Hands & Heart : minimal is the best!
LET'S START MAKING WITH YOUR HEART,
THEN YOUR HANDS WILL BREW ALL THE REST.
ประโยคประจำร้าน Hands and Heart
ร้านกาแฟสไตล์ Minimal ที่ถูกใจทั้งคอกาแฟตัวจริง และคนรักการถ่ายรูป
เริ่มแรกได้รู้จัก Hands & Heart จากเพื่อนที่เป็นขาประจำตามชิมกาแฟ และถ่ายรูปตามคาเฟ่ต่างๆ
มาแนะนำให้ได้รู้จักกับร้านนี้ ซึ่งมีสาขาแรกอยู่ที่สุขุมวิท 38 หลังจากนั้นก็เรียกได้ว่าไปซ้ำอีกหลายครั้ง
จนตอนนี้มีสาขาที่สองเปิดใหม่อยู่ที่สยามสแควร์ จึงถือโอกาสมาแนะนำร้านนี้ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักกันครับ
จุดเด่นของ Hands & Heart ก็คือ ที่นี่เขาจริงจังเรื่องกาแฟมาก
มีเมล็ดกาแฟให้ได้เลือกชิมกันหลายแบบ ทั้งที่นำเข้าจากต่างประเทศและของไทย
ใครที่เป็นคอกาแฟตัวจริง ไม่ควรพลาด
ส่วนคนไม่ดื่มกาแฟ แต่ชอบมาร้านกาแฟ (แบบเรา) ที่นี่ก็มีทั้งขนม และเครื่องดื่มอร่อยๆ
ให้ได้เลือกชิม โดยส่วนตัวเวลามาที่นี่ จะชอบสั่งครัวซองต์ ซึ่งมีให้เลือกชิมหลายรสชาติ
แต่ที่ได้ลองล่าสุด คือ Bacon Roll เมนูนี้โดยส่วนตัว Recommend สุดๆ
สำหรับร้านสาขาแรกที่ซอยสุขุมวิท 38 ซึ่งซอยนี้อยู่ติดกับ BTS ทองหล่อ
เดินตรงเข้ามาในซอยประมาณ 200 เมตร ร้านจะอยู่ทางซ้ายมือครับ
การตกแต่งภายในร้าน เป็นโทนสี ขาว - เทา - ดำ minimal สุดๆ
สาขานี้ signature อยู่ที่โต๊ะหินอ่อน ซึ่งเพดานเป็นฝ้าโปร่ง ให้แสงธรรมชาติส่องลงมา
ส่วนสาขาที่สอง สยามสแควร์ (ซอย 11) เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นานนี้ครับ
โดยสาขานี้ อยู่บนชั้นสองของ FREITAG Flagship store ที่เพิ่งเปิดใหม่ไม่นานนี้
หากใครนึกไม่ออกว่า สยามซอย 11 คือตรงไหน ก็คือตรงเวิ้งที่มี Hard Rock Cafe นั่นแหละครับ
หน้าร้านจะมีป้ายบอกไว้ ว่าร้านอยู่ที่ชั้น 2 นะ
การตกแต่งของสาขานี้ ก็ยังคงเป็นความ minimal เท่ๆ เหมือนเดิม
โดยจะมีบาร์ของ Barista อยู่ตรงกลางร้านเลย
สำหรับเมนูทั้งกาแฟ เครื่องดื่มต่างๆ และขนม ก็เหมือนกับที่สาขาแรกครับ
ที่ติอยู่อย่างหนึ่งคือที่นั่งน้อยไปหน่อย แต่วันที่ผมไปทางร้านเพิ่งเอาโต๊ะใหม่มาลง
โต๊ะใหญ่ นั่งได้เยอะขึ้น แต่ก็ต้องแชร์กับคนอื่น เห็นมีพื้นที่เหลืออีกฝั่งนึงของชั้น
ไม่แน่ใจว่าต่อไปทางร้านจะขยายจนเต็มพื้นที่เลยหรือเปล่า แต่ถ้าคนเยอะก็น่าจะขยายนะ
หากใครสนใจอยากจิบกาแฟที่ชงด้วยความใส่ใจ และพิถีพิถันในทุกขึ้นตอน
แวะไปตามรอยกันได้ที่ Hands & Heart ทั้ง 2 สาขาครับ
ร้านเปิดทุกวัน 10.00 - 20.00 น.
ย่ำหิมะ ท้าลมหนาว ที่ Moerenuma Park
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นได้ให้ Free Visa กับนักท่องเที่ยวชาวไทย
จะเห็นได้ว่าคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะขึ้นมากกกกกกกก
หลายๆ คนก็ไม่ได้ไปแค่รอบเดียว ไปแล้ว ไปอีก (แบบผมเป็นต้น แฮะๆ)
จนสุดท้าย เริ่มเบื่อกับการไปเที่ยวตามสถานที่ซึ่งเป็น Landmark ต่างๆ
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เริ่มเบื่อกับการไปตาม Landmark ดังๆ เลยเริ่มเสาะหาสถานที่ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ
และยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไป จุดประสงค์หลักก็เพื่อหาสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ นี่แหละ
จังหวะพอดีกับการวางแผนทริป Hokkaido หน้าหนาวครั้งนี้
บอกตามตรงว่าไม่รู้จะไปเที่ยวตรงไหนใน Sapporo บ้างดี เพราะครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไป
(แต่เป็นครั้งแรกสำหรับหน้าหนาว...ที่หนาวโคตรๆ) เลยลองเปิดเว็บบ้าง Guide book บ้าง
จนได้เจอกับสถานที่ในฝันสำหรับคนชอบถ่ายรูป และไม่ชอบความพลุกพล่านวุ่นวาย นั่นก็คือ Moerenuma Park
Moerenuma Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง Sapporo
สร้างโดยการถมขยะลงในหนองน้ำขนาดใหญ่ โดยถมเฉพาะตรงกลาง ให้มีน้ำอยู่ล้อมรอบ
รวมพื้นที่สวนทั้งหมด ประมาณ 1,200 ไร่เลยทีเดียว ซึ่งผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ คือ Isamu Noguchi
ที่ได้เริ่มออกแบบไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 และได้เสียชีวิตในปีนั้น (ก่อนที่สวนจะเริ่มก่อสร้าง)
แต่การก่อสร้าง ก็ได้ทำตามแบบที่ Isamu Noguchi ออกแบบไว้ และทยอยเปิดให้เข้าใช้ได้ทีละส่วน
จนสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 2005
How to go ?
