Explore Gaudí’s Masterpiece : 3 Days itinerary in Barcelona
ไม่คาดหวัง…ไม่ผิดหวัง
แต่ที่บาเซโลน่าทำให้เราประทับใจเกินความคาดหวังไปมากเลยครับ
บอกตามตรงว่าการแพลนมาเที่ยวยุโรปในครั้งนี้ นอกจากปารีสและเมืองใกล้เคียงแล้ว บาเซโลน่าไม่ได้อยู่ในแพลนของเราตั้งแต่แรกเลยครับ แต่ด้วยความที่มาในช่วงฤดูหนาว บรรยากาศประเทศฝั่งยุโรปตะวันตกอย่างปารีสที่เราได้ไปมามันก็จะดูอึมครึม อากาศหนาวเย็น ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเกินไปหน่อย เลยหาประเทศที่น่าจะพอมีแสงแดดสวยๆ อากาศอบอุ่นขึ้นสักหน่อยให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ กันบ้างและก็มาจบที่เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน ที่เขาว่ากันว่าอากาศดีเหมาะกับการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ค่าครองชีพถูกกว่าฝั่งยุโรปตะวันตก และเป็นเมืองที่มีผลงานสุด Unique ของสถาปนิกในตำนานอย่าง Antoni Gaudí ให้คนชอบเสพงานสถาปัตยกรรมสวยๆ ได้รับชมกันด้วย และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเรากับประเทศสเปน ซึ่งเมื่อได้มาสัมผัสบรรยากาศ และสถานที่ท่องเที่ยวในบาเซโลน่าแล้วประทับใจเกินคาดมากๆ จึงอยากจะมาแนะนำทริปของเราไว้เป็นแนวทางสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจไปเที่ยวบาเซโลน่า ได้ไปตามรอยกันได้ครับ
3 Days 2 Nights : Barcelona Itinerary
Day 1
– Check-in : Kimpton Vividora
– Palau de la Música Catalana
– Nomad Coffee – Lab & Shop
– Sunset at Tibidabo
– Dinner at Casa Lolea Barcelona
Day 2
– Le Pedrera-Casa Milà
– Brunch at LA PAPA
– Bar-Terrassa Sercotel Rosselló
– SYRA Coffee
– La Sagrada Família
– Winter Night at Casa Batlló
Day 3
– Parc Güell
– Zara Plaça de Catalunya
ตั๋วเครื่องบิน
การเดินทางจากประเทศไทย ณ ตอนนี้ (พ.ค.2024) ยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพไปยังบาเซโลน่า จำเป็นจะต้อง Transit ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน Swiss Air, Ethihad Airway, Lufthansa เป็นต้น ส่วนของเรานั้นเดินทางต่อจากปารีส สามารถไปได้ทั้งทางรถไฟ (ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชม.) และทางเครื่องบิน ซึ่งเราเลือกการเดินทางด้วยเครื่องบินเพราะประหยัดเวลาและราคาไม่แพง โดยสายการบินที่เราเลือกนั้น คือ Vueling Airline สายการบิน Low cost ของสเปน ในราคาไป-กลับ (รวมกระเป๋าโหลด 20 กก.) คนละ 5,8xx บาท (จองล่วงหน้าประมาณ 4 เดือน) จองผ่านทาง https://atth.me/001jzw00201x แต่ด้วยความที่เป็นสายการบิน Low cost จึงมีข้อจำกัด และกับดักในการเสียเงินเพิ่มมากมาย โดยเฉพาะค่าน้ำหนักสัมภาระ เพราะน้ำหนักที่เราซื้อเพิ่มมาไม่รวมน้ำหนักสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่อง โดยเฉพาะคนที่มีกระเป๋า Carry-on แนะนำให้ซื้อน้ำหนักสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่องเพิ่มเติม (ตั้งแต่ตอนจอง) ด้วยนะครับ เพราะมาซื้อทีหลังหรือตอน check-in จะแพงมาก
ที่พัก
