / 11.00 / 12.00 และ 15.00 น. และวันศุกร์ มีรอบ 9.00 / 10.00 และ 15.00 น.
ส่วนช่วงที่เราไปตรงกับช่วงเดือนรอมฎอนพอดี ซึ่งจะเปิดให้ชมแค่ 3 รอบต่อวันเท่านั้น คือ 9.00 / 10.00 และ 11.00 น.
ค่าเข้าชม : Mosque = 120 DH, Museum = 30 DH, Combined ticket = 130 DH
ดังนั้นแนะนำว่าซื้อตั๋วรวมไปเลย คุ้มค่าสุด
บริเวณลานด้านนอกก่อนเข้าไปในมัสยิด
สถาปัตยกรรมที่นี่งดงามและยิ่งใหญ่อลังการมาก
เข้าไปด้านในจะมีไกด์ (ภาษาอังกฤษ) เล่าประวัติความเป็นมา
ตั้งแต่ผู้ออกแบบ การก่อสร้าง และแนะนำส่วนต่างๆ ของมัสยิด
เดินชมมัสยิดเสร็จแล้ว มาต่อกันที่ Museum ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับที่ขายบัตรเข้าชม
แต่เรามีเวลาเดินชมได้ไม่นานนัก เพราะใกล้ถึงเวลาที่นัดกับไกด์
Casablanca เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ติดมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
บ้านเมืองที่นี่จะคุมโทนสีขาว ตัดกับสีน้ำทะเล น่ารักดี
% Arabica ร้านกาแฟชื่อดังจากเมือง Kyoto ก็มาเปิดสาขาที่ Casablanca ด้วย
ด้านหน้าร้านตกแต่งด้วยลวดลายสไตล์ Morocco
ภายในร้านมี 2 ชั้น ตกแต่งสไตล์ Minimal ตาม concept ร้าน คุมโทนสีขาวและน้ำตาล
จะว่าไปการมาเที่ยวในเดือนรอมฎอนก็ดีเหมือนกัน เพราะทั้งร้านแทบไม่มีคนเลย
เมนูโปรดของเรา คือ Iced Spanish Latte เป็นกาแฟใส่ condensed milk ที่มีรสชาติหวานมันกว่า Latte ปกติ
ได้แต่รอว่าเมื่อไรถึงจะมาเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ บ้าง
ดื่มกาแฟจนหายง่วงแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังเมือง Rabat ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Morocco ระยะทางประมาณ 80 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. ครึ่ง สำหรับสถานที่เที่ยวเมืองนี้จะตั้งอยู่ในย่าน Old Medina ทั้งหมด โดยจุดหมายแรกที่เราไปแวะก็คือ “Kasbah of Udayas” ซึ่งเป็นป้อมปราการที่สร้างติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ทำให้เราสามารถชมวิวมหาสมุทร Atlantic และเมือง Rabat ได้จากจุดนี้
บริเวณทางเข้า สามารถมองเห็นวิวเมือง Rabat ฝั่ง Old Medina ได้
จากปากทางขึ้นไปบนป้อมปราการ ใช้เวลาเดินประมาณ 5 – 10 นาที
ระหว่างทางจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และบ้านคน ซึ่งบ้านแถวนี้ก็ทาสีคุมโทนฟ้า-ขาว
สามารถหามุมถ่ายรูปสวยๆ ตามตรอกซอกซอยได้เรื่อยๆ
จุดชมวิวด้านบนป้อมปราการ มองเห็นวิวมหาสมุทรแอตแลนติก
อีกด้านของป้อม สามารถมองเห็นวิวเมือง Rabat ฝั่ง New Medina ได้
จาก Kasbah of Udayas ห่างไปประมาณ 2 กม. เป็นที่ตั้งของ Hassan Tower และ
Mausoleum of Mohammed V ซึ่งเป็นสุสานของกษัตริย์ Mohammed V
อาคารของที่นี่แม้จะไม่ได้ใหญ่โตเหมือน Hassan II Tower แต่ก็สวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภายในสุสานของกษัตริย์ Mohammed V ตกแต่งด้วยลวดลายวิจิตรสวยงาม
ประตูทั้ง 4 ทิศมีทหารยืนคุมอยู่ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมและแสดงความเคารพได้
อีกมุมมองหนึ่งของ Hassan Tower
หลังจากอดนอนแถมตากแดดกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า ก็ได้เวลาเข้าสู่ที่พักคืนแรกของเราแล้ว
