Six Senses Samui : ความหรูหราที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ
Six Senses Samui
เป็นอีกรีสอร์ทหนึ่งที่เราอยากจะมาลองพักดูสักครั้ง ที่นี่อาจจะไม่ได้ดูหรูหราหรือ Modern เหมือน Luxury resort อื่นๆ แต่จุดเด่นของ Six Senses คือ Eco Friendly การออกแบบและวัสดุตกแต่งที่ทางรีสอร์ทเลือกใช้ คือ วัสดุธรรมชาติเป็นหลัก การจัดวาง Layout ของ Villa และอาคารต่างๆ กลมกลืนไปกับบรรยากาศและสภาพแวดล้อมโดยรอบ ของใช้ภายในห้องทุกอย่างต้อง Plastic free แต่ถึงแม้ว่าเขาจะชู Concept รักธรรมชาติแบบนี้ แต่การบริการ และบรรยากาศตลอดการเข้าพัก ที่นี่คือ Luxury resort ที่ดีงามไม่แพ้ที่อื่นเลยทีเดียว
สำหรับ Six Senses ในประเทศไทยตอนนี้ เหลือเพียงแค่ 2 แห่ง คือ ที่เกาะยาวน้อย และเกาะสมุย สำหรับรีวิวนี้ เราจะพาไปชม Six Senses Samui รีสอร์ทอีกแห่งหนึ่งบนเกาะสมุยที่เราประทับใจมากๆ เรียกได้ว่าประสบการณ์การเข้าพักที่นี่เกินความคาดหมายของเรามาก ทั้งความสวยงามของ Pool Villa การบริการของพนักงาน และบรรยากาศที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง ดีถึงขนาดที่เราต้องมาทำรีวิวแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักเนี่ยแหละ ส่วนจะน่าสนใจและดีงามขนาดไหน ตามมาอ่านรายละเอียดกันได้เลยครับ
Location
Six Senses Samui ตั้งอยู่บริเวณแหลมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสมุย ห่างจากสนามบินสมุยประมาณ 8 กม. จุดเด่นของทำเลบริเวณนี้ คือ สามารถมองเห็นได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก โดย Villa จะกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่ง ดังนั้นเวลาจะจอง อาจจะลอง Request ทิศของห้องพักที่ต้องการกับพนักงานตอนจองได้ แต่บริเวณพื้นที่หลักๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ทางทิศตะวันตก เช่น Lobby, ห้องอาหาร Dining on the Hills และ Main Pool เป็นต้น และมีห้องอาหาร Dining on the Rocks ที่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกยอดนิยมอีกจุดหนึ่งของเกาะสมุย
Design
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าที่นี่เขาเน้นเรื่อง Eco Friendly ดังนั้นวัสดุที่ใช้จะเป็นวัสดุธรรมชาติเช่น ไม้ ไม้ไผ่ โดยมีโครงหลักเป็นปูน การตกแต่งภายในให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้าน ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ ผ้าม่านใช้สี Earth tone เป็นหลัก ซึ่งเขาเอามาจัดวางและเลือกรูปแบบมาได้ดูลงตัว และหรูหรา แต่ยังไม่โดดจากบรรยากาศธรรมชาติโดยรอบ เข้ามาใน Villa แล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายตาดี
บริเวณส่วนกลางทั้ง Lobby และห้องอาหาร ก็คุม Theme Eco Friendly แบบเดียวกัน เราชอบตรงที่เขาวาง Layout ของอาคารได้ดี สามารถมองเห็นวิวได้อย่างเต็มตา และมีความสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ทุกพื้นที่เป็น Outdoor ทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนเลยที่ติดแอร์ (ยกเว้นภายใน Villa และห้อง Spa / Fitness) ทำให้เราได้สัมผัสกับลมทะเล และใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ เราไปพักมาเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน แต่อากาศบริเวณส่วนกลางเราว่าสบายๆ มีลมทะเลโชยมาเรื่อยๆ ไม่ได้ร้อนมากอย่างที่คิดไว้