- นั่ง Subway Toho Line จากสถานี Sapporo ไปลงที่สถานี Kanjodori higashi
- ออกจากสถานีทาง Exit 2 (มีป้ายบอกให้ไป Bus Terminal) ถึงทางออกให้เดินมาทางด้านขวาประมาณ 50 เมตร จุดขึ้นรถบัสจะอยู่ทางด้านขวามือ
- นั่งรถบัสสาย 69 หรือ 79 ก็ได้ ไปลงที่ป้าย Moerenumakoen higashiguchi ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชม. (เวลานั่งให้ฟังดีๆ เพราะเสียงประกาศชื่อป้ายจะเบาและพูดเร็ว) ค่ารถ 210 เยนตลอดสาย
ป้ายรถบัส Moerenumakoen higashiguchi
ลงจากรถมา จะเจอทางเข้าสวน (ป้ายสีน้ำเงิน) อยู่ทางซ้ายมือ
ขากลับ ให้ข้ามมารอรถบัส (สาย 69 หรือ 79 ก็ได้) ตรงป้ายรอที่มีตู้โค้กสีแดงๆ
บริเวณหน้าทางเข้า มีต้นไม้เต็มไปหมด ถ้ามาฤดูร้อนคงเขียวชอุ่ม สดชื่นน่าดู
ทางเดินเข้ามาเต็มไปด้วยหิมะ เดินระมัดระวังกันด้วยนะครับ เพราะลื่นมาก
จุดแรกที่เข้ามาแล้วจะเจอเลย ก็คือ ภูเขา Moere ซึ่งเป็นเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณสูง
ด้วยความสูงประมาณ 62 เมตร ทำให้สามารถเดินขึ้นไปได้
ซึ่งบนยอดเนินสามารถมองเห็นวิวเมือง Sapporo ได้
ส่วนในฤดูหนาวคนญี่ปุ่นก็ชอบขึ้นไปเล่นสกีจากบนยอดเขานี่แหละ
ตอนเช้าๆ เนินเขาจะยังเห็นหิมะเรียบๆ ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็นดี
ช่วงสายๆ คนญี่ปุ่นจะเริ่มมาเล่นสกีกันแล้ว จากภูเขาหิมะที่ราบเรียบ
ก็จะมีร่องรอยของสกีและ snow board เต็มไปหมด
จุดที่สอง ก็คือ ปิระมิดแก้ว Hidamari ซึ่งภายในมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก
ห้องจัดประชุม และชั้นบนสุดจะเป็นจุดชมวิว ซึ่งจะเปิดตั้งแต่เวลา 9.00 - 19.00 น.
และปิดทุกวันจันทร์แรกของเดือน ซึ่งผมก็โชคดีมาก เพราะมาในวันที่มันปิดพอดี T_T
เดินต่อเข้ามาด้านใน น่าเสียดายตรงที่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว (มาก) ทุกส่วนของสวนจึงเต็มไปด้วยกองหิมะ
ทำให้เดินลำบากมาก และบางส่วนก็ปิดไม่ให้เดินเข้าไป ทำให้ไม่สามารถสำรวจพื้นที่ของส่วนได้ทั้งหมด
แต่ในวิกฤต ก็มีโอกาส เพราะเค้าก็ได้เนรมิตส่วนนี้ให้กลายเป็นลานสกี
ซึ่งก็มีคนญี่ปุ่นส่วนหนึ่งมาเล่นสกีรอบๆ สวนนี้ ในขณะที่กะเหรี่ยงอย่างเราๆ
ก็เดินชมวิวถ่ายรูปเท่าที่ได้ตามอัตภาพ เพียงเท่านี้ ก็ดีแล้ว เพราะ landscape ของสวนนี้มันดีมาก
จุดที่สาม คือ ภูเขาจำลอง Play Mountain สูงประมาณ 30 เมตร มีบันได้ให้เดินขึ้นไปได้
(แต่ตอนนี้ถูกหิมะกลบหมดแล้ว) แต่เราไม่เห็นใครเดินขึ้นบันไดเลย เพราะคุณลุงที่มาเล่นสกี
ก็ยังปีนป่ายขึ้นไปด้วยตัวเอง แล้วก็ไถลลงมาด้วยความเพลิดเพลิน (เห็นแล้วก็อยากจะลองบ้าง)
จุดสุดท้าย (ที่สามารถเดินไปได้) คือ Tetra Mound
เป็นปิระมิดทีทำด้วยสแตนเลส ตรงลานโดยรอบนั้นใช้จัดกิจกรรมต่างๆ
ซึ่งคาดว่าจะใช้ทำได้ในฤดูอื่นที่ไม่ใช่ฤดูหนาวแน่ๆ เพราะแค่เดินไปยังทำไม่ได้เลย T_T
สุดท้ายนี้ สำหรับคนที่ไปเที่ยว Sapporo โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูป และไม่ว่าจะไปฤดูกาลใดก็ตาม
อยากให้ลองแวะไปที่สวน Moerenuma เพื่อเดินเล่น ถ่ายรูปชิลๆ สัก 2-3 ชม.
รับรองว่าจะได้รูปสวยๆ กลับมาอัพอวดเพื่อนลง Social network กันได้อย่างเพลิดเพลินแน่นอน
แต่รีวิว Hokkaido ของเรายังไม่หมดเท่านี้ ยังมีที่ถ่ายรูปสวยๆ จัดให้เป็น Hi-light
สำหรับคนชอบถ่ายรูปมาให้ชมกันอีก 2 ที่
แล้วรอติดตามชมกันได้ ทาง Facebook Fanpage : P O R S U K E
ถ้ายังไม่ได้กด Like กดได้ทางด้านขวามือของ Blog เลยครับ :-)
อยากไป Sapporo Snow Fest เตรียมตัวยังไงดี?
งาน Sapporo Snow Festival จะจัดในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
จากปีที่ผ่านๆ มา งานจะเริ่มในช่วงประมาณวันที่ 5 ก.พ. (อาจบวกลบ 1-2 วัน) แล้วลากยาวไปประมาณ 1 สัปดาห์
แนะนำว่าให้มาช่วงวันต้นๆ เพราะหิมะที่จัดแสดงจะยังสวยงามอยู่ ถ้ามาวันท้ายๆ หิมะอาจละลายไปบ้างแล้ว
ให้เลือกซื้อ เลือกหาได้ในราคาที่ถูกกว่าเมื่อก่อนมาก ทั้ง Low Cost และ Full service
แต่สายการบินที่บินตรงมา Sapporo มีเพียงสายการบินเดียว ก็คือ การบินไทย
ซึ่งก็ต้องไปลุ้นราคากันเอง ว่าจะมีโปรปล่อยมาเมื่อไร เพราะ route นี้ การบินไทยไม่ค่อยลดราคา
(เพราะไม่มีคู่แข่ง) และที่สำคัญคือ ช่วง Snow Festival แบบนี้ คงยากที่จะหาตั๋วราคาโปร
ดังนั้น ถ้าตั้งใจจะประหยัดงบประมาณ ตัดเรื่องบินตรงไปได้เลย
อ้าว! แล้วจะบินไปลงที่ไหนดี? แล้วจะจองตั๋วเมื่อไรดีล่ะ?