เราพักกันที่ Riad Meftaha ซึ่งอยู่ฝั่ง Old Medina และไม่ไกลจาก Kasbah of Udayas
สามารถออกมาเดินเล่นชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงเย็นได้
เหตุผลที่เลือกพักที่นี่เพราะเป็น Riad ที่ออกแบบสวย และมีห้องพักสำหรับ 4 คนในราคาที่ไม่แพงนัก
และการได้พัก Riad ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงก็คงทำให้ได้ Feel ของการมาเที่ยว Morocco อย่างแท้จริง
(ราคา 105 Euro / ห้อง / คืน รวมอาหารเช้า)
ห้องพักของเราเป็นห้องใหญ่ มีเตียง King Size 2 เตียง แบ่งเป็นห้องนอนเล็กแยกออกไปอีกห้องหนึ่ง
ห้องน้ำกว้าง มีอ่างจากุชชี่ให้แช่ด้วย
วันที่ 2 ของทริปเราเดินทางต่อไปยังเมือง Chefchaoune เมืองสีฟ้าที่อยู่ในนิตยสารท่องเที่ยวหลายเล่ม และเป็นจุดหมายที่ควรมาเยือนสักครั้งของ Morocco จากเมือง Rabat ใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชม. กว่าจะมาถึงเมืองนี้ โดยมีประตูสีฟ้าบานนี้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนตั้งแต่เข้าเขตเมือง Chefchaoune
ไม่ใช่ว่าทั้งเมือง Chefchaoune จะเป็นสีฟ้าไปซะทั้งหมด เพราะมีแค่ส่วนที่เป็น Old Medina ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาเท่านั้น ซึ่งเป็นโซนที่ไม่ใหญ่นัก สามารถเดินเที่ยวรอบ Medina ได้สบายมาก (แต่เดินขึ้นลงบันไดเยอะหน่อยนะ) แนะนำว่าหากมาเที่ยวที่นี่ควรหาที่พักใน Medina สักคืน จะได้ไปชมพระอาทิตย์ตกและตื่นมาถ่ายรูปในเมืองได้ตั้งแต่เช้า
ไกด์ขับรถมาส่งพวกเราที่หน้าทางเข้า Medina แล้วโทรแจ้งพนักงานของที่พักให้มารับพวกเราเข้าไป ที่พักของเราคืนนี้ชื่อ Dar Sababa ซึ่งเรา Recommend ที่นี่มาก แต่จะเพราะอะไรนั้น เดี๋ยวอธิบายให้ทราบกัน
ห้องพักสำหรับ 2 คน มี 1 เตียงเล็กและ 1 เตียงใหญ่ มีห้องน้ำในตัว
(ราคา 52 Euro/ห้อง/คืน รวมอาหารเช้า)
เหตุผลที่แนะนำที่นี่มากๆ ก็เพราะทำเลของที่พักอยู่ใจกลาง Medina เรียกว่าใกล้กับจุดถ่ายรูปยอดฮิตหลายๆ จุด
มีร้านอาหารจีนอยู่ด้านหน้า เดินเข้ามาจากปากทางเข้าก็ไม่ไกล และที่เด็ดสุดคือวิวบนดาดฟ้านี่แหละ
วิวเมืองแบบ Panorama บนดาดฟ้าที่ไม่มีนักท่องเที่ยว แค่นี้ก็ถ่ายรูปเพลินแล้ว
หลัง Check-in เรียบร้อย ก็มาเดินสำรวจภายในเมือง Chefchaoune กันดีกว่า
เมืองนี้คุมโทนด้วยสีฟ้าหลาย Shade และมีมุมถ่ายรูปเยอะจนไม่ต้องไปแย่งกับใคร
ไม่ว่าตรงไหนของเมืองก็เป็นสีฟ้าไปหมด
ใน Morocco แทบทุกเมืองมีแมวจรเยอะมาก น้องๆ ส่วนใหญ่ดูเป็นมิตรดี แต่จะดูโทรมๆ ผอมๆ หน่อย
คำเตือนเรื่องการถ่ายรูปใน Morocco ให้ระวังเรื่องการถ่ายรูปคน เพราะบางคนเห็นกล้อง ก็โอเค แต่บางคนโดยเฉพาะคนแก่ มักจะไม่อยากให้ถ่ายรูปนัก เพื่อนเราที่ไปด้วยกันถึงกับโดนเข้ามาด่า ทั้งที่ยกกล้องเล็งถ่ายรูปอย่างอื่นอยู่ แต่เขายืนอยู่ตรงนั้นพอดี ใครที่เป็นสายสตรีท หรือ ชอบถ่าย Candid โปรดระมัดระวังด้วย ถ้าจะให้ดีควรถามเจ้าตัวก่อนนะ
ก่อนไปเราได้ทำการบ้านเกี่ยวกับจุดถ่ายรูปในเมือง Chefchaoune ไว้ แล้วก็เจอกับลิงค์นี้ https://globalcastaway.com/chefchaouen-photo-guide/#lwptoc7 สามารถใช้เป็น Guide ในการหามุมถ่ายรูปได้ ซึ่งเราก็ได้ตามหาอยู่ 2-3 จุด แต่เอาเข้าจริงแล้วยังมีอีกหลายมุมที่สวย และก็ขึ้นอยู่กับสภาพแสง ณ เวลานั้นด้วยแหละ ว่ามันจะดี จะเหมาะกับการถ่ายรูปไหม แต่สิ่งที่ยากมากกับการถ่ายรูปในเมืองสีฟ้าแบบนี้ คือระวังเรื่องสีเสื้อผ้าที่ใส่อาจสีเพี้ยนได้ และระวังหน้าเป็นสีฟ้าเวลาถ่ายออกมา โดยเฉพาะการถ่ายรูปในส่วนที่แสงเข้าไม่ถึง ถ้าให้ Safe สุด การใส่เสื้อผ้าสีขาว หรือสีออกครีม จะทำให้ได้รูปออกมาดี และปรับสีง่ายกว่าเสื้อผ้าสีอื่น
