Mandarin Oriental Bangkok : Experience the Legend
ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต กับโรงแรมที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ “Mandarin Oriental Bangkok” โรงแรมหรูแห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดดำเนินการมากว่า 140 ปี รีวิวนี้เราจะพาไปชมและบอกเล่าประสบการณ์การไปเข้าพักในโรงแรมแห่งนี้ ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงอยู่ในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และดีงามสมกับการเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ
Mandarin Oriental Bangkok ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 40 โรงแรมอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม Peninsula Bangkok โรงแรมหรูอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มีท่าเรือส่วนตัวของโรงแรมและมีเรือให้บริการสำหรับข้ามไปใช้บริการ Spa และ Fitness ที่อยู่ในอาคารฝั่งตรงข้าม รวมถึงมีเรือให้บริการสำหรับไป Iconsiam ฟรีด้วย (สามารถเช็คตารางเวลาการเดินเรือได้ที่ท่าเรือของโรงแรม)
Mandarin Oriental Bangkok ประกอบไปด้วย 3 อาคารหลัก ได้แก่
- River Wing อาคารสูงและใหม่ที่สุดของโรงแรม (ห้องพักของเราอยู่บนอาคารนี้)
- Authors’ Wing อาคารที่ตกแต่งสไตล์ Colonial มี Authors’ Lounge สำหรับทาน Afternoon Tea หรือไว้สำหรับจัดงานเลี้ยง งานแต่งงาน
- Garden Wing อาคารที่อยู่ด้านหลัง Author’s Wing
Authors’ Wing เป็นอาคารสีขาว เป็นอาคารเก่าแก่ของโรงแรม
ทำให้การออกแบบดูคลาสสิค และสะท้อนเอกลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
เราเดินทางมาที่โรงแรมด้วยรถส่วนตัวครับ พอนำรถเข้ามาจอดตรงทางเข้า Lobby ก็จะมีพนักงานเดินเข้ามาสอบถามและให้บริการ พอเราแจ้งว่ามา check-in ทางโรงแรมก็มีบริการ Parking Valet ให้ด้วย โดยจะนำรถของเราไปจอดที่อาคารจอดรถของโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Lobby
บรรยากาศ Lobby ของโรงแรม เป็นอีกโรงแรมที่ออกแบบ Lobby และเลือกใช้สีสันได้สวยงามลงตัวมากๆ
บริเวณ Lobby นี้จะมี Mandarin Oriental Shop สำหรับขายเครื่องดื่มพวกกาแฟ ชา และ Macaron ซึ่งเป็นขนมขึ้นชื่อของทางโรงแรม เผื่อว่ามานั่งรอเพื่อนก็มีกาแฟและขนมให้นั่งดื่มท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ บริเวณ Lobby ได้
พนักงานจะพาเรามา check-in ที่บริเวณเคาน์เตอร์ด้านในสุดของ Lobby ต้องบอกว่าช่วงสถานการณ์ Covid-19 แบบนี้ ทำให้ราคาห้องพักของทางโรงแรมจัดโปรโมชั่นออกมาดีมาก อย่างโปรโมชั่นที่เราจองมา คือ “Experience the Legend” ห้องพัก Deluxe Premier Room ราคา 9,999 บาท++ (ราคารวมสุทธิ 11,768 บาทต่อคืน) รวมอาหารเช้า 2 ท่านที่ห้องอาหาร The Verandah + Spa 60 นาที สำหรับ 2 ท่าน + check-in