ก่อนตอบคำถามพวกนี้ จะเล่าประสบการณ์ของเราให้ฟังก่อนแล้วกัน
เมื่อเดือน ก.พ. ปี 2558 AirAsia X ประกาศว่าจะเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพ - ซัปโปโร
ด้วยราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ในราคาประมาณ 7 พันกว่าบาท (ยังไม่รวมค่าจิปาถะอีกมากมาย)
ตอนนั้นตาลุกวาวมาก และคิดไม่นานเลยกับการรอที่จะจองไป Snow Festival โดยได้ตั๋วโปรขาไปมาเรียบร้อย
กะว่าขากลับ ค่อยหาโปรบินกลับจากโตเกียวแล้วกัน
สุดท้าย...Route นี้ ยกเลิกจ้า... T_T
AirAsia ให้ข้อเสนอมาตอนแรก คือ
1) เปลี่ยนเวลาเดินทาง มาบินช่วงเดือน มิ.ย. ที่ยังสามารถทำการบินได้
2) เปลี่ยนสนามบินที่จะไป (แต่ระยะเวลาที่เดินทาง +/- 14 วัน จาก booking ที่จอง)
3) คืนเงิน
4) คืนเป็น credit shell ไว้ซื้อตั๋วใหม่
เราเลือกข้อ 2 โดยบินวันเดิม แต่ไปลงสนามบินนาริตะแทน และหาตั๋วขากลับจาก Narita ด้วย
ที่เราสามารถหาตั๋วโปรได้ในราคาที่พอใจ และสายการบินที่เรา Happy
เพราะมีสายการบิน Low cost ของญี่ปุ่น เช่น Jetstar, Vanilla Air
เพราะช่วงนั้น คนญี่ปุ่นก็ไปเยอะ เป็นช่วงเทศกาล ยิ่งจองเร็วเท่าไร หรือมีโปรจองข้ามชาติมาเมื่อไร
เพราะยิ่งจองตั๋วไปญี่ปุ่นได้เร็ว จะได้รีบจองตั๋วในประเทศได้เร็วขึ้น (จะได้เจอแต่ตั๋วราคาดีๆ ไง)
แต่ปัญหานี้จะหมดไปในไม่ช้า เพราะปีนี้ จะมีการเปิดใช้ชินคังเซ็น นั่งตรงจาก Tokyo ไป Sapporo
ขอเตือนจากความผิดพลาดของตัวเองก่อนเลยนะ กาดอกจันทร์หลายๆ ดอกเลย
(มีกำหนดวันที่สามารถยกเลิกได้โดยไม่เสียเงิน)
หรือถ้าไม่ได้จองโดยตรงกับเว็บโรงแรม การจองผ่าน Booking หรือ Agoda ก็หาโรงแรมและอ่านเงื่อนไขดีๆ
หาอันที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ และสามารถยกเลิกได้โดยไม่เสียเงิน
ก็ยังสามารถมายกเลิกที่พักได้ โดยไม่ต้องเสียเงิน
ติดตรงที่เรามาช้าไป...
ทั้งหมดนี้ก็เป็นคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากไปเที่ยว Snow Festival (หรือไปเที่ยวญี่ปุ่นเมืองไหนก็ได้ โดยเฉพาะในหน้าเทศกาล หน้าซากุระหรือใบไม้แดง ที่คนไปเยอะๆ) หรือมือใหม่ที่อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง หวังว่าจะได้ไอเดียจากบทความนี้ไปบ้างนะครับ
แล้วอย่าลืมรอติดตามรายงานสด Hokkaido Snow Trip ครั้งนี้ได้ จากหน้าเพจ PORSUKE นะครับ :-)
Lonely Morning
Model : Safe ( Instagram : s.1991.w )
Location : The Core Hotel Chiang Mai
Camera : Sony A7Rii
Lens : FE 55mm F1.8 , Batis 25 F2
all photos processed via Lightroom 2015 with VSCOfilm
a day with RODTANK
Model : Rodtank ( Instagram : rodtank.s )
Location : MOCA Bangkok
Camera : Sony A7
Lens : FE 55mm F1.8 , FE 24-70 F4
all photos processed via Lightroom 2015 with VSCOfilm
เตรียมตัวไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นกันเถอะ : EP 1 - Obara / Korankei
ช่วงนี้ใครๆ ก็ไปญี่ปุ่น
แถมปีนึงไปกันหลายๆ รอบก็มี
ผมก็เป็นนะ ถึงจะไปญี่ปุ่นมาหลายรอบแล้ว บางทริปก็ไปที่เดิมๆ
แต่ยังไงก็ยังชอบ และอยากไปใหม่เรื่อยๆ อยู่ดี
ตอนนี้ก็เริ่มจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว หลายๆ คนก็คงจะเริ่มเตรียมตัวไปชมใบไม้แดงกัน
ผมเลยถือโอกาสรวบรวมสถานที่ชมใบไม้แดง (ที่เคยได้ไปมา) ทั้งที่ popular อยู่แล้ว
และไม่ได้ popular ในหมู่คนไทยนัก มาให้ได้เลือกสรร จัดลงไปในแพลนทริปกันครับ
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า รีวิวนี้จะไม่ได้รีวิววิธีการเดินทางที่ละเอียดมากนัก
แต่จะบอกเส้นทางคร่าวๆ และมีรูปที่ผมถ่ายรวบรวมมาให้ เป็น guideline ให้ดู
และจะไล่ไปเป็นโซนๆ เพื่อให้การจัดแผนการเดินทางเป็นไปได้ง่ายขึ้นครับ
เนื่องจากใน 2 ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปญี่ปุ่นในช่วงใบไม้แดงทั้ง 2 ปีติดกัน
โดยได้เดินทางไปในโซนภาคกลางของญี่ปุ่น หรือภูมิภาค Chubu โดยมีศูนย์กลางที่ Nagoya
ภูมิภาค Kansai (Osaka, Kyoto, Kobe, Nara) และ Kyushu นิดหน่อย