Callejon El Asri ผนังสีฟ้าและกระถางต้นไม้หลากสี จุดถ่ายรูปที่ Popular มากจุดหนึ่ง
The Blue Street
HAMSA Cafe คาเฟ่ที่ด้านหน้าดูธรรมดามาก แต่วิวหลังร้านคือสุดยอด
Spanish Mosque จุดชมวิวเมือง Chefchaoune และพระอาทิตย์ตกดินที่ไม่อยากให้พลาดจริงๆ
ใช้เวลาเดินจากใจกลาง Medina ขึ้นเขามาประมาณ 15-20 นาที ทางเดินไม่ชัน แต่ควรระวังหน่อยเพราะเป็นทางลูกรัง
แนะนำให้ขึ้นไปตั้งแต่ช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกสัก 1 ชม. เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ และจะได้จับจองที่สำหรับนั่งชมและถ่ายรูป
บรรยากาศขณะพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า และบ้านใน Chefchaoune ต่างเปิดไฟกันแล้ว
วันที่ 3 ของทริป เราเดินทางต่อไปยังเมือง Fes อดีตเมืองหลวงของ Morocco ใช้เวลาจาก Chefchaoune
ไปประมาณ 3-4 ชม. แต่ระหว่างทางก็มีจุดให้แวะถ่ายรูปได้เรื่อยๆ ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อนัก
Fes เป็นเมืองที่ใหญ่และมีผู้คนอาศัยอยู่มาก จุดเด่นของที่นี่คือ Old Medina ที่ใหญ่มากๆ จัดว่าใหญ่ที่สุดใน Morocco ก็ว่าได้ ทำให้เราต้องอาศัย Local Guide เพื่อพาทัวร์ไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ สำหรับการติดต่อ Local Guide ทางไกด์ของเราเป็นคนจัดการให้ ค่าใช้จ่ายสำหรับ Local Guide ประมาณ 400 DH ต่อทริป (ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชม. ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับว่าดีลกับไกด์ได้แค่ไหน)
เราเดินทางมาถึง Fes เกือบบ่ายโมง เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดี ไกด์ของเราจึงพาเข้าไปทานอาหารกลางวันใน Medina ชื่อร้าน La Patio Bleu เป็นอาหาร Morocco (ตอนแรกหาร้านอาหารอิตาเลียนด้านนอก Medina ไว้ แต่ร้านดันปิดเพราะเป็นช่วงรอมฎอน) ร้านนี้จัดว่าไฮโซอยู่ ตกแต่งร้านสวยมาก ราคาอาหารอยู่ที่ประมาณ 200DH ต่อคน และด้านบนของร้านมีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวเมืองเก่าของ Fes ได้
ร้านตกแต่งสวย มีแต่นักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นส่วนมาก
วิวด้านบนดาดฟ้าของร้านอาหาร
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาออกเดินเที่ยวใน Medina กัน ไกด์บอกเราว่า ถ้าจะเดินให้ทั่ว Medina ระยะทางเดินรวมทั้งหมด คือ 30 กม. แต่ไกด์จะพาเราเดินชมจุดสำคัญๆ ระยะทางประมาณ 6 กม. เท่านั้น (ก็เยอะอยู่นะ) ระหว่างที่เดินบอกเลยว่างง ให้เดินหาทางออกเองคงทำไม่ได้ จุดแรกที่ไกด์พาไปแวะเป็นอดีตโรงเรียน เป็นโรงเรียนเก่าของชาวมุสลิม ซึ่งมีโรงเรียนแบบนี้กระจัดกระจายอยู่หลายจุดภายใน Medina แต่ไกด์บอกว่าเข้าชมที่เดียวก็พอ เพราะมันคล้ายๆ กันหมด
สถาปัตยกรรมด้านในตกแต่งสวยงามมาก แม้จะเก่าและทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
