Winter in Paris : 4 Days 4 Nights in a Dream Destination

Winter in Paris : ทริปแรกของปี 2024 และ ปารีสครั้งแรกของเรา!

Bonjour à tous!

เริ่มต้นทักทายแบบนี้ ไม่ต้องแปลกใจกันนะ เพราะเราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว “ปารีส”​ เมืองหลวงสุดโรแมนติกที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน โดยครั้งนี้เราได้ไปเที่ยวปารีสในช่วงฤดูหนาว (28-31 Jan 2024) ซึ่งเป็นช่วง Low Season ของที่นี่ ซึ่งก็มีข้อดีหลายอย่างในการมาเที่ยวปารีสช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักที่ราคาถูกกว่าช่วงอื่น , นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นเท่าช่วงฤดูร้อน อากาศหนาวก็ทำให้เราได้แต่งตัวกันจัดเต็ม และที่สำคัญ ในช่วงกลางเดือน ม.ค. จนถึงต้นเดือน ก.พ. ของทุกปี เป็นช่วง Winter Sales  ลดราคากันทุกร้าน ทุกห้าง รับรองว่าถูกใจขาช็อปกันอย่างแน่นอน

เนื่องจากทริปนี้เป็นการมาเที่ยวปารีสครั้งแรกของเรา แพลนเที่ยวเลยอาจจะดูมีแต่สถานที่ Tourist ไปหน่อย เหมาะกับเพื่อนๆ ที่กำลังแพลนมาเที่ยวปารีสครั้งแรกเหมือนกัน และไม่รู้ว่าจะจัดแผนอย่างไรดี ลองเอาแพลนของเราเป็น reference คร่าวๆ กันได้ครับ

Day 1
– Check-in : Intercontinental Paris Le Grand
– Lunch : La Plume Rive Droite
– Bourse de Commerce – Pinault Collection
– BNF Richelieu Site
– Sunset at Galeries Lafayette Rooftop
– Shopping : Printemps Haussmann

Day 2
– Breakfast : Cafe de la Paix
– Trocadero
– Avenue de Camoens
– Pont de Bir Hakeim
– Lunch : Zen
– Louvre Museum
– Cafe Kitsune Louvre
– Tuileries Garden
– Sunset at Pont Alexandre III

Day 3
– Pyramid du Louvre
– Domaine National du Palais-Royal
– Musee d’Orsay
– Lunch : Kong
– Check-in : Hotel Splendid Etoile
– Champs-Elysees

Day 4
– Arc de Triomphe
– Cafe Nuances
– Pont de l’Alma
– 228 Rue de l’Universite
– L’Howea
– Check-in : Hotel La Comtesse Tour Eiffel
– Sunset at Montmarte
– Champ de Mars

สำหรับรายละเอียด และ Tips ในการท่องเที่ยวปารีสจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เพื่อนๆ ตามมาอ่านรายละเอียดกันได้ในรูปของโพสท์นี้ หรือจะเข้าไปชมรีวิวแบบเต็มได้ทางเว็บไซท์ของเราที่จะแปะลิงค์ไว้ให้ในคอมเมนท์นะครับ

 

ตั๋วเครื่องบิน

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากไปเที่ยวยุโรปและอยากควบคุม Budget ไม่ให้บานปลายมากนัก สิ่งแรกที่ต้องเตรียม คือ การจองตั๋วเครื่องบิน แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน หรือบางสายการบินอาจมีโปรล่วงหน้านานกว่านั้น ทริปนี้เราได้ตั๋วของสายการบิน Singapore Airline ในราคาไป-กลับอยู่ที่ 22,xxx บาท แม้จะบินอ้อมและเสียเวลาต่อเครื่องบ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก อย่างขาไปเราเสียเวลา Transit ประมาณ 2 ชม.กว่าๆ ส่วนขากลับเกือบ 6 ชม. แต่ข้อดีก็คือเราสามารถออกไปเดินเล่นที่ Jewel ได้ระหว่างรอ และสนามบินสิงคโปร์ก็มี lounge ดีๆ ให้เข้า (สำหรับคนที่มี Priority Pass หรือบัตรเครดิตที่สามารถเข้า Lounge ได้) ก็ทำให้ความน่าเบื่อระหว่างรอลดลงไปได้ครับ

ที่พัก

ในส่วนของที่พัก บอกเลยว่าโรงแรมในปารีสราคาค่อนข้างแพง ถึง แพงมาก โดยเฉพาะในช่วง High Season แนวทางการเลือกที่พักของเราหลักๆ เลยดูจาก Location , ความปลอดภัย และ ความสวยงามของโรงแรม (หรือวิวจากห้องพัก) เริ่มกันที่ทำเลกันก่อน ในปารีสเนี่ย เขาจะแบ่งเป็นเขต สำหรับเขตที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก คือ เขต 1 , 2 (แถว Louvre) , 6 (แถว Notre Dame) , 8 (Champ-Elysee) , 9 (Opera) ส่วนเขตที่ใกล้กับหอไอเฟล คือ 7, 15 และ 16 ซึ่งแต่ละเขตก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เราได้พักที่เขต 7, 8 และ 9 โดยส่วนตัวเราชอบ 9 มากสุดเพราะโซน Opera น่าจะเหมาะกับนักท่องเที่ยว มีห้าง ร้านอาหาร ร้านค้ามากมาย อยู่ในระยะเดินไปถนน St.Honore ได้ และไป-กลับจากสนามบินได้ด้วยรถบัส สะดวกมาก ส่วนใครไม่ชอบความพลุกพล่านนัก มีคาเฟ่ ร้านค้า ร้านแบรนด์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่นอกห้าง เขต 6 น่าจะตอบโจทย์มากๆ ส่วนถ้าใครอยากได้โรงแรมราคาไม่แพง แนะนำเขต 12, 13, 14, 15 แต่อาจต้องแลกกับการเดินทางไกลเล็กน้อย โซนที่ควรเลี่ยง คือ 9, 10 เพราะย่านนั้นค่อนข้างอันตราย

 

วีซ่า

การทำวีซ่าเชงเก้นของฝรั่งเศสมี 2 ขั้นตอน คือ กรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าทางออนไลน์ก่อน กรอกเสร็จแล้วจึงทำนัดหมายเพื่อไปเก็บลายนิ้วมือผ่านทาง TLS contact ซึ่งอยู่ที่ชั้น 12 อาคาร Sathon City Tower  ทำตามขั้นตอนและเตรียมเอกสารตามที่ในเว็บแนะนำ ไม่ยุ่งยากเลยครับ ของเราใช้เวลารออนุมัติเพียง 3 วันหลังจากยื่นที่ TLS ถือว่าไวมากๆ เราได้ทำรีวิวการขอวีซ่าไว้ ลองเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ทาง Link ด้านล่างนี้ครับ

https://www.facebook.com/100063503291354/posts/pfbid07TPF92T4totsgFiJH9s5c2VbVy7gYLDRNgX95V5EDUPu75Y9RjrW6Qt1wyT57SThl

 

