Legendary Architecture Tour : 3 days in Barcelona
Explore Gaudí's Masterpiece : 3 Days itinerary in Barcelona
ไม่คาดหวัง...ไม่ผิดหวัง
แต่ที่บาเซโลน่าทำให้เราประทับใจเกินความคาดหวังไปมากเลยครับ
บอกตามตรงว่าการแพลนมาเที่ยวยุโรปในครั้งนี้ นอกจากปารีสและเมืองใกล้เคียงแล้ว บาเซโลน่าไม่ได้อยู่ในแพลนของเราตั้งแต่แรกเลยครับ แต่ด้วยความที่มาในช่วงฤดูหนาว บรรยากาศประเทศฝั่งยุโรปตะวันตกอย่างปารีสที่เราได้ไปมามันก็จะดูอึมครึม อากาศหนาวเย็น ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเกินไปหน่อย เลยหาประเทศที่น่าจะพอมีแสงแดดสวยๆ อากาศอบอุ่นขึ้นสักหน่อยให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ กันบ้างและก็มาจบที่เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน ที่เขาว่ากันว่าอากาศดีเหมาะกับการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ค่าครองชีพถูกกว่าฝั่งยุโรปตะวันตก และเป็นเมืองที่มีผลงานสุด Unique ของสถาปนิกในตำนานอย่าง Antoni Gaudí ให้คนชอบเสพงานสถาปัตยกรรมสวยๆ ได้รับชมกันด้วย และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเรากับประเทศสเปน ซึ่งเมื่อได้มาสัมผัสบรรยากาศ และสถานที่ท่องเที่ยวในบาเซโลน่าแล้วประทับใจเกินคาดมากๆ จึงอยากจะมาแนะนำทริปของเราไว้เป็นแนวทางสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจไปเที่ยวบาเซโลน่า ได้ไปตามรอยกันได้ครับ
3 Days 2 Nights : Barcelona Itinerary
Day 1
- Check-in : Kimpton Vividora
- Palau de la Música Catalana
- Nomad Coffee - Lab & Shop
- Sunset at Tibidabo
- Dinner at Casa Lolea Barcelona
Day 2
- Le Pedrera-Casa Milà
- Brunch at LA PAPA
- Bar-Terrassa Sercotel Rosselló
- SYRA Coffee
- La Sagrada Família
- Winter Night at Casa Batlló
Day 3
- Parc Güell
- Zara Plaça de Catalunya
ตั๋วเครื่องบิน
การเดินทางจากประเทศไทย ณ ตอนนี้ (พ.ค.2024) ยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพไปยังบาเซโลน่า จำเป็นจะต้อง Transit ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน Swiss Air, Ethihad Airway, Lufthansa เป็นต้น ส่วนของเรานั้นเดินทางต่อจากปารีส สามารถไปได้ทั้งทางรถไฟ (ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชม.) และทางเครื่องบิน ซึ่งเราเลือกการเดินทางด้วยเครื่องบินเพราะประหยัดเวลาและราคาไม่แพง โดยสายการบินที่เราเลือกนั้น คือ Vueling Airline สายการบิน Low cost ของสเปน ในราคาไป-กลับ (รวมกระเป๋าโหลด 20 กก.) คนละ 5,8xx บาท (จองล่วงหน้าประมาณ 4 เดือน) จองผ่านทาง https://atth.me/001jzw00201x แต่ด้วยความที่เป็นสายการบิน Low cost จึงมีข้อจำกัด และกับดักในการเสียเงินเพิ่มมากมาย โดยเฉพาะค่าน้ำหนักสัมภาระ เพราะน้ำหนักที่เราซื้อเพิ่มมาไม่รวมน้ำหนักสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่อง โดยเฉพาะคนที่มีกระเป๋า Carry-on แนะนำให้ซื้อน้ำหนักสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่องเพิ่มเติม (ตั้งแต่ตอนจอง) ด้วยนะครับ เพราะมาซื้อทีหลังหรือตอน check-in จะแพงมาก
ที่พัก
ในส่วนของที่พักนั้น ด้วยความที่เราค่อนข้างกังวลกับเรื่องความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการเดินทาง จึงเลือกพักแถว Plaça de Catalunya เพราะมีรถบัสตรงจากสนามบินมาเลย และเดินทางท่องเที่ยวในเมืองสะดวก แต่ก็แลกมากับค่าที่พักที่อาจจะสูงหน่อย (แต่ก็ยังถูกกว่าปารีสนะ) อย่างโรงแรม 4-5 ดาวที่เราสำรวจราคามา ถ้าจองล่วงหน้าสัก 4 เดือนขึ้นไป จะเริ่มต้นที่ประมาณ 4-5 พันบาท/คืน ส่วนโรงแรมที่เราเลือกนั้นคือ Kimpton Vividora เพราะส่วนตัวเป็นสมาชิก IHG และอยากลองพักโรงแรมนี้เนื่องจากชอบดีไซน์และทำเลของโรงแรม แต่ก็แลกด้วยราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาอีกหน่อย หากอยากชมรีวิวละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.porsuke.com/2024/05/15/kimpton_vividora/
วีซ่า
ใช้วีซ่าเชงเก้นแบบเดียวกับที่ฝรั่งเศส ซึ่งตอนยื่นขอวีซ่าฝรั่งเศสเราได้แนบแพลนเที่ยวที่บาเซโลน่าไปด้วย เพื่อให้ได้วีซ่าที่คลอบคลุมช่วงเวลาตลอดทริป แต่หากใครจะมาเที่ยวสเปนเป็นหลัก สามารถดูรายละเอียดการทำวีซ่าเพิ่มเติมได้ที่ https://www.lumahealth.com/th/travel-insurance/spain/tourist-visa/
การเดินทาง
ระบบขนส่งสาธารณะในเมืองบาเซโลน่าถือว่าดีและสะดวกต่อนักท่องเที่ยวมาก จากสนามบินสามารถเดินทางได้ด้วย Metro, Aerobús หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วก็เรียก Taxi สนามบินไปได้เลย ส่วนการเดินทางภายในเมืองไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ สามารถใช้ได้ทั้ง Bus และ Metro ขึ้นอยู่กับเส้นทางและสถานที่ปลายทางที่จะไป
สำหรับการเดินทางจากสนามบิน เราเลือกใช้บริการของ Aerobús ซึ่งมีให้บริการจากทั้ง Terminal 1 (สาย A1) และ Terminal 2 (สาย A2) ปลายทางสิ้นสุดที่ Plaça de Catalunya เหมือนกัน ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 7.25 Euro และไป-กลับ 12.50 Euro ซึ่งเราแนะนำให้เพื่อนๆ ซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซท์ เพราะราคาถูกกว่า และเมื่อไปถึงสามารถยื่น QR code ให้พนักงานสแกนก่อนขึ้นรถได้เลย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://aerobusbarcelona.es/
ส่วนการเดินทางในเมือง เราแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบเหมาการเดินทางที่เรียกว่า Hola Barcelona Travel Card โดยจะมีตั้งแต่ 2 - 5 วัน โดยบัตรนี้จะใช้สำหรับโดยสาร Metro, Bus และคลอบคลุมเส้นทาง Metro ที่ไปสนามบิน โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15.75 Euro (2 Days/48 hr Pass) โดยการนับเวลาจะเริ่มนับตั้งแต่เราใช้บัตรครั้งแรก เช่น ถ้าเริ่มใช้เวลา 15.00 น. ของวันที่ 1 มิถุนายน จะหมดอายุเวลา 15.00 น. ของวันที่ 3 มิถุนายน เป็นต้น สามารถซื้อและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.holabarcelona.com/tickets/hola-bcn-barcelona-travel-card
แต่หากใครจะใช้ Aerobús และ Hola Barcelona Travel Card แนะนำให้ซื้อแบบ Bundle ไปเลยจะประหยัดกว่าครับ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 26.80 Euro (Aerobús + 2 Days/48 hr Pass) สามารถซื้อและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.holabarcelona.com/transport-deals/hola-barcelona-aerobus
***หากซื้อแบบ Bundle ในเมล์จะได้ Link สำหรับ Download ตั๋ว Aerobús ซึ่งสามารถเปิดเพื่อยื่นให้พนักงานสแกนได้เลยตอนขึ้นรถ กับอีก Link สำหรับ Download Voucher ของ Hola Barcelona Travel Card ซึ่งต้องนำไปแลกบัตรตัวจริงที่ตู้อัตโนมัติ ในสถานี Metro สถานีใดก็ได้ครับ การนับวันใช้งานจะเริ่มเมื่อเรานำบัตรเสียบเข้าไปเพื่อผ่านประตู หรือเสียบใช้บนรถบัสครั้งแรก
การใช้จ่าย
ใช้ Travel Card หรือบัตรเครดิตเป็นหลักได้เลยครับ คล้ายกับที่ปารีสเลย แต่แลกเงินสดติดตัวไว้สักหน่อยก็อุ่นใจดีครับ ส่วนแบรนด์ของสเปนที่แนะนำว่าควรตำ (โดยเฉพาะเสื้อผ้า) เช่น ZARA, Pull&Bear (ถูกกว่าไทยมาก), Massimo Dutti, MANGO หรือถ้าเป็น Luxury Brand ก็ต้อง LOEWE เลยครับ (แนะนำสาขาตรง Casa Batlló ช็อปนี้สวยมาก)
การทำ Tax Refund
เนื่องจากเราไม่ได้ออกจากสเปนเป็นประเทศสุดท้าย ดังนั้นการขอ Tax refund จะไม่สามารถขอเป็นเงินสดได้ เวลาแจ้งพนักงานให้ทำ Tax refund จะได้ใบ claim มา ให้เรากรอกข้อมูล Passport , บัตรเครดิตที่จะขอ Tax คืนให้เรียบร้อย และตอนไป declaire Tax Refund ที่สนามบินปลายทาง (ของเราออกจากฝรั่งเศส) จะไม่สามารถสแกนผ่านตู้อัตโนมัติได้ ต้องนำใบ claim ไปให้เจ้าหน้าที่แสตมป์ และใส่กล่องสำหรับขอ Tax Refund (แต่ของเราใช้เวลาไม่นาน ได้ Tax คืนก่อนของที่ซื้อจากปารีสอีก) และแนะนำว่าถ้าใครซื้อ Brandname ที่สเปนได้ Tax refund ประมาณ 12-15% ขึ้นอยู่กับราคาของที่ซื้อ ได้เยอะกว่าที่ฝรั่งเศสนะ
มาเริ่มต้นทริปกันได้เลยครับ
เมื่อมาถึงสนามบิน Barcelona มีป้ายบอกทางชัดเจนสำหรับการเดินทางเข้าเมืองด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งเราเลือกที่จะนั่ง Aerobús เข้าเมืองกันครับ เพราะสะดวก ราคาไม่แพง และดูจะปลอดภัยดีสำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ มาถึงจุดขึ้นรถก็พบว่าแถวค่อนข้างยาว แต่ยังดีที่มีรถทุกๆ 10 นาที และมีที่วางกระเป๋าใบใหญ่บนรถด้วย ถ้าซื้อตั๋วมาล่วงหน้าก็แค่เปิดตั๋วให้พนักงานสแกนก่อนขึ้นรถ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็ถึง Plaça de Catalunya
บริเวณจุดขึ้นรถ Aerobús
บริเวณจุดขึ้น-ลง Aerobús ที่ปลายทาง Plaça de Catalunya
สิ่งแรกที่เราทำคือการไป check-in ที่โรงแรม Kimpton Vividora กันก่อน จากจุดที่ลงบัสเดินไปประมาณ 400 เมตรก็ถึงโรงแรม
สำหรับรีวิวโรงแรมสามารถตามไปอ่านกันได้ที่ http://www.porsuke.com/2024/05/15/kimpton_vividora/
Palau de la Música Catalana
หากปารีสมีโรงละครที่สวยงามอย่าง Opéra Ganier ที่บาเซโลน่าก็มีโรงละคร Palau de la Música Catalana ที่ออกแบบโดยสถาปนิก Lluís Domènech i Montaner ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน โดยการออกแบบของที่นี่เป็นสไตล์ Modernisme Catalá โดยผลงานของเขาที่โด่งดังอีกแห่งหนึ่งคือ Hospital de Sant Pau ซึ่งทั้งสองสถานที่นี้ได้ถูกจัดให้เป็น UNESCO World Heritage Site ทั้งคู่
โรงละครนี้นอกจากจะเปิดให้คนภายนอกเข้าไปชมงานสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว ยังคงเปิดใช้สำหรับทำการแสดงต่างๆ จนถึงปัจจุบัน แนะนำหากจะมาดเข้าชมควรเช็คผ่านทาง https://www.palaumusica.cat/ca เสียก่อน ว่ามีจัดงานแสดงอะไรในวันที่เราต้องการเข้าชมหรือไม่ จะได้ไม่มาเก้อนะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/RRMcahqVSSn77VUv8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/vRcN3AuV
ค่าเข้าชม 18 Euro
สวยงาม อลังการ ควรค่าแก่การมารับชม
Nomad Coffee - Lab & Shop
ร้านกาแฟและโรงคั่วชื่อดังของบาเซโลน่า ที่แนะนำว่าใครเป็น Coffee lover ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง นอกจากทางร้านจะเสิร์ฟเมนูหลัก ยังมี slow bar และเมล็ดกาแฟหลากหลายชนิดให้ได้ลองและสามารถซื้อกลับบ้านได้ด้วย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YZZBE11ouz2daZm18
เปิดเวลา 8.30 - 18.00 น. (ปิดวันเสาร์-อาทิตย์)
บรรยากาศภายในร้าน
Sunset at Tibidabo
Tibidabo คือ ยอดเขาที่สูงถึง 512 เมตร เป็นจุดชมวิวเมืองบาเซโลน่าจากมุมสูงที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง โดยบนยอดเขา Tibidabo นี้ จะมีทั้งสวนสนุก Tibidabo Amusement Park ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1910 และมี Temple Expiatori del Sagrat Cor ซึ่งบนยอดโบสถ์จะมีรูปปั้นของพระเยซูยืนเด่นเป็นสง่า แม้ว่าจะเดินทางหลายต่อไปหน่อย แต่แนะนำว่าถ้าอากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง การขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ตกบน Tibidabo เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ แนะนำว่าขึ้นมาสักประมาณก่อน 4 โมงเย็นเพื่อเข้าไปชมวิวมุมสูงจากบนโบสถ์จะดีมาก (เรามาถึง 5 โมงเย็น ซึ่งจุดชมวิวบนโบสถ์ปิดไปแล้ว น่าเสียดายมาก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JbH7FAq6dEUV8QdC9
การเดินทาง (ตั้งต้นจาก Plaça de Catalunya)
- นั่ง Metro สาย S2 จากสถานี Plaça de Catalunya ไปลงสถานี Peu del Funicular
- ออกจากสถานี Peu del Funicular เดินต่อไปขึ้นกระเช้า ขึ้นไปจนถึงสถานีสุดท้าย (ใช้เวลาประมาณ 5 นาที)
- ออกจากกระเช้าให้ขึ้นรถบัสสาย 111 ไปลงที่ Tibidabo (รถบัสคนค่อนข้างแน่นในช่วง Sunset)
บริเวณด้านหน้า Temple Expiatori del Sagrat Cor
บรรยากาศภายในโบสถ์
Dinner at Casa Lolea Barcelona
ร้านอาหารที่เราเจอโดยบังเอิญตอนไป Nomad Coffee - Lab & Shop สะดุดตาเพราะร้านตกแต่งน่ารัก และเห็นคนในร้านเยอะมาก เลยตั้งใจว่ามื้อเย็นจะกลับมาทานอาหารที่นี่กัน และก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ เมนูหลักของทางร้านคือ TAPAS หลากหลายเมนู และมีเครื่องดื่มอย่าง Sangria ให้ได้สั่งมาทานคู่กับ TAPAS อาหารและเครื่องดื่มรสชาติดี (แต่ TAPAS ก็อาจจะเล็กไปนิด คนกินจุอาจจะต้องสั่งเยอะหน่อย 555) บรรยากาศภายในร้าน การบริการของพนักงานให้เต็ม 10 ไปเลย เป็นอีกร้านที่แนะนำครับ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/8MbfATnr4hH3GieL9
เปิดเวลา 9.00 น. - เที่ยงคืน
TAPAS และเครื่องดื่มที่เราสั่งมาทาน
Casa Milà
เริ่มต้นเช้าวันที่สองกันที่ Casa Milà อพาร์ทเมนต์ส่วนตัวของตระกูล Milà ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1906 และเป็นผลงานสุดท้ายที่ออกแบบโดย Antoni Gaudi ที่นี่ถูกเรียกว่า La Pedrera ที่แปลว่า "เหมืองหิน" เพราะอาคารหลังนี้มีรูปร่างแปลกตา ทั้งโค้งนูน เว้าแหว่ง และมีรูปปั้นหินหน้าตาประหลาดอยู่บนดาดฟ้า ทำให้เมื่ออาคารนี้สร้างเสร็จ จึงดูเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดูล้ำ และแปลกตามาก สำหรับยุคสมัยนั้น
ตัวอาคารมีทั้งหมด 6 ชั้น ครอบครัว Milà อยู่อาศัยเอง 1 ชั้น และปล่อยให้เช่าอีก 4 ชั้น และมีดาดฟ้าอีก 1 ชั้น แม้ว่าปัจจุบันนี้จะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ แต่ภายในอพาร์ทเมนต์ก็ยังมีผู้อาศัยอยู่จริง โดยจะต้องเป็นผู้เช่าที่อยู่อาศัยมานานมากกว่า 70 ปี การเข้าชม Casa Milà จะมี self-guided tour ให้เราได้เดินสำรวจภายในห้องต่างๆ ซึ่งเป็นห้องพักของตระกูล Milà และมี Exhibition ที่เล่าประวัติ และแนวคิดในการก่อสร้างอาคารหลังนี้
ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือการมาถ่ายรูปบนดาดฟ้าของอาคาร ที่เรียกว่า The Garden of Warriors ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นยักษ์ที่ทำจากหินทราย วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด และมีโดมอีกหลายอันที่ทำหน้าที่เป็นส่วนระบายอากาศของอาคาร รวมถึงวิวเมืองบาเซโลน่าแบบ 360 องศาที่สวยงาม และสามารถมองเห็น La Sagrada Família ได้จากบนดาดฟ้านี้ด้วย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ypnq2snPabrY8f5K8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/WiXsiZ4j
เปิดเวลา 9.00 - 20.00 น.