จุดต่อมาเป็นไฮไลท์ของ Fes นั่นก็คือ Chouara Tannery เป็นสถานที่ฟอกหนังและย้อมสีที่ใหญ่ที่สุดใน Morocco ตอนแรกที่หาข้อมูลมีแต่คนบ่นว่าบนนี้กลิ่นค่อนข้างเหม็น พอเราเข้ามาทางร้านจะแจกใบมินต์มาให้ดมก่อนเลย แต่เอาเข้าจริงเราว่ามันไม่ได้เหม็นเลยนะ มีกลิ่นตุๆ บ้างอยู่ในระดับที่รับได้ จุดนี้สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ทางร้านก็จะเนียนขายของต่อเป็นพวกกระเป๋าหนัง เสื้อหนัง ซึ่งเค้าเคลมว่าเป็นหนังแท้จากแหล่งผลิตโดยตรง ใครชอบเครื่องหนังก็เลือกซื้อหากันได้ แต่ราคาแรงอยู่นะ
เราว่าการท่องเที่ยวของ Morocco คือการกระจายรายได้อย่างหนึ่ง เพราะการเข้ามาเที่ยวใน Fes เราจะต้องจ้าง Local Guide เพิ่ม เท่านั้นยังไม่พอ ไกด์เหล่านี้เขาก็จะพาเราไปตามร้านค้า ผู้ผลิตสินค้าพื้นเมืองต่างๆ เพื่อ Direct Sell และ Hard Sell กับเราพอสมควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวท่านแล้วว่าจะใจแข็งพอหรือไม่ที่จะไม่ซื้อสินค้าเหล่านั้น เพราะถึงไม่ซื้อ เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่บรรยากาศอาจดูตึงๆ เล็กน้อย
ถัดจากร้านเครื่องหนัง ไกด์พาเรามาต่อที่ร้านขายพรม ซึ่งออกตัวแต่แรกว่าเข้ามาได้เลย ไม่เสียค่าเข้าชมเพราะรัฐบาลสนับสนุนร้านเราอยู่ ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราใจชื้น แต่สุดท้ายก็ปิดท้ายด้วยการขายของ ด้วยการเอาพรมแทบทั้งร้าน มาปูให้เราเลือกว่าชอบอันไหนบ้าง และพยายามจะปิดการขายกับเราให้ได้ แต่พอพวกเราปฏิเสธ นางก็บ๊ายบายไล่ออกจากร้านเลยจ้ะ
ปิดท้ายทัวร์ในเมือง Fes กันที่จุดชมวิวเมืองบนเขา จะเห็นว่า Old Medina ของ Fes นั้นกว้างขวางใหญ่โตมากกกก
สำหรับที่พักที่ Fes เราเลือกพักที่ Ibis Budget Fes ราคาคืนละ 36 Euro / ห้อง (พักได้ 2 คน) รวมอาหารเช้า ตามสไตล์ Budget Hotel ห้องก็จะเล็กๆ หน่อย ข้อดีของที่นี่คือตรงข้ามโรงแรมมี Supermarket ขนาดใหญ่ ที่จะทำให้ไม่ต้องทนอดอยาก แต่ความซวยของพวกเราก็คือ วันที่ไปพัก Supermarket ปิดทำการ (ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร) แถมคาเฟ่แถวนั้นก็ขายแต่กาแฟ ไม่มีอาหาร สุดท้ายได้ขุดเอามาม่าและอาหารแห้งที่พกมาใช้ประทังชีวิตไปได้ 1 มื้อ ดังนั้น ถ้าจะให้เราแนะนำ ควรหาที่พักที่อยู่ในตัวเมือง หรือใกล้ห้าง / Fast Food ต่างๆ จะดีที่สุด
วันที่ 4 ของการเดินทาง เป็นวันที่เราต้องนั่งรถไกลและนานที่สุด เพื่อเดินทางไปยัง Sahara Desert ณ เมือง Merzouga ระยะทางเกือบ 600 กิโลเมตร นั่งรถนานเกือบ 8 ชม. แต่ยังดีที่มีจุดให้จอดแวะถ่ายรูปอยู่ได้เรื่อยๆ
Oasis
ไกด์พาเรามาถึงทางเข้าทะเลทรายเกือบ 6 โมงเย็น โชคดีที่ช่วงเวลาที่เราไปพระอาทิตย์ตกช้า ทำให้สามารถขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตกดินได้ทันอยู่ จากปากทางเข้าทะเลทราย จะมีรถ 4WD ของ Desert Camp ที่เราฝากทางทัวร์จองไว้ให้มารอรับ ซึ่งการเข้าไปที่ Camp สามารถไปได้ทั้งนั่งรถ 4WD เข้าไปเลย (ใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาที) กับขี่อูฐเข้าไป ไหนๆ ได้มาแล้วทางทัวร์เลยจัดอูฐมาให้จ้า เพราะเขาตั้งใจให้เราขี่อูฐเข้าไปกลางเนินทราย และชมพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนั้น ก่อนที่จะขี่อูฐต่อไปยัง Camp ที่เราจองไว้ ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชม.