ได้ตั้งแต่ 8.00 น. check-out late ได้ถึง 20.00 น. และถ้าสมัครสมาชิก Fans of M.O. จะได้รับเครดิตอีก 3,000 บาท สำหรับใช้จ่ายในห้องอาหารและ Spa ของโรงแรม แต่เรทราคานี้จะใช้ได้เฉพาะการเข้าพักในวันอาทิตย์ – พฤหัสบดี เท่านั้น และยังเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีก ทำให้เราจ่ายค่าห้องพักในครั้งนี้ไปเพียง 8,768 บาท บอกเลยว่าราคานี้คุ้มมาก และโรงแรมก็ไม่น่าจะขายราคาถูกขนาดนี้มาก่อน
หลังจาก check-in เรียบร้อยแล้ว พนักงานก็จะพาเรามาส่งที่ห้องพัก ห้องพักของเราอยู่ใน River Wing ซึ่งเป็นตึกเดียวกับ Lobby ครับ สามารถขึ้นลิฟท์ตรงบริเวณ Lobby มาได้เลย และนี่ก็เป็นบรรยากาศบริเวณโถงทางเดินไปห้องพัก ด้วยความที่เป็นโรงแรมเก่า สังเกตได้ว่าเพดานจะไม่ค่อยสูงเหมือนโรงแรมใหม่ๆ แต่ในเรื่องของการตกแต่งภายใน และการ Maintainance บอกเลยว่าที่นี่ทำได้ดีมากครับ ไม่รู้สึกว่าตัวโรงแรมเก่าเลย (อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วง Covid ที่ผ่านมาทางโรงแรมได้ทำการ Renovate ภายในห้องพักไปด้วย)
ห้องพักของเราอยู่ชั้น 14 ก่อนเข้าห้องจะมีกระดาษแปะไว้ตรงประตูแบบนี้
เพื่อเป็นการรับรองกับเราว่าห้องนี้ผ่านการทำความสะอาดมาเป็นอย่างดีแล้วนะ
เปิดประตูห้องเข้ามาจะเจอกับทางเดิน ด้านซ้าย คือ ห้องน้ำ ส่วนด้านขวา คือ ตู้เสื้อผ้า
และนี่ก็คือหน้าตาของห้อง Deluxe Premior Room ที่เรามาพักกันในคืนนี้ครับ เข้ามาแล้วก็ตะลึงกับการออกแบบภายในห้องที่ดูดีมีเทสมากๆ และวิวจากห้องก็เป็นวิวแม่น้ำที่อลังการณ์สุดๆ โดยส่วนตัวเราชอบห้องที่ได้วิวแม่น้ำฝั่ง Iconsiam มากกว่าห้องพักฝั่งที่เห็นวิวสะพานตากสิน เพราะว่าฝั่งนี้สามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และเห็นไฟสวยๆ จาก Iconsiam ในยามค่ำคืนได้ด้วย
ห้องที่เราจองมาเป็นห้อง King bed เตียงนอนนุ่ม ดูดวิญญาณมากๆ
ด้านขวาริมกระจกเป็นชั้นเก็บของและตู้เย็นสำหรับ Minibar
ปลายเตียงมี LED TV ขนาดใหญ่ นอนดูกันได้เพลินๆ
แม้จะเปิดมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่ทางโรงแรมก็มีการปรับปรุงห้องพักอยู่ตลอด
ดูสิว่าช่อง USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีให้แล้ว
Welcome drinks & Fruit และ Macarons พร้อมจดหมายต้อนรับจากทางโรงแรม
บริเวณชั้นวาง Minibar มีเครื่องชงกาแฟและแคปซูลฟรี / กาน้ำร้อน และน้ำดื่มฟรี
Minibar ในตู้เย็นที่ออกแบบให้เข้ากับชั้นวาง (ส่วนนี้เสียเงินนะ)
วิวแม่น้ำเจ้าพระยาจากห้องพักของเรา มองเห็น Iconsiam และตึก CAT
มาชมห้องน้ำกันบ้างดีกว่า เข้ามาก็จะเจอกับอ่างอาบน้ำ และอ่างล้างหน้า His & Her ผนังบุด้วยกระจกเงาบานใหญ่ ทำให้ภายในห้องน้ำดูกว้างมากขึ้น ส่วน Amenities ต่างๆ เป็นแบรนด์ของโรงแรม