จะรีวิวไล่เรียงกันไปตามเวลาที่ใบไม้แดงจะเริ่มพีคของแต่ละจุดนะครับ
มาเริ่มกันที่ ภูมิภาค Chubu
โซนนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยเท่าไรนัก
อาจจะเป็นเพราะการเดินทางไปชมในแต่ละที่ ไม่สะดวกเท่าแถบ Kansai
แต่ก็ไม่ได้ลำบากนักที่จะออกเดินทางไปชม
เพราะแถบนี้มีที่ชมใบไม้แดงสวยๆ และน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการชมใบไม้แดงในโซนนี้
แนะนำให้มาในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนพฤศจิกายนครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
1. Korankei
Korankei ตั้งอยู่ในจังหวัด Aichi เป็นหุบเขาที่โด่งดังเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาค Chubu
ลักษณะของที่นี่เป็นหุบเขา มีแม่น้ำโทโมเอะไหลผ่าน ลักษณะ Landscape ที่นี่คล้ายๆ Arashiyama
มีวัด Kojakuji ตั้งอยู่บนเนินเขา และมีสะพานไม้สีแดง Taiketsukyo เป็น Landmark ให้ถ่ายรูปครับ
นอกจากนี้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ยังมีการประดับไฟช่วงกลางคืน ตั้งแต่ 17.00 -21.00 น. ด้วย
แต่การเดินทางไปที่นี่ด้วยขนส่งสาธารณะ ค่อนข้างลำบาก ต้องวางแผนการเดินทางให้ดีครับ
การเดินทาง
***แนะนำให้พักที่ Nagoya เพื่อการสะดวกในการเดินทางครับ
ตั้งต้นที่สถานี JR Nagoya ให้เดินมาที่สถานี Meitetsu Nagoya (เป็นรถไฟของเอกชน ไม่สามารถใช้ JR pass ได้)
นั่งมาลงที่สถานี Higashiokazaki (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที)
แนะนำว่าให้ขึ้นรถรอบก่อน 7.30 น. ครับ เพื่อที่จะได้ไปขึ้นรถบัสเที่ยว 8.30 น. ไป Korankei ได้
จากสถานี Higashiokazaki นั่ง Meitetsu bus จากหน้าสถานี ไปที่ Korankei
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. (ระยะทางไม่ไกลมาก แต่รถบัสจอดแทบทุกป้าย)
***คำเตือน
1. รถบัสจะคิวยาวและค่อนข้างแน่น แนะนำว่าถ้ามาถึงให้รีบต่อคิวเลยครับ จะได้นั่ง
2. รถบัสจาก Higashiokazaki มีรอบ 8.30, 9.10, 10.10, 12.10 (สำหรับช่วงครึ่งเช้า)
รถบัสจาก Korankei มีรอบ 10.51, 12.51, 14.51 และรอบสุดท้าย 17.51
(เวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้ แนะนำให้เช็คที่สถานีอีกครั้งครับ)
2. Obara
หากอยากชมใบไม้แดงและซากุระพร้อมๆ กันต้องมาที่นี่
เนื่องจากที่ Obara มีการปลูกดอกซากุระสายพันธุ์พิเศษ นั่นคือ Shikizakura หรือ ซากุระสี่ฤดู
ซึ่งสามารถบานได้ปีละ 2 ครั้ง และที่นี่ยังเป็นที่ที่ปลูกซากุระชนิดนี้ มากถึง 10,000 ต้น
จุดชมซากุระและใบไม้แดง ที่เด่นๆ เลยจะมีทั้งหมด 6 จุด
ถ้าท่านมีแรงเดิน และมีเวลามากพอ แนะนำให้ไล่จากจุดสุดท้ายมาที่จุดแรกครับ
แต่ถ้ามีเวลาน้อย หรือพาพ่อแม่ไปเที่ยวด้วย กลัวจะเดินไม่ไหว
ผมขอแนะนำจุดชมซากุระและใบไม้แดงที่ไม่ควรพลาด ทั้งหมด 3 ที่ครับ
จุดที่ 1 Fureai Park
จุดนี้เป็นป้ายแรกที่รถบัสจะจอด เมื่อเข้าสู่เขต Obara ครับ
ซึ่งตรงจุดนี้ จะมีการจัดนิทรรศการ Obara Shikizakura Matsuri ในช่วงเดือน พ.ย.
มีร้านอาหารญี่ปุ่นมาเปิดร้านขายกัน คึกคักดี และที่สำคัญคือเป็นจุดเดียวที่มีห้องน้ำให้เข้า
ดังนั้นการแวะที่นี่ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมในการเที่ยวในจุดต่อๆ ไปถือเป็นเรื่องดีครับ
ส่วนซากุระและใบไม้แดงในบริเวณนี้ ก็มีให้ชมหนาแน่นประมาณหนึ่ง
จะมีเป็นบันไดและสะพานไม้ให้เดินชมในบริเวณโดยรอบ ถ่ายรูปได้บ้าง
แต่ช่วงที่ผมไปซากุระยังไม่ Full bloom เลยดูโล่งๆ ไปนิด
จุดที่ 2 Ichibajoshi
บริเวณนี้ มีวัด Saiunji และ Ichiba castle ruin ซึ่งสองอย่างนี้ผมไม่ได้อินมากนัก
แต่ซากุระและใบไม้แดงตรงนี้ หน้าแน่น และเรียงตัวกันสวยงามดีครับ
เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาด และเดินจากจุดแรกมาไม่ไกลมากนัก
(ถ้าจะไปจุดอื่นควรนั่งรถบัสไป เพราะเดินไกลและเป็นทางขึ้นเขา)
หลังจากเดินเล่นตรงจุดนี้แล้ว แนะนำให้เดินกลับไปตรงป้ายรถบัสที่เราลงที่จุดแรกครับ
เพื่อที่จะได้รอรถไปต่อที่จุดที่ 3 ซึ่งห่างจากจุดแรกประมาณ 2 กม.