Brunch at LA PAPA
เดินมาจาก Casa Milà ไม่ไกล เพื่อมาทาน Brunch กันที่ร้าน LA PAPA คาเฟ่ที่กำลังโด่งดังในบาเซโลน่า ตัวร้านตกแต่งอย่างเรียบง่าย สวยงาม ขนมหน้าตาน่าทานมาก แต่เป้าหมายของเราในการมาทาน Brunch ก็เพื่อมาชิมชูโรส ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของสเปนกัน หรือหากใครอยากแวะมาจิบกาแฟ กินขนมกรุบกริบ ก็แวะมากันได้ (แต่อาจจะต้องต่อแถวรอสักหน่อยนะ เพราะคนค่อนข้างเยอะ)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YcbCiRXkaLZHvY1g9
เปิดเวลา 8.30 - 18.00 น. (เสาร์-อาทิตย์เปิด 9.00 - 17.00 น.)
บรรยากาศภายในร้าน
หน้าตาอาหารและขนมที่ร้าน ตัวชูโรสที่เราสั่งมาทานคู่กับมะเขือเทศและซอสพริก อร่อยมากกกกก
Bar-Terrassa Sercotel Rosselló
บาร์ที่เห็นวิว La Sagrada Família สวยที่สุดในบาเซโลน่า บาร์นี้ตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Sercotel Rosselló แต่ถึงแม้จะไม่ได้พักที่นี่ ก็สามารถมานั่งดื่ม นั่งทานอาหารที่บาร์นี้ได้ครับ แนะนำว่าต้องจองโต๊ะล่วงหน้า และมามื้อกลางวัน โอกาสได้โต๊ะจะมากกว่ามื้อเย็น-ค่ำครับ (แต่ถ้ามาชมพระอาทิตย์ตกบนนี้ได้บรรยากาศก็น่าจะดี) แต่เตือนไว้ก่อนว่าอาหาร และเครื่องดื่มบนนี้ค่อนข้างธรรมดา (แต่ราคาแรง) อย่าคาดหวังกับอาหารมากนะครับ แต่มาดูวิว ถ่ายรูปบนนี้ก็คุ้มแล้วครับ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/nvZL9b3hEstMZVKP8
แนะนำจองโต๊ะผ่านทาง : https://www.sercotelhoteles.com/en/terrace-sercotel-rosellon
ระบบจะเปิดให้จองล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ แนะนำว่าควรจองตั้งแต่เปิดให้จองเลยนะครับ เพราะเต็มไวมาก
เปิดเวลา 13.30 - 23.00 น.
วิวบนนี้สวยมากจริงๆ
หน้าตาอาหารที่เราสั่งมาทาน
SYRA Coffee
ร้านกาแฟและโรงคั่วชื่อดังอีกร้านหนึ่งของสเปน ร้านนี้เป็นสาขาที่อยู่ใกล้กับ La Sagrada Família เราเลยแวะมาซื้อกาแฟ ก่อนจะไปเข้าชม La Sagrada Família กัน สาขานี้ร้านไม่ใหญ่นัก เน้นขายแบบ Takeaway แต่กาแฟดีมาก แนะนำเลยครับ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/k43sdJxjxpNnQUFV7
เปิดเวลา 8.00 - 20.00 น.
บรรยากาศภายในร้าน
La Sagrada Família
มหาวิหารที่สร้างมา 142 ปี แต่ยังไม่เสร็จสักที ผลงานสุดอลังการงานสร้างของ Antoni Gaudi อย่างมหาวิหาร Sagrada Família ที่มีความหมายว่า ครอบครัวพระเยซู ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 มหาวิหารที่สร้างนานที่สุดในโลกแห่งนี้ เป็นอีก 1 สถานที่ที่ต้องมาชมให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต เป็นผลงานที่ Gaudi ใช้ช่วงเวลา 14 ปีสุดท้ายของชีวิต ทุ่มเทให้กับการสร้างมหาวิหารนี้ และแม้จะผ่านสงคราม และกาลเวลามาเนิ่นนาน การก่อสร้างมหาวิหารนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะไม่ได้มีแบบแปลนของ Gaudi ที่เขียนลงบนกระดาษไว้เลยสักแผ่น
ภายนอกโดยรอบของวิหาร จะประดับประดาไปด้วยรูปปั้นที่สื่อถึงซาตาน นางฟ้า และเทพเจ้า และหากดูในรายละเอียดให้ดีแล้ว ลักษณะของผลงานในแต่ละด้านของมหาวิหาร ก็มีสไตล์ที่แตกต่างกัน
เมื่อเข้ามาด้านในก็จะพบกับพื้นที่สุดอลังการ รายล้อมไปด้วยเสาปูนรูปร่างเหมือนต้นไม้ สูงชะลูดและแตกกิ่งก้านออกไปบนเพดานสูง มีแสงหลากสีที่เกิดจากแสงแดดธรรมชาติส่องผ่านกระจกหลากสีสันที่ประดับประดาไปโดยรอบของวิหาร ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ และความสวยงามตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากแสงนี้ ก็สวยงามแตกต่างไปตามแต่ละช่วงเวลาที่ได้เข้ามาชม แนะนำว่าช่วงเวลาที่แสงสวยงามจะเป็นช่วงตั้งแต่บ่ายสามโมงเป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราเลือกเข้ามาชมพอดี (แต่หากใครอยากมาช่วงที่คนน้อยหน่อย แนะนำมาตั้งแต่เปิดให้เข้าชมจะดีกว่า)
บรรยากาศของแสงที่ผ่านมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ให้ความสวยงามที่ต่างออกไป
นอกจากชมภายในวิหารแล้ว เรายังซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปชมวิวบนหอคอย (หอคอยจะมี 2 ฝั่ง เราเลือกขึ้นทางฝั่ง Tower on the Nativity facade) ซึ่งการขึ้นมาชมวิวเมืองบาเซโลน่าบน Sagrada Família ในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกก็สวยงามไปอีกแบบ แต่หากมีเวลาจำกัด หรือเป็นคนกลัวที่แคบ หรือไม่อยากเดินขึ้น-ลงบันไดเยอะๆ แนะนำว่าไม่ต้องขึ้นมาก็ได้ เพราะนอกจากขึ้นมาดูวิวมุมสูงแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรให้ชมเป็นพิเศษ และบันไดขึ้นลงก็ค่อนข้างแคบ ไม่เหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุ
หากชมเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบออกมา แนะนำให้เดินไปด้านหลังโบสถ์ บริเวณชั้นใต้ดิน (ทางเดียวกับทางลงไปห้องน้ำ) จะมีห้องจัดแสดงประวัติความเป็นมาของการสร้าง Sagrada Família ตั้งแต่ Concept, Model ของอาคารแบบร่างแรกที่ Gaudi วางแผนไว้ และรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมอีกมากมายที่ไม่ควรพลาดชม
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/yzi1zZdCECw8HjCT8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/BauGWNDL
เปิดเวลา 9.00 - 20.00 น.
Winter Night at Casa Batlló
Casa Batlló อีกหนึ่งผลงานของ Antoni Gaudi ที่เขาได้รับมอบหมายจากครอบครัว Batlló ให้ออกแบบปรับปรุงอาคารหลังนี้เมื่อปี 1904 เพื่อเป็นบ้านพักอาศัยของครอบครัว เป็นอีกผลงานที่โด่งดังและอยู่ในยุคเฟื่องฟูของ Gaudi เลยก็ว่าได้ โดยด้านหน้าของอาคารจะออกแบบเป็นเส้นโค้งเหมือนคลื่น ประดับด้วยกระจกโมเสกสีฟ้าน้ำเงิน เหมือนอยู่ในท้องทะเล มีระเบียงเหล็กดัด ออกแบบคล้ายหน้ากากที่สวมอยู่บนโครงกระดูก หากได้มาชมในตอนกลางวันที่มีแสงส่องผ่านกระจกเข้าไปคงได้ความสวยงามแปลกตา แต่เนื่องจากเวลาที่จำกัด และช่วงที่เรามาตรงกับ Event "Winter Night at Casa Batlló" ซึ่งเป็นการแสดงแสงสีภายนอกและภายในอาคารหลังนี้ จัดเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น
การได้เข้ามาชม Casa Batlló ในช่วงกลางคืนที่ประดับประดาไปด้วยไฟ และเทคนิค lighting ต่างๆ นี้ ทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาก ทั้งความสวยงามจากการใช้ไฟที่เข้ากับห้องต่างๆ โดยเฉพาะการทำไฟให้เหมือนน้ำตกบริเวณ The Central Lightwell หรือช่องแสงที่อยู่บริเวณกลางบ้าน และการแสดง Digital Art ในห้องสุดท้าย รวมถึงสถาปัตยกรรมและของตกแต่งภายในบ้านนั้น บอกเลยว่าดีไซน์ล้ำแต่ใช้งานได้จริง เป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่ให้บรรยากาศเหมือนได้มาชมบ้านในเทพนิยายก็ว่าได้
หากใครอยากชมบรรยากาศแสงสีในงาน ลองตามไปดูกันได้ทาง IG ของเราได้ครับ https://www.instagram.com/p/C40gIfYP97j/?utm_source=ig_web_button_share_sheet&igsh=MzRlODBiNWFlZA==
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/iHrTV1RRomnTaPiD8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/HWVrSG16
เปิดเวลา 9.00 - 22.00 น.
Parc Güell
สวนสาธารณะที่เป็นอีกผลงานของ Antoni Gaudi และยังได้รับการจัดเป็นมรดกโลก ประจำปี 1985 จาก UNESCO เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1900 และใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 14 ปี โดยสวนแห่งนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของบาเซโลน่าแล้ว ยังเป็น Public space ที่เปิดให้ชาวบาเซโลน่าเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกันด้วย และด้วยทำเลของสวนที่ตั้งอยู่บนเขา ทำให้เป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งในเมืองบาเซโลน่า โดยเฉพาะช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/iMxg6QXKa35NEj6G6
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/YHJMfzAd
เปิดเวลา 9.30 - 19.30 น.
