THE PENINSULA BANGKOK : Luxury staycation
THE PENINSULA BANGKOK
รีวิวนี้เราจะพาไป Staycation กันที่ THE PENINSULA BANGKOK โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เปิดให้บริการมากว่า 20 ปี และเป็น 1 ในไม่กี่โรงแรมของประเทศไทยที่ได้รับ 5 Stars Award จาก Forbes Travel Guide Star Award Winners 2021 ทำให้เราอยากรู้ว่าที่นี่มีดีอะไร ถึงได้เป็นโรงแรมหรูอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวต่างอยากมาพักกันสักครั้ง เราจะพาไปชมบรรยากาศภายในโรงแรม การออกแบบห้องพัก และประสบการณ์ในการพักผ่อนของเราในครั้งนี้ให้ได้อ่านกันครับ
Location
โรงแรมตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร ใกล้กับห้าง Iconsiam ตัวโรงแรมหันหน้าออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ห้องพักทุกห้องมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือรับ-ส่งฟรี ไปที่ห้าง Iconsiam และท่าเรือสาทร (สะพานตากสิน) หรือหากใครนำรถมาก็มีที่จอดทั้งลานจอด Outdoor และชั้นใต้ดินของโรงแรม (มีช่องจอดสำหรับชาร์จไฟรถ EV ไว้บริการด้วย)
Design
ด้วยความที่โรงแรมเปิดมา 20 กว่าปีแล้ว ทำให้ดีไซน์อาจจะไม่ได้ดูทันสมัยเหมือนโรงแรมใหม่ๆ แต่โดยส่วนตัวเรารู้สึกว่าดีไซน์แบบนี้มันมีความคลาสสิค เรียบร้อย และดูหรูหราไปในตัว และดูกลมกลืนไปกันแทบทุกจุด โดยส่วนตัวเราชอบการออกแบบภายนอกของอาคาร ที่ดูเรียบๆ ไม่ได้มีเส้นสายอะไรเยอะ แต่สวยและดูอลังการณ์ดีเมื่อมองจากด้านล่างขึ้นไป สระว่ายน้ำที่ทอดยาวลงไปจนถึงริมแม่น้ำ ตอบโจทย์ทั้งการใช้งาน และเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามมากๆ ในยามเช้า เพราะเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงสะท้อนแม่น้ำ เป็นภาพที่เห็นแล้วประทับใจดี
Rooms
สำหรับห้องพักที่เรามาพักในครั้งนี้ เป็นห้อง Deluxe Room ซึ่งเป็น Room type เริ่มต้นของโรงแรม ห้องพักกว้าง 45 ตร.ม. และแบ่งสัดส่วนของห้องพักได้ดี การออกแบบภายในดูคลาสสิค เรียบหรู ตามสไตล์ของโรงแรม ตอนแรกเราแอบกังวลว่าห้องจะเก่าหรือเปล่า เพราะโรงแรมก็เปิดมานานแล้ว แต่พอได้มาพักก็ประทับใจมากที่ทางโรงแรมยังคง Maintainance หลายๆ อย่างได้ดี รวมถึง Function การใช้งานของห้อง ที่ยังคงมีความทันสมัยอยู่ เช่น แผง Control แอร์และไฟบริเวณหัวเตียงทั้งสองฝั่ง ม่านเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า มีเครื่องทำกาแฟพร้อมแคปซูล รวมถึงมีการอัพเกรดโทรทัศน์รุ่นใหม่เป็น Smart TV ซึ่งสามารถ Sync กับ Smartphone รุ่นใหม่ๆ ได้ ห้องน้ำกว้างมาก มีอ่างอาบน้ำ และอ่างล้างหน้า His&Her ความสะอาดของห้องทำได้ดี เตียงและหมอน นุ่ม นอนสบายมาก วิวจากห้องพักของเรา (ชั้น 19) สูงกำลังดี วิวดี มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวกรุงเทพฯ ฝั่งพระนครได้เต็มๆ ตา แต่มีบางจุดที่เรารู้สึกไม่ค่อยชอบ เช่น ตำแหน่งวางโทรทัศน์ ที่ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงเท่าไร และแอร์ที่ปรับได้ละเอียดน้อยไปหน่อย
Restaurants
เราได้ใช้บริการที่ห้องอาหาร 3 ห้องของโรงแรม ได้แก่
