ไปเที่ยวญี่ปุ่นตามเมืองยอดนิยมอย่าง Tokyo, Osaka, Sapporo มาก็เยอะแล้ว
ทริปนี้เราจะพาทุกคนหลีกหนีความวุ่นวาย ไปสัมผัสกับธรรมชาติสวยๆ ที่ภูมิภาค Kyushu กันบ้าง
โดยที่เที่ยวหลักๆ ที่เราจะพาไปในทริปนี้อยู่ที่จังหวัด Kumamoto, Miyazaki และ Oita
รับรองว่าแต่ละที่มีมุมเด็ดๆ ให้ได้ไปถ่ายรูปสวยๆ กลับมาอย่างแน่นอน
และความพิเศษสุดๆ ของทริปนี้ก็คือ เราได้นั่งไฟลท์ปฐมฤกษ์ของสายการบิน Thai AirAsiaX
ที่ทำการบินตรงสู่เมือง Fukuoka เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา
ทำให้เราสามารถเดินทางไปเที่ยวภูมิภาค Kyushu ได้อย่างสบายๆ และประหยัดมากกว่าเดิม
ถ้าอยากรู้ว่า Kyushu ในช่วงฤดูร้อน มีที่เที่ยวที่ไหนน่าสนใจบ้าง
ตามไปอ่านกันได้เลยครับ…
ขับรถ ชมวิวภูเขาไฟ Aso ภูเขาไฟชื่อดังของภูมิภาคคิวชู
เดินเล่นถ่ายรูปที่สวน Suizenji สวนสวยกลางเมือง Kumamoto
เอาใจสาย Cafehopping ด้วยคาเฟ่เท่ๆ กาแฟดีๆ ที่ควรแวะชิม
ทริปนี้เป็นการเดินทางที่ฉุกละหุกมากครับ เพราะเราได้ตั๋วก่อนออกเดินทางเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น เนื่องจากเราจะได้เดินทางไป Fukuoka ด้วยไฟลท์ปฐมฤกษ์ของสายการบิน ThaiAirAsiaX ซึ่งเริ่มทำการบินไฟลท์แรกในวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยจะทำการบิน 4 ไฟลท์ / สัปดาห์ ทำให้เราสามารถเดินทางไปเที่ยวในภูมิภาคคิวชูได้ง่าย เพราะเป็นไฟลท์บินตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงเท่านั้น และที่สำคัญก็คือ ราคาประหยัดเหมาะกับคนชอบเที่ยวอย่างเรามากเลยล่ะ
พอเดินทางมาถึงสนามบิน Fukuoka ก็ได้รับการต้อนรับไฟลท์ปฐมฤกษ์ด้วยป้ายนี้…
สำหรับไฟลท์ปฐมฤกษ์นี้ ทางสนามบิน Fukuoka ก็เตรียมมุมถ่ายรูปและของที่ระลึกมอบให้กับผู้โดยสารที่เดินทางในไฟลท์นี้ทุกท่านด้วยครับ เป็นการต้อนรับที่น่ารักและอบอุ่นดีจริงๆ
รายละเอียดวันและเวลาที่มีไฟลท์บินตรงสู่ Fukuoka
ดอนเมือง – Fukuoka : 23.40 น. – 7.00 น. (ของวันถัดไป ตามเวลาของญี่ปุ่น)
Fukuoka – ดอนเมือง : 7.45 น. – 11.45 น.