Zara Plaça de Catalunya
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการแวะมาช็อปกันที่ ZARA แบรนด์แฟชั่นสัญชาติสเปนที่คนไทยรู้จักกันดี สาขาที่เราพามานี้เป็นสาขาที่มีการออกแบบภายในได้สวยงามมาก และมีสินค้าให้เลือกช็อปกันได้ถึง 3 ชั้น ราคาก็น่าซื้อเพราะถูกกว่าที่ไทยพอสมควรเลย ใครมาสเปนแล้วไม่ได้ช็อป ZARA กลับไป น่าเสียดายแย่เลยนะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9EqqZfGmysNVq8zu7
Kimpton Vividora : โรงแรมบูทีคใจกลางเมืองบาเซโลน่า
Kimpton Vividora Barcelona : โรงแรมบูทีคดีไซน์สวย ใจกลางเมืองบาเซโลน่า
รีวิวนี้จะพามาชมโรงแรม "Kimpton Vividora" โรงแรมบูทีคสุดหรูในเครือ IHG ที่โดดเด่นในเรื่องของการนำเอกลักษณ์ของแต่ละพื้นที่นั้นๆ มาผสมผสานเข้ากับการออกแบบของโรงแรม โดยจุดเด่นของ Kimpton Vividora นอกจากดีไซน์ที่ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในย่านเมืองเก่าอย่าง Plaça de Cataluya ทำให้โรงแรมนี้กลมกลืนไปกับอาคารรอบด้านแล้ว การบริการ และความสะดวกสบายในเรื่องของทำเลก็เป็นจุดเด่นที่ทำให้เราตัดสินใจเลือกเข้าพักในโรงแรมนี้ ตลอด 3 วัน 2 คืนในทริปบาเซโลน่าที่ผ่านมา และที่นี่ยังเป็นโรงแรม Kimpton แห่งแรกในประเทศสเปนอีกด้วย
สระว่ายน้ำ และบาร์บริเวณ Rooftop ของโรงแรม สามารถขึ้นมาชมวิวเมืองเก่าได้
โรงแรมนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 โดยทำเลของโรงแรมนั้นอยู่ในเขต Plaça de Cataluya จตุรัสใจกลางเมืองซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและย่านช็อปปิ้งหลักของเมืองบาเซโลน่า การเดินทางจากสนามบิน วิธีที่เราแนะนำคือการนั่งรถบัสสาย A2 จากสนามบิน Barcelona-El Prat ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีมาลงที่ Plaça Cataluya - Fontanella ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย จากนั้นเดินต่อมาที่โรงแรมประมาณ 400 เมตร โดยระหว่างทางเดินจะเป็นร้านค้าต่างๆ ไม่เปลี่ยว แต่อาจจะมีคนพลุกพล่านพอสมควร จากโรงแรมสามารถเดินไปถนนคนเดิน La Rambla ในระยะประมาณ 300 เมตร มีสถานีรถไฟใต้ดินและป้ายรถบัสหลากหลายสาย ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวในบาเซโลน่าเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมาก
เข้ามาภายในโรงแรมจะพบกับโถง Lobby ขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยสีสันที่สดใส และจะพบกับ café "GOT" คาเฟ่และบาร์ที่จะให้บริการทั้งกาแฟ ค็อกเทลตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนถึงเที่ยงคืน เมื่อเราไปถึงก็มีพนักงานเข้ามาต้อนรับเป็นอย่างดี และนำเราไป check-in ที่ชั้น M ซึ่งมีเคาน์เตอร์ Reception อยู่โซนนั้น
ห้องพักของที่นี่มีหลาย Room type เริ่มด้วยห้อง City Single ขนาด 16 ตร.ม. สำหรับเข้าพักคนเดียว จนถึงห้อง Suite ซึ่งมีทั้ง 1 และ 2 ห้องนอน โดยแต่ละห้องก็จะมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ห้องที่เราจองมานั้นเป็นห้อง 1 King Bed Essential Room ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นสำหรับการเข้าพัก 2 คน แต่ด้วยสิทธิ IHG Platinum ทำให้เราได้ upgrade มาเป็นห้อง 1 King Bed Premium with Balcony ซึ่งเป็นห้องที่เราอยากแนะนำว่าถ้าได้มาพัก อย่างน้อยก็ควรจะจองห้องนี้ เพราะจุดเด่นของห้องนี้คือ มีระเบียงที่เราสามารถออกไปชมวิว และถ่ายรูปด้านนอกได้ และยังเป็นห้อง Corner Room ทำให้ห้องโปร่งสบาย และมีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 24 ตร.ม. ภายในห้องเข้ามาจะพบกับ Foyer สำหรับเปลี่ยนรองเท้าและวางกระเป๋าใหญ่ได้ มีห้องสุขาใกล้กับทางเข้า ต่อมาจะเป็น space กว้างที่เป็นพื้นที่ของเตียง King size, โต๊ะทำงาน, ราวแขวนเสื้อผ้า และโซน Minibar บริเวณด้านหลังเตียงด้านในสุดของห้องจะเป็นห้องอาบน้ำและซิงค์ล้างหน้าขนาดใหญ่ แยกไว้เป็นสัดส่วนอย่างดี
ในส่วนของ Facility นั้น มีทั้งส่วนของ Gym ที่เปิดให้บริการ 24 ชม. และ Rooftop Pool สระว่ายน้ำบนดาดฟ้า ที่สามารถมองเห็นวิวในบริเวณเมืองเก่าได้แบบ 360 องศา, Terraza de Vivi ร้านอาหารและ Rooftop bar ที่เปิดให้บริการอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ 10.00 - 23.00 น. และ FAUNA Restaurant ร้านอาหาร all-day dining บริเวณชั้น 1 ของโรงแรมที่เสิร์ฟ breakfast สำหรับแขกที่เข้าพัก และเสิร์ฟอาหารตลอดทั้งวันสำหรับแขกภายนอกด้วย แต่เนื่องจากห้องพักของเราไม่ได้รวมอาหารเช้ามา เลยอาจจะไม่ได้รีวิวในส่วนนี้ให้ได้ชมกันนะครับ
โดยภาพรวมแล้ว ประสบการณ์การเข้าพักที่ Kimpton Vividora ตลอด 3 วัน 2 คืนของเรานั้น ค่อนข้างประทับใจมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตกแต่งที่สวยงามของโรงแรม ทำเลที่สะดวกสบาย และที่เซอร์ไพรส์มากคือการบริการและความเอาใจใส่ของพนักงานในโรงแรม ซึ่งเราไม่คิดว่าจะได้เจอบรรยากาศแบบนี้กับการบริการในประเทศโซนยุโรปสักเท่าไร เลยอยากมาแนะนำสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาที่พักในเมืองบาเซโลน่ากันอยู่ สำหรับราคาช่วงที่เราพักอยู่ที่ประมาณ 260-280 Euro / คืน (ราคาอาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลา)
บรรยากาศบริเวณทางเข้าโรงแรม
ภายนอกของโรงแรม (ห้องพักส่วนมากจะไม่มีระเบียง)
café GOT
ลิฟท์ของโรงแรมมี 3 ตัว ห้องพักของโรงแรมจะอยู่บริเวณชั้น 2 ถึงชั้น 6
Reception อยู่ที่ชั้น M ของโรงแรม
บรรยากาศภายในห้องพัก
มีระเบียงออกไปได้ทั้ง 2 ฝั่ง
วิวจากระเบียงห้องพัก
บรรยากาศบริเวณ Rooftop bar & Pool
Winter in Paris : 4 Days 4 Nights in a Dream Destination
Winter in Paris : ทริปแรกของปี 2024 และ ปารีสครั้งแรกของเรา!
Bonjour à tous!
เริ่มต้นทักทายแบบนี้ ไม่ต้องแปลกใจกันนะ เพราะเราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว "ปารีส" เมืองหลวงสุดโรแมนติกที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน โดยครั้งนี้เราได้ไปเที่ยวปารีสในช่วงฤดูหนาว (28-31 Jan 2024) ซึ่งเป็นช่วง Low Season ของที่นี่ ซึ่งก็มีข้อดีหลายอย่างในการมาเที่ยวปารีสช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักที่ราคาถูกกว่าช่วงอื่น , นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นเท่าช่วงฤดูร้อน อากาศหนาวก็ทำให้เราได้แต่งตัวกันจัดเต็ม และที่สำคัญ ในช่วงกลางเดือน ม.ค. จนถึงต้นเดือน ก.พ. ของทุกปี เป็นช่วง Winter Sales ลดราคากันทุกร้าน ทุกห้าง รับรองว่าถูกใจขาช็อปกันอย่างแน่นอน
เนื่องจากทริปนี้เป็นการมาเที่ยวปารีสครั้งแรกของเรา แพลนเที่ยวเลยอาจจะดูมีแต่สถานที่ Tourist ไปหน่อย เหมาะกับเพื่อนๆ ที่กำลังแพลนมาเที่ยวปารีสครั้งแรกเหมือนกัน และไม่รู้ว่าจะจัดแผนอย่างไรดี ลองเอาแพลนของเราเป็น reference คร่าวๆ กันได้ครับ
Day 1
- Check-in : Intercontinental Paris Le Grand
- Lunch : La Plume Rive Droite
- Bourse de Commerce - Pinault Collection
- BNF Richelieu Site
- Sunset at Galeries Lafayette Rooftop
- Shopping : Printemps Haussmann
Day 2
- Breakfast : Cafe de la Paix
- Trocadero
- Avenue de Camoens
- Pont de Bir Hakeim
- Lunch : Zen
- Louvre Museum
- Cafe Kitsune Louvre
- Tuileries Garden
- Sunset at Pont Alexandre III
Day 3
- Pyramid du Louvre
- Domaine National du Palais-Royal
- Musee d'Orsay
- Lunch : Kong
- Check-in : Hotel Splendid Etoile
- Champs-Elysees
Day 4
- Arc de Triomphe
- Cafe Nuances
- Pont de l'Alma
- 228 Rue de l'Universite
- L'Howea
- Check-in : Hotel La Comtesse Tour Eiffel
- Sunset at Montmarte
- Champ de Mars
สำหรับรายละเอียด และ Tips ในการท่องเที่ยวปารีสจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เพื่อนๆ ตามมาอ่านรายละเอียดกันได้ในรูปของโพสท์นี้ หรือจะเข้าไปชมรีวิวแบบเต็มได้ทางเว็บไซท์ของเราที่จะแปะลิงค์ไว้ให้ในคอมเมนท์นะครับ
ตั๋วเครื่องบิน
สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากไปเที่ยวยุโรปและอยากควบคุม Budget ไม่ให้บานปลายมากนัก สิ่งแรกที่ต้องเตรียม คือ การจองตั๋วเครื่องบิน แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน หรือบางสายการบินอาจมีโปรล่วงหน้านานกว่านั้น ทริปนี้เราได้ตั๋วของสายการบิน Singapore Airline ในราคาไป-กลับอยู่ที่ 22,xxx บาท แม้จะบินอ้อมและเสียเวลาต่อเครื่องบ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก อย่างขาไปเราเสียเวลา Transit ประมาณ 2 ชม.กว่าๆ ส่วนขากลับเกือบ 6 ชม. แต่ข้อดีก็คือเราสามารถออกไปเดินเล่นที่ Jewel ได้ระหว่างรอ และสนามบินสิงคโปร์ก็มี lounge ดีๆ ให้เข้า (สำหรับคนที่มี Priority Pass หรือบัตรเครดิตที่สามารถเข้า Lounge ได้) ก็ทำให้ความน่าเบื่อระหว่างรอลดลงไปได้ครับ
ที่พัก
ในส่วนของที่พัก บอกเลยว่าโรงแรมในปารีสราคาค่อนข้างแพง ถึง แพงมาก โดยเฉพาะในช่วง High Season แนวทางการเลือกที่พักของเราหลักๆ เลยดูจาก Location , ความปลอดภัย และ ความสวยงามของโรงแรม (หรือวิวจากห้องพัก) เริ่มกันที่ทำเลกันก่อน ในปารีสเนี่ย เขาจะแบ่งเป็นเขต สำหรับเขตที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก คือ เขต 1 , 2 (แถว Louvre) , 6 (แถว Notre Dame) , 8 (Champ-Elysee) , 9 (Opera) ส่วนเขตที่ใกล้กับหอไอเฟล คือ 7, 15 และ 16 ซึ่งแต่ละเขตก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เราได้พักที่เขต 7, 8 และ 9 โดยส่วนตัวเราชอบ 9 มากสุดเพราะโซน Opera น่าจะเหมาะกับนักท่องเที่ยว มีห้าง ร้านอาหาร ร้านค้ามากมาย อยู่ในระยะเดินไปถนน St.Honore ได้ และไป-กลับจากสนามบินได้ด้วยรถบัส สะดวกมาก ส่วนใครไม่ชอบความพลุกพล่านนัก มีคาเฟ่ ร้านค้า ร้านแบรนด์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่นอกห้าง เขต 6 น่าจะตอบโจทย์มากๆ ส่วนถ้าใครอยากได้โรงแรมราคาไม่แพง แนะนำเขต 12, 13, 14, 15 แต่อาจต้องแลกกับการเดินทางไกลเล็กน้อย โซนที่ควรเลี่ยง คือ 9, 10 เพราะย่านนั้นค่อนข้างอันตราย
วีซ่า
การทำวีซ่าเชงเก้นของฝรั่งเศสมี 2 ขั้นตอน คือ กรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าทางออนไลน์ก่อน กรอกเสร็จแล้วจึงทำนัดหมายเพื่อไปเก็บลายนิ้วมือผ่านทาง TLS contact ซึ่งอยู่ที่ชั้น 12 อาคาร Sathon City Tower ทำตามขั้นตอนและเตรียมเอกสารตามที่ในเว็บแนะนำ ไม่ยุ่งยากเลยครับ ของเราใช้เวลารออนุมัติเพียง 3 วันหลังจากยื่นที่ TLS ถือว่าไวมากๆ เราได้ทำรีวิวการขอวีซ่าไว้ ลองเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ทาง Link ด้านล่างนี้ครับ
การเดินทาง
การเดินทางด้วยรถสาธารณะในปารีส มีทั้ง Metro, RER (รถไฟด่วน) และ Bus โดยสามารถใช้บัตรโดยสารที่เรียกว่า Navigo Easy ซึ่งเราแนะนำให้ซื้ออันนี้เพราะมันสะดวกมาก ไม่ต้องใช้เงินสดซื้อตั๋วบนบัส สามารถซื้อ ticket t+ ที่ใช้ขึ้นรถได้ทุกประเภทผ่าน app ในมือถือของเราได้เลย (คล้ายกับการซื้อเที่ยวเดินทางในบัตร rabbit) แนะนำว่าให้ซื้อเป็น bundle ticket t+ 10 เที่ยวไปเลย เพราะจะได้ราคาถูกลงกว่าซื้อทีละเที่ยว
บัตร Navigo Easy สามารถซื้อได้ที่ห้องพนักงานขายตั๋วที่สถานี Metro ทุกสถานี ราคา 2 ยูโร (กลับมาแล้วเก็บไว้เอาไปใช้ใหม่ได้ หรือจะส่งต่อให้คนอื่นก็ได้) ตอนซื้อสามารถให้พนักงานเติมเที่ยวเดินทางให้ได้เลยนะ จะได้ไม่ต้องไปเติมเอง ตลอด 4 วันที่ผ่านมาเราเดินทางด้วย Bus เป็นหลัก เพราะปลอดภัยกว่า Metro และมีรถบริการหลากหลายเส้นทาง แม้จะไม่ไวเท่า Metro แต่ก็สะดวกดี
ส่วนการเดินทางจากสนามบิน CDG สามารถมาได้ทั้ง Taxi (ราคา Fix ขึ้นอยู่กับปลายทางที่ไป) , RER (ไม่แนะนำ เพราะน่ากลัวไปหน่อย) และถ้าพักแถว Opera สามารถนั่ง Roissy Bus ซึ่งจะมีรถให้บริการทุก 15 นาที มาจอดตรงหน้า Opera Ganier เลย ราคาตั๋ว 16.6 Euro ต่อเที่ยว ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงสถานี และปลอดภัยจากโจรได้ระดับหนึ่ง
App ที่เราใช้สำหรับการเดินทาง คือ Google map เพราะบอกละเอียดทั้งเส้นทาง สายรถไฟทั้งหมด หมายเลข Bus ที่ต้องขึ้น เพียงพอต่อการเดินทางด้วยตัวเองในปารีสครับ
การใช้จ่ายในปารีส
แนะนำให้ใช้บัตรเครดิตเป็นหลัก (หรือ Travel card) ปลอดภัย และสะดวกกว่าการพกเงินสดมากๆ ครับ แทบทุกร้าน ทุกสถานที่ในปารีสตอนนี้รับบัตรเครดิตทั้งนั้น ไม่มีขั้นต่ำด้วย ตลอด 4 วันที่ผ่านมาเราจ่ายเงินสดไปครั้งเดียว ที่ร้านอาหารของคนจีน เพราะทางร้านไม่รับบัตรเครดิต ดังนั้นใครจะแลกเงินสดไป แนะนำพกติดตัวไปสัก 50-100 Euro ก็เพียงพอครับ
การทำ Tax Refund
มาเที่ยวปารีสทั้งที ถ้าไม่ช็อปปิ้งก็จะยังไงๆ อยู่ สำหรับขาช็อปที่ตั้งใจมาช็อปที่นี่ แนะนำว่าถ้าจะทำ Tax refund ตอนขอคืนรับเป็นเงินสดจะเร็ว และดีกว่าครับ (ส่วนตัวนี่พลาดไปแล้ว ขอคืนผ่านทางบัตรเครดิตผ่านมา 1 เดือนยังไม่ได้คืนเลย) ยิ่งถ้าบางห้าง (เช่น Printemps) สามารถขอเป็นเงินสดคืนที่ห้างได้เลย แม้จะได้ % ที่ต่างกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลารอนานครับ (ถ้ารับ refund ผ่านบัตรเครดิต ได้คืน 12% เงินสด ได้คืน 10% ยอดขั้นต่ำในการซื้อ 100 Euro ขึ้นไป)
การยื่นขอคืน tax ที่สนามบินก็ไม่ยุ่งยากครับ แต่ละ Terminal จะมีจุดทำ tax refund ซึ่งจะเป็นเครื่องอัตโนมัติ ให้เราเอาเอกสาร tax refund ที่ได้จากร้านค้า และจะมี barcode อยู่บนเอกสารนั้น ไปแสกนกับตู้อัตโนมัติ หากไฟที่ตู้ขึ้นสีเขียว ไม่ต้องสำแดงของที่ซื้อมา แต่ถ้าขึ้นสีแดง ต้องไปต่อแถวเพื่อสำแดงของกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ดังนั้น แนะนำให้ทำก่อนนำกระเป๋าเดินทางไป check-in นะครับ
มาเริ่มต้นทริปของเรากันดีกว่า!