ถ้าขับรถเข้ามาที่ Camp จะมีทางเดินรถเฉพาะ เป็นคนละทางกับที่เราขี่อูฐเข้ามา
บรรยากาศบนเนินทราย และน้องอูฐ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
แสงสุดท้ายที่ทะเลทราย Sahara
พอแสงหมดเราก็ขี่อูฐต่อมาที่ Camp ของเรา ทางทัวร์ได้จอง Orient Desert Camp ให้ เป็น Camp ที่ยังดูใหม่อยู่ มีเตนท์ที่พักอยู่ประมาณ 8 – 10 เตนท์ (พักได้เตนท์ละ 2-3 คน) ค่าที่พักคนละ 60 Euro / คืน (รวมค่าขี่อูฐและอาหาร 2 มื้อ) เดี๋ยวเราจะพาไปชมกันว่า Camp ของเราเป็นยังไงบ้าง
ภายในเตนท์ของเรา มีเตียงใหญ่ 1 เตียง เตียงเล็กอีก 1 นอนได้ 3 คนสบายๆ ผ้าเช็ดตัวพร้อม ไฟพร้อม
เตียงและหมอนนุ่ม นอนสบายมาก ที่ไม่มีคือแอร์ และปลั๊กไฟ ถ้าจะชาร์จให้ไปชาร์จที่ห้องอาหาร
ถึงจะไม่มีแอร์ แต่หน้าต่างบานเล็กนั้น ก็ช่วยพาลมหนาวเข้ามาด้านในเตนท์ให้นอนได้สบายๆ
ทั้งห้องน้ำและที่อาบน้ำมีพร้อม
วันที่เราไปพักเป็นวันที่พระจันทร์เกือบเต็มดวง ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสว
สักพักพนักงานก็มาจัดเตรียมโต๊ะสำหรับ Dinner ตรงด้านหน้า Camp
ทานข้าวท่ามกลางแสงเทียน ล้อมรอบไปด้วยทะเลทราย บรรยากาศโรแมนติกมาก
มื้อเย็นวันนี้ คือ ไก่ย่าง ทานคู่กับขนมปัง ซุป และสลัด Morocco
อิ่มแล้วก็มีความบันเทิงมาเสิร์ฟ ด้วยดนตรีพื้นบ้าน Moroccan Style
ได้อารมณ์ไปเข้าค่ายลูกเสือแล้วต้องทำการแสดงรอบกองไฟ เกือบตะโกนออกไป 3 ครั้งแล้วว่า
“เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ”
ตอนดึกๆ ใครที่ชอบถ่ายดาวก็ตื่นมาส่องดาวกันได้ หรือใครอยากถ่ายแสงเช้าก็รีบตื่นกันหน่อย
ส่วนเรานอนตื่นสายมาเก็บภาพทะเลทรายอีกนิดหน่อยก่อนเดินทางต่อ
บรรยากาศในห้องอาหารเช้าของที่ Camp
เดินทางมาถึงวันที่ 5 ของทริปแล้ว วันนี้เป็นอีกวันที่เราต้องนั่งรถค่อนข้างนานเพื่อเดินทางจาก Merzouga ไปยังเมือง Ouarzazate แต่วิวระหว่างทางก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ยังคงมีจุดที่สวยและน่าแวะถ่ายรูปได้อยู่เป็นระยะ
เราชอบความคุมโทนในแต่ละเมืองของเขามากเลย
ไกด์เราก็น่ารัก แวะจอดให้ถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ
Todgha Gorge เป็นหน้าผาหินสูงที่เป็นส่วนหนึ่งของ High Atlas Mountain สูงประมาณ 160 เมตร
ตั้งเรียงรายไปตามทาง หน้าตาคล้าย Grand Canyon อยู่ระหว่างทางจาก Merzouga ไปยัง Ouarzazate
ในที่สุดเราก็มาถึงเมือง Ouarzazate ตึกรามบ้านช่องของที่นี่หน้าตาก็จะประมาณนี้
Ouarzazate เป็นเมืองที่มีความสำคัญและสร้างรายได้ให้ Morocco เกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เพราะมีภาพยนตร์ Hollywood หลายเรื่องมาใช้สถานที่ในเมืองนี้เป็นจุดถ่ายทำ ทำให้มีการสร้างโรงถ่ายให้เช่า รวมถึงให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปได้ น่าเสียดายที่เรามาไม่ทันเวลา เลยถ่ายรูปได้เฉพาะด้านนอก