จะเห็นได้ว่าไฟลท์ขาไป เวลาดีงามมาก เพราะบินดึกถึงเช้า ถึงปุ๊บออกเที่ยวต่อได้เลย
ส่วนไฟลท์ขากลับแม้จะเป็นไฟลท์เช้า แต่ด้วยความที่สนามบินอยู่ใกล้กับตัวเมืองมาก หากพักที่โรงแรมแถวสถานี Hakata สามารถนั่ง Subway รอบเวลา 5.55 น. ซึ่งเป็นรอบแรกของวัน ใช้เวลาเพียง 5 นาที มาถึงสนามบินอาคาร Domestic แล้วต่อ Free Shuttle Bus ไปยังอาคาร International (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) หรือถ้าอยากสะดวกและไม่ห่วงเรื่องงบ ก็นั่ง Taxi มาได้เลยครับ
สิ่งที่อยากจะเตือนสำหรับไฟลท์เช้าแบบนี้ ก็คือ
- บริเวณแสกนกระเป๋าเพื่อผ่าน ตม. เปิดทำการเวลา 6.45 น. ดังนั้น Check-in เสร็จแล้ว ควรไปต่อแถวรอเข้าเลยครับ ไม่อย่างนั้นคิวจะยาวมาก เดี๋ยวจะตกเครื่องได้
- ร้านอาหารในสนามบินส่วนใหญ่เปิดเวลา 7.30 น. ถึงผ่านด่าน ตม. เข้ามาแล้วด้านในมี Minimart เล็กๆ ที่เปิดอยู่ที่เดียว ถ้าซื้ออาหารพกติดตัวมาได้ ก็จะดีครับ ยกเว้นถ้าซื้ออาหารบนเครื่องไว้ก็รอไปทานบนเครื่องได้เลย
ด้านหน้าสถานี JR Kumamoto
จากสนามบิน Fukuoka เข้าเมืองสะดวกที่สุดโดยการใช้ Subway ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเราต้องนั่ง Shuttle bus จากอาคาร International ไปยังอาคาร Domestic ก่อน (นั่งฟรีครับ) แล้วค่อยต่อ Subway เข้าไปที่สถานี Hakata (ค่า Subway 260 เยน)
แต่ทริปนี้เราจะไม่ได้เที่ยวใน Fukuoka (อ้าว) สถานี Hakata เลยเป็นแค่ทางผ่านของเรา
เพราะเราจะเดินทางด้วย Shinkansen ต่อไปที่จังหวัด Kumamoto ครับ ใช้เวลาเดินทางจากสถานี Hakata ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น
เราเลือกใช้ JR North Kyushu Pass แบบ 3 วัน ราคา 8,500 เยน ซึ่งแนะนำว่าควรซื้ออย่างยิ่งหากเดินทางด้วย Shinkansen
เพราะค่า Shinkansen ไป – กลับ ก็เกือบจะเกินค่า JR Pass ไปแล้ว อีกอย่างก็คือเราสามารถใช้เป็นส่วนลดในการเข้าสถานที่ท่องเที่ยวบางจุดได้ด้วยนะ
ถึงสถานี Kumamoto ก็เจอกับเจ้าถิ่นอย่าง Kumamon มารอต้อนรับเราด้วย
การเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมือง Kumamoto ที่สะดวกสบายที่สุดคือการนั่งรถรางครับ
รถรางที่นี่จะมี 2 สาย คือ สีแดง (A-Line) และ สีฟ้า (B-Line)
ด้านหน้าสถานี JR Kumamoto จะมีเฉพาะสายสีแดงเท่านั้น ซึ่งสายนี้ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างปราสาท Kumamoto, สวน Suizenji หรือจะแวะไปพบปะ Kumamon ที่ Kumamon Square ก็ได้เช่นกัน ค่ารถเหมาจ่ายรอบละ 170 เยน
ถ้าแพลนเที่ยวต้องนั่งรถราง 3 เที่ยวขึ้นไป แนะนำให้ซื้อ Kumamoto City Tram 1 Day Pass ราคา 500 เยนไปเลยครับ คุ้มและสะดวกมาก
สามารถซื้อได้ที่ Information Center ด้านในสถานี JR Kumamoto
บรรยากาศภายในรถราง
Gluck Coffee Spot
นั่งรถรางสายสีแดงมาลงที่ป้ายเบอร์ 11 (Torichosuji) แล้วเดินต่อเข้าไปในซอยอีกประมาณ 300 เมตร จะเจอคาเฟ่ที่ด้านหน้าร้านตกแต่งด้วยไม้สีเข้มๆ ให้อารมณ์ขรึมๆ นิ่งๆ ดูน่าค้นหาอย่างร้าน Gluck Coffee Spot ตอนหาข้อมูลร้านกาแฟในเมือง Kumamoto ร้านนี้เป็นร้านที่มีคนลงรูปเยอะที่สุด เลยค่อนข้างมั่นใจว่าที่นี่ต้องมีอะไรดีๆ แน่นอน และก็ไม่ผิดหวังที่ได้แวะมา