เราเดินทางกับสายการบิน Singapore Airline ซึ่งมาลงจอดที่ Terminal 1 ของสนามบิน Charles-de-Gualle เนื่องจากไฟล์ทของเรามาถึงประมาณ 7 โมงเช้า จึงใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีในการผ่าน ตม. และรอรับกระเป๋า จากนั้นเราจะเดินทางเข้าเมืองด้วยการนั่งรถ RoissyBus ไปลงที่ Opera กัน โดยจุดขึ้นรถ RoissyBus ที่ Terminal 1 จะอยู่ตรงทางออก 32a
เห็นป้าย RoissyBus อยู่ตรงทางออก 32a
เดินข้ามถนนมาจะมีที่นั่งรอรถ ภายในจะมีตู้สำหรับกดซื้อตั๋ว
วิธีการซื้อตั๋วก็ไม่ยาก เพราะมีภาษาอังกฤษและจ่ายด้วยบัตรเครดิตหรือ Travel card ได้เลย ราคาตั๋วเที่ยวละ 16.6 Euro
ความสะดวกของการนั่ง RoissyBus คือ ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้น-ลงสถานีรถไฟ และราคาถูกกว่าการนั่ง Taxi (แต่ถ้ามากันมากกว่า 2 คน นั่ง Taxi จะคุ้มกว่านะ)
ใช้เวลานั่งรถจาก Terminal 1 มาถึง Opera ประมาณ 50 นาที
จุดจอดรถรับ-ส่งที่ Opera จะเป็นจุดเดียวกัน ใกล้กับโรงแรม Intercontinental Paris Le Grand ที่เรามาพักคืนนี้มากๆ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/3dvfcPhjKah97MuW9
ก่อนมา เราได้ Request กับทางโรงแรมไว้ว่าขอ Early Check-in ตอนประมาณ 10 โมงเช้า เผื่อจะได้อาบน้ำ พักผ่อนก่อนออกไปเที่ยว แต่พอไปถึงโรงแรม ห้องยังไม่พร้อม พนักงานเลยให้ไปนั่งรอที่ Lounge เพื่อทานอาหารเช้าระหว่างรอห้องพัก
ที่เราสามารถมาเข้า Lounge ได้ เพราะห้องพักที่เราจองมาจะรวมสิทธิ Lounge Access มาด้วย (ในราคาที่แพงกว่าจองห้องอย่างเดียวประมาณ 100 Euro) ซึ่งความคุ้มค่าของการเข้า Lounge ก็คือ เราจะมีทั้งอาหารเช้า, Afternoon tea และ Evening Cocktail เรียกได้ว่าพักผ่อนในโรงแรมกันได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียเงินออกไปหาอาหารข้างนอกทานเลย
บรรยากาศภายใน Lounge
หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย ห้องพักของเราก็พร้อมพอดี เราจะพักที่ Intercontinental Paris Le Grand กันทั้งหมด 2 คืน โดยเราได้จองห้อง " 1 Queen Cosy " ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นของโรงแรมมา แต่ด้วย Status IHG Platinum ของเรา ทางโรงแรมจึง upgrade ให้เป็นห้อง " 1 King Premium Balcony " ซึ่งจะมีขนาดห้องที่กว้างขึ้น เตียงที่ใหญ่ขึ้น และมีระเบียงออกไปด้านนอก แต่น่าเสียดายที่วิวจากห้องพักของเราไม่ได้วิว Opera ซึ่งเป็นวิวไฮไลท์ของโรงแรม ราคาห้องพักเริ่มต้นประมาณ 400 Euro / คืน
บรรยากาศภายในห้องพัก
ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ แยกกับ Shower Room ส่วนห้องสุขาจะแยกไปอีกห้อง อยู่บริเวณทางเข้าห้อง
มีระเบียงออกจากห้องน้ำได้ด้วย
อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาออกไปเที่ยวตามแพลนวันแรกของเรากันครับ เริ่มต้นด้วยการไปทานอาหารกลางวันกันที่ห้องอาหาร "La Plume Rive Droite" ซึ่งเป็นห้องอาหารของ Hôtel Madame Rêve โรงแรมที่ออกแบบสวย และน่าพักมากๆ อีกแห่งหนึ่งในปารีส (แต่ราคาก็แรงมากเช่นกัน) แนะนำว่าหากอยากได้ที่นั่งมุมถ่ายรูปสวยๆ ควรจองโต๊ะก่อนล่วงหน้าครับ (ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจอง) หรือหากยังแพลนไม่แน่นอน จะ walk in มาก็ได้เช่นกันครับ คนไม่เยอะมาก
สำรองที่นั่งได้ทาง https://laplumerivedroite.com/en/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/V9KXiNygyzn6pgVJ7
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
เราเลือกมาทาน Lunch Set ซึ่งจะมี 2 ราคา คือ 45 Euro (Main dish + appetizer or dessert) และ 55 Euro (appetizer + main dish + dessert) ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่ม (และ Tips ตอนจ่ายเงิน) อาหารของร้านนี้จะเป็นอาหารญี่ปุ่น Fusion เมนูน่าทานหลายอย่างมากๆ เราเลือกทาน Set 45 Euro เพราะตอนบ่ายจะกลับไปทาน afternoon tea ที่โรงแรมอยู่แล้ว เมนูที่เราเลือก คือ กุ้งเทมปุระทานคู่กับซอสครีม และปลาย่างทานคู่กับซอสมิโสะ และข้าวญี่ปุ่น อร่อยมากๆ ครับ เป็นอีกร้านที่แนะนำเลย
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลามาเดินย่อยกันที่ Bourse de Commerce - Pinault Collection อาคารนี้เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์ของฝรั่งเศส และได้ renovate ใหม่ให้เป็น Art Museum จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยหมุนเวียนไปตลอดทั้งปี ความพิเศษที่เราตั้งใจมาชมก็คือ การออกแบบภายในที่ได้สถาปนิกชื่อดัง อย่าง Tadao Ando เจ้าของผลงาน "Church of Light" และอีกหลายสถานที่ในญี่ปุ่น มาเป็นผู้ออกแบบอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และล่าสุดแบรนด์หรูอย่าง YSL ก็เพิ่งจัดแฟชั่นโชว์ Collection Fall Winter 2024 ภายในอาคารนี้ไปด้วย
ค่าเข้าชม : 14 Euro
เปิดเวลา 11.00 - 19.00 น. (ปิดทุกวันอังคาร)
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/VmLwoDvr
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QW2qkbYszBvFjuU27
บรรยากาศภายในอาคาร
ช่วงที่เรามามีจัดงานแสดงของ MIKE KELLEY : Ghost and Spirit โดยมีไฮไลท์ของงาน คือ "Kandor Full Set" จัดเป็นเมืองเรซิน มีโถแก้ว และ Digital art อยู่ภายในโถงมืดตรงกลาง Museum ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกอนาคต แถมยังถ่ายรูปสวยอีกด้วย
ร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์
BNF Richelieu Site ห้องสมุดที่มีการออกแบบตัวอาคาร และ Interior ได้สวยงามมาก โดยบริเวณชั้นล่าง (ชั้น 0) ของอาคาร จะเป็นส่วนของห้องสมุด สามารถเข้าไปเดินชม , ถ่ายรูปได้ (แต่ต้องงดใช้เสียงนะ เพราะเป็นห้องสมุดที่มีคนเข้ามาใช้บริการจริงๆ ) ส่วนบริเวณชั้นบน จะเป็นส่วนของ Museum ซึ่งส่วนนี้ต้องซื้อตั๋วเข้าไป แนะนำว่าถ้ามาแถวนี้ก็แวะเข้ามาถ่ายรูป ชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่นี่ก็เพียงพอแล้วครับ
เปิดเวลา 10.00 - 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KanxocPv5kMN5tGb7
Galeries Lafayette ห้างเก่าแก่ชื่อดังของปารีส เป็นห้างที่นักท่องเที่ยวมักจะมาแวะซื้อของ และมาถ่ายรูปกันที่นี่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่จะมีการจัด display สวยๆ บริเวณโถงตรงกลางห้าง บริเวณชั้น 3 จะมีสะพานแก้วยื่นออกมาให้มาถ่ายรูปได้ด้วย
แต่จุดประสงค์ของเราคือการมาชมวิวหอไอเฟลในช่วงพระอาทิตย์ตก บนดาดฟ้าของห้างครับ ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดชมวิวหอไอเฟลอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง (ทั้งสวย และเข้าชมฟรี) โดยดาดฟ้านี้จะอยู่ในตึก Homme ขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆ ประมาณ 7 ชั้น ก็จะเจอกับทางขึ้นดาดฟ้าของห้างครับ
บรรยากาศบนดาดฟ้า
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Qk1YztLPC8GiLQvT9
Cafe de la Paix
เริ่มต้นวันที่ 2 กันด้วย Breakfast ที่ Cafe de la Paix ห้องอาหารหลักของโรงแรม Intercontinental Paris Le Grand บอกเลยว่าถ้าใครมาพักที่นี่ แนะนำให้จองห้องพักที่รวมอาหารเช้ามาด้วย เพราะอาหารที่นี่เป็นไลน์ Buffet ที่มีอาหารหลากหลาย ใช้วัตถุดิบคุณภาพดี รสชาติดี และมีอาหารเอเชียอย่างปาท่องโก๋ ข้าวต้ม อาหารญี่ปุ่น ให้เราได้เลือกทานด้วย เป็นมื้อเริ่มต้นวันที่ดีสำหรับการเพิ่มพลังก่อนออกไปเที่ยวกันในวันนี้ครับ
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
Trocadero
แพลนของวันที่ 2 ในช่วงเช้า เราตั้งใจไปเก็บภาพหอไอเฟลในมุมต่างๆ โดยตั้งใจว่าจะเลือกมุมที่ไปให้อยู่ในโซนใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวกและไม่เสียเวลาในการเดินทาง เริ่มต้นกันที่ Trocadero สถานที่ที่ถือว่าเป็น Landmark ในการมาถ่ายภาพหอไอเฟล ที่ใครมาปารีสแล้วไม่ได้มาแวะถ่ายภาพคงน่าเสียดายแย่ ที่เริ่มจุดนี้เป็นที่แรกของวันเพราะเราอยากเลี่ยงคนเยอะๆ จะได้ถ่ายรูปสบายหน่อย แต่แนะนำว่าให้มาเช้าๆ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นไปเลย เพราะจุดนี้เวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/swGLkt4kUcf51jYH6
Avenue de Camoens
อีกจุดยอดฮิตที่โด่งดังมาจากซีรีส์ Emily in Paris เป็นจุดถ่ายรูปที่ให้ฟีลปารีเซียงสุดๆ เพราะนอกจากจะได้วิวเป็นหอไอเฟลแบบใกล้ๆ แล้ว ยังได้ตึกสวยๆ ที่มองปุ๊บก็รู้เลยว่าอยู่ปารีสแน่นอนมาเป็น Background ประกอบให้ด้วย สามารถเดินต่อมาได้ไม่ไกลจาก Trocadéro
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/D3SQSzVdYcH1nqsy9
Pont de Bir Hakeim
ถ่ายรูปหอไอเฟล คู่กับรางรถไฟเหล็ก เป็นอีกจุดที่หนังเรื่อง Inception มาถ่ายทำ จุดนี้สามารถถ่ายรูปเราคู่กับหอไอเฟล หรือจะถ่ายรูปคู่กับสะพานก็สวย บริเวณใต้รางรถไฟจะเป็นเลนจักรยาน เวลาถ่ายรูปอาจจะต้องระวังนิดนึง
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/87uMGC1YscDpcymv5
Zen
ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับการแนะนำจาก MICHELIN Guide เราแวะมาทานมื้อกลางวันที่นี่เพราะอยู่ใกล้กับ Louvre ที่เรามีแพลนจะเข้าชมในช่วงบ่าย และมื้อกลางวันไม่ต้องจองโต๊ะล่วงหน้า (แต่แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิด เพราะถ้ามาช้าก็ต้องรอคิวยาวอยู่นะ) ที่สำคัญเลยคือ มื้อกลางวันเขามีขายเป็น Lunch Set คนละ 26 Euro ราคานี้อิ่ม อร่อย คุ้มค่าสุด เป็นอีกร้านที่อยากแนะนำให้มาลอง
ร้านเปิดเวลา 12.00 - 14.30 น. และ 19.00 - 22.00 น. (มื้อค่ำต้องจองล่วงหน้า)
ปิดทุกวันอาทิตย์
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/sQrhV2BJdT6ttv5j9
บรรยากาศภายในร้าน
หน้าตา Lunch set 26 Euro ภายใน Set จะมี appetizer และ Main ให้เลือกได้ 3-4 อย่าง
Louvre Museum
พิพิธภัณฑ์ชื่อดัง และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บอกตามตรงว่าตอน plan เที่ยวปารีส การจัดสรรวัน และเวลาเข้า Louvre เป็นสิ่งที่เราลังเลอยู่หลายวันมาก เพราะจากหลายๆ รีวิวจะแนะนำให้เข้า louvre ตั้งแต่เปิด เพราะคนจะได้ไม่เยอะ บางรีวิวก็บอกให้เข้าไปตอนบ่ายๆ เย็นๆ เพราะคนจะไม่เยอะเช่นกัน แต่สุดท้ายเราตัดสินใจมาเข้า Louvre ช่วงบ่าย ด้วยเหตุผล คือ เราอยากเก็บช่วงเช้า และเย็น ไว้ไปถ่ายวิวหรือสถานที่ท่องเที่ยวด้านนอก เพื่อเก็บแสงสวยๆ ยามเช้า หรือบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกดีกว่า เพราะยังไงการเข้า Louvre คงไม่ได้เน้นเรื่องการถ่ายรูปมากนัก (เพราะถ่ายยังไงก็ติดคนเยอะๆ อยู่ดี) ซึ่งโดยส่วนตัวหลังจากได้เข้าไป Louvre ช่วงบ่าย ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ คนเยอะ (แต่ก็คิดว่ามันน่าจะคนเยอะแบบนี้ทั้งวันแหละ) สำหรับคนที่ไม่ได้อินกับศิลปะ (อย่างลึกซึ้ง) และมีเวลาจำกัดแบบเรา วางแผนไว้ว่าจะใช้เวลาภายใน Louvre ประมาณ 2-3 ชม. เท่านั้น เลยจะมาแนะนำ Tips สำหรับคนที่มีเวลาน้อย เพื่อไปตามเก็บงาน Highlight แบบคร่าวๆ ใน Louvre กันครับ
ก่อนอื่นเลยแนะนำว่าควรซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าครับ สามารถจองได้ผ่านทาง Website ของ Louvre โดยตรง หรือหากใครเดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ น่าจะรู้จักกับ Klook ซึ่งเป็นศูนย์รวมในการซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่มักจะมีโปรราคาพิเศษให้ได้ซื้อกัน และที่สำคัญคือมีภาษาไทย เข้าใจง่าย ไปถึงก็ไม่ต้องต่อคิวยาวๆ เพื่อรอซื้อบัตรกันด้วย สำหรับช่องทางการจองก็ตามไปได้ที่ลิงค์นี้เลย
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/FVQ0qvpW
เวลาเปิด : 9.00 - 18.00 น. (ยกเว้นวันศุกร์ เปิดถึง 21.45 น.) ปิดทุกวันอังคาร
สำหรับทางเข้า Louvre เพื่อเลี่ยงการต่อคิวยาวๆ ตรงทางเข้าหน้าปิรามิด มีแนะนำอยู่ 2 ช่องทางครับ
ทางแรกที่คนส่วนใหญ่แนะนำ คือ บริเวณประตูชัย (ขนาดเล็ก) หน้าสวน Jardin du Carrousel ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามถนนกับ Pyramid Louvre ให้เดินไปบริเวณประตูชัย จะเห็นเป็นบันไดสำหรับเดินลงไปด้านล่าง อันนั้นแหละคือทางไปเข้า Louvre แต่ช่วงที่เราไปมันปิดพอดี (ตามรูปเลย)
ส่วนอีกทางซึ่งเป็นทางที่เราเข้า Louvre ก็สะดวกไม่ต้องต่อคิวเช่นกัน นั่นคือ เข้าทางอาคารของห้าง Carrousel du Louvre ตามพิกัดนี้
https://maps.app.goo.gl/JERCPowKUHYcFC678 จะเป็นบันไดเลื่อนลงไปชั้นใต้ดิน ซึ่งเดินต่อไปทางเข้า Louvre ได้เลย