จุดที่ 3 Senmishikizakura no sato
จากป้ายรถบัสที่เราลงที่จุดแรก นั่งรถต่อมาอีกประมาณ 3 ป้าย
จะถึงป้ายที่มีชื่อว่า Kaminigi ให้ลงที่ป้ายนี้ได้เลย แล้วค่อยเดินไปที่จุดไฮไลท์ของเรา
ตรงบริเวณ Kaminigi จะมีต้นซากุระ และใบไม้แดง
อยู่ขนาบข้างคลองเล็กๆเป็นจุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาดเช่นกันครับ
เดินชมวิวจากป้าย Kaminigi ตรงขึ้นเขามาเรื่อยๆ จะเจอจุดไฮไลท์ของเราทางซ้ายมือ
นั่นคือ Senmishikizakura no sato ซึ่งบริเวณนี้มีต้นซากุระขึ้นหนาแน่นมากกกกกกที่สุด
ถ่ายรูปกันได้เพลินๆ ยาวๆ เลยครับ
การเดินทาง
***แนะนำให้พักที่ Nagoya เพื่อการสะดวกในการเดินทางครับ
ตั้งต้นที่สถานี JR Nagoya ให้เดินมาที่สถานี Subway Nagoya (เป็นรถไฟของเอกชน ไม่สามารถใช้ JR pass ได้)
นั่ง subway Higashiyama line ยาวๆ มาลงที่สถานี Toyotashi (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที)
แนะนำว่าให้ขึ้นรถรอบประมาณ 7.00 น. ครับ เพื่อที่จะได้ไปขึ้นรถบัสเที่ยว 8.30 น. ไป Obara ครับ
จากสถานี Toyotashi ให้เดินออกมาทาง East gate ขึ้นรถบัสที่ป้ายรถบัสเบอร์ 1
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. (ระยะทางไม่ไกลมาก แต่รถบัสจอดแทบทุกป้าย)
***คำเตือน
1. รถบัสจะคิวยาวและค่อนข้างแน่น แนะนำว่าถ้ามาถึงให้รีบต่อคิวเลยครับ จะได้นั่ง
2. เวลารถบัสทั้งขาไปและขากลับ แนะนำให้ดูรายละเอียดในกระทู้ของคุณ Atwin ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
Tips :
- ถ้าอยากเที่ยว 2 ที่ใน 1 วัน ทำได้ไหม? --> ทำได้ครับ "ถ้าเช่ารถขับเอง" แต่น่าจะเหนื่อยมาก
และต้องจัดสรรเวลาดีๆ เพราะรถจะติดมาก โดยเฉพาะ Korankei แนะนำให้เที่ยววันละที่ดีกว่าครับ
- ถ้ามีผู้สูงอายุไปด้วย แนะนำให้เช่ารถครับ เพราะต่อรถหลายต่อ และรถบัสโอกาสได้นั่งน้อยมาก
สำหรับรายละเอียดเรื่องการเดินทาง รอบรถ และจุดชมวิวอื่นๆ ทั้งใน Obara และ Korankei
สามารถดูได้จากกระทู้ของคุณ Atwin ได้เลยครับ (เพราะผมก็ใช้กระทู้นี้เตรียมตัวเดินทางเช่นกัน)
http://pantip.com/topic/30726210
สำหรับที่ชมใบไม้แดงในภูมิภาค Chubu ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะครับ
ไว้รอติดตามกันนะ :-)
(TAIPEI REVIEW) "ADD" ไทเปก็มีตลาดปลานะเออ!
พูดถึงคำว่าตลาดปลาปุ๊บ
ด้วยประสบการณ์ของคนส่วนใหญ่ มักจะคิดถึงตลาดปลาซึกิจิที่โตเกียว
หรือไม่ก็ตลาดปลาแถวมหาชัย
พอนึกถึงตลาดปลา เราก็จะได้กลิ่นคาวโชยมา เดินไปตามทางเดินก็จะแฉะๆ ชื้นๆ
เสียงพ่อค้าแม่ค้าดังจอแจในช่วงเช้าตรู่
แต่ที่ดีที่สุดก็คือจะได้กินปลาและอาหารทะเลสดๆ และราคาไม่แพง
หากภาพจำของคุณที่มีต่อตลาดปลาเป็นอย่างที่ผมบอกไปข้างต้น
รีวิวนี้จะทำให้คุณลืมภาพตลาดปลาแบบนั้นไปได้เลย
สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมาเที่ยวไต้หวัน (เพราะตั๋วเครื่องบินตอนนี้มักถูกมากจริงๆ)
รีวิวนี้ ผมจะพาทุกคนไปหาอาหารทะเลสดๆ อร่อยๆ และราคาไม่แพงที่ตลาดปลาไทเปกันครับ
ตลาดปลาไทเป มีชื่อเก๋ๆ ว่า "Addiction Aquatic Development" หรือย่อกันว่า "ADD"
ตลาดปลานี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยบริษัท Mitsui Food & Beverage Enterprise group
ซึ่งตลาดปลาที่นี่ จะเป็นอาคารคล้ายโกดัง มี 2 ชั้น
ที่สำคัญคือ ติดแอร์ ดูแล้วลักษณะเหมือน supermarket ย่อมๆ มากกว่าตลาดบ้านๆ
ดังนั้นลืมคำว่าเหม็น แฉะ ชื้น สกปรก ไปได้เลย
สำหรับวิธีเดินทางมาที่ตลาดปลาแห่งนี้ ก็มาไม่ยากครับ
อันดับแรก ให้นั่ง MRT สายสีแดง มาลงที่สถานี Yuanshan ออกมาทาง Exit 1
จาก MRT Yuanshan ถ้าท่านถึกพอ จะเดินไปที่ตลาดปลาก็ได้ ระยะทางประมาณ 2 กม.
หรือถ้ามากัน 2 คนขึ้นไป ก็โบกแท็กซี่ แล้วบอกว่าไป ไถเป่ยหวี่ซื่อ (台北魚市 tái běi yú shì)
แท็กซี่จะพาไปส่งถึงตลาดปลาทันที แต่ถ้าไปคนเดียว (แบบผม) หรืออยากประหยัดงบ
นั่งรถเมล์โลดครับ!