เข้ามาด้านในร้านชั้น 1 จะเจอกับเคาน์เตอร์สำหรับสั่งกาแฟ และบาร์ให้นั่งจิบกาแฟและสนทนากับบาริสตาได้อย่างใกล้ชิด
เราเลือกสั่ง Iced drip Coffee ไป ซึ่งทางร้านจะมีเมล็ดให้เราเลือกประมาณ 3-4 อย่าง
ส่วนคนที่ไม่ดื่มกาแฟก็มีเมนู Non-Coffee ให้สั่งอยู่นะ มีขนมด้วย
ชั้น 2 ของร้านจะมีที่นั่งเยอะกว่า และจัดได้ดูโปร่งโล่งดี
โชคดีมากที่ตอนเราไปไม่มีคนเลย
ระหว่างรอกาแฟก็มีมุมให้ถ่ายรูปเล่นได้
Iced drip coffee & Iced Lemonade
hara donuts
ร้านโดนัทน่ารักๆ ที่เราสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ร้านอยู่ในซอยระหว่างทางเดินเข้าไปที่ Gluck Coffee Spot
มีโดนัทให้เลือกสั่งหลากหลายแบบ (แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ต้องให้พนักงานช่วยแนะนำ) ภายในร้านไม่มีที่นั่งนะ ต้อง Take away เท่านั้น
ออกจากซอยแล้วเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง จะเป็นย่านการค้าของเมือง Kumamoto ที่เรียกว่า Shimotori Street ซึ่งรายล้อมไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารมากมาย มีร้านฮิตๆ ของคนไทยอย่าง ABC Mart, Don Quijote และร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ หลายร้าน
บรรยากาศใน Shimotori Street
Kumamon Square
มาถึงถิ่นทั้งที จะไม่แวะมาพบปะหมีเจ้าถิ่นอย่าง Kumamon ก็คงจะเหมือนมาไม่ถึงเมือง Kumamoto เราจึงแวะไป Meet & Greet กับ Kumamon ที่ Kumamon Square ซึ่งสามารถเดินมาจาก Shimotori Street ได้ไม่ไกลนัก หรือจะนั่งรถรางมาลงที่ป้ายเบอร์ 12 Suidocho ก็ได้เช่นกัน
แต่ก่อนมาก็ควรเช็คก่อนนะว่า Kumamon จะออกมาพบปะแฟนๆ ตอนไหนบ้าง โดยเช็คตารางเวลาได้ที่
https://www.kumamon-sq.jp/en/index.html
แนะนำว่าถ้าอยากได้ที่นั่งด้านใน ควรไปก่อนอย่างน้อย 1 ชม. เพราะถ้าไปช้า อาจต้องชมอยู่ด้านนอกแบบเราก็ได้ T_T
กิจกรรมทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการร้องเล่นเต้นรำกับ Kumamon ดูแล้วก็น่ารักสนุกสนานไปกับเขาได้ และที่น่ารักมากคือ Kumamon ก็พยายามจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมที่ยืนอยู่ด้านนอกเรื่อยๆ เรียกได้ว่า Take care ทุกคนได้อย่างดีทีเดียว
พอจบการแสดงแล้ว เราสามารถเดินเข้าไปด้านในได้ จะมีห้องทำงานของ Kumamon ให้ไปนั่งถ่ายรูปได้
และมีร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ล่อตาล่อใจและดึงดูดเงินในกระเป๋าได้เป็นอย่างดี
Suizenji Park
สวนสวยชื่อดังของเมือง Kumamoto เพราะในสวนได้ย่อส่วนสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบบิวะ เสา Torii สีแดงสด เอามาไว้รวมกันอยู่ในสวนนี้ โดยมีฉากหลังเป็น City view ที่ดูตัดกับความเขียวชอุ่มและความเงียบสงบภายในสวน
การเดินทางก็ไม่ยาก เพียงแค่นั่งรถรางสายสีแดงมาลงที่ป้าย Suizenji Park และเดินต่อมาที่สวนอีกประมาณ 300 เมตร
ค่าเข้าชม 400 เยน (ถ้ามี JR Pass ลดราคาเหลือ 360 เยน)
เห็นภูเขาไฟฟูจิในรูปนี้ไหม?