ในส่วนของที่พักนั้น ด้วยความที่เราค่อนข้างกังวลกับเรื่องความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการเดินทาง จึงเลือกพักแถว Plaça de Catalunya เพราะมีรถบัสตรงจากสนามบินมาเลย และเดินทางท่องเที่ยวในเมืองสะดวก แต่ก็แลกมากับค่าที่พักที่อาจจะสูงหน่อย (แต่ก็ยังถูกกว่าปารีสนะ) อย่างโรงแรม 4-5 ดาวที่เราสำรวจราคามา ถ้าจองล่วงหน้าสัก 4 เดือนขึ้นไป จะเริ่มต้นที่ประมาณ 4-5 พันบาท/คืน ส่วนโรงแรมที่เราเลือกนั้นคือ Kimpton Vividora เพราะส่วนตัวเป็นสมาชิก IHG และอยากลองพักโรงแรมนี้เนื่องจากชอบดีไซน์และทำเลของโรงแรม แต่ก็แลกด้วยราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาอีกหน่อย หากอยากชมรีวิวละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.porsuke.com/2024/05/15/kimpton_vividora/
วีซ่า
ใช้วีซ่าเชงเก้นแบบเดียวกับที่ฝรั่งเศส ซึ่งตอนยื่นขอวีซ่าฝรั่งเศสเราได้แนบแพลนเที่ยวที่บาเซโลน่าไปด้วย เพื่อให้ได้วีซ่าที่คลอบคลุมช่วงเวลาตลอดทริป แต่หากใครจะมาเที่ยวสเปนเป็นหลัก สามารถดูรายละเอียดการทำวีซ่าเพิ่มเติมได้ที่ https://www.lumahealth.com/th/travel-insurance/spain/tourist-visa/
การเดินทาง
ระบบขนส่งสาธารณะในเมืองบาเซโลน่าถือว่าดีและสะดวกต่อนักท่องเที่ยวมาก จากสนามบินสามารถเดินทางได้ด้วย Metro, Aerobús หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วก็เรียก Taxi สนามบินไปได้เลย ส่วนการเดินทางภายในเมืองไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ สามารถใช้ได้ทั้ง Bus และ Metro ขึ้นอยู่กับเส้นทางและสถานที่ปลายทางที่จะไป
สำหรับการเดินทางจากสนามบิน เราเลือกใช้บริการของ Aerobús ซึ่งมีให้บริการจากทั้ง Terminal 1 (สาย A1) และ Terminal 2 (สาย A2) ปลายทางสิ้นสุดที่ Plaça de Catalunya เหมือนกัน ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 7.25 Euro และไป-กลับ 12.50 Euro ซึ่งเราแนะนำให้เพื่อนๆ ซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซท์ เพราะราคาถูกกว่า และเมื่อไปถึงสามารถยื่น QR code ให้พนักงานสแกนก่อนขึ้นรถได้เลย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://aerobusbarcelona.es/
ส่วนการเดินทางในเมือง เราแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบเหมาการเดินทางที่เรียกว่า Hola Barcelona Travel Card โดยจะมีตั้งแต่ 2 – 5 วัน โดยบัตรนี้จะใช้สำหรับโดยสาร Metro, Bus และคลอบคลุมเส้นทาง Metro ที่ไปสนามบิน โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15.75 Euro (2 Days/48 hr Pass) โดยการนับเวลาจะเริ่มนับตั้งแต่เราใช้บัตรครั้งแรก เช่น ถ้าเริ่มใช้เวลา 15.00 น. ของวันที่ 1 มิถุนายน จะหมดอายุเวลา 15.00 น. ของวันที่ 3 มิถุนายน เป็นต้น สามารถซื้อและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.holabarcelona.com/tickets/hola-bcn-barcelona-travel-card
แต่หากใครจะใช้ Aerobús และ Hola Barcelona Travel Card แนะนำให้ซื้อแบบ Bundle ไปเลยจะประหยัดกว่าครับ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 26.80 Euro (Aerobús + 2 Days/48 hr Pass) สามารถซื้อและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.holabarcelona.com/transport-deals/hola-barcelona-aerobus