การเดินทาง

การเดินทางด้วยรถสาธารณะในปารีส มีทั้ง Metro, RER (รถไฟด่วน) และ Bus โดยสามารถใช้บัตรโดยสารที่เรียกว่า Navigo Easy ซึ่งเราแนะนำให้ซื้ออันนี้เพราะมันสะดวกมาก ไม่ต้องใช้เงินสดซื้อตั๋วบนบัส สามารถซื้อ  ticket t+ ที่ใช้ขึ้นรถได้ทุกประเภทผ่าน app ในมือถือของเราได้เลย (คล้ายกับการซื้อเที่ยวเดินทางในบัตร rabbit) แนะนำว่าให้ซื้อเป็น bundle ticket t+ 10 เที่ยวไปเลย เพราะจะได้ราคาถูกลงกว่าซื้อทีละเที่ยว
บัตร Navigo Easy สามารถซื้อได้ที่ห้องพนักงานขายตั๋วที่สถานี Metro ทุกสถานี ราคา 2 ยูโร (กลับมาแล้วเก็บไว้เอาไปใช้ใหม่ได้ หรือจะส่งต่อให้คนอื่นก็ได้) ตอนซื้อสามารถให้พนักงานเติมเที่ยวเดินทางให้ได้เลยนะ จะได้ไม่ต้องไปเติมเอง ตลอด 4 วันที่ผ่านมาเราเดินทางด้วย Bus เป็นหลัก เพราะปลอดภัยกว่า Metro และมีรถบริการหลากหลายเส้นทาง แม้จะไม่ไวเท่า Metro แต่ก็สะดวกดี

ส่วนการเดินทางจากสนามบิน CDG สามารถมาได้ทั้ง Taxi (ราคา Fix ขึ้นอยู่กับปลายทางที่ไป) , RER (ไม่แนะนำ เพราะน่ากลัวไปหน่อย) และถ้าพักแถว Opera สามารถนั่ง Roissy Bus ซึ่งจะมีรถให้บริการทุก 15 นาที มาจอดตรงหน้า Opera Ganier เลย ราคาตั๋ว 16.6 Euro ต่อเที่ยว ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงสถานี และปลอดภัยจากโจรได้ระดับหนึ่ง

App ที่เราใช้สำหรับการเดินทาง คือ Google map เพราะบอกละเอียดทั้งเส้นทาง สายรถไฟทั้งหมด หมายเลข Bus ที่ต้องขึ้น เพียงพอต่อการเดินทางด้วยตัวเองในปารีสครับ

การใช้จ่ายในปารีส

แนะนำให้ใช้บัตรเครดิตเป็นหลัก (หรือ Travel card) ปลอดภัย และสะดวกกว่าการพกเงินสดมากๆ ครับ แทบทุกร้าน ทุกสถานที่ในปารีสตอนนี้รับบัตรเครดิตทั้งนั้น ไม่มีขั้นต่ำด้วย ตลอด 4 วันที่ผ่านมาเราจ่ายเงินสดไปครั้งเดียว ที่ร้านอาหารของคนจีน เพราะทางร้านไม่รับบัตรเครดิต ดังนั้นใครจะแลกเงินสดไป แนะนำพกติดตัวไปสัก 50-100 Euro ก็เพียงพอครับ

การทำ Tax Refund

มาเที่ยวปารีสทั้งที ถ้าไม่ช็อปปิ้งก็จะยังไงๆ อยู่ สำหรับขาช็อปที่ตั้งใจมาช็อปที่นี่ แนะนำว่าถ้าจะทำ Tax refund ตอนขอคืนรับเป็นเงินสดจะเร็ว และดีกว่าครับ (ส่วนตัวนี่พลาดไปแล้ว ขอคืนผ่านทางบัตรเครดิตผ่านมา 1 เดือนยังไม่ได้คืนเลย) ยิ่งถ้าบางห้าง (เช่น Printemps) สามารถขอเป็นเงินสดคืนที่ห้างได้เลย แม้จะได้ % ที่ต่างกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลารอนานครับ (ถ้ารับ refund ผ่านบัตรเครดิต ได้คืน 12% เงินสด ได้คืน 10% ยอดขั้นต่ำในการซื้อ 100 Euro ขึ้นไป)

การยื่นขอคืน tax ที่สนามบินก็ไม่ยุ่งยากครับ แต่ละ Terminal จะมีจุดทำ tax refund ซึ่งจะเป็นเครื่องอัตโนมัติ ให้เราเอาเอกสาร tax refund ที่ได้จากร้านค้า และจะมี barcode อยู่บนเอกสารนั้น ไปแสกนกับตู้อัตโนมัติ หากไฟที่ตู้ขึ้นสีเขียว ไม่ต้องสำแดงของที่ซื้อมา แต่ถ้าขึ้นสีแดง ต้องไปต่อแถวเพื่อสำแดงของกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ดังนั้น แนะนำให้ทำก่อนนำกระเป๋าเดินทางไป check-in นะครับ

 

มาเริ่มต้นทริปของเรากันดีกว่า!

เราเดินทางกับสายการบิน Singapore Airline ซึ่งมาลงจอดที่ Terminal 1 ของสนามบิน Charles-de-Gualle เนื่องจากไฟล์ทของเรามาถึงประมาณ 7 โมงเช้า จึงใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีในการผ่าน ตม. และรอรับกระเป๋า จากนั้นเราจะเดินทางเข้าเมืองด้วยการนั่งรถ RoissyBus ไปลงที่ Opera กัน โดยจุดขึ้นรถ RoissyBus ที่ Terminal 1 จะอยู่ตรงทางออก 32a

เห็นป้าย RoissyBus อยู่ตรงทางออก 32a

เดินข้ามถนนมาจะมีที่นั่งรอรถ ภายในจะมีตู้สำหรับกดซื้อตั๋ว

วิธีการซื้อตั๋วก็ไม่ยาก เพราะมีภาษาอังกฤษและจ่ายด้วยบัตรเครดิตหรือ Travel card ได้เลย ราคาตั๋วเที่ยวละ 16.6 Euro
ความสะดวกของการนั่ง RoissyBus คือ ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้น-ลงสถานีรถไฟ และราคาถูกกว่าการนั่ง Taxi (แต่ถ้ามากันมากกว่า 2 คน นั่ง Taxi จะคุ้มกว่านะ)

ใช้เวลานั่งรถจาก Terminal 1 มาถึง Opera ประมาณ 50 นาที
จุดจอดรถรับ-ส่งที่ Opera จะเป็นจุดเดียวกัน ใกล้กับโรงแรม Intercontinental Paris Le Grand ที่เรามาพักคืนนี้มากๆ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/3dvfcPhjKah97MuW9

ก่อนมา เราได้ Request กับทางโรงแรมไว้ว่าขอ Early Check-in ตอนประมาณ 10 โมงเช้า เผื่อจะได้อาบน้ำ พักผ่อนก่อนออกไปเที่ยว แต่พอไปถึงโรงแรม ห้องยังไม่พร้อม พนักงานเลยให้ไปนั่งรอที่ Lounge เพื่อทานอาหารเช้าระหว่างรอห้องพัก