สำหรับเส้นทางการเดินชม Louvre ในแบบของเรา ให้เก็บไฮไลท์ได้ภายใน 2 ชม. ให้เริ่มต้นด้วยการเข้าชมทาง RICHELIEU WING ผ่านทางเข้ามาแล้วเดินตรงไป The Vaulted Hall เลี้ยวขวาเพื่อไป Room 105 : the Cour Puget จะพบกับห้องในรูปด้านบน
เสร็จจากการชมในห้องแรก ให้เราเดินกลับทางเดิมตรงทางเข้า Museum ครับ จากนั้นให้เข้าทาง SULLY WING เดินเข้าไปแล้วขึ้นบันไดไปที่ชั้น 1 จากนั้นเลี้ยวขวา ผ่านประตูไม้เข้าไป จะพบ Room 348 Caryatids ตามรูป
เดินเข้าไปสุดห้อง มุมด้านซ้ายจะเจอ Sleeping Hermaphrodite
เสร็จแล้วให้เดินออกจากห้องทางขวา ตรง Monument of Fireplace เดินตรงไปตามทางระหว่างเสาหินอ่อนสีแดง จะเจอจุดที่สอง Room 346 Venus de Milo
หันหลังกลับ แล้วเดินผ่านเสาสีแดงเสาแรก จากนั้นเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปผ่านหอกแล้วเดินขึ้นบันได Denon Wing : Room 703 The Winged Victory of Samothrace
เห็นปีกตรงหน้าแล้ว ไปห้องฝั่งซ้าย ขึ้นบันไดไปจะเจอห้องทรงกลม (Room 704) สามารถมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นปิรามิดได้
จุดชมวิว Louvre จากห้อง 704
เดินต่อไปยังห้อง Room 705 The Apollo Gallery ห้องนี้จะมีมงกุฎของราชวงศ์ให้ชม
ภายในห้องตกแต่งสวยงาม มีมุมสวยๆ ให้เดินถ่ายรูปได้ เดินไปจนสุดห้อง และเลี้ยวขวาไปห้องถัดไป
Room 708 Salon Carré : Grand Galerie ห้องนี้รวบรวมผลงานต่างๆ ของ Da Vinci ก่อนที่เราจะได้เข้าไปชมผลงานไฮไลท์ของเขา
Room 711 Mona Lisa ผู้คนจากทั่วโลกต่างมา Louvre เพื่อที่จะได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง เป็นห้องที่คนเยอะมาก โปรดระวังทรัพย์สินด้วยนะ
การเข้าชมในห้องนี้จะเป็น One way ชม Mona Lisa เสร็จแล้ว จะเดินออกไปทางห้อง 701 (มีร้านขายของที่ระลึก) ให้เลี้ยวขวาไปทางห้องต่อไป
Room 702 Napoleon’s Consecration ภาพแขวนขนาดใหญ่อยู่ทางซ้ายของห้อง
ชมเสร็จแล้วให้เดินกลับมาทางห้อง 701 เพื่อไปยังห้องต่อไป
Napoleon’s Consecration
ห้องต่อมา คือ Room 700 The Raft of the Medusa ในห้องนี้มีภาพ Liberty Leading the people (ไม่ได้ถ่ายมาให้ชม) เสร็จแล้วให้ออกจากห้องแล้วเดินลงบันไดไป
ระหว่างทางเดินจะผ่านคาเฟ่ใน Louvre บรรยากาศดี แต่คนเยอะมาก
Room 403 Michelangelo’s Slaves
บริเวณสุดทางของห้องนี้จะพบกับ Psyche Revived by Cupid’s Kiss
จากห้องนี้สามารถออกจาก Louvre โดยผ่านทางห้อง 404 และลงบันไดเวียนไป จะเจอป้ายทางออก (Sortie)
Cafe Kitsune Louvre
หลังจากเดินชมงานศิลปะใน Lourve กันจนเมื่อยแล้ว เราเลยมาคาเฟ่ของแบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Maison Kitsune ที่มีหลายสาขาทั้งในฝรั่งเศสและทั่วโลก และสาขาที่เราพามาก็อยู่ไม่ไกลจาก Louvre ซึ่งจุดเด่นของสาขานี้คือมีที่นั่งที่มองชมวิวได้อยู่บนชั้น 2 มีทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหารให้สั่ง พนักงานในร้านน่ารัก ใส่ใจบริการดี ใกล้ๆ กันจะมีอีก 2 สาขา คือ Palais Royal (ช่วงฤดูหนาวจะไม่มีที่นั่งด้านนอกให้นั่ง ร้านเล็กมาก) และสาขาหน้าสวน Tuileries ซึ่งตรงนั้นจะมี shop ของ Maison Kitsune อยู่ติดกันด้วย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Ssbs7jwocd8G2egT8
บริเวณที่นั่งชั้น 2 ของร้าน แนะนำมาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แสงสวยมาก
Cafe Kitsune อีกสาขา บริเวณหน้าทางเข้าสวน Tuileries
Tuileries Garden
สวนสวยที่อยู่ใกล้กับ Louvre เป็น Public space ที่คนฝรั่งเศสมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกัน ในขณะที่นักท่องเที่ยวอย่างเราก็เข้ามาหาที่นั่งพักขา และมาถ่ายรูป check-in ซะหน่อย ในปารีสมีสวนสาธารณะสวยๆ หลายแห่ง แต่เนื่องจากเวลาจำกัดเราเลยเลือกมาที่นี่เพราะอยู่ใกล้กับสถานที่อื่นๆ ในแพลนพอดี น่าเสียดายที่ช่วงเราไปมีการปรับปรุงพื้นที่ภายในสวนหลายจุดเพื่อต้อนรับโอลิมปิกฤดูร้อนปีนี้ และถ้ามาช่วง Winter แบบเรา ต้นไม้มันก็จะดูแห้งแล้งไปนิด จะให้ดีพวกสวนแบบนี้ ช่วง Spring-Summer น่าจะสวยสุดแล้วนะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jFkD2cVTo3Rjo6og9
Sunset at Pont Alexandre III
มุมถ่ายรูปบนสะพาน Pont Alexandre III เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตก แต่จริงๆ แล้วจุดนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันเหมือนสะพาน Alma แต่ถ้ามาช่วงเย็นรู้สึกว่าบรรยากาศจะโรแมนติกกว่าช่วงอื่นนิดนึง
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่แนะนำมาช่วง Sunset และอยู่ต่อจนเปิดไฟ น่าจะสวยมากๆ
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/g9x4toS61ctbJwgu8
Pyramid du Louvre
เริ่มต้นวันที่ 3 กันด้วยบรรยากาศขมุกขมัว โชคดีที่เป็นวันเดียวในทริปนี้ที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ด้วยความที่วันนี้ตรงกับวันอังคารซึ่ง Louvre ปิด เราเลยตั้งใจมาเก็บภาพคู่กับปิรามิด เพราะน่าจะถ่ายรูปสะดวกและติดคนน้อยกว่า ซึ่งบอกเลยว่าคิดไม่ผิด แนะนำว่าถ้าเป็นวันฟ้าเปิด มาตั้งแต่ช่วงเช้าๆ จะดีมากเพราะคนน้อย ถ่ายรูปได้เต็มที่เลย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9nLU6bMfu2zoECJJ8
มุมแรก บริเวณด้านหน้าปิรามิด บางคนก็ชอบขึ้นไปยืนบนแท่นสีดำแล้วใช้นิ้วจิ้มบนยอดปิรามิด แต่เราชอบมุมนี้แหละ ดูปิรามิดอลังการดี
มุมที่สอง หันหน้าเข้าหาปิรามิด แล้วเดินมาทางฝั่งขวาของปิรามิด จะได้มุมด้านข้าง มีฉากหลังเป็นอาคารเก่าของ Louvre Museum
แนะนำจัดองค์ประกอบให้แบบอยู่กลางปิรามิดและกลางภาพ จะดูสมมาตรและสวยงามแบบในรูป
มุมที่สาม เดินมาฝั่งตรงข้ามของมุมที่สอง เป็นอีกมุมยอดนิยม เพราะเห็นปิรามิดผ่านทางซุ้มประตู
ถ่ายคนสวยทั้งแบบเต็มตัว และครึ่งตัวแบบ Silhouette แต่มุมนี้จะมีคนเดินไปเดินมาตลอด อาจต้องรอจังหวะในการถ่ายภาพนิดนึง
Domaine National du Palais-Royal
เดินจาก Louvre มาไม่ไกล ก็จะพบกับจุดถ่ายรูปยอดนิยมอีกจุดหนึ่ง หลายคนมาตามรอยกันเพราะซีรีส์ Emily in Paris บริเวณนี้คืองานศิลปะที่ชื่อว่า "Les Deux Plateaux" หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ "Colonness de Buren" ตั้งอยู่ในบริเวณ Palais Royal เป็นผลงานของ Daniel Buren ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1985-1986 แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ เพราะคนน้อย ถ่ายรูปสะดวกมาก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/s9hCD8mREV311GhC8
Musee d'Orsay
พิพิธภัณฑ์ที่เคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อนและเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก เก็บรวมรวมงานศิลปะในประวัติศาสตร์ของศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้ง Vincent Van Gogh, Claude Monet, Edgar Degas และอีกมากมาย โชคดีที่เราไปทันช่วงที่เขาจัดนิทรรศการพิเศษของ Van Gogh พอดี ทำให้ได้ชมงานของ Van Gogh ที่นำมาจัดแสดงเฉพาะในงานนี้ด้วย เป็นอีกที่ที่คนรักงานศิลปะไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความที่สถานที่ค่อนข้างใหญ่ คนเยอะ แนะนำให้ซื้อตั๋วมาก่อน และเผื่อเวลาในการเดินชมงานอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงครับ (เราเดินเจาะเฉพาะงานของ Van Gogh และ Monet) ส่วนใครที่อยากมาถ่ายรูปกับนาฬิกาเรือนใหญ่บนชั้น 5 ของอาคาร แนะนำว่าควรมาตั้งแต่ Museum เปิด เดินเข้าไปด้านในสุด และขึ้นลิฟท์หรือบันไดไปที่ชั้น 5 เลยครับ เพราะถ้ามาช้าคิวถ่ายรูปยาวมากแน่ๆ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/VUxn3T5wjKATx8Bv9
เวลาเปิด : 9.30 - 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/qKf1BzOx
บรรยากาศภายใน Musee d'Orsay
บรรยากาศในงาน Van Gogh
จุดถ่ายรูปยอดฮิตบนชั้น 5 ของ Museum
บนชั้นเดียวกัน มีส่วนของร้านอาหารด้วย
ใครชอบงานของ Monet มีให้ชมเยอะอยู่นะ
Kong
ร้านอาหารที่เรามักจะได้เห็นรูปผ่านทาง Social media บ่อยๆ เป็นร้านที่อยู่ชั้นบนของตึก มีมุมกระจกโดมโค้งมองเห็นวิวอาคาร สถาปัตยกรรมสวยๆ ของปารีสเป็นฉากหลัง เราได้เลือกมาทานร้านนี้ช่วงมื้อกลางวันเพราะมี Lunch set มี 2 ราคา คือ 45 Euro (Main dish + appetizer or dessert) และ 55 Euro (appetizer + main dish + dessert) ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่ม (และ Tips ตอนจ่ายเงิน) อาหารจะเป็นสไตล์ Asian fusion แบบเดียวกับ La Plume แต่โดยส่วนตัวยกให้รสชาติอาหารที่ La Plume ชนะขาด แต่หากใครอยากแวะมาถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่ก็ตอบโจทย์อยู่นะ
สำรองที่นั่งได้ทาง https://www.sevenrooms.com/reservations/kongparis/goog
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/15nUL6BLu1TfYw8FA
บรรยากาศภายในร้าน
หน้าตาอาหาร 2 Set ที่สั่งมา
Samaritaine
หลังอิ่มท้องที่ Kong แล้ว มีห้างใกล้หรูที่อยู่ติดกันอย่าง Samaritaine ห้างหรูของเครือ LVMH ที่เพิ่ง Renovate เสร็จเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ภายในอาคารตกแต่งสวยงาม ควรค่าแก่การแวะมาเยี่ยมชม รวมถึงสายช็อป ก็มีแบรนด์ดังหลากหลายแบรนด์ให้ได้เดินช็อปกันได้เต็มที่ แม้ห้างจะไม่ใหญ่นัก แต่ข้อดีคือคนไม่เยอะเมื่อเทียบกับห้างอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวชอบไปกัน บรรยากาศดีงามควรค่าแก่การเสียเงินสุดๆ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ESVi2MtZ2Atyywvj6
Hotel Splendid Etoile
คืนนี้เราย้ายโรงแรมมานอนที่ Hotel Splendid Etoile เพื่อวิวประตูชัยสวยๆ จากห้องพักแบบนี้นี่แหละ หากใครสนใจอยากชมรายละเอียดตามไปอ่านในรีวิวเต็มได้เลยนะ เป็นอีกโรงแรมที่อยากแนะนำอย่างยิ่ง ทั้งวิวสวย และราคาก็ไม่แรงมากด้วย
รีวิวเต็ม http://www.porsuke.com/2024/04/13/hotel_splendid_etoile/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/qvofM4nVjZcVTv378
สำรองห้องพักได้ที่ https://atth.me/go/7hxr6u36
จากที่พักของเรา สามารถมาเดินเล่นแถวถนนช็อปปิ้ง Champs-Elysees ได้ ตอบโจทย์คนรักการช็อปปิ้งสุดๆ เพราะแถวนี้มีช็อปของ Luxury brands ดังๆ ทั้ง Louis Vuitton ซึ่งกำลังสร้างโรงแรม Louis Vuitton อยู่ด้วย, Dior (สาขานี้มี Museum ), Goyard (สาขา George V), Kith Paris ร้านรวมสินค้า High street multibrand, ร้านขนมชื่อดังอย่าง Pierre Hermé และอีกมากมายให้เดินกันได้ตลอดทั้งวัน
Kith Paris
Arc de Triomphe
ข้อดีของการมาพักที่โรงแรม Hotel Splendid Etoile นั่นคือ เราสามารถออกมาชมวิวประตูชัยหรือ Arc de Triomphe ได้ทั้งวันทั้งคืน และเราก็ได้เริ่มต้นเช้าวันที่ 4 ในปารีสกันด้วยวิวสวยๆ จากระเบียงห้องพักของเรา
เราอาศัยความใกล้ของที่พัก และบรรยากาศในช่วงเช้าที่น่าจะยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา ไปหามุมถ่ายรูป Arc de Triomphe กันแบบใกล้ๆ ครับ โดยจุดที่เราเลือกถ่ายรูป จะอยู่ระหว่างถนน Champs-Elysees และถนน Marceau ตามพิกัดนี้ https://maps.app.goo.gl/utx4vG3KesGU2itT6 และจะได้ภาพตามรูปด้านบนครับ
ส่วนอีกมุมที่คนนิยมมาถ่ายภาพกัน คือบริเวณเกาะกลางถนน Champs-Elysees เพราะจะได้เห็น Arc de Triomphe อยู่ด้านหลังแบบตรงๆ เลย แต่ส่วนตัวไม่แนะนำเลยครับ เพราะค่อนข้างอันตราย และรบกวนการเดินรถและคนที่ข้ามถนนไปมาด้วย
นอกจากการถ่ายภาพคู่กับ Arc de Triomphe ด้านนอกแล้ว อีกกิจกรรมที่อยากแนะนำ คือ การขึ้นไปชมวิวเมืองปารีสแบบ 360 องศาครับ เพราะนอกจากจะได้เห็นวิวสวยๆ แล้ว ยังได้เข้าไปชมสถาปัตยกรรมทั้งด้านนอกและด้านในของ Arc de Triomphe กันอย่างใกล้ชิดด้วย
แต่การขึ้นไปชมวิวด้านบนนั้น ต้องเดินขึ้นบันไดวนแบบนี้ไป 284 ขั้น มีลิฟท์ให้บริการสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการด้วยครับ
มาถึงด้านบนก็จะพบกับนิทรรศการเล็กๆ ที่พูดถึงประวัติการสร้าง และมี Model จำลองของ Arc de Triomphe
มีร้านขายของที่ระลึกให้ได้แวะเสียเงินกันด้วย
ขึ้นมาบน Rooftop เราก็จะพบกับวิวเมืองปารีสแบบ 360 องศาครับ
และนี่คือวิวฝั่งเมืองใหม่ของปารีส จะเห็นตึกสูงทันสมัย ต่างจากโซนเมืองเก่าที่เป็นโซนท่องเที่ยวอย่างมาก
ฝั่งนี้จะมองเห็น Montmarte ซึ่งเราจะไปชมพระอาทิตย์ตกกันเย็นนี้
และมุมไฮไลท์คงหนีไม่พ้นฝั่ง Eiffel Tower ที่อยู่ท่ามกลางตึกเก่าสไตล์ปารีส
แนะนำว่ามาช่วงเย็นจนถึงฟ้ามืด และรอจนกระทั่งหอไอเฟลเปิดไฟ น่าจะได้บรรยากาศที่สวยมาก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jRYKswt3ZFGR2ZpE6
เวลาเปิด : 10.00 - 22.15 น.