***หากซื้อแบบ Bundle ในเมล์จะได้ Link สำหรับ Download ตั๋ว Aerobús ซึ่งสามารถเปิดเพื่อยื่นให้พนักงานสแกนได้เลยตอนขึ้นรถ กับอีก Link สำหรับ Download Voucher ของ Hola Barcelona Travel Card ซึ่งต้องนำไปแลกบัตรตัวจริงที่ตู้อัตโนมัติ ในสถานี Metro สถานีใดก็ได้ครับ การนับวันใช้งานจะเริ่มเมื่อเรานำบัตรเสียบเข้าไปเพื่อผ่านประตู หรือเสียบใช้บนรถบัสครั้งแรก
การใช้จ่าย
ใช้ Travel Card หรือบัตรเครดิตเป็นหลักได้เลยครับ คล้ายกับที่ปารีสเลย แต่แลกเงินสดติดตัวไว้สักหน่อยก็อุ่นใจดีครับ ส่วนแบรนด์ของสเปนที่แนะนำว่าควรตำ (โดยเฉพาะเสื้อผ้า) เช่น ZARA, Pull&Bear (ถูกกว่าไทยมาก), Massimo Dutti, MANGO หรือถ้าเป็น Luxury Brand ก็ต้อง LOEWE เลยครับ (แนะนำสาขาตรง Casa Batlló ช็อปนี้สวยมาก)
การทำ Tax Refund
เนื่องจากเราไม่ได้ออกจากสเปนเป็นประเทศสุดท้าย ดังนั้นการขอ Tax refund จะไม่สามารถขอเป็นเงินสดได้ เวลาแจ้งพนักงานให้ทำ Tax refund จะได้ใบ claim มา ให้เรากรอกข้อมูล Passport , บัตรเครดิตที่จะขอ Tax คืนให้เรียบร้อย และตอนไป declaire Tax Refund ที่สนามบินปลายทาง (ของเราออกจากฝรั่งเศส) จะไม่สามารถสแกนผ่านตู้อัตโนมัติได้ ต้องนำใบ claim ไปให้เจ้าหน้าที่แสตมป์ และใส่กล่องสำหรับขอ Tax Refund (แต่ของเราใช้เวลาไม่นาน ได้ Tax คืนก่อนของที่ซื้อจากปารีสอีก) และแนะนำว่าถ้าใครซื้อ Brandname ที่สเปนได้ Tax refund ประมาณ 12-15% ขึ้นอยู่กับราคาของที่ซื้อ ได้เยอะกว่าที่ฝรั่งเศสนะ
มาเริ่มต้นทริปกันได้เลยครับ
เมื่อมาถึงสนามบิน Barcelona มีป้ายบอกทางชัดเจนสำหรับการเดินทางเข้าเมืองด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งเราเลือกที่จะนั่ง Aerobús เข้าเมืองกันครับ เพราะสะดวก ราคาไม่แพง และดูจะปลอดภัยดีสำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ มาถึงจุดขึ้นรถก็พบว่าแถวค่อนข้างยาว แต่ยังดีที่มีรถทุกๆ 10 นาที และมีที่วางกระเป๋าใบใหญ่บนรถด้วย ถ้าซื้อตั๋วมาล่วงหน้าก็แค่เปิดตั๋วให้พนักงานสแกนก่อนขึ้นรถ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็ถึง Plaça de Catalunya
บริเวณจุดขึ้นรถ Aerobús
บริเวณจุดขึ้น-ลง Aerobús ที่ปลายทาง Plaça de Catalunya
สิ่งแรกที่เราทำคือการไป check-in ที่โรงแรม Kimpton Vividora กันก่อน จากจุดที่ลงบัสเดินไปประมาณ 400 เมตรก็ถึงโรงแรม
สำหรับรีวิวโรงแรมสามารถตามไปอ่านกันได้ที่ http://www.porsuke.com/2024/05/15/kimpton_vividora/
Palau de la Música Catalana
หากปารีสมีโรงละครที่สวยงามอย่าง Opéra Ganier ที่บาเซโลน่าก็มีโรงละคร Palau de la Música Catalana ที่ออกแบบโดยสถาปนิก Lluís Domènech i Montaner ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน โดยการออกแบบของที่นี่เป็นสไตล์ Modernisme Catalá โดยผลงานของเขาที่โด่งดังอีกแห่งหนึ่งคือ Hospital de Sant Pau ซึ่งทั้งสองสถานที่นี้ได้ถูกจัดให้เป็น UNESCO World Heritage Site ทั้งคู่
โรงละครนี้นอกจากจะเปิดให้คนภายนอกเข้าไปชมงานสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว ยังคงเปิดใช้สำหรับทำการแสดงต่างๆ จนถึงปัจจุบัน แนะนำหากจะมาดเข้าชมควรเช็คผ่านทาง https://www.palaumusica.cat/ca เสียก่อน ว่ามีจัดงานแสดงอะไรในวันที่เราต้องการเข้าชมหรือไม่ จะได้ไม่มาเก้อนะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/RRMcahqVSSn77VUv8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/vRcN3AuV