ทางด้านขวาของห้องน้ำจะมีห้อง Shower และโถสุขภัณฑ์อยู่ด้านใน ไฮโซสุดๆ เพราะเป็นโถเปิดปิดอัตโนมัติ และมีปุ่มควบคุมกันทำงานเหมือนห้องน้ำที่ญี่ปุ่นเลย ด้านในห้องน้ำมีลำโพงซึ่งเชื่อมต่อกับทีวี เปิดละคร ฟังข่าว พร้อมกับอาบน้ำไปด้วยได้สบายๆ
ห้อง Shower มี Rain Shower น้ำแรงดีมาก
วิวจากห้องพักในยามค่ำคืน
ช่วงที่เราไปกำลังจะเข้าช่วงคริสต์มาสพอดี เห็นไฟจาก Iconsiam สวยงามมาก
ก่อนเข้านอนพนักงานจะมา Turn down ให้ ประทับใจมากๆ เพราะนอกจากการจัดเตียงและบริเวณรอบๆ เตียงให้พร้อมต่อการนอนแล้ว พวกสายชาร์จมือถือ สายชาร์จกล้อง หรือของที่วางระเกะระกะในห้อง พนักงานก็มาจัดระเบียบให้ เอาผ้ามารัดเก็บสายให้ทุกอัน ทำให้เรารู้สึกว่าเขาใส่ใจในการบริการทุกจุดจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อย โดยที่เราไม่ต้องร้องขอเลย
ชมห้องพักกันเสร็จแล้ว เราจะพาไปชมส่วนอื่นๆ ของโรงแรมกันบ้างครับ เริ่มกันที่ห้องอาหาร The Verandah ซึ่งเป็นห้องอาหาร All day dining และเราก็จะมาทานอาหารเช้ากันที่นี่ด้วย
ห้องอาหารนี้จะมีที่นั่งทั้ง Indoor และ Outdoor
แต่ไหนๆ เราได้มานั่งทานอาหารเช้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งที ก็ขอนั่ง Outdoor ซะหน่อย
ที่นั่ง Outdoor จัดไว้ค่อนข้างเยอะและมีหลายมุม ถ้ามานั่งชมพระอาทิตย์ตกช่วงเย็นก็น่าจะโรแมนติกดีนะ
สำหรับ Breakfast ของโรงแรมช่วงนี้จะเสิร์ฟเป็น a la carte buffet มีทั้งอาหารไทยอย่างข้าวต้ม ข้าวไข่เจียว และอาหารฝรั่ง เมนูมาตรฐานเหมือน Breakfast ตามโรงแรมทั่วไป แต่ที่แนะนำให้ลองสั่ง คือ Egg Benedict และโยเกิร์ต จัดว่าเด็ดและไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง แต่ละจานที่จัดมาเสิร์ฟจัดจานสวยงาม ดูแพง และใช้วัตถุดิบดีมาก รวมถึงชาและกาแฟที่เสิร์ฟให้ด้วย
Portion แต่ละจานไม่ใหญ่ จะได้สั่งมาลองได้หลายอย่าง
โยเกิร์ตอร่อยมาก แนะนำว่าต้องสั่งมาลอง
มาต่อที่สระว่ายน้ำของโรงแรมกันครับ โรงแรมจะมีสระ 2 สระ โดยสระแรกจะเป็น Main Pool ขนาดใหญ่ และน้ำในนี้ค่อนข้างลึกและไล่ระดับความลึกลงมาเรื่อยๆ ก่อนเข้าใช้บริการแจ้งพนักงานด้านหน้าทางเข้า พนักงานจะมาปูเตียงพร้อมนำผ้าเช็ดตัวและน้ำเย็นมาเสิร์ฟให้ถึงที่ พร้อมแนะนำการใช้สระและห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ๆ ให้ด้วย
จากสระว่ายน้ำสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและโรงแรม Peninsula ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
Day bed สวยๆ อยู่รายล้อมสระว่ายน้ำ ด้านหลังคือ Lobby ของโรงแรม
ด้านหลังบริเวณที่มีกำแพงจะเป็นทางลงไปห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน ห้องน้ำติดแอร์และสะอาดมาก
เดินถัดมาด้านข้างจะเป็นสระว่ายน้ำเด็ก อยู่ติดกับทางเดินไปห้องอาหาร The Verandah
อีกมุมของสระว่ายน้ำเด็ก