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/hiGlfcec
Cafe Nuances
Pont de l'Alma
เป็นอีกสะพานในปารีสที่ไม่แมส คนไม่เยอะเท่าที่อื่น แต่วิวหอไอเฟลสวยมาก ซึ่งจากบริเวณนี้สามารถเดินต่อไปยังจุดถ่ายรูปอื่นๆ ได้ไม่ไกล และนอกจากมุมบนสะพานแล้ว แนะนำให้เดินเลียบทางเดินฝั่งขวาของแม่น้ำ (ถ้าหันหน้าเข้าหอไอเฟลนะ) ตลอดทางเดินสามารถเดินถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เลย ไม่มีคนวุ่นวายกวนใจการถ่ายรูปแน่นอน
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gu4zWVCc1bmrAvyv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามาช่วงเช้าจะไม่ย้อนแสง
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง
228 Rue de l'Universite
วิวหอไอเฟลจากมุมตึก อีกจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจุดนี้ค่อนข้างถ่ายยาก เพราะหอไอเฟลอยู่ค่อนข้างใกล้ และมีคนมาถ่ายรูปเยอะมาก ทำให้ต้องหามุมหลบคนไปอีก แต่ก็นับว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สวย และน่ามาถ่ายรูป check-in กันสักหน่อย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uKKUVQP2DzmD63C3A
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน (คนเยอะตลอดทั้งวัน 555)
Tips : ระวังกระเป๋าและทรัพย์สินตลอดเวลา เพราะคนเยอะ และอาจมี Homeless เดินมาประชิดตัวเพื่อขอเงินได้ (เพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ) ส่วนเลนส์ที่แนะนำสำหรับมุมนี้ควรใช้ Wide หรือ Ultrawide ไปเลย เพราะจะสามารถเก็บหอไอเฟลได้ทั้งหมด
L'Howea
มุมถ่ายรูปหน้าร้านดอกไม้ L’Hoewa เป็นจุดที่คนชอบมาถ่ายรูป Pre-wedding กัน หากไม่ลำบากเรื่องทุนทรัพย์ก็แวะไปอุดหนุนดอกไม้จากที่ร้านสักช่อ เอามาถือเป็น Prop สำหรับถ่ายรูปก็ดีนะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/btVvPxfyCdsgHnAG7
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า – ช่วงสาย (เพราะแสงจะส่องเข้าหน้าร้านพอดี ไม่ย้อนแสง) น่าเสียดายวันที่เราไปไม่มีแสง
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน ซึ่งตรงนั้นจะมีไฟแดง อาจจะต้องรอจังหวะเวลา เพราะมีคนเดินสัญจรไปมาตลอด
Au Canon des Invalides
มุมถ่ายรูปบริเวณหน้าร้าน Au Canon des Invalides เป็นอีกจุดหนึ่งที่เห็นหอไอเฟลได้ชัดเจน มุมคล้ายกับหน้าร้านดอกไม้ แต่จุดนี้จะเห็นหอไอเฟลอยู่ไกลกว่า โดยส่วนตัวเราว่ามุมนี้ถ่ายง่าย และองค์ประกอบภาพสวยกว่าหน้าร้านดอกไม้นะ ยิ่งถ้ามีเลนส์ Tele สามารถดึงระยะหอไอเฟลให้เข้ามาใกล้ๆ ได้ ยิ่งดูสวยเลยแหละ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JpaeGEngEs5P51Z89
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า – ช่วงสาย
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน อาจจะต้องระวังรถนิดนึงเพราะไม่มีสัญญาณไฟ ใกล้ๆ กันจะมีร้าน Le Recrutement เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน
Hotel La Comtesse Tour Eiffel
คืนสุดท้ายที่ปารีส เราเลือกมาพักที่โรงแรม La Comtesse Tour Eiffel ซึ่งอยู่ในเขต 7 ของปารีส ไฮไลท์ของโรงแรม คือ ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวจากหอไอเฟลได้ และห้องที่สวยที่สุด คือ ห้องพักแบบ Prestige Comtesse Room with Balcony แต่เนื่องจากเราต้องออกไปสนามบินตั้งแต่เช้ามืด เลยจองห้องพักแบบ Classic Baronne Double Room With Side Eiffel Tower View ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นมาแทน (ช่วงที่เราจองมาราคาประมาณ 200 Euro / คืน)
Tips : แนะนำว่าควรจองห้องพักที่มีระเบียง เพราะจะสามารถเดินออกมาถ่ายรูปกับหอไอเฟลได้ (สามารถ request กับทางโรงแรมตั้งแต่จองได้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/CVYBwEaV2yngMhoR7
สำรองห้องพักได้ที่ https://atth.me/go/g07HOH46
บริเวณ Lobby ของโรงแรม
บริเวณ Lobby ของโรงแรม
ภายในห้องพักแบบ Classic Baronne Double Room With Side Eiffel Tower View ขนาดห้องประมาณ 14 ตร.ม. เล็กตามมาตรฐานปารีส และน่าจะเป็นห้องพักที่เล็กที่สุดในโรงแรมทั้งหมดที่เราไปพักมาในทริปนี้ อาจไม่ตอบโจทย์คนที่มีสัมภาระเยอะ หรือต้องการความสะดวกสบายเท่าไร ส่วนห้องน้ำก็เป็นกระจกใส มีกั้นทึบให้ฝั่งที่ติดกับเตียงนอน หากอยากพักที่นี่แนะนำเลือกห้องแบบ Deluxe ขึ้นไป (ขนาดประมาณ 26 ตร.ม.) จะดีกว่ามากครับ
ห้องที่เรามาพักไม่มีระเบียง (แอบเสียดายเล็กน้อย) ถ้าอยากได้ห้องมีระเบียงต้องเสียเงินเพิ่ม (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 50 Euro/คืน)
เวลาจะถ่ายรูปก็จะลำบากนิดนึง
วิวจากห้องพักของเรา
Sunset at Montmarte
เดิมที่แล้วเราไม่ได้มีแพลนจะขึ้นมาชมวิวที่ Montmarte เหตุผลหลักคือกลัวโจร และคิดว่ามุมสูงของปารีสเราก็ได้ไปถ่ายมาแล้ว แต่โชคดีที่เพื่อนที่อยู่ปารีสซึ่งมีนัดทานข้าวกันตอนเย็นวันนั้น เห็นว่ายังไม่ได้ไป เลยขับรถพาขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกกันอย่างเร่งด่วน เลยอาจจะไม่ได้แนะนำวิธีการเดินทางขึ้นมานะครับ แต่พอได้มาแล้วก็รู้สึกว่าเป็นอีกที่ที่สวยงาม และสมกับที่นักท่องเที่ยวมากันเยอะมากเลยจริงๆ (และโชคดีที่เราไม่เจอโจร แต่ก็ระวังตัวสุดๆ เหมือนกัน เพราะคนเยอะมาก)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YcVt5JLkc9Chbexf7
Sinking Building หรือตึกที่เหมือนกำลังจะจมลงไปในพื้นดิน เป็นอีกมุมหนึ่งที่อยากมาถ่ายภาพด้วยตัวเอง
นักท่องเที่ยวมากันเพียบ
ถ่ายรูปวิวกันพอประมาณ รีบเดินเข้ามาชมด้านในโบสถ์กันหน่อยครับ
สถาปัตยกรรมด้านในสวยงาม อลังการมาก
มีบางมุมสามารถมองเห็นหอไอเฟลได้ด้วย
Champ de Mars
ปิดท้ายทริปปารีสครั้งแรกของเรากันที่ Champ de Mars ซึ่งเป็นอีกจุดที่คนนิยมมานั่งชมหอไอเฟลกันในช่วง Sunset จนถึงช่วงเปิดไฟ น่าเสียดายช่วงที่เราไป ตรงสนามหญ้าที่ปกติสามารถเข้าไปนั่งได้ ตอนนั้นเขากั้นรั้วไว้เพื่อปิดปรับปรุงสถานที่สำหรับกีฬา Olympic แต่การได้มายืนชมหอไอเฟลเปิดไฟระยิบระยับตรงบริเวณนี้ก็ไม่ควรพลาดจริงๆ นะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7kxX28yxkVUDxdea9
และนี่ก็เป็น 4 วัน 4 คืน กับทริปปารีสครั้งแรกของเราครับ โดยส่วนตัวก่อนมาเที่ยวปารีสค่อนข้างกังวลมากๆ กับการเตรียมตัว จัดแพลน และกลัวที่สุดกับเรื่องโจรในปารีส แต่พอได้มาเที่ยวจริงแล้ว หากเราระวังตัว มีสติตลอดเวลา หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เต็มไปด้วยโจร (โดยเฉพาะในสถานีรถไฟต่างๆ) จัดแพลนในแต่ละวันให้อยู่ในโซนเดียวกัน เพื่อประหยัดเวลา เซฟค่าเดินทาง เลือกที่พักที่มาตรฐาน สะอาดและปลอดภัย อย่าออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนในโซนที่ไม่ควรไป บางครั้งก็ต้องยอมจ่ายเพื่อแลกกับความสบายใจและความปลอดภัยของเราบ้าง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ทริปปารีสของเราราบรื่น และได้ความประทับใจกลับมาครับ
Hôtel Splendid Etoile : โรงแรมที่เห็นวิวประตูชัยได้สวยที่สุด
Hôtel Splendid Etoile
เป็นอีกโรงแรมหนึ่งในทริปปารีสที่เราประทับใจ และอยากแนะนำให้ได้รู้จักกับโรงแรมที่มองเห็นวิวประตูชัยได้สวยที่สุดแห่งหนึ่ง นั่นคือ "Hôtel Splendid Etoile" โรงแรม 4 ดาวในเขต 8 ของปารีส ทำเลของโรงแรมอยู่ใกล้กับประตูชัย และไฮไลท์ของโรงแรมก็คือห้องพักที่มองเห็นวิวของประตูชัยได้อย่างเต็มตา
Location
หากเดินทางด้วยรถไฟจากสนามบินมาที่โรงแรม สามารถนั่งรถไฟสาย RER A มาลงที่สถานี Charles de Gaulle - Étoile โรงแรมอยู่ห่างจากสถานีเพียง 250 เมตร การเดินทางภายในเมืองก็สะดวกสบาย เพราะมีทั้งสถานี Metro และ Bus หลากหลายสายที่ผ่าน สามารถเดินไปประตูชัย, Shopping แถว Champ-Élysées ได้สบายๆ
Hotel
ขนาดโรงแรมไม่ได้ใหญ่มากนัก บริเวณชั้นล่างของโรงแรมเข้ามาก็จะเจอกับ Counter check-in, Lobby เล็กๆ, ลิฟท์โดยสารเล็กๆ 2 ตัว และห้องอาหารเช้าของโรงแรม พนักงานต้อนรับสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี และดูแลดีเกินคาดมากๆ
Room
ห้องพักของที่นี่มีทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ Double Room, Classic Room, Superior Room with Balcony, Privilege Room with Direct View of Arc de Triomphe และ Suite with Arc de Triomphe View ซึ่งเราได้พักในห้อง Superior Room with Balcony ซึ่งเป็น Room type แรกที่สามารถมองเห็นและถ่ายรูปประตูชัยได้จากห้องพัก โชคดีมากที่ห้องของเราเป็นห้องที่อยู่ใกล้กับประตูชัยมากๆ (ห้องที่อยู่ติดกันจะเป็นห้อง Privilege Room with Direct View ซึ่งจะมองเห็นวิวได้เต็มๆ) ขนาดห้อง 28 ตร.ม. ซึ่งถือว่าค่อนข้างใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดมาตรฐานของห้องพักในปารีส การตกแต่งเรียบๆ ใช้สีดูสบายตา ภายในห้องเป็นเตียงขนาด King size มีห้องน้ำพร้อมอ่างอาบน้ำ และมีระเบียงที่เราสามารถออกไปชมวิวและถ่ายรูปประตูชัยได้ตลอดทั้งวัน สำหรับราคาห้องพักช่วงเดือน ม.ค. (ที่เรามาพัก) อยู่ที่ประมาณ 300-400 ยูโร/คืน ไม่รวมอาหารเช้า (หากจองล่วงหน้านานๆ อาจจะได้ราคาดีกว่านี้)
โดยภาพรวมเราค่อนข้างประทับใจกับการเข้าพักที่นี่ ทั้งห้องพักที่สะอาด กว้างขวาง พนักงานอัธยาศัยดี และที่สำคัญคือวิวสวยๆ ของประตูชัย ที่เราไม่ต้องไปยืนแย่งกันถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ เลย เป็นอีกโรงแรมที่คนรักการถ่ายภาพไม่ควรพลาดครับ
9 Spots for Shooting Eiffel Tower
9 Best Spots for Shooting Eiffel Tower
มาถึงปารีสทั้งที ใครๆ ก็อยากจะมาถ่ายรูปกับ Landmark ของเมืองอย่างหอไอเฟล เราจึงรวบรวมจุดถ่ายรูปหอไอเฟลที่เราได้ไปแวะเวียนถ่ายภาพกลับมาทั้งหมด 9 สถานที่ รับรองว่าได้รูปคู่กับหอไอเฟลสวยๆ แน่นอน และที่สำคัญทุกสถานที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าแต่อย่างใด ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง ตามมาอ่านกันได้เลยครับ
- Trocadéro
- Av. de Camoens
- Pont de Bir Hakeim
- Alma's Bridge
- 228 Rue de l'Université
- L'Hoewa
- Au Canon des Invalides
- Pont Alexandre III
- Champ de Mars
Trocadéro
เริ่มกันที่สถานที่ยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยว และเป็นจุดที่ควรมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง นั่นคือ Trocadéro โดยจุดนี้จะสามารถชมหอไอเฟลได้แบบเต็มตา ไม่มีอะไรกั้น และมองเห็นได้จากมุมสูง จุดที่ถ่ายสวยมีหลายจุด แต่หลักๆ ก็จะเป็นบริเวณกึ่งกลางลาน และบริเวณบันไดทั้งสองฝั่ง แนะนำว่าหากอยากเลี่ยงคนเยอะให้มาถ่ายตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้น
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/swGLkt4kUcf51jYH6
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า (ถ้ามาตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้จะดีมาก เพราะแสงจะสวย)
Tips : ถ้ามาช่วงเช้าเวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง (แต่แลกกับปริมาณคนที่น้อยก็คุ้มอยู่) แนะนำว่าอย่ามาตอนสายๆ เพราะจะถ่ายรูปยาก หากมีเลนส์ Tele จะถ่ายหอไอเฟลได้สวยมากๆ แต่หากไม่มี ระยะเลนส์ประมาณ 28-35 mm กำลังดีสำหรับการเก็บภาพคนและหอไอเฟลแบบเต็มๆ
บริเวณกลางลานด้านบน
วางแบบให้อยู่กึ่งกลางตรงกับหอไอเฟล ถ่ายย้อนแสงจ้าๆ แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ
บริเวณบันไดลงไปที่สวน มีทั้งฝั่งซ้ายและขวา ฝั่งไหนคนน้อยรีบวิ่งไปจับจองที่ได้เลย