มีศาลเจ้าอยู่ภายในสวนด้วย
ที่นี่ Kumamoto นะ ไม่ใช่ Fushimi inari shrine ที่ Kyoto
Okoshiki beach
1 ใน 100 ชายหาดที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากๆ เช่นกัน หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อชายหาดนี้มาก่อน แต่ที่เราตัดสินใจมาที่นี่เพราะดูจากรูปแล้วมันสวยงามมากจริงๆ และก็เดินทางมาจาก JR Kumamoto ด้วยรถไฟเพียง 40 นาทีเท่านั้น โดยนั่งมาลงที่สถานี Oda แล้วเดินจากสถานีไปที่ชายหาดอีกประมาณ 1 กม.
สถานี Oda เป็นสถานีเล็กๆ จะเห็นว่าภายในสถานียังติดรูปชายหาด Okoshiki ซึ่งจะมีบางช่วงเวลาที่สามารถชมชายหาดที่นูนขึ้นเป็นสันดอนเรียงตัวสวยงามแบบนี้ น่าเสียดายเพราะวันที่เราไปไม่ได้เจออย่างในรูป แต่วิวที่ได้เจอก็สวยงามไม่แพ้กันนะ
บริเวณริมชายหาด Okoshiki ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
สีท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์ตก และคลื่นที่เรียงตัวมากระทบฝั่ง
ยิ่งนั่งดูนานๆ ก็ยิ่งรู้สึกดี สวยงามและผ่อนคลายมากเลยทีเดียว
มาเที่ยวที่นี่จะได้เจอตากล้องทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมารอเก็บภาพพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
เราก็เป็นหนึ่งในคนที่นั่งรออยู่ตรงนั้น
ควรวางแผนเรื่องเวลาในการมาเที่ยวที่นี่ให้ดี เพราะรถไฟทั้งขาไปและกลับ มีเพียงชั่วโมงละ 1 เที่ยวเท่านั้น แนะนำว่าควรมาถึงก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกอย่างน้อยสัก 30 นาที และเผื่อเวลาเดินกลับสถานีอย่างน้อยสัก 10 นาที เพราะถ้าพลาดรถไฟแล้วรอนาน แถมบริเวณรอบๆ ไม่มีร้านค้าร้านอาหารให้นั่งรอด้วยนะ
วันที่ 2 ของการเดินทาง เราเช่ารถขับจาก Kumamoto เป็นเวลา 2 วัน เพื่อไปเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง และปิดท้ายที่ภูเขาไฟ Aso ครับ ที่เลือกเช่ารถ เพราะเป็นวิธีที่สะดวก และประหยัดเวลามากที่สุด เพราะการเดินทางไปตามสถานที่เที่ยวที่เราจะไปต่อจากนี้ มี Public transportation เช่น รถบัส หรือ รถไฟก็จริง แต่จำนวนรอบต่อวันมีเพียง 1 – 2 รอบเท่านั้น และใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าขับรถไปเองด้วย ที่สำคัญคือเราไม่สามารถแวะเที่ยวรายทางได้ เพราะตามทางที่ไปก็อาจจะมีสถานที่ที่น่าสนใจให้ได้แวะเที่ยวถ่ายรูปได้เช่นกัน
การเช่ารถที่ญี่ปุ่นก็ไม่ยากครับ อย่างของเราเลือกจองผ่าน agent เจ้าหนึ่ง ค่าเช่าต่อวันรวมค่าประกันและค่าน้ำมันแล้ว อยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทต่อวัน ซึ่งถ้าไปกันสัก 3 – 4 คน หารออกมาก็ยังถือว่าประหยัดกว่านั่งรถบัสหรือไป Join กับ Local Tour ครับ
ส่วนการขับรถในญี่ปุ่นก็ไม่ได้ยาก และปลอดภัยมาก เพียงแต่เราควรจะต้องศึกษากฎจราจรของบ้านเขา ที่มีความแตกต่างกับบ้านเราอยู่บ้าง ซึ่งเราได้เคยเขียนเกี่ยวกับการขับรถในญี่ปุ่นไว้ในกระทู้นี้ http://www.porsuke.com/2018/01/21/fukushima_day4/ สามารถเข้าไปอ่านกันได้ครับ