ออกจากสถานีมาปุ๊บ ให้มองทางซ้ายมือ จะเจออาคารใหญ่ๆ แบบนี้ และมีป้ายรถเมล์อยู่ด้านหน้าครับ
ให้มองหาป้ายรถเมล์สาย R50 ตามรูปเลยครับ
จากรูป จะมีตารางเวลารถออกทางด้านมุมบนขวา
แนะนำว่าให้วางแผนให้ดี และมาถึงก่อนเวลารถบัสออกประมาณ 15 นาที
เพราะรถมักจะมาก่อนเวลา และแวะจอดแป๊บเดียวครับ
พอขึ้นรถบัสมาแล้ว ให้ลงป้ายที่ 3 : The Second Wholesale Fruit and Vegetable Market (第二果菜市場)
ใช้เวลาจากสถานี MRT Yuanshan มาถึงป้ายนี้ประมาณ 15 นาที
ลงจากรถเมล์ จะเจอถนนแบบนี้ (มีถนนยกระดับอยู่ทางด้านซ้าย) ให้เดินตรงต่อไปจนถึงแยกครับ
พอถึงทางแยกให้เดินข้ามทางม้าลาย ลอดใต้ทางยกระดับ
เดินตรงข้ามไปทางฝั่งตรงข้ามเลยครับ
ข้ามฝั่งมาแล้ว ให้มองทางซ้ายมือจะเห็น 7-11 เดินตรงมาถึงหัวมุม 7-11 แล้วเลี้ยวขวาได้เลย
พอเลี้ยวมาปุ๊บ มองทางซ้ายจะเห็นอาคารสีฟ้า มีรูปปลา ให้เดินเลี้ยวซ้ายตรงมุมรั้วของอาคารนี้
เลี้ยวซ้ายมาจะเจอแบบนี้ ให้เดินตรงไปจนถึงตึกสีเทาๆ จะเป็นสามแยก
พอถึงสามแยก เหลือบมองไปทางด้านซ้าย จะเจอที่หมายของเราละครับ
โซน outdoor ด้านหน้าจะมีต้นไม้วางประดับ (ไม่รู้ขายด้วยไหม)
กับบ่อปลาให้เดินชมเรียกน้ำย่อยเล็กน้อย ประตูทางเข้าจะอยู่ด้านนี้แหละครับ
พอเข้าไปก็จะมีบ่อ + ตะแกรงใส่น้ำยาฆ่าเชื้อ ให้เราเดินผ่านก่อนเข้าไปด้านใน
คำเตือนก็คือ ทางเข้าด้านนี้ เข้าแล้วเข้าเลย ห้ามเดินออก เพราะว่าเค้าจะคุมเข้มเรื่องความสะอาดครับ
เข้ามาด้านในแอร์เย็นฉ่ำ มีบ่อกุ้ง ปู ปลา ให้เดินชมและเลือกซื้อกันตามสะดวก
ไม่มีกลิ่นเหม็น และสะอาดสะอ้านมากครับ
ถ้าขี้เกียจไปแกะเองที่บ้าน ก็มีแบบทำสำเร็จ เหมือนที่วางขายตาม supermarket
ทั้งอาหารสด และ ซูชิ ราคาก็ไม่แพงเลยครับ แถมยังได้ปลาที่เพิ่งทำสดๆ ด้วย
นอกจากของสดแล้ว ก็มีแผนกย่าง และปรุงสำเร็จให้เลือกซื้อ น่ากินทั้งนั้นเลย
แล้วถ้าอยากกินที่นี่สดๆ เลยล่ะ...ทำไงดี
นี่แหละ คือไฮไลท์ของการมาเที่ยวตลาดปลา เพราะที่นี่ก็มีส่วนของร้านอาหาร ปรุงกันสดๆ กินกันเดี๋ยวนั้นเลย
โดยที่ชั้น 1 จะแบ่งเป็นสองโซน โซนแรกจะเป็นซูชิ (ซึ่งผมไปทานที่โซนนี้) และอีกโซนจะเป็นซีฟู้ดย่างครับ
โซนปิ้งย่าง
โซนซูชิ
และด้วยความที่ชอบกินปลาดิบมาก ผมจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อชิมซาชิมิสดๆ ของโซนซูชิครับ
ซึ่งโซนของร้านอาหารนั้น จะเริ่มเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถ้าใครจะมาทาน แนะนำให้มาถึงก่อนซัก 15 นาทีครับ
เพราะตอนที่ผมมาถึง เค้าจะเริ่มแจกบัตรคิวประมาณ 15-20 นาทีก่อนร้านเปิดครับ
แล้วถ้ามาหลัง 10 โมงล่ะ จะได้กินไหม
คำตอบคือได้ แต่คิวจะยาวมากกกกกกกกกกก เพราะขนาดผมมาก่อน 10 โมง ก็ปาไป 20-30 คิวแล้วครับ
(โชคดีที่ผมได้คิวที่ 6 อิอิ)
ก่อนจะพูดถึงข้อดีของการมากินซูชิและซาชิมิสดๆ ที่นี่
ผมขอพูดถึงข้อเสียก่อนแล้วกันครับ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. ถ้าคิดว่าจะมานั่งกินชิวๆ สบายๆ ที่นี่ ลืมไปได้เลยครับ เพราะทุกที่เป็นที่ยืนกิน
เพราะเค้าต้องการให้เรา "รีบกิน" และ "รีบไป"
ดังนั้นถ้าจะพาพ่อแม่ปู่ย่าตายายมา ถ้าไม่อึดจริง อย่าพาแกมาทรมานเลยครับ
2. ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ ภาษาจีนล้วนๆ
และด้วยความรู้ภาษาจีนเท่ากับ 0 จึงต้องสื่อสารภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ กับพนักงาน
(ซึ่งภาษาอังกฤษแย่กว่าเราอีก) , ภาษามือ และชี้เมนูที่โต๊ะข้างๆ สั่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งซูชิที่อยากกิน
ข้อเสียที่นึกออกมีเท่านั้น
ต่อไปมาดูข้อดีกันดีกว่า
1. สด! สดจริงๆ พ่อครัวก็มาทำให้กินกันสดๆ ตรงหน้า
นอกจากอาหารจะเข้าปากแล้ว ยังอิ่มตาไปด้วยเมนูที่คนอื่นสั่ง
ถ่ายรูปกันได้อย่างเพลิดเพลิน (บางคนอาจจะเพลินกับการมองพ่อครัวไปด้วยก็ได้)
2. ถูก ราคาถูกมากครับ ยกตัวอย่างเช่น แซลมอน คำละ 40 บาท (โดยประมาณ)
กุ้ง คำละ 80 บาท (กุ้งในรูป ไอ้ที่มีหัวกุ้งมาด้วยน่ะครับ หวานมาก)
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เป็นเพราะเราอ่านเมนูไม่ออก เลยไม่รู้ว่าอันไหนราคาเท่าไรบ้าง
เลยทำให้วางแผนการสั่งไม่ถูก ตอนที่สั่งเลยเลือกชี้ๆ ที่อยากกินไปก่อน โดยประมาณการณ์ราคาในใจเอาเอง
จึงไม่กล้าสั่งเยอะ (เพราะกลัวเงินไม่พอ 555) ทำให้ได้ลองไปไม่กี่อย่างเอง
อุปกรณ์พร้อม
สั่งเสร็จปุ๊บ บิลวางปั๊บ (แต่อ่านไม่ออกและไม่มีราคา)
ส่วนอันนี้เป็นเมนูที่สั่งมา
ไข่แซลมอนดีงามมาก หวาน ละลายในปากกันเลยทีเดียว
ปลาดิบ กุ้งหวาน หอยเชลล์ คือหวานมาก ดีมาก อร่อยมากกกกกกก
ที่จริงยังมีอีก 2 จาน (แต่ถ่ายรูปไม่ทัน T_T)
สนนราคามื้อนี้ ผมหมดไปประมาณห้าร้อยกว่าบาท
รูปนี้ถ่ายก่อนเดินออกมาจากร้าน
ถ้าใครมาสายกว่า 10 โมง หรือกะมากินมื้อเที่ยง
ก็คงต้องรอคิวกันยาวๆ เลยครับ
พอกินเสร็จปุ๊บ ก็ปิดท้ายด้วยวิธีการเดินทางกลับมาสถานี MRT Yaunshan ละกันครับ
เดินออกมาจากทางออกของตลาดปลาแล้ว ให้เลี้ยวซ้าย จะเห็นทางแบบนี้
ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ จนเจอ Family Mart
ถึง Family Mart เลี้ยวซ้ายปุ๊บ ก็จะเจอป้ายรถเมล์ครับ ยืนรถรถเมล์สาย R50 ได้เลย
ส่วนอันนี้เป็นตารางเวลารถ แนะนำเหมือนขามา คือให้มาถึงก่อนเวลาอย่างน้อย 15 นาทีครับ
นั่งไปประมาณ 2 หรือ 3 ป้ายนี่แหละ ก็จะถึงป้ายรถเมล์ที่เราขึ้นมาตอนแรกจาก MRT Yuanshan เลย
สุดท้ายนี้ ใครที่มาไทเป แล้วอยากกินปลาดิบอร่อยๆ
ไม่ควรพลาดที่จะแวะมากินปลาดิบสดๆ ที่ตลาดปลาไทเป หรือ ADD
และหวังว่ารีวิวของผมจะช่วยให้เดินทางกันได้สะดวกมากขึ้น
หากชอบก็ช่วยแชร์ด้วยนะ และที่สำคัญอย่าลืมมากด Like Page "P O R S U K E" ใน Facebook
หรือกด Like จาก banner ด้านข้างของ Blog ได้เลยครับ
. . . Feel the Nature . . .