ค่าเข้าชม 18 Euro
สวยงาม อลังการ ควรค่าแก่การมารับชม
Nomad Coffee – Lab & Shop
ร้านกาแฟและโรงคั่วชื่อดังของบาเซโลน่า ที่แนะนำว่าใครเป็น Coffee lover ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง นอกจากทางร้านจะเสิร์ฟเมนูหลัก ยังมี slow bar และเมล็ดกาแฟหลากหลายชนิดให้ได้ลองและสามารถซื้อกลับบ้านได้ด้วย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YZZBE11ouz2daZm18
เปิดเวลา 8.30 – 18.00 น. (ปิดวันเสาร์-อาทิตย์)
บรรยากาศภายในร้าน
Sunset at Tibidabo
Tibidabo คือ ยอดเขาที่สูงถึง 512 เมตร เป็นจุดชมวิวเมืองบาเซโลน่าจากมุมสูงที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง โดยบนยอดเขา Tibidabo นี้ จะมีทั้งสวนสนุก Tibidabo Amusement Park ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1910 และมี Temple Expiatori del Sagrat Cor ซึ่งบนยอดโบสถ์จะมีรูปปั้นของพระเยซูยืนเด่นเป็นสง่า แม้ว่าจะเดินทางหลายต่อไปหน่อย แต่แนะนำว่าถ้าอากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง การขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ตกบน Tibidabo เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ แนะนำว่าขึ้นมาสักประมาณก่อน 4 โมงเย็นเพื่อเข้าไปชมวิวมุมสูงจากบนโบสถ์จะดีมาก (เรามาถึง 5 โมงเย็น ซึ่งจุดชมวิวบนโบสถ์ปิดไปแล้ว น่าเสียดายมาก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JbH7FAq6dEUV8QdC9
การเดินทาง (ตั้งต้นจาก Plaça de Catalunya)
– นั่ง Metro สาย S2 จากสถานี Plaça de Catalunya ไปลงสถานี Peu del Funicular
– ออกจากสถานี Peu del Funicular เดินต่อไปขึ้นกระเช้า ขึ้นไปจนถึงสถานีสุดท้าย (ใช้เวลาประมาณ 5 นาที)
– ออกจากกระเช้าให้ขึ้นรถบัสสาย 111 ไปลงที่ Tibidabo (รถบัสคนค่อนข้างแน่นในช่วง Sunset)
บริเวณด้านหน้า Temple Expiatori del Sagrat Cor
บรรยากาศภายในโบสถ์
Dinner at Casa Lolea Barcelona
ร้านอาหารที่เราเจอโดยบังเอิญตอนไป Nomad Coffee – Lab & Shop สะดุดตาเพราะร้านตกแต่งน่ารัก และเห็นคนในร้านเยอะมาก เลยตั้งใจว่ามื้อเย็นจะกลับมาทานอาหารที่นี่กัน และก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ เมนูหลักของทางร้านคือ TAPAS หลากหลายเมนู และมีเครื่องดื่มอย่าง Sangria ให้ได้สั่งมาทานคู่กับ TAPAS อาหารและเครื่องดื่มรสชาติดี (แต่ TAPAS ก็อาจจะเล็กไปนิด คนกินจุอาจจะต้องสั่งเยอะหน่อย 555) บรรยากาศภายในร้าน การบริการของพนักงานให้เต็ม 10 ไปเลย เป็นอีกร้านที่แนะนำครับ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/8MbfATnr4hH3GieL9
เปิดเวลา 9.00 น. – เที่ยงคืน
TAPAS และเครื่องดื่มที่เราสั่งมาทาน
Casa Milà