ที่เราสามารถมาเข้า Lounge ได้ เพราะห้องพักที่เราจองมาจะรวมสิทธิ Lounge Access มาด้วย (ในราคาที่แพงกว่าจองห้องอย่างเดียวประมาณ 100 Euro) ซึ่งความคุ้มค่าของการเข้า Lounge ก็คือ เราจะมีทั้งอาหารเช้า, Afternoon tea และ Evening Cocktail เรียกได้ว่าพักผ่อนในโรงแรมกันได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียเงินออกไปหาอาหารข้างนอกทานเลย

บรรยากาศภายใน Lounge

หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย ห้องพักของเราก็พร้อมพอดี เราจะพักที่ Intercontinental Paris Le Grand กันทั้งหมด 2 คืน โดยเราได้จองห้อง ” 1 Queen Cosy ” ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นของโรงแรมมา แต่ด้วย Status IHG Platinum ของเรา ทางโรงแรมจึง upgrade ให้เป็นห้อง ” 1 King Premium Balcony ” ซึ่งจะมีขนาดห้องที่กว้างขึ้น เตียงที่ใหญ่ขึ้น และมีระเบียงออกไปด้านนอก แต่น่าเสียดายที่วิวจากห้องพักของเราไม่ได้วิว Opera ซึ่งเป็นวิวไฮไลท์ของโรงแรม ราคาห้องพักเริ่มต้นประมาณ 400 Euro / คืน

บรรยากาศภายในห้องพัก

ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ แยกกับ Shower Room ส่วนห้องสุขาจะแยกไปอีกห้อง อยู่บริเวณทางเข้าห้อง

มีระเบียงออกจากห้องน้ำได้ด้วย

อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาออกไปเที่ยวตามแพลนวันแรกของเรากันครับ เริ่มต้นด้วยการไปทานอาหารกลางวันกันที่ห้องอาหาร “La Plume Rive Droite” ซึ่งเป็นห้องอาหารของ Hôtel Madame Rêve โรงแรมที่ออกแบบสวย และน่าพักมากๆ อีกแห่งหนึ่งในปารีส (แต่ราคาก็แรงมากเช่นกัน) แนะนำว่าหากอยากได้ที่นั่งมุมถ่ายรูปสวยๆ ควรจองโต๊ะก่อนล่วงหน้าครับ (ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจอง) หรือหากยังแพลนไม่แน่นอน จะ walk in มาก็ได้เช่นกันครับ คนไม่เยอะมาก

สำรองที่นั่งได้ทาง https://laplumerivedroite.com/en/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/V9KXiNygyzn6pgVJ7

บรรยากาศภายในห้องอาหาร

เราเลือกมาทาน Lunch Set ซึ่งจะมี 2 ราคา คือ 45 Euro (Main dish + appetizer or dessert) และ 55 Euro (appetizer + main dish + dessert) ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่ม (และ Tips ตอนจ่ายเงิน) อาหารของร้านนี้จะเป็นอาหารญี่ปุ่น Fusion เมนูน่าทานหลายอย่างมากๆ เราเลือกทาน Set 45 Euro  เพราะตอนบ่ายจะกลับไปทาน afternoon tea ที่โรงแรมอยู่แล้ว เมนูที่เราเลือก คือ กุ้งเทมปุระทานคู่กับซอสครีม และปลาย่างทานคู่กับซอสมิโสะ และข้าวญี่ปุ่น อร่อยมากๆ ครับ เป็นอีกร้านที่แนะนำเลย

อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลามาเดินย่อยกันที่ Bourse de Commerce – Pinault Collection อาคารนี้เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์ของฝรั่งเศส และได้ renovate ใหม่ให้เป็น Art Museum  จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยหมุนเวียนไปตลอดทั้งปี ความพิเศษที่เราตั้งใจมาชมก็คือ การออกแบบภายในที่ได้สถาปนิกชื่อดัง อย่าง Tadao Ando เจ้าของผลงาน “Church of Light” และอีกหลายสถานที่ในญี่ปุ่น มาเป็นผู้ออกแบบอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และล่าสุดแบรนด์หรูอย่าง YSL ก็เพิ่งจัดแฟชั่นโชว์ Collection Fall Winter 2024 ภายในอาคารนี้ไปด้วย

ค่าเข้าชม : 14 Euro
เปิดเวลา 11.00 – 19.00 น. (ปิดทุกวันอังคาร)
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/VmLwoDvr
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QW2qkbYszBvFjuU27

บรรยากาศภายในอาคาร

ช่วงที่เรามามีจัดงานแสดงของ MIKE KELLEY : Ghost and Spirit โดยมีไฮไลท์ของงาน คือ “Kandor Full Set” จัดเป็นเมืองเรซิน มีโถแก้ว และ Digital art อยู่ภายในโถงมืดตรงกลาง Museum ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกอนาคต แถมยังถ่ายรูปสวยอีกด้วย

ร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์

BNF Richelieu Site ห้องสมุดที่มีการออกแบบตัวอาคาร และ Interior ได้สวยงามมาก โดยบริเวณชั้นล่าง (ชั้น 0) ของอาคาร จะเป็นส่วนของห้องสมุด สามารถเข้าไปเดินชม , ถ่ายรูปได้ (แต่ต้องงดใช้เสียงนะ เพราะเป็นห้องสมุดที่มีคนเข้ามาใช้บริการจริงๆ ) ส่วนบริเวณชั้นบน จะเป็นส่วนของ Museum ซึ่งส่วนนี้ต้องซื้อตั๋วเข้าไป แนะนำว่าถ้ามาแถวนี้ก็แวะเข้ามาถ่ายรูป ชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่นี่ก็เพียงพอแล้วครับ

เปิดเวลา 10.00 – 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KanxocPv5kMN5tGb7

Galeries Lafayette ห้างเก่าแก่ชื่อดังของปารีส เป็นห้างที่นักท่องเที่ยวมักจะมาแวะซื้อของ และมาถ่ายรูปกันที่นี่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่จะมีการจัด display สวยๆ บริเวณโถงตรงกลางห้าง บริเวณชั้น 3 จะมีสะพานแก้วยื่นออกมาให้มาถ่ายรูปได้ด้วย

แต่จุดประสงค์ของเราคือการมาชมวิวหอไอเฟลในช่วงพระอาทิตย์ตก บนดาดฟ้าของห้างครับ ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดชมวิวหอไอเฟลอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง (ทั้งสวย และเข้าชมฟรี) โดยดาดฟ้านี้จะอยู่ในตึก Homme ขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆ ประมาณ 7 ชั้น ก็จะเจอกับทางขึ้นดาดฟ้าของห้างครับ

บรรยากาศบนดาดฟ้า

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Qk1YztLPC8GiLQvT9

Cafe de la Paix

เริ่มต้นวันที่ 2 กันด้วย Breakfast ที่ Cafe de la Paix ห้องอาหารหลักของโรงแรม Intercontinental Paris Le Grand บอกเลยว่าถ้าใครมาพักที่นี่ แนะนำให้จองห้องพักที่รวมอาหารเช้ามาด้วย เพราะอาหารที่นี่เป็นไลน์ Buffet ที่มีอาหารหลากหลาย ใช้วัตถุดิบคุณภาพดี รสชาติดี และมีอาหารเอเชียอย่างปาท่องโก๋ ข้าวต้ม อาหารญี่ปุ่น ให้เราได้เลือกทานด้วย เป็นมื้อเริ่มต้นวันที่ดีสำหรับการเพิ่มพลังก่อนออกไปเที่ยวกันในวันนี้ครับ