Takachiho Gorge
ขับรถจาก Kumamoto ประมาณ 1 ชม.ครึ่งเพื่อมาที่ Takachiho Gorge ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัด Miyazaki บริเวณนี้เป็นผาหินสูงชัน ทอดตัวยาวถึง 7 กม. ภาพที่คุ้นตาและถือเป็น Signature ของที่นี่ก็คือน้ำตกจากผาสูง และมีคนพายเรือล่องผ่านช่องแคบของผา น่าเสียดายที่ช่วงเราไปเขางดไม่ให้พายเรือ เนื่องจากพายุเข้าและกระแสน้ำแรงมาก อาจเป็นอันตรายได้
นอกจากบริเวณน้ำตกที่เป็นจุดไฮไลท์แล้ว เรายังสามารถเดินเลาะไปตามทางระยะไม่ไกลนัก เพื่อชมความสวยงามของธรรมชาติในบริเวณนี้ มีจุดสวยๆ ให้แวะถ่ายรูปได้ตลอดทาง ยิ่งถ้าได้มาที่นี่ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี น่าจะยิ่งงดงามมากกว่านี้ไปอีก
ชมวิวสวยๆ เสร็จแล้ว ที่นี่ยังมีไฮไลท์อีก 1 อย่าง ก็คือ การชิมโซเมน (เป็นเส้นคล้ายโซบะ) ที่ต้องใช้ทักษะในการคีบอย่างว่องไว เพราะทางร้านจะปล่อยโซเมนให้ไหลมาตามน้ำทางกระบอกไม้ไผ่ ลูกค้าอย่างเราก็ต้องนั่งจ้องรอโซเมนที่จะไหลมาและต้องรีบคีบให้ได้ เป็นวัฒนธรรมการกินที่ดูตื่นเต้นดี ถ้าได้มาแวะเที่ยวที่นี่ก็อย่าลืมไปลองชิมดูนะครับ
Kuju Flower Park
สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ 220,000 ตร.ม. ที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูง Kuju มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงมากมาย และเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด Oita สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่ดอกไม้ที่มีก็จะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล น่าเสียดายที่ช่วงที่เราไปดอกไม้ในหลายสวนเริ่มเหี่ยว หลายสวนกำลังจะเริ่มปลูกดอกไม้ใหม่เพื่อรอต้อนรับหน้าร้อน ทำให้เข้าชมได้เป็นบางส่วนเท่านั้น
การเดินทางมาที่นี่ควรเช่ารถขับมาครับ เพราะไม่มีรถสาธารณะผ่าน
ค่าเข้าชมสวน 1,300 เยน (แต่ช่วงที่เราไปชมไม่ได้หลายสวน เลยได้ส่วนลดเหลือ 1,000 เยน)
แม้สวนดอกไม้หลายสวนจะถ่ายไม่ได้ แต่ในสวนก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้อยู่นะ
สวนแรกที่เรามาแวะคือ “เนิน Lavender” ซึ่งช่วงที่เราไปน่าจะเลยช่วงพีคมาแล้ว แต่ก็ยังพอชมได้อยู่
Landscape ของสวนอาจจะไม่ได้อลังการณ์เท่า Tomita Farm ที่ Hokkaido แต่ก็พอถ่ายรูปได้อยู่นะ
ส่วนต่อมาคือ “ป่าไฮเดรนเยีย” นี่ก็เลยช่วงพีคมาแล้วเหมือนกัน T_T
ส่วนสุดท้ายที่เราชอบมาก คือ เรือนกระจกแอนทิล ในเรือนกระจกนี้เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส หลากหลายชนิด
แม้จะเป็นเรือนกระจกที่ไม่ได้กว้างนัก แต่มีมุมให้ถ่ายรูปเพลินมาก สาวๆ ที่ชอบถ่ายรูปกับดอกไม้ฟินแน่นอน
บรรยากาศของสวนดอกไม้ด้านนอก เจ้าหน้าที่กำลังเร่งปลูกดอกไม้เพื่อรอรับฤดูร้อน
Aso Base Backpacker