เริ่มต้นเช้าวันที่สองกันที่ Casa Milà อพาร์ทเมนต์ส่วนตัวของตระกูล Milà ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1906 และเป็นผลงานสุดท้ายที่ออกแบบโดย Antoni Gaudi ที่นี่ถูกเรียกว่า La Pedrera ที่แปลว่า “เหมืองหิน” เพราะอาคารหลังนี้มีรูปร่างแปลกตา ทั้งโค้งนูน เว้าแหว่ง และมีรูปปั้นหินหน้าตาประหลาดอยู่บนดาดฟ้า ทำให้เมื่ออาคารนี้สร้างเสร็จ จึงดูเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดูล้ำ และแปลกตามาก สำหรับยุคสมัยนั้น
ตัวอาคารมีทั้งหมด 6 ชั้น ครอบครัว Milà อยู่อาศัยเอง 1 ชั้น และปล่อยให้เช่าอีก 4 ชั้น และมีดาดฟ้าอีก 1 ชั้น แม้ว่าปัจจุบันนี้จะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ แต่ภายในอพาร์ทเมนต์ก็ยังมีผู้อาศัยอยู่จริง โดยจะต้องเป็นผู้เช่าที่อยู่อาศัยมานานมากกว่า 70 ปี การเข้าชม Casa Milà จะมี self-guided tour ให้เราได้เดินสำรวจภายในห้องต่างๆ ซึ่งเป็นห้องพักของตระกูล Milà และมี Exhibition ที่เล่าประวัติ และแนวคิดในการก่อสร้างอาคารหลังนี้
ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือการมาถ่ายรูปบนดาดฟ้าของอาคาร ที่เรียกว่า The Garden of Warriors ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นยักษ์ที่ทำจากหินทราย วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด และมีโดมอีกหลายอันที่ทำหน้าที่เป็นส่วนระบายอากาศของอาคาร รวมถึงวิวเมืองบาเซโลน่าแบบ 360 องศาที่สวยงาม และสามารถมองเห็น La Sagrada Família ได้จากบนดาดฟ้านี้ด้วย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ypnq2snPabrY8f5K8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/WiXsiZ4j
เปิดเวลา 9.00 – 20.00 น.
Brunch at LA PAPA
เดินมาจาก Casa Milà ไม่ไกล เพื่อมาทาน Brunch กันที่ร้าน LA PAPA คาเฟ่ที่กำลังโด่งดังในบาเซโลน่า ตัวร้านตกแต่งอย่างเรียบง่าย สวยงาม ขนมหน้าตาน่าทานมาก แต่เป้าหมายของเราในการมาทาน Brunch ก็เพื่อมาชิมชูโรส ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของสเปนกัน หรือหากใครอยากแวะมาจิบกาแฟ กินขนมกรุบกริบ ก็แวะมากันได้ (แต่อาจจะต้องต่อแถวรอสักหน่อยนะ เพราะคนค่อนข้างเยอะ)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YcbCiRXkaLZHvY1g9
เปิดเวลา 8.30 – 18.00 น. (เสาร์-อาทิตย์เปิด 9.00 – 17.00 น.)
บรรยากาศภายในร้าน
หน้าตาอาหารและขนมที่ร้าน ตัวชูโรสที่เราสั่งมาทานคู่กับมะเขือเทศและซอสพริก อร่อยมากกกกก
Bar-Terrassa Sercotel Rosselló
บาร์ที่เห็นวิว La Sagrada Família สวยที่สุดในบาเซโลน่า บาร์นี้ตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Sercotel Rosselló แต่ถึงแม้จะไม่ได้พักที่นี่ ก็สามารถมานั่งดื่ม นั่งทานอาหารที่บาร์นี้ได้ครับ แนะนำว่าต้องจองโต๊ะล่วงหน้า และมามื้อกลางวัน โอกาสได้โต๊ะจะมากกว่ามื้อเย็น-ค่ำครับ (แต่ถ้ามาชมพระอาทิตย์ตกบนนี้ได้บรรยากาศก็น่าจะดี) แต่เตือนไว้ก่อนว่าอาหาร และเครื่องดื่มบนนี้ค่อนข้างธรรมดา (แต่ราคาแรง) อย่าคาดหวังกับอาหารมากนะครับ แต่มาดูวิว ถ่ายรูปบนนี้ก็คุ้มแล้วครับ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/nvZL9b3hEstMZVKP8
แนะนำจองโต๊ะผ่านทาง : https://www.sercotelhoteles.com/en/terrace-sercotel-rosellon
ระบบจะเปิดให้จองล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ แนะนำว่าควรจองตั้งแต่เปิดให้จองเลยนะครับ เพราะเต็มไวมาก
เปิดเวลา 13.30 – 23.00 น.