Model : Safe ( Instagram : s.1991.w )
Camera : Sony A7
Lens : FE 55mm F1.8
all photos processed via Lightroom 2015 with VSCOfilm
ไปถ่ายรูปที่ไปรษณีย์กลางกันเถอะ!
สืบเนื่องจากกระทู้นี้...
ไปรษณีย์กลางเนี่ยนะ !!!! มันมีอะไรให้ถ่ายหรอพี่
http://pantip.com/topic/33987240
ผมจึงไม่รอช้า ชวนน้องที่ชอบถ่ายรูปเหมือนกัน ไปลองถ่ายรูปเล่นกันที่ "ไปรษณีย์กลางบางรัก"
การเดินทางไปก็ไม่ยาก นั่ง BTS มาลงสถานีสะพานตากสิน แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาที
(ถ้าขี้เกียจก็นั่งพี่วิน หรือจะโบก Taxi มาก็ได้นะ) เดินมาทางโรบินสันบางรัก
ตรงมาเรื่อยๆ ทางโรงเรียนอัสสัมชัญ เดินเลยอัสสัมฯ มาซักพัก
จะเห็นตึกสีน้ำตาลสูงใหญ่อยู่ทางด้านซ้าย นั่นแหละที่หมายของเราในวันนี้
ผมผ่านตึกไปรษณีย์กลางมาหลายครั้ง
แต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าไปถ่ายรูปด้านใน เพราะคิดว่าเขาคงไม่ให้เข้า
และด้านในตึก ก็คงมีแต่ห้องทำงาน ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ที่ไหนได้...คิดผิดอย่างมาก
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับแสตมป์
ไปรษณีย์กลางจึงเปิดทำการในวันอาทิตย์ (ถ้าไม่มีงานก็น่าจะเปิดนะครับ ต้องลองเช็คเวลาทำการอีกที)
แต่ก็น่าเสียดายที่โถงด้านล่างไม่สามารถถ่ายรูปได้เหมือนในกระทู้ข้างต้น
พอผ่านประตูทางเข้าด้านหน้า ตรงมาจะเจอประตูเพื่อออกไปเข้าห้องน้ำชาย
ให้ผ่านประตูเข้ามา จะเจอกับโถงบันไดตามภาพนี้ครับ
ด้านในตกแต่งด้วยบันไดหินอ่อน สีน้ำตาล ตัดกับผนังสีขาว
ดูเรียบง่าย แต่สวยงาม มีแสงสว่างจากด้านนอกลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
ใครชอบถ่ายภาพแนว Minimalism ขาวๆ คลีนๆ หรือถ่าย Architecture น่าจะถูกจริตมากๆ
เดินผ่านโถงบันไดขึ้นมาที่ชั้นสอง
จะเจอกับห้องโถง พื้นปูด้วยกระเบื้องสีขาว มีหน้าต่างกระจกให้แสงภายนอกส่องผ่านเข้ามา
นอกจากห้องโถงกว้างตรงกลางแล้ว
ยังมีห้องทางปีกด้านซ้าย ที่สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปได้ครับ
ลักษณะห้องก็จะคล้ายกับห้องโถงนี่แหละ แต่แคบกว่า
โดยส่วนตัวชอบห้องเล็กมากกว่าห้องโถงนะ เพราะหน้าต่างวาง Layout ได้สวยงามกว่า
ช่วงเวลาที่ผมไป เป็นตอนสายๆ ประมาณ 10 - 11 โมง
คนที่มาถ่ายรูปเริ่มมีมากขึ้น แต่ยังไม่เยอะเท่าที่สถานีดับเพลิงบางรัก
มีตากล้องพาแบบมาถ่ายรับปริญญาก็มี หรือจะเป็นกลุ่มเพื่อนมาถ่ายรูปเล่นกันก็มี
อาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก แต่ต่อไปคนอาจจะเยอะมากกว่านี้
จากชั้น 2 ให้เดินมาขึ้นลิฟท์เพื่อมาชั้นดาดฟ้า
ดาดฟ้าที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง
ฝั่งแรกเป็นฝั่งวิวเมือง จะเห็นตึกทางฝั่งสาทรเป็น Background
น่าเสียดายที่วันที่ผมไปฟ้าไม่เปิด เลยได้ท้องฟ้าไม่ค่อยสวยเท่าไร
แต่ถ้าจะมาถ่ายก็เลือกช่วงเวลาดีๆ นะครับ จะได้ได้ฟ้าสวยๆ แสงสวยๆ
และที่สำคัญ จะได้ไม่ร้อนด้วย
ส่วนอีกฝั่งจะเป็นฝั่งวิวแม่น้ำเจ้าพระยา แต่น่าเสียดายที่ตึกใกล้ๆ บังวิวซะหมด
บนดาดฟ้าอีก ก็มี Background เรียบๆ สวยๆ ให้ได้พอถ่ายรูปกันบ้างครับ
สรุป
โดยภาพรวมแล้ว ไปรษณีย์กลางบางรัก ก็เป็นสถานที่ที่น่ามาถ่ายรูปอีกที่หนึ่ง
เพราะตัวอาคารมีความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ และสามารถเข้ามาถ่ายรูปได้โดยไม่ต้องเสียเงิน
ตอนนี้ยังไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มาเข้มงวดกับการเข้ามาถ่ายภาพมากนัก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยากจะฝากเพื่อนๆ ที่จะเข้ามาถ่ายรูป ให้ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ส่งเสียงดัง
และถ่ายรูปเฉพาะบริเวณที่ถ่ายได้เท่านั้น ไม่ควรเข้าไปในส่วนที่มีป้ายเตือน หรือห้ามไว้