(ตอนนี้ไม่สามารถนั่งบนราวบันไดได้แล้วนะครับ)
Av. de Camoens
อีกจุดยอดฮิตที่โด่งดังมาจากซีรีส์ Emily in Paris เป็นจุดถ่ายรูปที่ให้ฟีลปารีเซียงสุดๆ เพราะนอกจากจะได้วิวเป็นหอไอเฟลแบบใกล้ๆ แล้ว ยังได้ตึกสวยๆ ที่มองปุ๊บก็รู้เลยว่าอยู่ปารีสแน่นอนมาเป็น Background ประกอบให้ด้วย สามารถเดินต่อมาได้ไม่ไกลจาก Trocadéro
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/D3SQSzVdYcH1nqsy9
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ทั้งเช้าและบ่าย (แนะนำว่ามาช่วงสายๆ ให้พระอาทิตย์ขึ้นสูงสักหน่อย แสงจะส่องเข้ามาบริเวณตึก)
Tips : ควรมาช่วงเช้าเพราะคนไม่เยอะ ใช้เลนส์ระยะสัก 28-35 mm กำลังดี
เป็นอีกจุดที่สวย และเห็นหอไอเฟลได้ใกล้มาก
Pont de Bir Hakeim
ถ่ายรูปหอไอเฟล คู่กับรางรถไฟเหล็ก เป็นอีกจุดที่หนังเรื่อง Inception มาถ่ายทำ จุดนี้สามารถถ่ายรูปเราคู่กับหอไอเฟล หรือจะถ่ายรูปคู่กับสะพานก็สวย บริเวณใต้รางรถไฟจะเป็นเลนจักรยาน เวลาถ่ายรูปอาจจะต้องระวังนิดนึง
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/87uMGC1YscDpcymv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า ถ่ายรูปบริเวณนี้จะไม่ย้อนแสง
Tips : ถ่ายรูปเสร็จแล้ว แนะนำให้ขึ้นไปถ่ายรูปหอไอเฟลจากบนรถไฟสาย 6 นั่งไป-กลับจากสถานี Passy ไปสถานี Bir Hakeim แต่ระวังโจรกันด้วยนะ
มุมใต้รางรถไฟที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นในหนังเรื่อง Inception
Alma's Bridge
เป็นอีกสะพานในปารีสที่ไม่แมส คนไม่เยอะเท่าที่อื่น แต่วิวหอไอเฟลสวยมาก ซึ่งจากบริเวณนี้สามารถเดินต่อไปยังจุดถ่ายรูปอื่นๆ ได้ไม่ไกล และนอกจากมุมบนสะพานแล้ว แนะนำให้เดินเลียบทางเดินฝั่งขวาของแม่น้ำ (ถ้าหันหน้าเข้าหอไอเฟลนะ) ตลอดทางเดินสามารถเดินถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เลย ไม่มีคนวุ่นวายกวนใจการถ่ายรูปแน่นอน
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gu4zWVCc1bmrAvyv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามาช่วงเช้าจะไม่ย้อนแสง
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง
228 Rue de l'Université
วิวหอไอเฟลจากมุมตึก อีกจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจุดนี้ค่อนข้างถ่ายยาก เพราะหอไอเฟลอยู่ค่อนข้างใกล้ และมีคนมาถ่ายรูปเยอะมาก ทำให้ต้องหามุมหลบคนไปอีก แต่ก็นับว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สวย และน่ามาถ่ายรูป check-in กันสักหน่อย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uKKUVQP2DzmD63C3A
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน (คนเยอะตลอดทั้งวัน 555)
Tips : ระวังกระเป๋าและทรัพย์สินตลอดเวลา เพราะคนเยอะ และอาจมี Homeless เดินมาประชิดตัวเพื่อขอเงินได้ (เพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ) ส่วนเลนส์ที่แนะนำสำหรับมุมนี้ควรใช้ Wide หรือ Ultrawide ไปเลย เพราะจะสามารถเก็บหอไอเฟลได้ทั้งหมด
L'Hoewa
มุมถ่ายรูปหน้าร้านดอกไม้ L'Hoewa เป็นจุดที่คนชอบมาถ่ายรูป Pre-wedding กัน หากไม่ลำบากเรื่องทุนทรัพย์ก็แวะไปอุดหนุนดอกไม้จากที่ร้านสักช่อ เอามาถือเป็น Prop สำหรับถ่ายรูปก็ดีนะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/btVvPxfyCdsgHnAG7
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า - ช่วงสาย (เพราะแสงจะส่องเข้าหน้าร้านพอดี ไม่ย้อนแสง) น่าเสียดายวันที่เราไปไม่มีแสง
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน ซึ่งตรงนั้นจะมีไฟแดง อาจจะต้องรอจังหวะเวลา เพราะมีคนเดินสัญจรไปมาตลอด
Au Canon des Invalides
มุมถ่ายรูปบริเวณหน้าร้าน Au Canon des Invalides เป็นอีกจุดหนึ่งที่เห็นหอไอเฟลได้ชัดเจน มุมคล้ายกับหน้าร้านดอกไม้ แต่จุดนี้จะเห็นหอไอเฟลอยู่ไกลกว่า โดยส่วนตัวเราว่ามุมนี้ถ่ายง่าย และองค์ประกอบภาพสวยกว่าหน้าร้านดอกไม้นะ ยิ่งถ้ามีเลนส์ Tele สามารถดึงระยะหอไอเฟลให้เข้ามาใกล้ๆ ได้ ยิ่งดูสวยเลยแหละ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JpaeGEngEs5P51Z89
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า - ช่วงสาย
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน อาจจะต้องระวังรถนิดนึงเพราะไม่มีสัญญาณไฟ ใกล้ๆ กันจะมีร้าน Le Recrutement เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน
Pont Alexandre III
มุมถ่ายรูปบนสะพาน Pont Alexandre III เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตก แต่จริงๆ แล้วจุดนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันเหมือนสะพาน Alma แต่ถ้ามาช่วงเย็นรู้สึกว่าบรรยากาศจะโรแมนติกกว่าช่วงอื่นนิดนึง
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/g9x4toS61ctbJwgu8
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่แนะนำมาช่วง Sunset และอยู่ต่อจนเปิดไฟ น่าจะสวยมากๆ
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง
Champ de Mars
จุดสุดท้ายที่น่าจะใกล้ชิดกับหอไอเฟลได้มากที่สุด เป็นอีกจุดที่คนนิยมมานั่งชมหอไอเฟลกันในช่วง Sunset จนถึงช่วงเปิดไฟ น่าเสียดายช่วงที่เราไป ตรงสนามหญ้าที่ปกติสามารถเข้าไปนั่งได้ ตอนนั้นเขากั้นรั้วไว้เพื่อปิดปรับปรุงสถานที่สำหรับกีฬา Olympic แต่การได้มายืนชมหอไอเฟลเปิดไฟตรงบริเวณนี้ก็ไม่ควรพลาดจริงๆ นะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7kxX28yxkVUDxdea9
แถมให้กับอีก 2 สถานที่ สำหรับใครที่อยากชมวิวหอไอเฟลจากมุมสูง
Galeries Lafayette Rooftop
จุดชมพระอาทิตย์ตก และวิวหอไอเฟลมุมสูง ที่สวย และที่สำคัญคือ ฟรี!
จะมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ นักท่องเที่ยวเยอะมากกกกกกกกกกกก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/XGLADozXETFjn3AR9
Arc de Triomphe Rooftop
บริเวณ Rooftop ของ Arc de Triomphe เป็นจุดชมวิวเมืองปารีสที่สวยมาก และมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา แนะนำว่ามาช่วงเย็นจนถึงฟ้ามืด และรอจนกระทั่งหอไอเฟลเปิดไฟ น่าจะได้บรรยากาศที่สวยมาก แต่ข้อเสียก็คือ ไม่ฟรี และต้องเดินขึ้นบันได เหนื่อยพอสมควร (สำหรับผู้สูงอายุมีลิฟท์ให้ขึ้นนะ แต่ก็แอบลำบากอยู่ดี)
ค่าเข้าชม 16 Euro (สามารถซื้อตั๋วที่ทางเข้าได้เลย)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gp6JjueCv4Vsx5fWA
Intercontinental Paris - Le Grand : Historical hotel in Paris
Stay in the Historical Hotel
ทริปปารีสครั้งนี้ เราจะพาทุกคนมาชมโรงแรมหรู ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 160 ปี นั่นคือโรงแรม Intercontinental Paris - Le Grand ซึ่งตั้งอยู่ติดกับ Palais Ganier หรือ Opera Ganier โรงละครที่เป็นต้นแบบของละครเวทีชื่อดังอย่าง Phantom of the Opera โดยดั้งเดิมโรงแรมนี้ชื่อว่า "Le Grand Hotel" เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1862 ใช้เป็นที่ต้อนรับราชวงศ์และบุคคลสำคัญต่างๆ จากหลากหลายประเทศ จนกระทั่งในปี 1982 โรงแรมนี้ได้เข้ามาอยู่ในเครือ IHG และกลายเป็นโรงแรม Intercontinental Paris - Le Grand จนถึงปัจจุบัน
อาคารของโรงแรมมีทั้งหมด 4 ชั้น และมีห้องพักทั้งหมด 470 ห้อง ซึ่งถือว่าเป็นโรงแรมที่ขนาดใหญ่มากแห่งหนึ่งในปารีส โดยห้องพักของโรงแรมเพิ่ง Renovate ไปล่าสุดเมื่อปี 2021 โดยนักออกแบบ Pierre-Yves Rochon ทำให้ห้องพักและภายในโรงแรมทั้งหมดตอนนี้มีความสวยงาม ดูใหม่ แต่ยังคงกลิ่นอายของความคลาสสิกไว้เป็นอย่างดี
จุดเด่นของโรงแรมนอกจากความอลังการและหรูหราแบบ Parisian แล้ว ทำเลของโรงแรมยังสะดวกสบายต่อการเดินทางท่องเที่ยวในปารีสมากๆ เพราะโรงแรมตั้งอยู่แถว Opera ซึ่งมีห้างใหญ่อย่าง Galeries Lafayette , Printemps สามารถเดินไปถนน St.Honore ยาวไปจนถึง Louvre Museum ได้ มีจุดจอดรถ RoissyBus จากสนามบิน Charles de Gaulle อยู่ฝั่งตรงข้ามของโรงแรม ใกล้สถานี Metro และป้ายรถบัสอีกหลายสาย ทำให้การท่องเที่ยวในปารีสเป็นเรื่องง่าย และสะดวกมาก
ในส่วนของห้องพัก เราพักห้อง "1 King Premium Balcony " จุดเด่นของห้องนี้ คือ ขนาดห้องที่ค่อนข้างกว้าง (กว่าห้องพักของโรงแรมทั่วไปในปารีส) มีอ่างอาบน้ำ และมีระเบียงให้ออกไปชมวิวได้ ภายในห้องตกแต่งได้สวยงาม คลาสสิก และยังคงกลิ่นอายของความเป็น Le Grand Hotel ในอดีตเอาไว้ เตียงนอนคือนุ่มดูดวิญญาณไปเลย และสิ่งที่เซอร์ไพรส์สุดๆ คือ โรงแรมนี้มีสายฉีดชำระให้ในห้องน้ำด้วย ซึ่งปกติไม่น่าพบเจอได้ในโรงแรมโซนยุโรป
นอกจากนี้เรายังได้ใช้บริการที่ Lounge ของโรงแรม ซึ่งให้บริการทั้ง Breakfast , Afternoon tea และ Evening Cocktails แนะนำว่าหากใครอยากใช้เวลาพักที่โรงแรม หลังจากบินมาถึงปารีสในวันแรก การจองห้องแบบรวม Lounge access เป็นอะไรที่คุ้มมาก เพราะมีอาหาร เครื่องดื่มให้ได้อิ่มท้องตลอดวัน ส่วน Breakfast เราเลือกลงมาทานที่ห้องอาหาร Cafe de la Paix ห้องอาหารหลักของโรงแรม Breakfast Buffet ที่นี่เขาจัดเต็มมาก ทั้ง Pastry , สลัด , cold cuts และยังมีอาหารเอเชียอย่าง ข้าวต้ม ปาท่องโก๋ ซุปมิโสะ ให้บริการด้วย เพราะแขกที่มาเข้าพักเป็นเอเชียค่อนข้างเยอะ
จากการได้มาพักที่นี่เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน โดยส่วนตัวเราค่อนข้างประทับใจกับความสะดวกสบายทั้งในโรงแรม การเดินทางจากสนามบิน และการเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นโรงแรมที่เหมาะและตอบโจทย์นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี อาหารเช้าหลากหลาย และรสชาติอร่อย พนักงานและการบริการสมมาตรฐานเครือ IHG มั่นใจได้เรื่องความปลอดภัย ราคาห้องพักเริ่มต้นประมาณ 400 Euro / คืน (ในช่วง Low season แบบช่วงที่เรามาพักนะ) ส่วนใครอยากอ่านรีวิวแบบละเอียด ตามมาอ่านกันได้ในโพสท์นี้ได้เลยครับ
บริเวณเคาน์เตอร์ check-in
บริเวณโถงลิฟท์ของโรงแรม
ติดกับ Lobby คือ The Verriere เป็นส่วนคาเฟ่ของโรงแรม สำหรับมานั่งดื่มกาแฟ จิบชายามบ่าย
บรรยากาศที่ Club Lounge
Breakfast ที่ Club Lounge ไลน์จะไม่อลังการเท่ากับห้องอาหารหลัก แลกกับบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวมากกว่า
Afternoon tea
ต่อไปเราจะขึ้นไปชมห้องพักของเรากันครับ อย่าลืมแวะถ่ายรูปกันที่โถงบันไดด้วยนะ สวยมากๆ
ห้องพักของเรา 1 King Premium Balcony
ด้านข้างเตียงมีตู้เสื้อผ้าให้สองตู้ ใส่ของได้แบบจุใจ มีเครื่องทำกาแฟแคปซูล และ Minibar อยู่ในตู้ด้านล่าง
ห้องน้ำกว้าง มีอ่างอาบน้ำ และห้อง Shower แยกเป็นสัดส่วน
มีระเบียงให้ออกไปถ่ายรูปได้ด้วย
วิวจากห้องของเรา มองออกไปเห็น Galeries Lafayette ได้ แต่ถ้าใครมีงบเยอะหน่อย แนะนำจองห้องพักวิว Opera ไปเลย ถ่ายรูปออกมาจะได้วิวปังๆ
พามาชม Breakfast ที่ห้องอาหาร Cafe de la Paix
เป็นห้องอาหารที่ตกแต่งได้สวยงามมาก ถ่ายรูปสวยทุกมุม
ไลน์ Buffet หลากหลายมาก หากมาพักที่นี่แนะนำให้จองห้องแบบรวมอาหารเช้ามาด้วยนะ
หน้าตามื้อเข้าของเรา
และนี่ก็คือรีวิว Intercontinental Paris - Le Grand
มาสรุปภาพรวมจุดที่เราชอบ
- การออกแบบของโรงแรม สวย คลาสสิคมาก ให้ฟีลในการมาพักปารีสอย่างแท้จริง
- ห้องพักกว้าง อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบ มีสายฉีดก้น เตียงนอนดูดวิญญาณ หมอนนุ่มมาก
- อาหารเช้าหลากหลาย รสชาติดี ของคุณภาพดี
- ราคาเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ สมเหตุสมผล