บรรยากาศภายในห้องอาหาร

Trocadero

แพลนของวันที่ 2 ในช่วงเช้า เราตั้งใจไปเก็บภาพหอไอเฟลในมุมต่างๆ โดยตั้งใจว่าจะเลือกมุมที่ไปให้อยู่ในโซนใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวกและไม่เสียเวลาในการเดินทาง เริ่มต้นกันที่ Trocadero สถานที่ที่ถือว่าเป็น Landmark ในการมาถ่ายภาพหอไอเฟล ที่ใครมาปารีสแล้วไม่ได้มาแวะถ่ายภาพคงน่าเสียดายแย่ ที่เริ่มจุดนี้เป็นที่แรกของวันเพราะเราอยากเลี่ยงคนเยอะๆ จะได้ถ่ายรูปสบายหน่อย แต่แนะนำว่าให้มาเช้าๆ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นไปเลย เพราะจุดนี้เวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/swGLkt4kUcf51jYH6

Avenue de Camoens

อีกจุดยอดฮิตที่โด่งดังมาจากซีรีส์ Emily in Paris เป็นจุดถ่ายรูปที่ให้ฟีลปารีเซียงสุดๆ เพราะนอกจากจะได้วิวเป็นหอไอเฟลแบบใกล้ๆ แล้ว ยังได้ตึกสวยๆ ที่มองปุ๊บก็รู้เลยว่าอยู่ปารีสแน่นอนมาเป็น Background ประกอบให้ด้วย สามารถเดินต่อมาได้ไม่ไกลจาก Trocadéro

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/D3SQSzVdYcH1nqsy9

Pont de Bir Hakeim

ถ่ายรูปหอไอเฟล คู่กับรางรถไฟเหล็ก เป็นอีกจุดที่หนังเรื่อง Inception มาถ่ายทำ จุดนี้สามารถถ่ายรูปเราคู่กับหอไอเฟล หรือจะถ่ายรูปคู่กับสะพานก็สวย บริเวณใต้รางรถไฟจะเป็นเลนจักรยาน เวลาถ่ายรูปอาจจะต้องระวังนิดนึง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/87uMGC1YscDpcymv5

Zen

ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับการแนะนำจาก MICHELIN Guide เราแวะมาทานมื้อกลางวันที่นี่เพราะอยู่ใกล้กับ Louvre ที่เรามีแพลนจะเข้าชมในช่วงบ่าย และมื้อกลางวันไม่ต้องจองโต๊ะล่วงหน้า (แต่แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิด เพราะถ้ามาช้าก็ต้องรอคิวยาวอยู่นะ) ที่สำคัญเลยคือ มื้อกลางวันเขามีขายเป็น Lunch Set คนละ 26 Euro ราคานี้อิ่ม อร่อย คุ้มค่าสุด เป็นอีกร้านที่อยากแนะนำให้มาลอง

ร้านเปิดเวลา 12.00 – 14.30 น. และ 19.00 – 22.00 น. (มื้อค่ำต้องจองล่วงหน้า)
ปิดทุกวันอาทิตย์

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/sQrhV2BJdT6ttv5j9

บรรยากาศภายในร้าน

หน้าตา Lunch set 26 Euro ภายใน Set จะมี appetizer และ Main ให้เลือกได้ 3-4 อย่าง

Louvre Museum

พิพิธภัณฑ์ชื่อดัง และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บอกตามตรงว่าตอน plan เที่ยวปารีส การจัดสรรวัน และเวลาเข้า Louvre เป็นสิ่งที่เราลังเลอยู่หลายวันมาก เพราะจากหลายๆ รีวิวจะแนะนำให้เข้า louvre ตั้งแต่เปิด เพราะคนจะได้ไม่เยอะ บางรีวิวก็บอกให้เข้าไปตอนบ่ายๆ เย็นๆ เพราะคนจะไม่เยอะเช่นกัน แต่สุดท้ายเราตัดสินใจมาเข้า Louvre ช่วงบ่าย ด้วยเหตุผล คือ เราอยากเก็บช่วงเช้า และเย็น ไว้ไปถ่ายวิวหรือสถานที่ท่องเที่ยวด้านนอก เพื่อเก็บแสงสวยๆ ยามเช้า หรือบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกดีกว่า เพราะยังไงการเข้า Louvre คงไม่ได้เน้นเรื่องการถ่ายรูปมากนัก (เพราะถ่ายยังไงก็ติดคนเยอะๆ อยู่ดี) ซึ่งโดยส่วนตัวหลังจากได้เข้าไป Louvre ช่วงบ่าย ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ คนเยอะ (แต่ก็คิดว่ามันน่าจะคนเยอะแบบนี้ทั้งวันแหละ) สำหรับคนที่ไม่ได้อินกับศิลปะ (อย่างลึกซึ้ง) และมีเวลาจำกัดแบบเรา วางแผนไว้ว่าจะใช้เวลาภายใน Louvre ประมาณ 2-3 ชม. เท่านั้น เลยจะมาแนะนำ Tips สำหรับคนที่มีเวลาน้อย เพื่อไปตามเก็บงาน Highlight แบบคร่าวๆ ใน Louvre กันครับ

ก่อนอื่นเลยแนะนำว่าควรซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าครับ สามารถจองได้ผ่านทาง Website ของ Louvre โดยตรง หรือหากใครเดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ น่าจะรู้จักกับ Klook ซึ่งเป็นศูนย์รวมในการซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่มักจะมีโปรราคาพิเศษให้ได้ซื้อกัน และที่สำคัญคือมีภาษาไทย เข้าใจง่าย ไปถึงก็ไม่ต้องต่อคิวยาวๆ เพื่อรอซื้อบัตรกันด้วย สำหรับช่องทางการจองก็ตามไปได้ที่ลิงค์นี้เลย

ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่  https://atth.me/go/FVQ0qvpW
เวลาเปิด : 9.00 – 18.00 น. (ยกเว้นวันศุกร์ เปิดถึง 21.45 น.) ปิดทุกวันอังคาร

สำหรับทางเข้า Louvre เพื่อเลี่ยงการต่อคิวยาวๆ ตรงทางเข้าหน้าปิรามิด มีแนะนำอยู่ 2 ช่องทางครับ

ทางแรกที่คนส่วนใหญ่แนะนำ คือ บริเวณประตูชัย (ขนาดเล็ก) หน้าสวน Jardin du Carrousel ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามถนนกับ Pyramid Louvre ให้เดินไปบริเวณประตูชัย จะเห็นเป็นบันไดสำหรับเดินลงไปด้านล่าง อันนั้นแหละคือทางไปเข้า Louvre แต่ช่วงที่เราไปมันปิดพอดี (ตามรูปเลย)

ส่วนอีกทางซึ่งเป็นทางที่เราเข้า Louvre ก็สะดวกไม่ต้องต่อคิวเช่นกัน นั่นคือ เข้าทางอาคารของห้าง Carrousel du Louvre ตามพิกัดนี้
https://maps.app.goo.gl/JERCPowKUHYcFC678 จะเป็นบันไดเลื่อนลงไปชั้นใต้ดิน ซึ่งเดินต่อไปทางเข้า Louvre ได้เลย