นั่งเรือข้ามฝั่งมานวดที่ The Oriental Spa กันครับ เนื่องจากโปรโมชั่นของเรามี Spa แถมมาให้ด้วย คนละ 60 นาที เลยได้มีโอกาสมาลอง Spa เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการการันตีให้เป็น Spa ระดับ 5 ดาว จาก Forbes Travel Guide 2020 แนะนำว่าควรโทรมาจองคิวนวดก่อนเข้าพักนะครับ (จองเร็วได้เท่าไรยิ่งดี เพราะคนมาใช้บริการเยอะมาก)
บรรยากาศด้านนอกของ Spa
เข้ามาด้านในจะเจอกับโถงต้อนรับ มีเก้าอี้ให้นั่งรอคิวเรียกเข้าห้อง Spa
ระหว่างรอมีเครื่องดื่มและผ้าเย็นเสิร์ฟให้แขกทุกท่าน
ห้อง Treatment ที่ทาง Spa จัดไว้ให้ (เราไปกับเพื่อนเขาเลยจัดให้เข้าพร้อมกัน ห้องเดียวกันเลย) ภายในห้องจะมีห้องอาบน้ำและห้องน้ำให้บริการ เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนรอ Therapist ได้เลย โดยโปรแกรมนวดที่ทางโรงแรม Offer มาให้ มีทั้งนวดไทยและนวดอโรมา เราเลือกนวดอโรมาไปเพราะอยากผ่อนคลายๆ สบายๆ มากกว่า โดยก่อนนวดทาง Therapist จะเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับโรคประจำตัว จุดประสงค์หรือปัญหาที่เราต้องการให้เขาช่วยนวด ตำแน่งที่อยากให้นวดเน้นเป็นพิเศษ หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จแล้วก็เริ่มนวดกันเลย บอกเลยว่า 60 นาทีมันผ่านไปเร็วมาก ทั้งๆ ที่นี่ก็เป็นการนวดครั้งแรกของเรา ไม่เจ็บ ไม่จั๊กจี้ แต่รู้สึกผ่อนคลาย สบายสุดๆ ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันให้ความเห็นว่าที่นี่นวดดี สมรางวัลที่เขาได้จริงๆ
มากันที่ส่วนสุดท้ายของโรงแรมที่เราจะพาไปชมกันครับ นั่นคือ Authors’ Lounge ซึ่งที่นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราอยากมา Staycation ที่ Mandarin Oriental Bangkok ครับ เพราะการออกแบบและตกแต่งภายใน Authors’ Lounge นี้ สวยงาม สะอาดตามากๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงชอบมาจัดงานแต่งงานที่นี่
ดูสิว่ามันสวยงาม อลังการณ์ขนาดไหน
บรรยากาศภายใน Authors’ Lounge
มา Authors’ Lounge ทั้งที เราก็ต้องมาลอง Afternoon tea ของที่นี่กันหน่อย โดยเราจะใช้ Hotel credit ที่ได้จากโรงแรม 3,000 บาท มาใช้บริการที่นี่ Afternoon tea set จะมีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ The Oriental Afternoon Tea Set (เสิร์ฟขนมไทย), Vegan and Gluten-Free Afternoon Tea Set และ Western Afternoon Tea Set ที่เราได้สั่งมาลองชิม โดยใน 1 set จะประกอบไปด้วยขนมต่างๆ (ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนไปแล้วแต่ช่วง) เสิร์ฟพร้อมกับชาร้อน 1 กา สามารถทานได้ 2 คน ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท++ ต่อเซ็ต ความพิเศษของที่นี่ก็คือ เขาจะมีชา Mandarin Oriental Bangkok Tea ซึ่งเป็นชาที่ผลิตมาสำหรับโรงแรมโดยเฉพาะให้ได้ลิ้มลองรสชาติด้วย
มีไอศครีมซอร์เบทมาให้ทานก่อน Afternoon Tea Set จะมาเสิร์ฟ
ชา Mandarin Oriental Bangkok Tea เสิร์ฟมาในกาหน้าตาสวยงาม