วิวบนนี้สวยมากจริงๆ
หน้าตาอาหารที่เราสั่งมาทาน
SYRA Coffee
ร้านกาแฟและโรงคั่วชื่อดังอีกร้านหนึ่งของสเปน ร้านนี้เป็นสาขาที่อยู่ใกล้กับ La Sagrada Família เราเลยแวะมาซื้อกาแฟ ก่อนจะไปเข้าชม La Sagrada Família กัน สาขานี้ร้านไม่ใหญ่นัก เน้นขายแบบ Takeaway แต่กาแฟดีมาก แนะนำเลยครับ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/k43sdJxjxpNnQUFV7
เปิดเวลา 8.00 – 20.00 น.
บรรยากาศภายในร้าน
La Sagrada Família
มหาวิหารที่สร้างมา 142 ปี แต่ยังไม่เสร็จสักที ผลงานสุดอลังการงานสร้างของ Antoni Gaudi อย่างมหาวิหาร Sagrada Família ที่มีความหมายว่า ครอบครัวพระเยซู ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 มหาวิหารที่สร้างนานที่สุดในโลกแห่งนี้ เป็นอีก 1 สถานที่ที่ต้องมาชมให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต เป็นผลงานที่ Gaudi ใช้ช่วงเวลา 14 ปีสุดท้ายของชีวิต ทุ่มเทให้กับการสร้างมหาวิหารนี้ และแม้จะผ่านสงคราม และกาลเวลามาเนิ่นนาน การก่อสร้างมหาวิหารนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะไม่ได้มีแบบแปลนของ Gaudi ที่เขียนลงบนกระดาษไว้เลยสักแผ่น
ภายนอกโดยรอบของวิหาร จะประดับประดาไปด้วยรูปปั้นที่สื่อถึงซาตาน นางฟ้า และเทพเจ้า และหากดูในรายละเอียดให้ดีแล้ว ลักษณะของผลงานในแต่ละด้านของมหาวิหาร ก็มีสไตล์ที่แตกต่างกัน
เมื่อเข้ามาด้านในก็จะพบกับพื้นที่สุดอลังการ รายล้อมไปด้วยเสาปูนรูปร่างเหมือนต้นไม้ สูงชะลูดและแตกกิ่งก้านออกไปบนเพดานสูง มีแสงหลากสีที่เกิดจากแสงแดดธรรมชาติส่องผ่านกระจกหลากสีสันที่ประดับประดาไปโดยรอบของวิหาร ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ และความสวยงามตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากแสงนี้ ก็สวยงามแตกต่างไปตามแต่ละช่วงเวลาที่ได้เข้ามาชม แนะนำว่าช่วงเวลาที่แสงสวยงามจะเป็นช่วงตั้งแต่บ่ายสามโมงเป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราเลือกเข้ามาชมพอดี (แต่หากใครอยากมาช่วงที่คนน้อยหน่อย แนะนำมาตั้งแต่เปิดให้เข้าชมจะดีกว่า)
บรรยากาศของแสงที่ผ่านมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ให้ความสวยงามที่ต่างออกไป
นอกจากชมภายในวิหารแล้ว เรายังซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปชมวิวบนหอคอย (หอคอยจะมี 2 ฝั่ง เราเลือกขึ้นทางฝั่ง Tower on the Nativity facade) ซึ่งการขึ้นมาชมวิวเมืองบาเซโลน่าบน Sagrada Família ในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกก็สวยงามไปอีกแบบ แต่หากมีเวลาจำกัด หรือเป็นคนกลัวที่แคบ หรือไม่อยากเดินขึ้น-ลงบันไดเยอะๆ แนะนำว่าไม่ต้องขึ้นมาก็ได้ เพราะนอกจากขึ้นมาดูวิวมุมสูงแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรให้ชมเป็นพิเศษ และบันไดขึ้นลงก็ค่อนข้างแคบ ไม่เหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุ
หากชมเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบออกมา แนะนำให้เดินไปด้านหลังโบสถ์ บริเวณชั้นใต้ดิน (ทางเดียวกับทางลงไปห้องน้ำ) จะมีห้องจัดแสดงประวัติความเป็นมาของการสร้าง Sagrada Família ตั้งแต่ Concept, Model ของอาคารแบบร่างแรกที่ Gaudi วางแผนไว้ และรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมอีกมากมายที่ไม่ควรพลาดชม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/yzi1zZdCECw8HjCT8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/BauGWNDL
เปิดเวลา 9.00 – 20.00 น.