Ait Ben Haddou คือ 1 ใน 9 ของ UNESCO World Heritage Sites และเป็น Landmark ของเมือง Ouarzazate อดีตเคยเป็นป้อมปราการ และที่พักระหว่างทางของกองทัพที่เดินทางจากยุโรปมายังแอฟริกา แต่ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็น Location ถ่ายทำภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Mummy, Gladiators, Prince of Persia และซีรีส์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones
Dar Mouna คือที่พักในคืนนี้ของเรา ข้อดีของที่นี่คืออยู่ใกล้กับ Ait Ben Haddou มาก และห้องที่เราพักสามารถมองเห็นวิวจากระเบียงห้องได้เลย ราคาห้องพักประมาณ 68 Euro / ห้อง / คืน รวมอาหารเช้า
วิว Ait Ben Haddou จากระเบียงหน้าห้องพัก
เราเดินทางมาถึงที่นี่ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว เราจึงรีบเข้าไปเดินทัวร์ในตัวป้อมปราการ ซึ่งด้านหน้าจะมีคนดักเก็บเงินค่าเข้า 20 DH ต่อคน การเดินชมด้านในก็ไม่ยาก แต่ต้องระวังเสียค่าโง่แบบเราสำหรับเดินขึ้นไปด้านบนของป้อม เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
เดินเข้ามาจะมีลุงคนนี้ยืนเก็บค่าตั๋ว นักท่องเที่ยวก็รุมถ่ายรูปลุงไปด้วย
ด้านในป้อมปราการ มีจุดให้ถ่ายรูปวิวจากมุมสูงได้หลายจุด และมีบันไดให้เดินขึ้นไปถึงด้านบนของป้อมได้ง่ายๆ แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินหาทางขึ้นอยู่ เราเจอเด็กกับผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งน่าจะเป็นแม่เด็ก) ตะโกนเรียกให้เดินไปอีกทาง แล้วชี้ว่าถ้าจะขึ้นไปด้านบน ต้องขึ้นจากทางที่นางบอก ซึ่งเป็นทางชัน ไม่มีบันได แต่เป็นเนินที่ต้องปีนขึ้นไปเรื่อยๆ และต้องจ่ายค่าผ่านทางให้นางอีกคนละ 20 DH ตอนแรกเราก็ลังเล เพราะทางมันดูแปลกๆ จะให้เดินขึ้นก็ว่ายากแล้ว ถ้าต้องลงทางเดิมนี่ก็น่าจะลำบากมาก แต่เพื่อนเราซึ่งเดินขึ้นไปก่อนก็ตะโกนลงมาว่าให้จ่ายเงินแล้วขึ้นมาเลย งั้นจ่ายก็ได้ สรุปพอจ่ายเงินแล้วขึ้นไปถึงด้านบน ก็ค้นพบว่า ถ้าเราเดินไปอีกทาง จะมีบันไดให้ขึ้นสบายๆ และไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางใดๆ จึงขอเตือนเพื่อนๆ ที่จะไปเที่ยวที่นี่ด้วยว่า ถ้าเข้าไปแล้วมีใครมาเรียกไม่ต้องสนใจ ให้เดินหาบันไดแล้วเดินขึ้นไปได้เลยฟรีๆ
ก่อนมาที่นี่เราให้ไกด์ช่วยแวะร้านเสื้อผ้าพื้นเมือง เพื่อหาชุดแบบชาว Morocco มาใส่
เพื่อเอามาถ่ายรูปกับที่นี่แหละ ดูเข้ากันดีไหม?
วิวจากอีกด้านของป้อมปราการ เห็นภูมิประเทศที่แปลกตาเหมือนอยู่บนดาวอังคาร
วันที่ 6 ของทริป เราออกเดินทางไป Marrakech กันแต่เช้า ระยะทางจาก Ouarzazate ไป Marrakech ไม่ได้ไกลมากเท่ากับสองวันที่ผ่านมา แต่เป็นเส้นทางลัดเลาะเขาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชม.