ลืมบอกไปว่าถึงไม่ได้มาพักที่นี่ ก็สามารถมาดื่ม Afternoon tea ได้นะ แนะนำให้จองมาก่อนเพราะจะได้มีที่นั่ง
จากการที่เราได้ไป Staycation ที่ Mandarin Oriental Bangkok มาเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน บอกเลยว่านี่เป็นโรงแรมในฝันที่เราอยากจะมาพักดูสักครั้ง ให้รู้กันไปเลยว่าที่เขาได้อันดับหนึ่ง และยืนหนึ่งเป็นเป็นเวลาร้อยกว่าปี โรงแรมนี้มีดีอะไร ก่อนมาก็ว่าคาดหวังมาเยอะมากแล้ว แต่พอได้มาพัก บอกเลยว่าเกินจากที่คาดหวังไปอีก และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนที่เคยมาพักที่นี่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันดีมาก แต่เพื่อไม่ให้ดูอวยจนเกินไป ตามธรรมเนียมเราก็จะมาสรุปข้อดี – ข้อเสียจากการมาเข้าพักที่นี่กันครับ
ข้อดี
- การบริการของพนักงานทุกคน คือสิ่งที่ดีที่สุดในโรงแรมนี้ ประทับใจมากๆ กับความใส่ใจของพนักงาน เป็นการบริการที่ Offer ให้โดยเราไม่ต้องร้องขอ ไม่แปลกใจเลยกับโรงแรมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นระดับ Ultra luxury และยืนหนึ่งมานานขนาดนี้
- การตกแต่งภายในโรงแรม และห้องพัก ถึงแม้โรงแรมจะเปิดมานานแล้ว แต่การตกแต่งหลายๆ อย่างก็ยังสวยงาม ดูแพง และไม่เชยเลย
- วิวจากห้องพัก สวยมาก สวยแบบไม่มีอะไรกั้น เพราะห้องติดกระจกบานใหญ่ให้เรา Take view ได้แบบเต็มตา วิวจากห้องอาหารของโรงแรมก็ดี
- ราคาและ Offer ที่โรงแรมจัดมาในช่วงสถานการณ์ Covid แบบนี้ คุ้มมาก แม้ราคาจะดูสูงกว่าโรงแรมอื่นๆ แต่นี่ก็ถือว่าถูกและมีอะไรแถมมาเยอะมากแล้ว เมื่อเทียบกับราคาปกติ ใครที่อยากมาสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่นี่สักครั้งในชีวิต ไม่มาช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีราคาดีๆ แบบนี้มาอีกเมื่อไร
- อีกส่วนหนึ่งที่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่ประทับใจมาก คือ Fitness มีอุปกรณ์หลากหลาย และที่สำคัญคือมีซาวน่าและสตีมให้ใช้ฟรี มีบ่อจากุชชี่ให้แช่หลังจากออกกำลังกายเสร็จด้วย
ข้อเสีย
- โดยส่วนตัวเรารู้สึกว่าราคาอาหารค่อนข้างแรง เมื่อเทียบกับ Portion และรสชาติอาหารที่ดี แต่ไม่ได้ว้าวเท่าไร (อันนี้เราได้ทานมื้อกลางวันที่ห้องอาหาร The Verandah ด้วยนะ ไม่ได้หมายถึง Breakfast) แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปลองร้านอาหารอื่นๆ ภายในโรงแรมเพราะเวลาจำกัด และบางร้านไม่เปิดในวันที่เราไปพัก ไว้โอกาสหน้าจะไปลองร้านดังร้านอื่นๆ ดูบ้าง
- ช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ แขกภายนอกของโรงแรมค่อนข้างเยอะ เพราะมีงานจัดเลี้ยงภายในโรงแรม เมื่อเทียบกับพื้นที่ของโรงแรมแล้ว ทำให้ดูจอแจไปหน่อย ไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไร โดยเฉพาะเวลาเดินจากห้องพักลงไปสระว่ายน้ำ เพราะต้องผ่าน Lobby ที่มีแขกภายนอกเข้ามานั่งมากมาย