Winter Night at Casa Batlló
Casa Batlló อีกหนึ่งผลงานของ Antoni Gaudi ที่เขาได้รับมอบหมายจากครอบครัว Batlló ให้ออกแบบปรับปรุงอาคารหลังนี้เมื่อปี 1904 เพื่อเป็นบ้านพักอาศัยของครอบครัว เป็นอีกผลงานที่โด่งดังและอยู่ในยุคเฟื่องฟูของ Gaudi เลยก็ว่าได้ โดยด้านหน้าของอาคารจะออกแบบเป็นเส้นโค้งเหมือนคลื่น ประดับด้วยกระจกโมเสกสีฟ้าน้ำเงิน เหมือนอยู่ในท้องทะเล มีระเบียงเหล็กดัด ออกแบบคล้ายหน้ากากที่สวมอยู่บนโครงกระดูก หากได้มาชมในตอนกลางวันที่มีแสงส่องผ่านกระจกเข้าไปคงได้ความสวยงามแปลกตา แต่เนื่องจากเวลาที่จำกัด และช่วงที่เรามาตรงกับ Event “Winter Night at Casa Batlló” ซึ่งเป็นการแสดงแสงสีภายนอกและภายในอาคารหลังนี้ จัดเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น
การได้เข้ามาชม Casa Batlló ในช่วงกลางคืนที่ประดับประดาไปด้วยไฟ และเทคนิค lighting ต่างๆ นี้ ทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาก ทั้งความสวยงามจากการใช้ไฟที่เข้ากับห้องต่างๆ โดยเฉพาะการทำไฟให้เหมือนน้ำตกบริเวณ The Central Lightwell หรือช่องแสงที่อยู่บริเวณกลางบ้าน และการแสดง Digital Art ในห้องสุดท้าย รวมถึงสถาปัตยกรรมและของตกแต่งภายในบ้านนั้น บอกเลยว่าดีไซน์ล้ำแต่ใช้งานได้จริง เป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่ให้บรรยากาศเหมือนได้มาชมบ้านในเทพนิยายก็ว่าได้
หากใครอยากชมบรรยากาศแสงสีในงาน ลองตามไปดูกันได้ทาง IG ของเราได้ครับ https://www.instagram.com/p/C40gIfYP97j/?utm_source=ig_web_button_share_sheet&igsh=MzRlODBiNWFlZA==
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/iHrTV1RRomnTaPiD8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/HWVrSG16
เปิดเวลา 9.00 – 22.00 น.
Parc Güell
สวนสาธารณะที่เป็นอีกผลงานของ Antoni Gaudi และยังได้รับการจัดเป็นมรดกโลก ประจำปี 1985 จาก UNESCO เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1900 และใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 14 ปี โดยสวนแห่งนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของบาเซโลน่าแล้ว ยังเป็น Public space ที่เปิดให้ชาวบาเซโลน่าเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกันด้วย และด้วยทำเลของสวนที่ตั้งอยู่บนเขา ทำให้เป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งในเมืองบาเซโลน่า โดยเฉพาะช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/iMxg6QXKa35NEj6G6
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/YHJMfzAd
เปิดเวลา 9.30 – 19.30 น.
Zara Plaça de Catalunya
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการแวะมาช็อปกันที่ ZARA แบรนด์แฟชั่นสัญชาติสเปนที่คนไทยรู้จักกันดี สาขาที่เราพามานี้เป็นสาขาที่มีการออกแบบภายในได้สวยงามมาก และมีสินค้าให้เลือกช็อปกันได้ถึง 3 ชั้น ราคาก็น่าซื้อเพราะถูกกว่าที่ไทยพอสมควรเลย ใครมาสเปนแล้วไม่ได้ช็อป ZARA กลับไป น่าเสียดายแย่เลยนะ