Villa
ห้องพักของที่นี่ส่วนใหญ่เป็น Pool Villa (ยกเว้น Hideway Villa ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้น จะไม่มีสระว่ายน้ำ) เราจองห้อง Ocean View Pool Villa (Villa 14) ขนาด 160 ตร.ม ซึ่งเป็นห้องพักระดับที่ 3 ของรีสอร์ท และเป็นห้อง Type แรกที่มองเห็นวิวทะเล (แต่วิวก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ Location) การวาง Layout ห้องพักของที่นี่ จะไล่ระดับจากริมทะเลสุดขึ้นไปตามเนิน ห้องที่เห็นวิวทะเลแบบไม่มีอะไรกั้น คือ Ocean Front Pool Villa Suite และ Ocean Front Pool Villa ซึ่งราคาก็จะแพงขึ้นไปอีก ส่วนห้องของเราจะอยู่ขึ้นมาบนๆ หน่อย ทำให้เห็นวิวทะเลที่มี Villa ด้านล่าง และต้นไม้บางส่วนบดบังวิวไปบ้าง โดยส่วนตัวเราไม่ติดนะ เพราะยังไงก็ยังเห็นทะเลอยู่ แต่ถ้าใครอยากได้วิวทะเลแบบ Infinity view ก็คงต้องยอมจ่ายเพิ่มแหละ
Villa 14 ของเรา มีข้อดี คือ อยู่ติดกับห้องอาหาร Dining on the Hills และ Main Pool ทำให้เดินไม่ไกล ไม่ต้องเรียกรถบัคกี้ก็ได้ ด้านนอก Villa มีรั้วและประตูไม้เพื่อความเป็นส่วนตัว เดินเข้ามาจะเป็นทางเดินเข้าสู่ตัว Villa เข้ามาด้านในทางซ้ายจะเป็นเตียงนอน โต๊ะทำงาน โซฟา และทีวีอยู่ในโซนเดียวกัน มีห้องน้ำอยู่โซนด้านขวา แบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน คือ อ่างอาบน้ำ, อ่างล้างหน้า His & Her, ห้องสุขา และ Outdoor Shower เปิดประตูออกไปด้านนอกจะเป็นสระว่ายน้ำ และศาลาซึ่งมีโซฟาให้นอนเล่นได้ และยังมี Day bed ริมสระอีก 2 เตียง เรียกได้ว่าเป็น Villa ที่ออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้ดี และมีขนาดกว้างขวางมากๆ สำหรับ 2 คน
Dining on the Hills
ห้องอาหารหลักของรีสอร์ท ติดกันจะเป็น Drinks on the Hills สำหรับมาจิบชายามบ่าย หรือไว้ดื่มชมบรรยากาศทะเลสวยๆ ในยามเย็น จุดเด่นของที่นี่คือเป็นห้องอาหารที่วิวสวยมาก มองเห็นวิวทะเลเต็มๆ ตาแทบทุกมุม ยามเช้า ยามบ่าย และยามเย็นให้บรรยากาศและความสวยงามที่แตกต่างกันไป เราได้มาทาน Breakfast ที่นี่ ซึ่งช่วงนี้เขาจะเสิร์ฟเป็น a la carte breakfast โดยจะมีพนักงานรับ order จากเราและนำมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ เพื่อลดการสัมผัส ซึ่งเมนูที่เสิร์ฟก็จะมีทั้งอาหารไทย และ อาหารฝรั่ง โดยภาพรวมเราว่าเมนูอาหารมีให้เลือกน้อยไปหน่อย แต่เราชอบเมนูเครื่องดื่ม ที่จะมีน้ำผลไม้แบบพิเศษๆ ให้ได้สั่ง ส่วนใครอยากทาน Afternoon tea แนะนำว่าต้องจองล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 วัน (ถ้าใช้เราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้ E Voucher เป็นส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่มได้)
ส่วนห้องอาหารที่เป็นไฮไลท์อย่าง Dining on the Rocks ในสถานการณ์ covid แบบนี้ยังปิดให้บริการแบบไม่มีกำหนด ไว้รอสถานการณ์ดีกว่านี้ เราจะต้องหาโอกาสกลับมาทานอาหารที่นี่ให้ได้เลย
Value