คืนนี้เราพักที่ Hostel น่ารัก ที่ Location ดีมากอย่าง Aso Base Backpacker เพราะที่นี่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก JR Aso Station และอยู่ปากทางขึ้นเขา Aso เลย ที่สำคัญคือเรื่องอาหารการกินไม่ต้องกังวล เพราะบริเวณใกล้เคียงมีร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson อยู่ใกล้กับ Hostel มากๆ ส่วนใครชอบแช่ออนเซ็น ไม่ไกลจาก Hostel จะมีโรงแรมที่มีบริการออนเซ็นอยู่ สามารถซื้อตั๋วจาก Hostel ได้เลยในราคาพิเศษ
เดินเข้ามาด้านในจะเจอ Reception อยู่ทางขวามือ เจ้าของสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี
ด้านซ้ายเป็นส่วน Common Room มีทั้งโต๊ะทานข้าวและมุมให้นั่งอ่านหนังสือ
มีครัวให้ใช้ได้ มีเตา ไมโครเวฟ ตู้เย็น พร้อมเลย
ชั้น 2 จะเป็นส่วนของห้องพัก มีห้องน้ำรวมซึ่งแยกห้องอาบน้ำ และห้องสุขาออกจากกัน
ห้องอาบน้ำมีส่วนแห้งและส่วนเปียก สะอาดดีมาก น้ำแรงสุดๆ มีสบู่ แชมพูให้พร้อม
ระเบียงด้านนอกชั้น 2 สามารถมองเห็นภูเขาไฟ Aso ได้ เสียดายที่ฟ้าไม่ค่อยเปิดเลยเห็นได้ไม่ชัด
เราเลือกพักห้องแบบเตียงสองชั้น / ห้องน้ำรวม
ขนาดห้องไม่กว้างนัก แต่มีส่วนให้เก็บของเป็นสัดส่วนดี
Daikanbo
วันสุดท้ายของทริป เราจะเที่ยวกันในเมือง Aso ทั้งวัน ก่อนจะขับรถกลับไปคืนที่สถานี Kumamoto แล้วต่อ Shinkansen กลับไปที่ Fukuoka วิธีการเดินทางเที่ยวในตัวเมือง Aso ที่ดีที่สุดคือการเช่ารถขับ เพราะที่เที่ยวส่วนใหญ่อยู่บนเขา และมีจุดชมวิวที่เราสามารถแวะถ่ายรูประหว่างทางได้ตลอด เริ่มต้นวันกันที่จุดชมวิวบนยอดเขา Daikanbo ซึ่งสามารถชมวิวเมือง Aso, ภูเขาไฟ Aso และที่ราบสูง Kuju ได้จากจุดนี้ โชคไม่ดีที่ฟ้าไม่เปิด ทำให้เราเก็บภาพบรรยากาศของที่นี่มาได้แบบทึมๆ เมฆครึ้มๆ ไปหน่อย
รายล้อมไปด้วยเนินเขาสีเขียว
จากจุดนี้ถ้าอากาศดีเราจะเห็นเมือง Aso ทั้งเมืองถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูง
มีเส้นทางให้ Trekking ช่วงสั้นๆ ถ้ามีเวลาก็น่าเดินนะ
Imakin Shokudou
ร้านข้าวหน้าเนื้อชื่อดังของเมือง Aso ดังขนาดไหนดูปริมาณคนที่มาต่อคิวตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดสิ เรามาถึงตอน 10.30 น. ร้านเปิด 11.00 น.
เราได้คิวเข้าไปทานตอน 11.40 น. ถ้าไม่ดังจริงคงไม่ตั้งใจรอขนาดนี้
ในร้านมีเมนูภาษาอังกฤษให้ ใครไม่ทานเนื้อก็มีเมนูไก่ให้สั่ง แต่ไหนๆ มาถึงแล้วเราก็ต้องจัดเมนูดังของเขามาลอง
นั่นก็คือ Akaushi Don ราคาจานละ 1,740 เยน
เนื้อทาซอสแล้วน้ำไปย่างให้ด้านนอกเกรียมนิดๆ ด้านในยังเป็นเนื้อแดงหน่อยๆ โปะด้วยไข่ออนเซ็นเหยาะโชยุลงไปสักนิด
สมราคาคุยและคุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ
หน้าร้านอาหารฝั่งตรงข้ามก็มีมุมให้ถ่ายรูปนะ
Tanzvongras Cafe
ระหว่างรอคิวข้าวหน้าเนื้อ ใกล้ๆ กันมีคาเฟ่ที่เด่นสะดุดตาอยู่ตรงหัวมุมถนน และคำว่า COFFEE สีเขียวตัวใหญ่แปะอยู่ที่กระจกร้าน ทำให้เราเดินตรงไปที่ร้านเพื่อไปจิบกาแฟฆ่าเวลาสักหน่อย