– The Lobby : ห้องอาหารนี้เป็นห้องอาหารสำหรับ International All-day Dining รวมถึงเสิร์ฟ Afternoon tea ตั้งแต่ 14.00 – 17.00 น. ในส่วนของ Afternoon tea ของที่นี่ ชื่อว่า “The Peninsula Traditional Afternoon Tea” ใน Set ประกอบด้วย Scone, Sandwich และ Pastry ต่างๆ จัดมาให้อย่างสวยงาม เครื่องดื่มสามารถสั่งได้คนละ 1 อย่าง มีกาแฟ และชาหลากหลายชนิดให้เลือกสั่ง โดยส่วนตัวเราประทับใจ Scone และชา Marco Polo ทานคู่แล้วเข้ากันดีมากๆ แต่ถ้าใครชอบถ่ายรูป และอยากลองอะไรใหม่ๆ Bluefly Tea ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน ราคาต่อเซ็ทอยู่ที่ 2,200 บาท (ทานได้ 2 คน)
– Thiptara Restaurant : ร้านอาหารไทยชื่อดังของโรงแรม ที่แนะนำเลยว่าต้องมาลอง เนื่องจากแพ็คเกจที่เราจองมา รวมอาหารเย็นมาให้ด้วย เราจึงเลือกมาทาน Dinner Set ที่ Thiptara ซึ่งในเซ็ตจะได้อาหารทั้งหมด 9 จาน โดยทางร้านจะให้เราเลือกเองจากเมนูที่เขาได้จัดไว้ให้ เมนูที่เราชอบมากๆ และอยากแนะนำ คือ ผัดไทกุ้งสด ยำผักบุ้งกุ้งกรอบ และกล้วยทอดไอศครีมกะทิ บอกเลยว่าไปกันสองคน เจออาหารเซ็ตนี้ถึงกับอิ่มจนจุก
– River Cafe & Terrace : สำหรับอาหารเช้าของโรงแรมจะจัดไว้ที่ห้องอาหารนี้ เป็น International Buffet ที่ไลน์อาหารอลังการณ์สุดๆ มีอาหารให้เลือกหลากหลายมาก ทั้งไทย จีน ฝรั่ง และยังมีอาหารอินเดียให้ได้ลองอีกด้วย จากที่ได้ไป Staycation หลายๆ โรงแรมหรูในกรุงเทพฯ เราขอยกให้ Breakfast ของ The Peninsula Bangkok เป็นที่ที่คุ้มค่าที่สุด
Facilities
ด้วยความที่โรงแรม The Peninsula Bangkok ให้ความสำคัญกับเรื่อง Wellness ทำให้ที่นี่มีคลาสให้แขกที่เข้าพักได้เข้าร่วมหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นโยคะ, Aqua Fit, Breathing class, HIIT รวมถึงมี Fitness, ห้องอบไอน้ำ, ซาวน่า และอ่างกุชชี่ทั้งร้อนและเย็น ให้ได้ใช้บริการกันอย่างเต็มที่ได้ทั้งวัน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมถูกใจคนรักสุขภาพอย่างแน่นอน
Values
เราจองห้องพักครั้งนี้ด้วยโปรโมชั่น Weekday Recharge เริ่มต้นที่ 2,999 บาท เข้าพักเฉพาะวันจันทร์ – พฤหัสบดีเท่านั้น รวมอาหารเย็น และอาหารเช้าสำหรับสองคน ส่วน Early check-in หรือ Late check-out ขึ้นอยู่กับห้องว่าง (สามารถสอบถามจากพนักงานได้) โดยส่วนตัวเราว่าแค่มาทานอาหารสองมื้อ ก็คุ้มเกินค่าห้องพักไปแล้ว แถมยังได้ใช้ Facility ต่างๆ ของโรงแรมอีก โดยภาพรวมก็ถือว่าเป็นอีกโรงแรมที่เราประทับใจทั้งบรรยากาศ รสชาติของอาหาร และการบริการของพนักงานที่ดีตามมาตรฐาน อาจจะไม่ได้ว้าวเหมือนโรงแรม Luxury ที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ แต่ด้วยราคาและโปรโมชั่นในช่วงนี้ที่คุ้มสุดๆ เป็นโอกาสดีที่จะได้ไปลองพักดูสักครั้ง เพราะถ้าเปิดประเทศแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นราคาแบบนี้อีกเมื่อไร
ส่วนใครที่อยากอ่านรีวิวแบบละเอียด สามารถกดเข้ามาอ่านต่อได้ภายในโพสท์นี้เลยครับ
ตัวโรงแรมเป็นอาคารสูง 37 ชั้น ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้
หลังจาก check-in เรียบร้อย ก็ได้เวลามาทาน Afternoon tea ที่ห้องอาหาร The Lobby