สำหรับเส้นทางการเดินชม Louvre ในแบบของเรา ให้เก็บไฮไลท์ได้ภายใน 2 ชม. ให้เริ่มต้นด้วยการเข้าชมทาง RICHELIEU WING ผ่านทางเข้ามาแล้วเดินตรงไป The Vaulted Hall เลี้ยวขวาเพื่อไป Room 105 : the Cour Puget จะพบกับห้องในรูปด้านบน

เสร็จจากการชมในห้องแรก ให้เราเดินกลับทางเดิมตรงทางเข้า Museum ครับ จากนั้นให้เข้าทาง SULLY WING เดินเข้าไปแล้วขึ้นบันไดไปที่ชั้น 1 จากนั้นเลี้ยวขวา ผ่านประตูไม้เข้าไป จะพบ Room 348 Caryatids ตามรูป

เดินเข้าไปสุดห้อง มุมด้านซ้ายจะเจอ Sleeping Hermaphrodite

เสร็จแล้วให้เดินออกจากห้องทางขวา ตรง Monument of Fireplace เดินตรงไปตามทางระหว่างเสาหินอ่อนสีแดง จะเจอจุดที่สอง Room 346 Venus de Milo

หันหลังกลับ แล้วเดินผ่านเสาสีแดงเสาแรก จากนั้นเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปผ่านหอกแล้วเดินขึ้นบันได Denon Wing : Room 703 The Winged Victory of Samothrace

เห็นปีกตรงหน้าแล้ว ไปห้องฝั่งซ้าย ขึ้นบันไดไปจะเจอห้องทรงกลม (Room 704) สามารถมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นปิรามิดได้

จุดชมวิว Louvre จากห้อง 704

เดินต่อไปยังห้อง Room 705 The Apollo Gallery ห้องนี้จะมีมงกุฎของราชวงศ์ให้ชม

ภายในห้องตกแต่งสวยงาม มีมุมสวยๆ ให้เดินถ่ายรูปได้ เดินไปจนสุดห้อง และเลี้ยวขวาไปห้องถัดไป

Room 708 Salon Carré : Grand Galerie ห้องนี้รวบรวมผลงานต่างๆ ของ Da Vinci ก่อนที่เราจะได้เข้าไปชมผลงานไฮไลท์ของเขา

Room 711 Mona Lisa ผู้คนจากทั่วโลกต่างมา Louvre เพื่อที่จะได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง เป็นห้องที่คนเยอะมาก โปรดระวังทรัพย์สินด้วยนะ
การเข้าชมในห้องนี้จะเป็น One way  ชม Mona Lisa เสร็จแล้ว จะเดินออกไปทางห้อง 701 (มีร้านขายของที่ระลึก) ให้เลี้ยวขวาไปทางห้องต่อไป

Room 702 Napoleon’s Consecration ภาพแขวนขนาดใหญ่อยู่ทางซ้ายของห้อง
ชมเสร็จแล้วให้เดินกลับมาทางห้อง 701 เพื่อไปยังห้องต่อไป

Napoleon’s Consecration

ห้องต่อมา คือ Room 700 The Raft of the Medusa ในห้องนี้มีภาพ Liberty Leading the people (ไม่ได้ถ่ายมาให้ชม) เสร็จแล้วให้ออกจากห้องแล้วเดินลงบันไดไป

ระหว่างทางเดินจะผ่านคาเฟ่ใน Louvre บรรยากาศดี แต่คนเยอะมาก

Room 403 Michelangelo’s Slaves

บริเวณสุดทางของห้องนี้จะพบกับ Psyche Revived by Cupid’s Kiss

จากห้องนี้สามารถออกจาก Louvre โดยผ่านทางห้อง 404  และลงบันไดเวียนไป จะเจอป้ายทางออก (Sortie)

Cafe Kitsune Louvre

หลังจากเดินชมงานศิลปะใน Lourve กันจนเมื่อยแล้ว เราเลยมาคาเฟ่ของแบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Maison Kitsune ที่มีหลายสาขาทั้งในฝรั่งเศสและทั่วโลก และสาขาที่เราพามาก็อยู่ไม่ไกลจาก Louvre ซึ่งจุดเด่นของสาขานี้คือมีที่นั่งที่มองชมวิวได้อยู่บนชั้น 2 มีทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหารให้สั่ง พนักงานในร้านน่ารัก ใส่ใจบริการดี ใกล้ๆ กันจะมีอีก 2 สาขา คือ Palais Royal (ช่วงฤดูหนาวจะไม่มีที่นั่งด้านนอกให้นั่ง ร้านเล็กมาก) และสาขาหน้าสวน Tuileries ซึ่งตรงนั้นจะมี shop ของ Maison Kitsune อยู่ติดกันด้วย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Ssbs7jwocd8G2egT8

บริเวณที่นั่งชั้น 2 ของร้าน แนะนำมาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แสงสวยมาก

Cafe Kitsune อีกสาขา บริเวณหน้าทางเข้าสวน Tuileries

Tuileries Garden

สวนสวยที่อยู่ใกล้กับ Louvre เป็น Public space ที่คนฝรั่งเศสมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกัน ในขณะที่นักท่องเที่ยวอย่างเราก็เข้ามาหาที่นั่งพักขา และมาถ่ายรูป check-in ซะหน่อย ในปารีสมีสวนสาธารณะสวยๆ หลายแห่ง แต่เนื่องจากเวลาจำกัดเราเลยเลือกมาที่นี่เพราะอยู่ใกล้กับสถานที่อื่นๆ ในแพลนพอดี น่าเสียดายที่ช่วงเราไปมีการปรับปรุงพื้นที่ภายในสวนหลายจุดเพื่อต้อนรับโอลิมปิกฤดูร้อนปีนี้ และถ้ามาช่วง Winter แบบเรา ต้นไม้มันก็จะดูแห้งแล้งไปนิด จะให้ดีพวกสวนแบบนี้ ช่วง Spring-Summer น่าจะสวยสุดแล้วนะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jFkD2cVTo3Rjo6og9

Sunset at Pont Alexandre III

มุมถ่ายรูปบนสะพาน Pont Alexandre III เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตก แต่จริงๆ แล้วจุดนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันเหมือนสะพาน Alma แต่ถ้ามาช่วงเย็นรู้สึกว่าบรรยากาศจะโรแมนติกกว่าช่วงอื่นนิดนึง

ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่แนะนำมาช่วง Sunset และอยู่ต่อจนเปิดไฟ น่าจะสวยมากๆ
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/g9x4toS61ctbJwgu8

Pyramid du Louvre

เริ่มต้นวันที่ 3 กันด้วยบรรยากาศขมุกขมัว โชคดีที่เป็นวันเดียวในทริปนี้ที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ด้วยความที่วันนี้ตรงกับวันอังคารซึ่ง Louvre ปิด เราเลยตั้งใจมาเก็บภาพคู่กับปิรามิด เพราะน่าจะถ่ายรูปสะดวกและติดคนน้อยกว่า ซึ่งบอกเลยว่าคิดไม่ผิด แนะนำว่าถ้าเป็นวันฟ้าเปิด มาตั้งแต่ช่วงเช้าๆ จะดีมากเพราะคนน้อย ถ่ายรูปได้เต็มที่เลย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9nLU6bMfu2zoECJJ8