ราคาห้องพักตอนนี้ต้องบอกว่าคุ้มมาก อย่างช่วงที่เราไปพักทางรีสอร์ทจัดโปรเริ่มต้นที่ 4,900 บาท/คืน (ราคาหลังจากหักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน และต้องพักขั้นต่ำ 2 คืน) และได้รับสิทธิ Upgrade Villa อีกด้วย ซึ่งราคาปกติของที่นี่ไม่เคยต่ำกว่า 15,000 บาท/คืนมาก่อน และหลายๆ โปรที่ออกมายังมี Benefit อื่นเพิ่มเติมให้อีก แตกต่างกันไปตามแต่ละโปร หากใครสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางเพจของรีสอร์ทได้โดยตรงเลยครับ ราคาแบบนี้ถ้าเปิดประเทศแล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไร หากสถานการณ์ Covid ดีขึ้น ก็ลองหาโอกาสไปสัมผัสประสบการณ์แบบนี้กันดูสักครั้งนะครับ
และนี่ก็คือภาพรวมของ Six Senses Samui ที่เราได้สัมผัสมา หวังว่าเพื่อนๆ จะได้ไอเดีย และเก็บที่นี่ไว้เป็นอีก 1 ใน List ของรีสอร์ทที่ควรมาสักครั้งกันนะครับ ส่วนใครสนใจรายละเอียดสามารถเข้ามาอ่านได้ในโพสท์เพิ่มเติมได้เลย แล้วรอติดตามชมรีวิวหน้ากันนะครับ ยังมีรีสอร์ทหรูๆ สวยๆ มาให้ได้อ่านกันอีกแน่นอน
บริเวณ Lobby ของรีสอร์ท สามารถขับรถมา drop 0ff บริเวณนี้ได้ จะมีพนักงานนำรถไปจอดให้
แค่วิวตรง Lobby ก็ปังมากแล้ว
Welcome drink เป็นน้ำสัปปะรด ผสมกับขิง มะนาว และน้ำผึ้ง ดื่มแล้วสดชื่นมาก
หลัง check-in เสร็จ พนักงานก็พาเรามาส่งที่ Villa 14 ซึ่งเป็นห้องพักของเราในคืนนี้
เปิดรั้ว Villa เข้ามา จะมีทางเดินเล็กๆ และชานพักก่อนเข้าไปด้านใน
เปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับภาพนี้ เห็นวิวทะเลเต็มๆ จากเตียงนอนเลย
เตียงนอน โต๊ะทำงาน และโซฟา จะอยู่ในโซนเดียวกัน
ถ้าใครมากัน 3 คน พนักงานจะทำเตียงเสริมให้บริเวณโซฟา
มองออกไปจากปลายเตียงจะเห็นสระว่าสระว่ายน้ำ และวิวทะเล
ทางด้านขวาของทางเข้าจะเป็นโซนห้องน้ำ ด้านในห้องน้ำมีโซฟาใหญ่หน้าอ่างล้างหน้าและเป็นที่วางของ
เดินเข้าโซนห้องน้ำมาเราจะเจออ่างอาบน้ำอยู่ทางด้านซ้าย มองเห็นวิวด้านนอกได้
ทางด้านขวาจะเป็นอ่างล้างหน้า โซฟา ตู้เสื้อผ้า ห้องสุขา และ Outdoor Shower
ห้องสุขาแยกมาเป็นสัดส่วน มีสายฉีดให้ด้วย
Outdoor Shower มีทั้งฝักบัวธรรมดาและ Rain Shower ออกมาอาบน้ำช่วงกลางคืนรู้สึกหวิวๆ นิดนึง
Welcome fruits และเอกสารแนะนำรีสอร์ท ที่นี่ใช้กุญแจธรรมดา ไม่ใช่ Keycard
บริเวณโต๊ะทำงานมีเครื่องทำกาแฟแคปซูลให้ด้วย Minibar มีน้ำดื่มใส่ขวดแก้วไว้ให้ สามารถขอเพิ่มได้
มาต่อกันที่สระว่ายน้ำของเราบ้าง กว้างขวางใช้ได้เลย วิวดีมากด้วย
สำหรับเรา ห้องนี้วิวดีเลยนะ แม้จะโดนบังไปบ้างแต่ก็ไม่แย่
ว่ายน้ำไป ชมวิวไป มันดีมากจริงๆ
ชมห้องพักเสร็จแล้ว เราจะพาชมส่วนอื่นๆ ของรีสอร์ทกันต่อครับ
เริ่มที่ Main Pool ยามเย็น มาว่ายน้ำชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ได้
เสียดายเมฆเยอะไปหน่อย เลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกเต็มๆ
เดินขึ้นมาจาก Main Pool จะเจอที่นั่งวางเรียงรายไว้ เหมาะแก่การมานั่งรับลมชมวิวช่วงเย็น
หรือถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ น่าจะชอบมาอาบแดดบริเวณนี้กัน
ถัดมาด้านบนสุดจะเป็นห้องอาหาร Dining on the Hills เราจะทาน Breakfast ที่นี่กัน
วิวสวยมาก
มองลงไปจะเห็น Main Pool อยู่ด้านล่าง