ระหว่างทาง ไกด์พาเราแวะร้านขาย Argan Oil ซึ่งเป็นของฝากขึ้นชื่อของ Morocco
ภายในร้านจะมีสาธิตวิธีการสกัดน้ำมันให้ชม
หลังจากฟังบรรยายจบ พนักงานร้านก็จะแนะนำสินค้าซึ่งมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น Natural Argan oil ที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่น สำหรับคนรักความ organic สรรพคุณของ Argan oil คือช่วยบำรุงผิวและเส้นผม ให้นุ่ม และสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีน้ำมันหอมระเหย, แยม และครีมบำรุงผิวต่างๆ
หลังช็อป Argan oil เสร็จแล้ว ไกด์ก็พาเราขับรถต่อมายังเมือง Marrakech ที่เราได้หาข้อมูลมาแล้วว่าที่นี่มีร้านอาหารไทย เหมือนเป็น Oasis ท่ามกลางทะเลทราย เพราะพวกเราเอียนอาหาร Morocco จะแย่แล้ว ร้านอาหารไทยร้านนี้ ชื่อ Le Petit Thai
เข้าไปในร้านเจอกลุ่มพี่ๆ คนไทยกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เราไม่รอช้าสั่งกันมาเต็มโต๊ะ
ราคาอาหารต่อจาน เฉลี่ยประมาณ 50 DH ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับอาหาร Morocco
การได้ทานผัดไท ต้มยำ และลาบไก่ในช่วงเวลาแบบนี้ คือโคตรจะมีความสุข
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเริ่มเที่ยว ด้วยความที่ Marrakech เป็นเมืองท่องเที่ยว ทำให้เราต้องพบปะกับมวลมหาประชาชน ที่เราไม่เคยได้พบเจอมาก่อนใน 5 วันที่ผ่านมา ทำให้เราไม่ค่อยอินกับ Marrakech สักเท่าไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วเราก็เลยต้องไปเก็บ Landmark ให้ครบ เริ่มที่แรกที่ Le Jardin Majorelle สวนที่เต็มไปด้วยพืชเมืองร้อน และตึกสีน้ำเงินเหลืองซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่
ถ่ายรูปที่นี่ต้องรอจังหวะดีๆ เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก
ติดกับ Le Jardin Majorelle คือ Yves Saint Laurent Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมผลงานของดีไซน์เนอร์ชื่อดังท่านนี้เอาไว้
เราชอบดีไซน์ของ Museum นี้มาก งานด้านในก็เก๋มาก น่าเสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูป
บรรยากาศภายใน Museum
หลังเดินชม Museum แล้ว ไกด์ก็พาเรามาส่งยังที่พัก ซึ่งคืนนี้เราจะพักกันที่ Rodamon Riad Marrakech
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น Riad แต่ที่นี่ไม่ได้เงียบสงบเหมือน Riad ที่เราเคยพัก แต่เป็น Hostel ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
ห้องที่เราจองไปพักได้ 4 คน เป็นเตียง 2 ชั้น 2 เตียง มีห้องน้ำในตัว
ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ ค่าที่พักประมาณ 120 Euro / ห้อง / คืน (ไม่มีอาหารเช้า)
ที่นี่มีทั้งหมด 4 ชั้น Rooftop มี Bar ให้นั่งดื่มชิลๆ ได้
ด้านล่างของ Hostel มีสระว่ายน้ำ เป็นมุมถ่ายรูปที่ดีงามมาก
ข้อดีของการพักใน Medina คือเราสามารถเดินเที่ยวจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ได้เอง อย่างตอนเย็นหลังจากเก็บของเสร็จแล้ว เราก็เดินจาก Hostel มาที่ Jamaa el-Fna ซึ่งคนนิยมมาถ่ายรูปยามพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ ทำให้ร้านอาหารรอบๆ บริเวณนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่รอมาถ่ายรูปยามเย็น
ร้านอาหารที่คนนิยมมานั่งรอถ่ายรูป คือ ร้าน Le Grand ballon du cafe glacier บริเวณชั้น 2 ของร้านในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก จะมีนักท่องเที่ยวมาจับจองโต๊ะริมระเบียงเพื่อรอชมวิวและถ่ายรูป แนะนำว่าควรมาถึงร้านก่อนพระอาทิตย์ตกอย่างน้อย 1 – 2 ชม.เพราะมาช้าอาจจะไม่มีมุมให้ถ่ายรูปได้ แต่ก่อนจะเข้ามาจองโต๊ะต้องซื้อเครื่องดื่มหรือสั่งอาหารของทางร้านก่อนเข้ามานั่งด้วยนะ
บรรยากาศหลังพระอาทิตย์ตก