มุมแรก บริเวณด้านหน้าปิรามิด บางคนก็ชอบขึ้นไปยืนบนแท่นสีดำแล้วใช้นิ้วจิ้มบนยอดปิรามิด แต่เราชอบมุมนี้แหละ ดูปิรามิดอลังการดี

มุมที่สอง หันหน้าเข้าหาปิรามิด แล้วเดินมาทางฝั่งขวาของปิรามิด จะได้มุมด้านข้าง มีฉากหลังเป็นอาคารเก่าของ Louvre Museum
แนะนำจัดองค์ประกอบให้แบบอยู่กลางปิรามิดและกลางภาพ จะดูสมมาตรและสวยงามแบบในรูป

มุมที่สาม เดินมาฝั่งตรงข้ามของมุมที่สอง เป็นอีกมุมยอดนิยม เพราะเห็นปิรามิดผ่านทางซุ้มประตู
ถ่ายคนสวยทั้งแบบเต็มตัว และครึ่งตัวแบบ Silhouette แต่มุมนี้จะมีคนเดินไปเดินมาตลอด อาจต้องรอจังหวะในการถ่ายภาพนิดนึง

Domaine National du Palais-Royal

เดินจาก Louvre มาไม่ไกล ก็จะพบกับจุดถ่ายรูปยอดนิยมอีกจุดหนึ่ง หลายคนมาตามรอยกันเพราะซีรีส์ Emily in Paris บริเวณนี้คืองานศิลปะที่ชื่อว่า “Les Deux Plateaux” หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “Colonness de Buren” ตั้งอยู่ในบริเวณ Palais Royal เป็นผลงานของ Daniel Buren ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1985-1986 แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ เพราะคนน้อย ถ่ายรูปสะดวกมาก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/s9hCD8mREV311GhC8

Musee d’Orsay

พิพิธภัณฑ์ที่เคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อนและเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก เก็บรวมรวมงานศิลปะในประวัติศาสตร์ของศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้ง Vincent Van Gogh, Claude Monet, Edgar Degas และอีกมากมาย โชคดีที่เราไปทันช่วงที่เขาจัดนิทรรศการพิเศษของ Van Gogh พอดี ทำให้ได้ชมงานของ Van Gogh ที่นำมาจัดแสดงเฉพาะในงานนี้ด้วย เป็นอีกที่ที่คนรักงานศิลปะไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความที่สถานที่ค่อนข้างใหญ่ คนเยอะ แนะนำให้ซื้อตั๋วมาก่อน และเผื่อเวลาในการเดินชมงานอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงครับ (เราเดินเจาะเฉพาะงานของ Van Gogh และ Monet) ส่วนใครที่อยากมาถ่ายรูปกับนาฬิกาเรือนใหญ่บนชั้น 5 ของอาคาร แนะนำว่าควรมาตั้งแต่ Museum เปิด เดินเข้าไปด้านในสุด และขึ้นลิฟท์หรือบันไดไปที่ชั้น 5 เลยครับ เพราะถ้ามาช้าคิวถ่ายรูปยาวมากแน่ๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/VUxn3T5wjKATx8Bv9
เวลาเปิด : 9.30 – 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/qKf1BzOx

บรรยากาศภายใน Musee d’Orsay

บรรยากาศในงาน Van Gogh

จุดถ่ายรูปยอดฮิตบนชั้น 5 ของ Museum

บนชั้นเดียวกัน มีส่วนของร้านอาหารด้วย

ใครชอบงานของ Monet มีให้ชมเยอะอยู่นะ

Kong

ร้านอาหารที่เรามักจะได้เห็นรูปผ่านทาง Social media บ่อยๆ เป็นร้านที่อยู่ชั้นบนของตึก มีมุมกระจกโดมโค้งมองเห็นวิวอาคาร สถาปัตยกรรมสวยๆ ของปารีสเป็นฉากหลัง เราได้เลือกมาทานร้านนี้ช่วงมื้อกลางวันเพราะมี Lunch set มี 2 ราคา คือ 45 Euro (Main dish + appetizer or dessert) และ 55 Euro (appetizer + main dish + dessert) ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่ม (และ Tips ตอนจ่ายเงิน) อาหารจะเป็นสไตล์ Asian fusion แบบเดียวกับ La Plume แต่โดยส่วนตัวยกให้รสชาติอาหารที่ La Plume ชนะขาด แต่หากใครอยากแวะมาถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่ก็ตอบโจทย์อยู่นะ

สำรองที่นั่งได้ทาง https://www.sevenrooms.com/reservations/kongparis/goog
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/15nUL6BLu1TfYw8FA

บรรยากาศภายในร้าน

หน้าตาอาหาร 2 Set ที่สั่งมา

Samaritaine

หลังอิ่มท้องที่ Kong แล้ว มีห้างใกล้หรูที่อยู่ติดกันอย่าง Samaritaine ห้างหรูของเครือ LVMH ที่เพิ่ง Renovate เสร็จเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ภายในอาคารตกแต่งสวยงาม ควรค่าแก่การแวะมาเยี่ยมชม รวมถึงสายช็อป ก็มีแบรนด์ดังหลากหลายแบรนด์ให้ได้เดินช็อปกันได้เต็มที่ แม้ห้างจะไม่ใหญ่นัก แต่ข้อดีคือคนไม่เยอะเมื่อเทียบกับห้างอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวชอบไปกัน บรรยากาศดีงามควรค่าแก่การเสียเงินสุดๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ESVi2MtZ2Atyywvj6

Hotel Splendid Etoile

คืนนี้เราย้ายโรงแรมมานอนที่ Hotel Splendid Etoile เพื่อวิวประตูชัยสวยๆ จากห้องพักแบบนี้นี่แหละ หากใครสนใจอยากชมรายละเอียดตามไปอ่านในรีวิวเต็มได้เลยนะ เป็นอีกโรงแรมที่อยากแนะนำอย่างยิ่ง ทั้งวิวสวย และราคาก็ไม่แรงมากด้วย

รีวิวเต็ม http://www.porsuke.com/2024/04/13/hotel_splendid_etoile/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/qvofM4nVjZcVTv378
สำรองห้องพักได้ที่ https://atth.me/go/7hxr6u36

จากที่พักของเรา สามารถมาเดินเล่นแถวถนนช็อปปิ้ง Champs-Elysees ได้ ตอบโจทย์คนรักการช็อปปิ้งสุดๆ เพราะแถวนี้มีช็อปของ Luxury brands ดังๆ ทั้ง Louis Vuitton ซึ่งกำลังสร้างโรงแรม Louis Vuitton อยู่ด้วย, Dior (สาขานี้มี Museum ), Goyard (สาขา George V), Kith Paris ร้านรวมสินค้า High street multibrand, ร้านขนมชื่อดังอย่าง Pierre Hermé และอีกมากมายให้เดินกันได้ตลอดทั้งวัน