โซนเตรียมอาหารช่วง Breakfast ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติน่าจะเป็น Buffet Line ให้มาตักได้เอง
หน้าตาอาหารเช้าบางส่วน
บรรยากาศยามเย็นที่ Dining on the Hills สวยงามไม่แพ้กัน
ติดกับ Dining on the Hills คือ Drinks on the Hills มีเครื่องดื่มและขนมให้บริการ
หรือถ้าใครจะจิบชา Afternoon tea สามารถแจ้งพนักงานได้เลย (แนะนำให้จองก่อน)
ดื่มกาแฟ ทานขนม ชมวิว บรรยากาศดีมากจริงๆ
ส่วนใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ มาเล่นน้ำทะเล หรือนั่งชมวิวริมสระ แวะมาที่ Drift at the Beach ได้
บริเวณนี้จะมี Beach bar ที่มีเครื่องดื่มให้บริการ และมีสระว่ายน้ำอีกสระ จะมาเล่น หรือมานอนพักชิลๆ ก็ได้
มุมนี้เป็นมุม Signature ของรีสอร์ทที่ใครมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูป
แนะนำให้มาถ่ายรูปช่วงเช้า เพราะโซนนี้จะอยู่ทางทิศตะวันออกของรีสอร์ท
บริเวณชายหาด และ Beach bar
จุดสุดท้ายที่เราจะพาไปชมกัน คือ โซน Wellness & Spa ทางลงจะอยู่ใกล้กับ Lobby
ลงบันไดมาเราจะเจอ Reception ของ Spa มีร้านขายของที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ Spa ของทางรีสอร์ท
เดินออกมาด้านนอกจะเจอพื้นที่ Outdoor มองเห็นวิวทะเลแบบนี้ มีทางเชื่อมเดินไปยัง Fitness และห้อง Treatment
บรรยากาศโดยรอบ Spa
เดินลงมาด้านล่างจะมีศาลาสำหรับสอนโยคะ ซึ่งสามารถเดินลงไปที่ชายหาดได้
จุดนี้เป็น Hidden place ของที่นี่เลย ใครชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาด
วิวทะเลจาก Spa สวยงามไม่แพ้มุมอื่นๆ เลย
และนี่ก็คือรายละเอียดทั้งหมดของ Six Senses Samui ครับ เราจะมาสรุปความประทับใจของที่นี่ในโพสท์สุดท้ายนี้กันครับ
จุดที่ชอบ
- การออกแบบและบรรยากาศ คือจุดขายของที่นี่ก็ว่าได้ เป็นครั้งแรกที่เราได้มาสัมผัสประสบการณ์ในรีสอร์ทที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนจะไม่ได้หวือหวา แต่ยังให้ความรู้สึกหรูหราไฮโซ สมกับความเป็น Luxury resort จริงๆ
- การบริการและความเอาใจใส่ของพนักงานแทบทุกคน คือ ดีมากๆ โดยเฉพาะ Butler ที่ดูแลเราเต็มที่มากจริงๆ
- พื้นที่ใช้สอยลงตัว และ Layout ภายในห้องพักกว้างขวาง ใช้โทนสีและวัสดุที่ดูดี
- วิวดีมาก โดยเฉพาะที่ส่วนกลางแทบทุกจุด ส่วนวิวจากห้องพัก (ของเรา) ประทับใจนะ แต่ถ้าอยากได้วิวดีกว่านี้ก็ต้องยอมจ่ายแพงเพื่อ Upgrade ห้อง
- ราคาในช่วงนี้คุ้มค่ามากๆ ลดมามากกว่า 50% ควรค่าแก่การมาลองพัก
จุดที่ไม่ชอบ
- อาหารเช้ามีเมนู Main dish ให้เลือกน้อยไปหน่อย และอาหารไม่ได้ทำจานต่อจาน ทำให้บางอย่างเย็นชืด และรสชาติไม่ได้ว้าวเท่าไร (อันนี้เรา comment ไปกับทางโรงแรมแล้ว หวังว่าจะมีการปรับปรุงที่ดีขึ้น)
- คนที่กลัวแมลง และสัตว์ต่างๆ เช่น ตุ๊กแก จิ้งจก อาจไม่ถูกใจที่นี่ เพราะรอบๆ มันคือป่า ทำให้หลีกเลี่ยงสัตว์พวกนี้ไม่ได้จริงๆ
- วิวของห้องพัก อาจจะไม่ได้วิวที่ดีเหมือนๆ กันทุกห้อง แม้จะเป็นห้องระดับเดียวกัน เพราะที่นี่เขาเน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติจริงๆ ทำให้ไม่มีการตัดต้นไม้ ทำให้บางห้องอาจจะเจอต้นไม้บังวิว แนะนำว่าให้ลอง Request กับทางรีสอร์ทไปก่อนว่าขอห้องที่วิวชัดๆ วิวสวยๆ และถ้าให้เราแนะนำเราว่าวิวฝั่งตะวันตกดูดีกว่าวิวฝั่งตะวันออก