จากห้องอาหาร มองเห็นวิวแม่นำ้เจ้าพระยาผ่านกระจกบานใหญ่ได้เต็มตา
น่าเสียดายวันที่เราไปฝนตกตลอดทั้งวัน อากาศเลยดูอึมครึมไปหน่อย
หน้าตา Afternoon tea set ของเรา
จิบชาเสร็จแล้ว เราจะพามาชมห้องพักของเรากันบ้างครับ เริ่มที่ห้องแรกกับห้อง Deluxe room (ห้อง 1910) แปลนของห้องนี้มีจุดเด่นอยู่ที่กระจกเข้ามุมด้านหลังโต๊ะทำงาน ที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวเมืองฝั่งพระนครได้อย่างเต็มตา ซึ่งห้องของเราจะอยู่ฝั่งสะพานตากสิน มุมนี้จะเป็นทิศตะวันออก เหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
มุม Signature ของ Deluxe room มองเห็นวิวแม่น้ำและตึกสูงเต็มๆ ตา
วิวพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ก็จะสวยประมาณนี้
มองจากเตียงจะเห็นโทรทัศน์และโซฟาอยู่อีกมุมของห้อง จุดที่เราไม่ชอบ คือ จุดวางโทรทัศน์ ที่ดูไม่ตอบโจทย์การใช้งานเท่าไร ถ้าจะดูต้องนอนอยู่ที่โซฟา หรือนั่งที่โต๊ะทำงานเท่านั้น เตียงนอนมีไว้นอนอย่างเดียวพอ
บริเวณหัวเตียงมีแผงควบคุมไฟ แอร์ และโทรศัพท์อยู่ทั้งสองฝั่ง
มีเครื่องทำกาแฟและแคปซูล (ฟรี) และ Minibar ต่างๆ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
ภายในตู้เย็นมีช่องว่างให้แช่น้ำ และเครื่องดื่มอื่นๆ ได้อีก
ออกจากห้องนอนมาจะเป็น Dressing area มีที่วางกระเป๋าและลิ้นชักใส่ของอยู่ทางด้านขวา
ส่วนด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้า
ติดกับ Dressing area คือ ห้องน้ำขนาดใหญ่ เข้ามาจะเจออ่างอาบน้ำอยู่ตรงกลาง
มีอ่างล้างหน้า His & Her อยู่คนละฝั่งของห้อง
ด้านขวาจะเป็นห้องสุขา (มีสายฉีดชำระ) และด้านซ้ายจะเป็น Shower room
ถ่ายรูปเล่นในห้องน้ำก็สวยดีนะ
ห้องต่อมาที่เราจะพามาชม เป็นห้อง Deluxe อีกแปลนนึงครับ (ห้อง 1901) เดิมทีตอนที่เราจองห้องพัก ห้องแปลนนี้เป็นห้อง Superior ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นและราคาถูกสุดของโรงแรม แต่พอสอบถามไปทางโรงแรม โรงแรมแจ้งว่านี่คือห้อง Deluxe ตามที่ลูกค้าจองมานั่นแหละ ตอนแรกก็แอบงงอยู่เหมือนกัน แต่พอเข้าไปส่องเว็บของโรงแรมก็พบว่าไม่มีห้อง Superior อีกต่อไป เหลือแต่ห้อง Deluxe เป็นห้องเริ่มต้นเท่านั้นครับ
ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่ได้มีกระจกเข้ามุมให้เห็นวิวเต็มๆ ตาแบบห้องแรก แต่ข้อดีของห้องนี้คือมีกระจกเยอะกว่า ทำให้ห้องดูโปร่ง แต่ตำแหน่งวางโทรทัศน์ของห้องนี้ก็ยังไม่ได้อยู่ดี วิวจากห้องนี้เป็นวิวฝั่ง Iconsiam ให้บรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบ
สายถ่ายรูปก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายอยู่นะ
ชมห้องเสร็จแล้ว มาชม Facility ต่างๆ กันต่อครับ ทั้งหมดจะอยู่ที่บริเวณชั้น G ของโรงแรม
เริ่มที่ Fitness ซึ่งจะใช้ทางเข้าเดียวกับ Spa ของโรงแรม
เข้ามาด้านในจะเจอเคาน์เตอร์และพนักงานคอยให้บริการอยู่ สามารถแจ้งเบอร์ห้องและขอกุญแจสำหรับใช้ล็อคเกอร์ได้เลย
เดินเข้ามมาด้านในจะเจอโถงสวยๆ ตรงนี้ ด้านซ้ายจะเป็นทางเข้าฟิตเนส
ส่วนด้านขวาจะเป็น Locker room แยกชาย-หญิง