Kith Paris

Arc de Triomphe

ข้อดีของการมาพักที่โรงแรม Hotel Splendid Etoile นั่นคือ เราสามารถออกมาชมวิวประตูชัยหรือ Arc de Triomphe ได้ทั้งวันทั้งคืน และเราก็ได้เริ่มต้นเช้าวันที่ 4 ในปารีสกันด้วยวิวสวยๆ จากระเบียงห้องพักของเรา

เราอาศัยความใกล้ของที่พัก และบรรยากาศในช่วงเช้าที่น่าจะยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา ไปหามุมถ่ายรูป Arc de Triomphe กันแบบใกล้ๆ ครับ โดยจุดที่เราเลือกถ่ายรูป จะอยู่ระหว่างถนน Champs-Elysees และถนน Marceau ตามพิกัดนี้ https://maps.app.goo.gl/utx4vG3KesGU2itT6 และจะได้ภาพตามรูปด้านบนครับ

ส่วนอีกมุมที่คนนิยมมาถ่ายภาพกัน คือบริเวณเกาะกลางถนน Champs-Elysees เพราะจะได้เห็น Arc de Triomphe อยู่ด้านหลังแบบตรงๆ เลย แต่ส่วนตัวไม่แนะนำเลยครับ เพราะค่อนข้างอันตราย และรบกวนการเดินรถและคนที่ข้ามถนนไปมาด้วย

นอกจากการถ่ายภาพคู่กับ Arc de Triomphe ด้านนอกแล้ว อีกกิจกรรมที่อยากแนะนำ คือ การขึ้นไปชมวิวเมืองปารีสแบบ 360 องศาครับ เพราะนอกจากจะได้เห็นวิวสวยๆ แล้ว ยังได้เข้าไปชมสถาปัตยกรรมทั้งด้านนอกและด้านในของ Arc de Triomphe กันอย่างใกล้ชิดด้วย

แต่การขึ้นไปชมวิวด้านบนนั้น ต้องเดินขึ้นบันไดวนแบบนี้ไป 284 ขั้น มีลิฟท์ให้บริการสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการด้วยครับ

มาถึงด้านบนก็จะพบกับนิทรรศการเล็กๆ ที่พูดถึงประวัติการสร้าง และมี Model จำลองของ Arc de Triomphe

มีร้านขายของที่ระลึกให้ได้แวะเสียเงินกันด้วย

ขึ้นมาบน Rooftop เราก็จะพบกับวิวเมืองปารีสแบบ 360 องศาครับ
และนี่คือวิวฝั่งเมืองใหม่ของปารีส จะเห็นตึกสูงทันสมัย ต่างจากโซนเมืองเก่าที่เป็นโซนท่องเที่ยวอย่างมาก

ฝั่งนี้จะมองเห็น Montmarte ซึ่งเราจะไปชมพระอาทิตย์ตกกันเย็นนี้

และมุมไฮไลท์คงหนีไม่พ้นฝั่ง Eiffel Tower ที่อยู่ท่ามกลางตึกเก่าสไตล์ปารีส
แนะนำว่ามาช่วงเย็นจนถึงฟ้ามืด และรอจนกระทั่งหอไอเฟลเปิดไฟ น่าจะได้บรรยากาศที่สวยมาก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jRYKswt3ZFGR2ZpE6
เวลาเปิด : 10.00 – 22.15 น.
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่  https://atth.me/go/hiGlfcec 

Cafe Nuances

แบรนด์กาแฟสัญชาติฝรั่งเศสที่ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง Charles และ Raphaël Corrot ที่ชื่นชอบและมี Passion ที่อยากยกระดับกาแฟด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และ สร้าง Café Nuances ให้เป็นสถานที่ที่คนรักกาแฟจะมาดื่มกาแฟ และเสพงานศิลปจากการออกแบบภายในร้าน และมี background เป็นเสียงดนตรี เปิดประสบการณ์การฟังที่กระตุ้นให้สัมผัสถึงกลิ่นหอมของกาแฟ และต่อมรับรสเพื่อเขาถึงรสชาติของกาแฟที่คัดสรรโดยบาริสต้าของทางร้าน
กาแฟของทางร้านจะมีเมล็ดให้เลือกทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ Slow dance, Rose des sables, Wabi, Coffee & Cigarettes และ Meteorite โดยสามารถเลือกสั่งแบบ Espresso หรือ slow bar ก็ได้ และเลือกซื้อเมล็ดกลับไปที่บ้านได้เช่นกัน
สาขาที่เรามาอยู่ไม่ไกลจาก Arc de Triomphe เป็นสาขาใหม่ที่ออกแบบโดย “Uchronia” Studio ชื่อดังของปารีส โดยมี concept ในการออกแบบ คือ “Sunsets in the Tunisian desert” เห็นได้จากการใช้สีแดงเป็นสีหลัก ตัดกับภายนอกร้านสีขาว และมีการไล่สีต่างๆ ภายในร้าน ทำให้คาเฟ่เล็กๆ เพียง 1 ห้องแห่งนี้ ดูโดดเด่น และ ไม่ทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ
เวลาเปิด
จันทร์ – ศุกร์ : 8:00 AM – 6PM
เสาร์ – อาทิตย์: 9:00 AM – 6PM

Pont de l’Alma

เป็นอีกสะพานในปารีสที่ไม่แมส คนไม่เยอะเท่าที่อื่น แต่วิวหอไอเฟลสวยมาก ซึ่งจากบริเวณนี้สามารถเดินต่อไปยังจุดถ่ายรูปอื่นๆ ได้ไม่ไกล และนอกจากมุมบนสะพานแล้ว แนะนำให้เดินเลียบทางเดินฝั่งขวาของแม่น้ำ (ถ้าหันหน้าเข้าหอไอเฟลนะ) ตลอดทางเดินสามารถเดินถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เลย ไม่มีคนวุ่นวายกวนใจการถ่ายรูปแน่นอน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gu4zWVCc1bmrAvyv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามาช่วงเช้าจะไม่ย้อนแสง
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง

228 Rue de l’Universite

วิวหอไอเฟลจากมุมตึก อีกจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจุดนี้ค่อนข้างถ่ายยาก เพราะหอไอเฟลอยู่ค่อนข้างใกล้ และมีคนมาถ่ายรูปเยอะมาก ทำให้ต้องหามุมหลบคนไปอีก แต่ก็นับว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สวย และน่ามาถ่ายรูป check-in กันสักหน่อย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uKKUVQP2DzmD63C3A
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน (คนเยอะตลอดทั้งวัน 555)
Tips : ระวังกระเป๋าและทรัพย์สินตลอดเวลา เพราะคนเยอะ และอาจมี Homeless เดินมาประชิดตัวเพื่อขอเงินได้ (เพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ) ส่วนเลนส์ที่แนะนำสำหรับมุมนี้ควรใช้ Wide หรือ Ultrawide ไปเลย เพราะจะสามารถเก็บหอไอเฟลได้ทั้งหมด