บรรยากาศรอบจตุรัสยามค่ำคืน
เช้าวันที่ 7 ของทริป ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เที่ยวกันแบบเต็มๆ เราเลือกเดินเที่ยวและถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ภายใน Medina ซึ่งสามารถเดินไปได้จากที่พักของเรา เริ่มที่ The Oriental Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก ที่จัดงานศิลปะให้เดินเข้าไปชมในบ้าน มีทั้งหมด 3 ชั้น + ดาดฟ้า ที่จะมีคาเฟ่ให้บริการด้วย ค่าเข้าชม 50 DH
บริเวณชั้นดาดฟ้าของ Museum
มีมุมถ่ายรูปเยอะ ใครชอบถ่ายรูปมาที่นี่ฟินแน่นอน
Marrakech Museum เราขอยกให้ที่นี่เป็นที่ที่ห้ามพลาดของ Marrakech เลยแหละ เพราะด้านในสวยมาก
สวยทุกมุม คุ้มค่าที่จะเสียเงินเข้ามาชมอย่างยิ่ง (ค่าเข้าชม 50 DH)
ถ่ายมุมไหนก็ดี
ห้องนี้ก็สวย ถ่ายรูปเล่นกับแสงและเงาได้
เนื่องจาก Hostel ของเรายังไม่ได้รวมอาหารเช้ามาให้ เราจึงหาร้านสำหรับไว้ทาน Brunch และควรจะเป็นร้านที่วิวดีๆ ด้วย และร้าน Atay Cafe-Food ที่เราเปิดรูปเจอจาก Instagram ก็เป็นร้านที่สะดุดตาเรามากที่สุด และอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรา
ที่นั่งชั้นบนสุดของร้านคือดีมาก
มุมถ่ายรูปตรงนี้ คือเหตุผลที่เราเลือกมาที่นี่ 555
ไม่ใช่ว่าจะดีแค่บรรยากาศเท่านั้น แต่อาหารที่นี่ก็จัดว่าเด็ด ทั้ง Hamburger และ Sandwich ไก่ที่เราสั่งมา เรียกได้ว่าอร่อย และเยอะจนจุก คุ้มค่ามาก ร้านเปิดประมาณ 10 โมงเช้าจนถึงค่ำๆ เป็นร้านที่เราแนะนำว่าควรมาโดน เพราะทั้งบรรยากาศ รสชาติอาหาร และราคา ถือว่าโอเคมากทีเดียว
Bahia Palace อีก 1 Tourist attraction ที่อยากมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะทัวร์มาลงเยอะเนี่ยแหละ
สถาปัตยกรรมที่นี่สวยมาก แต่เสียดายที่คนก็เยอะมากเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถหามุมดีๆ ถ่ายรูปได้เลย
ใครรักความสงบ ควรหลีกเลี่ยงที่นี่ หนีไป 555
กว่าจะได้รูปนี้ต้องรอจังหวะดีๆ เพื่อไม่ให้มีคนเดินผ่านหน้ากล้อง
หลังจากฝ่าฝูงชนที่ Bahia Palace จนหมดแรง ไกด์ของเราก็พากลับไปยัง Casablanca เพราะวันรุ่งขึ้นเราต้องเดินทางกลับตั้งแต่เช้า โชคดีที่ถนนจาก Marrakech ไป Casablanca เป็น 4 เลน ทำให้เดินทางสะดวกมาก สำหรับแพลนเย็นวันนี้ เราตั้งใจกลับไปถ่ายรูปด้านนอกของ Hassan II Mosque ในยามพระอาทิตย์ตกดิน
Odyssee Center Hotel คือที่พักของเราใน Casablanca เป็นโรงแรมประมาณ 3-4 ดาวที่ห้องกว้างขวาง
ทำเลอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ร้านอาหารและไม่ไกลจาก Hassan II Mosque ราคา 64 Euro / ห้อง / คืน
บรรยากาศภายในห้องพักของเรา
อากาศที่ Casablanca ในวันสุดท้ายของทริปค่อนข้างเย็นกว่าวันอื่นๆ ทำให้การเดินจากโรงแรมไปถึง Hassan II Mosque ไม่เหนื่อยมากนัก เสียก็แต่ลมที่แรงมาก เมื่อเทียบกับเสื้อผ้าหน้าร้อนที่พวกเราใส่ไปแล้วสู้ไม่ไหวจ้า ยืนตากลมหนาวรอถ่ายรูปกันไป
บรรยากาศริมทะเลก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
เริ่มต้นและจบทริปนี้ ณ ที่เดียวกัน
Morocco เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งสถานที่เที่ยวเชิงธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ สถาปัตยกรรม และมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เราจึงอยากใช้ประสบการณ์ที่เราได้เจอ มาแนะนำและบอกต่อให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก Morocco มากขึ้น และอาจสร้างแรงบันดาลใจให้อยากมาลองสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ที่นี่ดูสักครั้ง
หวังว่า Morocco จะทำให้คุณตกหลุมรักได้ไม่ยากนะครับ 🙂
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามอ่าน แล้วไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