ความพิเศษของที่นี่ คือ ใน Locker room ของแต่ละฝั่ง นอกจากห้องน้ำและห้องอาบน้ำแล้ว ยังมีอ่างจากุชชี่ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นให้บริการอีกด้วย ใครชอบแช่น้ำเพื่อผ่อนคลายมาแช่กันได้
มีห้องสตีมและซาวน่าให้บริการด้วย (แต่ในช่วง Covid ยังปิดให้บริการอยู่)
สระว่ายน้ำของโรงแรม ทอดยาวไปจนถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ใครชอบว่ายน้ำ ว่ายได้เพลินแน่นอน เพราะระยะของสระค่อนข้างยาวเหมาะกับการว่ายออกกำลังกาย
ด้านหลังของสระว่ายน้ำ คือ Spa ของโรงแรมครับ
ใครอยากดื่มอะไรเพิ่มเติม มี Pool bar คอยให้บริการอยู่
ใกล้กับสระว่ายน้ำ คือ ห้องอาหาร Thiptara ที่เราจะมาทานมื้อเย็นกันครับ
ที่นั่งส่วนใหญ่อยู่ติดริมแม่น้ำ และอยู่กลางแจ้ง ทำให้เหมาะแก่การมานั่งชิล ทานอาหารอร่อยในช่วงเย็น
บรรยากาศในร้าน ตกแต่งด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ให้บรรยากาศไทยๆ ถูกใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ส่วนหนึ่งของ Dinner Set ที่เราสั่งมาทาน ผัดไทกุ้งสดและยำผักบุ้งกุ้งกรอบ เป็นเมนูที่เราแนะนำ
ติดกับห้องอาหาร Thiptara คือห้องอาหาร River Cafe & Terrace ที่เราจะมาทานอาหารเช้ากันครับ
Buffet Line ด้านนอก อาหารหลากหลายมาก มีทั้ง Station ก๋วยเตี๋ยว ติ่มซำ ไข่ต่างๆ และมีอาหารให้เดินตักอีกหลายเมนู
ป๊อบสุดน่าจะเป็นโซนติ่มซำ มีทั้งขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา คนต่อคิวสั่งกันตลอดเวลา
ด้านในห้องแอร์จะเป็นสลัด Bakery และเครื่องดื่มต่างๆ
หน้าตาอาหารเช้าบางส่วน
สุดท้ายนี้เราจะมาสรุปสิ่งที่เราชอบจากการมา Staycation ที่ The Peninsula Bangkok กันครับ
จุดที่ชอบ
- วิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่มองเห็นได้จากห้องพักทุกห้องของโรงแรม ถึงแม้จะเป็นห้องเริ่มต้นก็ยังได้วิวที่สวยงาม
- พื้นที่ภายในห้องพักแบ่งเป็นสัดส่วนดี เตียงนอน และหมอน นุ่ม นอนสบายมาก
- Facility โดยเฉพาะโซน Fitness และสระว่ายน้ำ ดีงามมาก
- อาหารเช้าหลากหลายและรสชาติดี
- ความคุ้มค่าคุ้มราคา จากโปรโมชั่นของโรงแรมในช่วงนี้
จุดที่ไม่ชอบ
- การจัดวาง และ Function บางอย่างในห้องพักที่ไม่ค่อยตอบโจทย์เรื่องการใช้งาน
- ภายในห้อง (ก่อนเราจะ check-out) มีกลิ่นเหมือนกลิ่นสีออกมาจากช่องแอร์ น่าจะเป็นเพราะมีห้องข้างเคียงอาจจะ Renovate อยู่ทำให้มีกลิ่นลอยเข้ามา
- ดีไซน์ของห้องที่บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันเชยและดูเก่า ในข้อนี้เราไม่ค่อยติดเท่าไร เพราะโดยภาพรวมถือว่ายังดูดี
- การบริการ (ตรงบริเวณ Lobby) อาจเป็นเพราะเราคาดหวังการการบริการที่นี่มากพอสมควร จุดที่รู้สึกไม่โอเคมากที่สุดน่าจะเป็นตอน check-in ที่ดูวุ่นวาย และเราต้องยืนต่อคิว + โดนแซงคิวไปด้วย ไม่มีพนักงานดูแลจัดการ หรืออำนวยความสะดวกตรงจุดนี้ แถมพอ check-in ได้ keycard เสร็จ ก็คือจบ ไม่มีการพาไปที่ห้อง หรือพาไปแนะนำการใช้งานต่างๆ ในห้องเลย ซึ่งจุดนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับโรงแรมระดับนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การบริการในส่วนอื่นๆ ทั้งในห้องอาหาร Fitness สระว่ายน้ำ ทุกที่โอเคหมดเลย