L’Howea

มุมถ่ายรูปหน้าร้านดอกไม้ L’Hoewa เป็นจุดที่คนชอบมาถ่ายรูป Pre-wedding กัน หากไม่ลำบากเรื่องทุนทรัพย์ก็แวะไปอุดหนุนดอกไม้จากที่ร้านสักช่อ เอามาถือเป็น Prop สำหรับถ่ายรูปก็ดีนะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/btVvPxfyCdsgHnAG7
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า – ช่วงสาย (เพราะแสงจะส่องเข้าหน้าร้านพอดี ไม่ย้อนแสง) น่าเสียดายวันที่เราไปไม่มีแสง
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน ซึ่งตรงนั้นจะมีไฟแดง อาจจะต้องรอจังหวะเวลา เพราะมีคนเดินสัญจรไปมาตลอด

Au Canon des Invalides

มุมถ่ายรูปบริเวณหน้าร้าน Au Canon des Invalides เป็นอีกจุดหนึ่งที่เห็นหอไอเฟลได้ชัดเจน มุมคล้ายกับหน้าร้านดอกไม้ แต่จุดนี้จะเห็นหอไอเฟลอยู่ไกลกว่า โดยส่วนตัวเราว่ามุมนี้ถ่ายง่าย และองค์ประกอบภาพสวยกว่าหน้าร้านดอกไม้นะ ยิ่งถ้ามีเลนส์ Tele สามารถดึงระยะหอไอเฟลให้เข้ามาใกล้ๆ ได้ ยิ่งดูสวยเลยแหละ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JpaeGEngEs5P51Z89
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า – ช่วงสาย
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน อาจจะต้องระวังรถนิดนึงเพราะไม่มีสัญญาณไฟ ใกล้ๆ กันจะมีร้าน Le Recrutement เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน


Hotel La Comtesse Tour Eiffel

คืนสุดท้ายที่ปารีส เราเลือกมาพักที่โรงแรม La Comtesse Tour Eiffel ซึ่งอยู่ในเขต 7 ของปารีส ไฮไลท์ของโรงแรม คือ ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวจากหอไอเฟลได้ และห้องที่สวยที่สุด คือ ห้องพักแบบ Prestige Comtesse Room with Balcony แต่เนื่องจากเราต้องออกไปสนามบินตั้งแต่เช้ามืด เลยจองห้องพักแบบ Classic Baronne Double Room With Side Eiffel Tower View ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นมาแทน (ช่วงที่เราจองมาราคาประมาณ 200 Euro / คืน)

Tips : แนะนำว่าควรจองห้องพักที่มีระเบียง เพราะจะสามารถเดินออกมาถ่ายรูปกับหอไอเฟลได้ (สามารถ request กับทางโรงแรมตั้งแต่จองได้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/CVYBwEaV2yngMhoR7
สำรองห้องพักได้ที่ https://atth.me/go/g07HOH46

บริเวณ Lobby ของโรงแรม

บริเวณ Lobby ของโรงแรม

ภายในห้องพักแบบ Classic Baronne Double Room With Side Eiffel Tower View ขนาดห้องประมาณ 14 ตร.ม. เล็กตามมาตรฐานปารีส และน่าจะเป็นห้องพักที่เล็กที่สุดในโรงแรมทั้งหมดที่เราไปพักมาในทริปนี้ อาจไม่ตอบโจทย์คนที่มีสัมภาระเยอะ หรือต้องการความสะดวกสบายเท่าไร ส่วนห้องน้ำก็เป็นกระจกใส มีกั้นทึบให้ฝั่งที่ติดกับเตียงนอน หากอยากพักที่นี่แนะนำเลือกห้องแบบ Deluxe ขึ้นไป (ขนาดประมาณ 26 ตร.ม.) จะดีกว่ามากครับ

ห้องที่เรามาพักไม่มีระเบียง (แอบเสียดายเล็กน้อย) ถ้าอยากได้ห้องมีระเบียงต้องเสียเงินเพิ่ม (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 50 Euro/คืน)
เวลาจะถ่ายรูปก็จะลำบากนิดนึง

วิวจากห้องพักของเรา

Sunset at Montmarte

เดิมที่แล้วเราไม่ได้มีแพลนจะขึ้นมาชมวิวที่ Montmarte เหตุผลหลักคือกลัวโจร และคิดว่ามุมสูงของปารีสเราก็ได้ไปถ่ายมาแล้ว  แต่โชคดีที่เพื่อนที่อยู่ปารีสซึ่งมีนัดทานข้าวกันตอนเย็นวันนั้น เห็นว่ายังไม่ได้ไป เลยขับรถพาขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกกันอย่างเร่งด่วน เลยอาจจะไม่ได้แนะนำวิธีการเดินทางขึ้นมานะครับ แต่พอได้มาแล้วก็รู้สึกว่าเป็นอีกที่ที่สวยงาม และสมกับที่นักท่องเที่ยวมากันเยอะมากเลยจริงๆ (และโชคดีที่เราไม่เจอโจร แต่ก็ระวังตัวสุดๆ เหมือนกัน เพราะคนเยอะมาก)

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YcVt5JLkc9Chbexf7

Sinking Building หรือตึกที่เหมือนกำลังจะจมลงไปในพื้นดิน เป็นอีกมุมหนึ่งที่อยากมาถ่ายภาพด้วยตัวเอง

นักท่องเที่ยวมากันเพียบ

ถ่ายรูปวิวกันพอประมาณ รีบเดินเข้ามาชมด้านในโบสถ์กันหน่อยครับ

สถาปัตยกรรมด้านในสวยงาม อลังการมาก

มีบางมุมสามารถมองเห็นหอไอเฟลได้ด้วย

Champ de Mars

ปิดท้ายทริปปารีสครั้งแรกของเรากันที่ Champ de Mars ซึ่งเป็นอีกจุดที่คนนิยมมานั่งชมหอไอเฟลกันในช่วง Sunset จนถึงช่วงเปิดไฟ น่าเสียดายช่วงที่เราไป ตรงสนามหญ้าที่ปกติสามารถเข้าไปนั่งได้ ตอนนั้นเขากั้นรั้วไว้เพื่อปิดปรับปรุงสถานที่สำหรับกีฬา Olympic แต่การได้มายืนชมหอไอเฟลเปิดไฟระยิบระยับตรงบริเวณนี้ก็ไม่ควรพลาดจริงๆ นะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7kxX28yxkVUDxdea9

และนี่ก็เป็น 4 วัน 4 คืน กับทริปปารีสครั้งแรกของเราครับ โดยส่วนตัวก่อนมาเที่ยวปารีสค่อนข้างกังวลมากๆ กับการเตรียมตัว จัดแพลน และกลัวที่สุดกับเรื่องโจรในปารีส แต่พอได้มาเที่ยวจริงแล้ว หากเราระวังตัว มีสติตลอดเวลา หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เต็มไปด้วยโจร (โดยเฉพาะในสถานีรถไฟต่างๆ) จัดแพลนในแต่ละวันให้อยู่ในโซนเดียวกัน เพื่อประหยัดเวลา เซฟค่าเดินทาง เลือกที่พักที่มาตรฐาน สะอาดและปลอดภัย อย่าออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนในโซนที่ไม่ควรไป บางครั้งก็ต้องยอมจ่ายเพื่อแลกกับความสบายใจและความปลอดภัยของเราบ้าง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ทริปปารีสของเราราบรื่น และได้ความประทับใจกลับมาครับ