ด้านในร้านไม่ใหญ่นัก แต่บรรยากาศในร้านน่ารักมาก ตกแต่งด้วยเก้าอี้พับเหมือนเวลาเราไป Camping
เจ้าของร้านที่ควบหน้าที่ Barista ด้วย ก็พูดภาษาอังกฤษได้ดี
ให้คำแนะนำเรื่องกาแฟ และตั้งใจ drip กาแฟให้ลูกค้าเป็นอย่างมาก
กาแฟรสชาติดี แถมด้วยความใส่ใจจากเจ้าของร้าน
และมีกิมมิคเล็กๆ ด้วยการเขียนข้างแก้ว Custom ไปให้สำหรับลูกค้าแต่ละคน
อิ่มท้องแล้ว เราก็เดินทางต่อเพื่อขึ้นมาชมวิวบนภูเขาไฟ Aso
บอกเลยว่าควรเช่ารถขับมาอย่างยิ่ง เพราะระหว่างทางมีจุดให้แวะถ่ายรูปเยอะจริงๆ
มาช่วงหน้าร้อน บนภูเขาก็จะเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ดูสดชื่นดี
Mount Aso Nakadake Crator
เป็นจุดชมปากปล่องภูเขาไฟ Aso ซึ่งแต่เดิมจะมี Ropeway ให้ขึ้นไปชม น่าเสียดายที่หลายปีที่ผ่านมาภูเขาไฟ Aso ยังคงมีการประทุอยู่ ไม่สามารถขึ้นไปชมวิวที่ปากปล่องทั้งทาง ropeway, Shuttle bus และเดินขึ้นไป เพราะระยะ 1 กม.จากปากปล่องยังถือเป็นจุดที่อันตรายอยู่
ไหนๆ ก็ขับขึ้นมาแล้ว เดินออกมาชมวิว สูดกลิ่นกำมะถันกันสักหน่อย
Kusasenri
ทุ่งหญ้า Kusasenri ขอยกให้เป็นจุดที่เราชอบมากที่สุดในทริปนี้เลย บริเวณนี้อยู่ก่อนขึ้นไปถึง Aso Nakadake Center เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ด้านหลังเป็นเนินเขาและมีที่ราบสูงรายล้อม มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ 2 จุดใกล้กัน มีมุมให้ถ่ายรูปได้เยอะมาก กิจกรรมยอดนิยมของที่นี่ก็คือการขี่ม้าชมวิวและถ่ายรูปเล่นนี่แหละ
บริเวณนี้มีลานจอดรถ และร้านค้าร้านอาหาร เป็นจุดที่ใครมาเที่ยว Aso ก็ต้องแวะ ค่าจอดรถ 400 เยน
ทุ่งหญ้าและเนินเขากว้างใหญ่แค่ไหน เทียบได้จากตัวคน
ใครอยากขี่ม้าก็มาติดต่อบริเวณนี้ได้เลย
จุดชมวิวมุมสูง จะเห็นทุ่งหญ้า Kusasenri และปากปล่องภูเขาไฟ Aso เป็น background
ระหว่างทางขับรถกลับเข้าเมือง Kumamoto ก็ยังมีจุดชมวิวให้แวะถ่ายรูปได้อีก
เนินเขาสีเขียวที่เห็นได้แทบทุกรีวิวที่มาเที่ยว Aso
Tokyu Stay Hakata
คืนสุดท้ายก่อนกลับ เราเลือกมาพักที่โรงแรมแถวสถานี Hakata เพราะไฟล์ทขากลับต้องออกแต่เช้า สำหรับโรงแรม Tokyu Stay Hakata ทำเลอาจจะเดินไกลจากสถานี Hakata มานิดนึง (ประมาณ 400 เมตร) แต่ก็เป็นโรงแรมที่ราคาโอเค และบรรยากาศในห้องพักดีมาก
เซอร์ไพรซ์สุดคือมีเครื่องซักผ้าในห้องเลยจ้า พนักงานมีผงซักฟอกแถมมาให้ด้วย
วิวจากห้องพัก
และนี่ก็คือทริป 3 วัน 3 คืนในคิวชูของเรา ที่จริงแล้วยังมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกเยอะ
ก็หวังว่ารีวิวนี้จะพอเป็นประโยชน์และกระตุ้นความอยากมาเที่ยวคิวชูให้หลายๆ คนได้นะครับ
แล้วครั้งหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก อย่าลืมกด Like เพจ ThirtyWander ไว้ให้ดีนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามอ่านกันครับ…