โดยเฉพาะบริเวณดาดฟ้า ที่จะมีบันไดเวียนให้ขึ้นไปได้อีก (แต่ตอนนี้ปิดป้ายห้ามขึ้นแล้ว)
ถึงจะอยากได้ภาพสวยๆ วิวดีๆ แต่ก็ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่ด้วยนะครับ
แล้วจะรอชมภาพไปรษณีย์กลางบางรัก ในมุมมองของเพื่อนๆ บ้างนะ :-)
อุปกรณ์ถ่ายภาพ
Camera : Sony A7
Lens : FE ZEISS 24-70mm F4, FE ZEISS 55mm F1.8
Process : Lightroom 2015 with VSCOfilm
(TAIPEI REVIEW) ปีนเขา Xiangshan ถ่ายรูปที่จุดชมวิว Taipei 101
ไปไทเปคราวนี้ ผมตั้งใจจะไปถ่ายรูปวิวเมืองไทเป เอาจุดที่เห็น Taipei 101 ชัดๆ ด้วย
เปิดหารีวิวแล้ว จุดชมวิวที่แนะนำก็คือเขา Xiangshan
ซึ่งรีวิวส่วนใหญ่บอกว่าต้องเดินเยอะ ไม่มีรถสาธารณะผ่าน หรือไม่ก็ต้องนั่งแท็กซี่ไป
ก็เลยปลงตก และคิดว่าถ้าอยากได้รูป ก็ต้องอดทนเดินหน่อยแหละ (ไม่อยากนั่งแท็กซี่เพราะขี้เกียจสื่อสาร และแพงด้วย)
สุดท้าย เลยเปิด google map และเดินตามทางไปเรื่อยๆ
จนใกล้จะถึงทางขึ้นเขา...ก็พบว่า ตอนนี้มีสถานี MRT อยู่ใกล้ๆ ทางขึ้นเขาแล้ว
เลยอยากมารีวิวให้ดู เพราะจะได้ไม่ต้องเดินไกล (แบบผม T_T) และคนที่อยากไปชมวิว
จะได้บรรจุเขา Xiangshan ไว้เป็น 1 ใน List ที่ต้องมา เมื่อมาเยือนไทเป
การเดินทางมาที่เขา Xiangshan นั้นไม่ยากเลย (แต่เดินเยอะนะ อันนี้ขอเตือน)
นั่ง MRT สายสีแดง (สายเดียวกับ Taipei Main Station นั่นแหละ) มาลงที่สถานีปลายทาง Xiangshan
ซึ่งถ้าใครจะมาเที่ยว Taipei 101 ด้วย ให้ลงที่สถานี Taipei 101 ซึ่งอยู่ก่อนหน้ามา 1 สถานีเท่านั้น
พอถึงสถานี MRT Xiangshan แล้ว ให้ออกทาง Exit 2
ออกจากสถานี จะเจอป้ายแบบนี้ ให้ไปทาง Xiangshan Trail (LingYun Temple) ครับ
จากจุดนี้ใช้เวลาเดินขึ้นเขา 20 นาที (แต่เดินจริงๆ เกินกว่านั้นแน่นอน)
เดินตรงมาตามทางเรื่อยๆ
พอสุดทางจะเป็นสามแยก และเจอร้านอาหารนี้
จะมีป้ายชี้ทาง ให้เลี้ยวไปทางด้านซ้าย เดินต่อไปประมาณ 200 เมตรครับ
เดินต่อมาตามทางเรื่อยๆ ทางจะเริ่มชันเป็นเนินสูงขึ้นไป
จนกระทั่งมาเจอป้ายนี้ครับ ถึงทางขึ้นเขาแล้ว
ระยะทางขึ้นเขา 650 เมตร
ดูเหมือนไม่มาก แต่เป็นทางขึ้นเขานะครับ
ขอเตือนว่า ถ้าเป็นโรคหัวใจ หรือ ไม่ฟิตพอ อย่าเดินขึ้นครับ เพราะเหนื่อยมาก
พอเดินขึ้นมาได้สักพัก จะมีทางแยกออกเป็น 2 ทางครับ
ผมเลือกเดินไปทางขวา (เพราะคนส่วนใหญ่เดินทางด้านนี้)
ไม่รู้ว่าถ้าไปอีกฝั่งจะเจออะไรเหมือนกัน
ทางเป็นบันได สูงบ้าง ต่ำบ้าง ระหว่างทางจะมีเก้าอี้ให้นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะๆ ครับ
ช่วงที่ผมไปเป็นหน้าร้อน เหนื่อยมาก เหงื่อท่วมเลย (แถมแบกกล้องขึ้นไปอีก)
แนะนำว่าให้เตรียมน้ำขึ้นมาด้วยนะครับ เพราะด้านบนไม่มีน้ำขาย
พอขึ้นมาถึง จะมีจุดชมวิว 2 จุด
จุดแรกที่เจอ จะเป็นระเบียงไม้ยื่นออกไป ถ้าพอใจจะดูแค่ตรงนั้นก็โอเคครับ
แต่ถ้าอยากได้วิวสวยๆ หน่อย ก็เดินต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร ซึ่งจุดนั้น ตากล้องจะนิยมขึ้นไปมากกว่าครับ
แนะนำว่าควรรีบไปจับจองที่นั่งก่อนฟ้าจะมืดครับ เพราะยิ่งเย็น คนยิ่งเยอะ
ตำแหน่งที่วิวดีๆ ตากล้องก็จะมาตั้งกล้องจองไว้แล้ว แต่ก็ต้องทำใจนิด ว่าเราจะได้รูปอยู่มุมเดียว
คือมุมที่เราจองนั่นแหละ เพราะย้ายไปไหนไม่ได้ 555
ผมเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่ 5 โมงเย็นครับ คนยังไม่เยอะมาก
แล้วก็จับจองที่ถ่ายรูปไว้ตั้งแต่เย็น อยู่จนฟ้ามืด น่าเสียดายที่ได้รูปมุมเดียว
เพราะทริบนี้พกไปแต่กล้องติดเลนส์ฟิก ระยะ 35 mm กับ 55 mm เลยไม่ค่อยได้รูปหลากหลายเท่าไร
แต่การได้รูปในระยะเวลาที่แตกต่างกัน ก็มีความสวยงามคนละแบบ
ใครที่ชอบถ่ายรูป Landscape หรืออยากมาชมวิวเมืองไทเป และ Taipei 101 สวยๆ แบบนี้
ไม่ควรพลาดกับการมาปีนเขา Xiangshan นะครับ