- ทำเลสะดวกสบาย โดยเฉพาะการเดินทางจากสนามบิน และเหมาะกับคนชอบช็อปปิ้ง
- การบริการดี ได้มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว
จุดที่อยากให้ปรับปรุง
- น้ำที่ Shower เบาไปหน่อย เวลาอาบไม่ค่อยสะใจเท่าไร
- พนักงาน (บางคน) สื่อสารภาษาอังกฤษกันแล้วอาจจะงงๆ นิดหน่อย (หรือเค้างงเรา?) ทำให้ตอน check-out เกิดจากชาร์จเงินผิดไป ต้องใช้เวลาสื่อสารพอสมควรกว่าจะเข้าใจตรงกัน
- ในฐานะ IHG Ambassador สิ่งที่รีเควสไปล่วงหน้าตั้งแต่ตอนจอง ไม่ได้เลยสักอย่าง 555 แถมตอนแรกก่อนบิน 2 วัน ในแอพบอกได้อัพเกรดมาห้อง Suite พอถึงหน้างานกลับโดน Downgrade ซะงั้น
- ลิฟท์ของโรงแรมไม่ล็อคชั้นตาม Key card คือต่อให้ไม่ใช่แขกที่มาพักก็กดขึ้นได้สบายมาก (คงเพราะลิฟท์มันรุ่นเก่าแก่มากแล้ว) แต่จากที่อยู่มาพนักงานด้านหน้าก็คัดกรองได้ดีระดับหนึ่งนะ แต่ในใจลึกๆ ก็แอบกังวลแหละ
- ห้องพักที่นี่ค่อนข้างเยอะ ถ้ามาในช่วง High-season คิดว่าบรรยากาศคงดูวุ่นวายแน่ๆ โดยเฉพาะที่ห้องอาหาร
Intercontinental Chiang Mai Mae Ping : ความหรูหราและมนต์เสน่ห์แห่งล้านนา
Intercontinental Chiang Mai Mae Ping
รีวิวนี้เราจะพามาชมโรงแรม Intercontinental แห่งใหม่ของประเทศไทย และเป็นแห่งแรกของโซนภาคเหนือ นั่นคือ "Intercontinental Chiang Mai Mae Ping" ซึ่งเพิ่งเปิดให้บริการเมื่อกลางเดือน พ.ย. 2566 ที่ผ่านมา โดยมีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบภายในโรงแรม และห้องพัก ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปวัฒนธรรมของล้านนา ผสานกับความโมเดิร์น เรียบหรู ออกมาได้อย่างสวยงามลงตัว
ทำเลของโรงแรมอยู่ใกล้กับประตูท่าแพ (ห่างประมาณ 1 ก.ม.) ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวหลักอีกแห่งหนึ่งของเชียงใหม่ มีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของต่างๆ อยู่ในระยะที่เดินไปจากโรงแรมได้ และใช้เวลาเดินทางจากสนามบินเพียง 15 นาที เป็นอีกโรงแรมที่เหมาะสำหรับการมาพักผ่อน และเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมืองเชียงใหม่มากๆ ครับ
ห้องพักของโรงแรมมีทั้งหมด 240 ห้อง ตั้งอยู่บนอาคารสูง 15 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ Classic room, Premium room, Ambassador Suite, Presidentual Suite และ One Bedroom Suite ซึ่งในเฟสแรกของการเปิดให้บริการนั้นห้องพักส่วนใหญ่จะเป็นห้อง Classic และ Premium room ส่วนห้อง Suite ยังเปิดให้บริการเพียงไม่กี่ห้องครับ (ณ เดือน ม.ค. 67 ที่เราไปเข้าพัก)
ห้องพักที่เราจองมาครั้งนี้คือห้อง 1 King Premium Club Benefits Access และในวันเข้าพักทางโรงแรมได้ upgrade ให้เป็นห้อง Mountain View สามารถมองเห็นวิวดอยสุเทพจากห้องพักของเราได้เลย จุดเด่นของห้องนี้นอกจากวิวที่สวยงามแล้ว ห้องยังกว้างถึง 43 ตร.ม. และมีอ่างอาบน้ำด้วย ที่สำคัญคือเราสามารถใช้ Club benefits ได้อย่างเต็มที่ตลอด 3 วัน 2 คืนที่เราได้มาพัก ไม่ว่าจะเป็น Club Lounge Access ที่ห้อง KAM Lobby Lounge สามารถมาทาน Afternoon tea ยามบ่าย , Evening Cocktail และ Canape ในช่วงเย็น , มีบริการรีดผ้าให้ 2 ชิ้นต่อวัน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ส่วนห้องอาหารหลักของโรงแรม (ที่เปิดให้บริการในตอนนี้) คือ The Gad Lanna ซึ่งเราจะมาทานอาหารเช้าแบบ Buffet กันที่ห้องนี้ครับ ซึ่งไลน์อาหารเช้าของที่นี่บอกเลยว่าจัดเต็มมาก ความพิเศษคือ Station อาหารไทย ที่เปลี่ยนเมนูไปในแต่ละวัน เช่น ข้าวซอย ก๋วยเตี๋ยว ขนมครกที่ทำกันแบบสดๆ เมี่ยงคำ ไส้อั่วก็มี รวมถึง Pastry หน้าตาน่าทานหลายอย่างมาก เรียกว่าอิ่มจุกกันตั้งแต่เช้าเลยทีเดียว โดย Breakfast จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 6.30 - 10.30 น. หลังจากนั้นจะเป็น all day dining ที่เริ่มให้บริการตั้งแต่เที่ยง จนถึง 22.30 น. ของทุกวันครับ
ในส่วนของ Facilitiy หลักของโรงแรม ก็จะมี Outdoor Pool ซึ่งอยู่ติดกับ KAM Lobby Lounge และ Fitness Center ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชม. รวมถึง The ii Spa สปาของโรงแรมที่เปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่ 10.00 - 22.00 น. หากใครจองห้อง Club Access มาแบบเรา รับรองได้ว่ามีกิจกรรมทำในโรงแรมได้ตลอดทั้งวัน เหมาะกับการมาพักผ่อนในวันหยุดมากๆ
จากที่เราได้มาเข้าพักที่นี่เป็นเวลา 2 คืน ส่วนตัวค่อนข้างประทับใจกับความสะดวกสบายในห้องพัก และการตกแต่งในทุกจุดของโรงแรมที่ดูสวยงาม และได้บรรยากาศล้านนา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ การบริการของพนักงานในทุกๆ จุดดีงามได้มาตรฐานโรงแรม 5 ดาว และอาหารเช้า รวมถึงที่ Club Lounge ที่จัดเต็มตลอดทั้งวัน เป็นอีกโรงแรมที่อยากกลับไปพักหากมีโอกาส และอยากไปสัมผัสบรรยากาศที่นี่เมื่อเปิดอย่างเต็มรูปแบบแล้วอีกสักครั้ง
หากเพื่อนๆ สนใจอยากไปพักที่นี่ ราคาห้องพักเริ่มต้นอยู่ที่ 4,5xx บาท / คืน (ขึ้นอยู่กับโปรโมชั่นในแต่ละช่วง) สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ทางเว็บไซท์ของ IHG หรือทางเพจของโรงแรมกันได้เลยครับ
เรามา check-in ที่โรงแรมช่วงกลางคืน บรรยากาศบริเวณ Lobby สวยงามมาก
สำหรับคนที่จองห้องแบบ Club Access มา สามารถ check-in / check-out ที่ Lounge ได้เลย
บรรยากาศภายใน Lounge
เนื่องจากเรามาถึงโรงแรมหลังจากช่วงให้บริการ Evening Cocktail แล้ว จึง request ไปล่วงหน้า
ว่าให้จัดอาหาร + เครื่องดื่มไว้ให้ด้วย ทางโรงแรมก็จัดมาให้ตามคำขอ
ติดกับ KAM Lobby Lounge เราก็เดินมาชมห้องอาหาร The Gad Lanna ในยามค่ำคืนกันหน่อย
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
บริเวณที่นั่งด้านนอกของห้องอาหาร
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเดินกลับมาชมห้องพักคืนนี้ของเรากันครับ
บริเวณโถงทางเดินตกแต่งด้วยสีเขียว - ครีม สวยงามเข้ากันดีทีเดียว
บรรยากาศภายในห้องพักของเรา มีเตียง King size นุ่มสบายอยู่กลางห้อง
ด้านหลังจะเป็น Walk-in closet ส่วนด้านหลังหัวเตียงจะมีโต๊ะ Built in พร้อมเก้าอี้ให้นั่งทำงานได้
บริเวณหัวเตียงมีลำโพง Bluetooth แต่ละฝั่งมีช่องเสียบ usb-A ให้ฝั่งละ 2-3 ช่อง สะดวกสบายมาก
ปลายเตียงมีโซฝาและโต๊ะกลมเล็กๆ เป็นมุมนั่งดูทีวี มี Welcome Fruits และ ขนมไทยมาต้อนรับ พร้อมน้ำแร่ 1 ขวดสำหรับ IHG Ambassador
Smart TV ที่สามารถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์ทุกรุ่นได้อย่างง่ายดาย ดู Youtube , Netflix กันได้สบายๆ ครับ
มาต่อกันที่ห้องน้ำ กว้างขวาง มีทั้งอ่างอาบน้ำ แยกห้อง Shower และ ห้องสุขาออกจากกัน
ส่วน Amenity ใช้ของ erb กลิ่นหอมใช้ได้เลยครับ (แต่ส่วนตัวชอบกลิ่นของ byredo ที่ใช้ที่อื่นมากกว่า)
อ่างอาบน้ำใหญ่แบบลงไปแช่ได้สัก 2 คน
ในส่วนของไลน์อาหารเช้า (บางส่วน) ลองชมกันดูละกันครับว่าเยอะแค่ไหน
โจ๊กกับเครื่องเคียงหลากหลาย
โรลและสลัดต่างๆ
ขนมครกและเมี่ยงคำก็มี
พลาดไม่ได้คือไส้อั่ว
Pastry หน้าตาน่าทานหลายอย่างมาก
Fitness Center
Outdoor Pool
บรรยากาศภายโรงแรม
บรรยากาศภายโรงแรม
ประมาณบ่ายสองได้เวลากลับมาที่ Lounge อีกครั้ง เพราะได้เวลา Afternoon tea
Afternoon tea at KAM Lobby Lounge
ที่เราชอบมากคือสามารถชวน Guest มาทานกับเราได้อีก 1 คนครับ
Evening Cocktails and Canape
ไว้พบกันใหม่ในรีวิวหน้าครับผม...
W Osaka : โรงแรมดีไซน์สวยและ Vibe ดีที่สุดในโอซาก้า
สัญลักษณ์ W คอยต้อนรับเราอย่างโดดเด่นเมื่อมาถึงโรงแรม
Living Room
บาร์ของโรงแรมที่กลางวันจะเสิร์ฟ afternoon tea แต่ตกกลางคืนบรรยากาศจะเปลี่ยนเป็นบาร์ชิคๆ
ที่บางวันจะมี DJ มาสร้างความคึกคักด้วย
บรรยากาศบริเวณ Living Room
มาชมห้องพักของเรากันดีกว่าครับ
เปิดประตูห้องพักมา จะพบกับส่วนของห้องน้ำแบบ Open space อยู่ทางด้านซ้าย
ด้านขวาจะเป็น walk-in closet และ ห้องสุขาที่ออกแบบซ่อนมาให้ดูเหมือนผนังห้องได้อย่างแนบเนียน
เดินเข้ามาด้านในสุดจะเป็นส่วนของเตียงนอนและ sofa bed รวมถึง City View แบบ Panorama
การเข้าพักครั้งนี้เราแลก Free Night + Gold Elite Status ทาง รร. ได้ upgrade จาก Cozy Room (ห้องเริ่มต้น)
ไปเป็น Spectacular, Corner Room ทำให้ได้เห็นวิวแบบเต็มๆ
จุดเด่นของห้องนี้นอกจาก City View ที่มองเห็นได้รอบห้องแล้ว
ส่วนของ Bathtub ยังสามารถมองเห็นวิวสวยๆ ได้อีกด้วย เป็นการออกแบบห้องที่น่าประทับใจมากๆ
ลงมาชม Facility ของโรงแรมที่อยู่บนชั้น 4 กันครับ
ออกจากลิฟท์มาเราจะพบกับโซนต้อนรับของ AWAY Spa ซึ่งเป็นสปาของโรงแรม
ถัดเข้ามาด้านในจะพบกับสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ที่ตกแต่ง และใช้ Lighting ได้สวยมาก โดยเฉพาะในยามค่ำคืน
WET Deck and Bar
ติดกับสระว่ายน้ำ ด้านนอกจะเป็นโซนที่นั่งสำหรับคนที่อยากมาชิลๆ อาบแดดในช่วงกลางวัน
Fitness ของโรงแรม เปิดให้บริการ 24 ชม.
บรรยากาศหน้าโรงแรมยามค่ำคืน
I N E : หมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
I N E : Fishing Village / Kyoto
หมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น
หลายคนคงจะเคยเห็นภาพบ้านไม้เรียงราย มีฉากหน้าเป็นพื้นน้ำสีฟ้าสด ฉากหลังเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลายพันธุ์ และหมู่บ้านแห่งนั้น คือ "Ine" หรือชื่อเต็มคือ "Ine no Funaya" หมู่บ้านชาวประมงในจังหวัดเกียวโต
เมือง Ine อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกียวโต โดยหมู่บ้านจะตั้งเรียงรายตามแนวเส้นโค้งที่ทอดยาวของอ่าว Ine โดยมีบ้านที่เรียกว่า Funaya ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นที่จอดเรือ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันนี้ Funaya หลายหลังก็ได้แปลงสภาพเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสบรรยากาศ และเสน่ห์ของหมู่บ้านได้อย่างใกล้ชิด
การท่องเที่ยวใน Ine ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็พอ เพราะหมู่บ้านไม่ได้ใหญ่มากนัก ในรีวิวนี้เราจะมาแนะนำจุดหลักๆ ที่ควรแวะไปถ่ายรูป เหมาะกับคนที่มีเวลาเที่ยวประมาณ 3-4 ชม. สามารถเดินเที่ยวบริเวณหมู่บ้านหรือจะเช่าจักรยานก็ได้ มีบริการล่องเรือชมอ่าว Ine มีคาเฟ่ ร้านอาหาร (ควรเช็คเวลาเปิด-ปิด ของแต่ละร้านก่อนมา) แต่หากใครมีเวลามากกว่านั้น และอยากพักผ่อนแบบ slow life การมาพักที่นี่สักคืนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ดีเหมือนกันนะ
สำหรับเลนส์ระยะที่เหมาะกับการถ่ายภาพที่ Ine แนะนำระยะตั้งแต่ 50mm ขึ้นไป เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ถ่ายภาพคน + ฉากหลัง ระยะกำลังดีครับ (ยกเว้นที่ Ine cafe ภายในร้านควรใช้ระยะกว้างกว่า 50mm หรือถ้าถ่ายภาพคนก็พอได้อยู่ครับ)
การเดินทางมาเที่ยว Ine สามารถมาได้ทั้งทางรถสาธารณะ (รถไฟจาก Kyoto มาลงที่สถานี Amanohashidate และต่อรถบัสมาที่ Ine) หรือจะเช่ารถขับมาแบบเราก็ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่เราแนะนำมากกว่า เพราะประหยัดเวลา สะดวก ยืดหยุ่น และประหยัดกว่าหากเดินทางมากกว่า 2 คนขึ้นไป โดยการเดินทางครั้งนี้เราขับรถตรงมาจากสนามบินคันไซ มาแวะพักค้างคืนที่ Amanohashidate และขับรถมาที่ Ine ในช่วงสายๆ ของอีกวัน ก่อนจะกลับเข้า Kyoto ในช่วงบ่าย (ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่ง)
Shichimenyama Parking Lot
หากใครขับรถมา แนะนำให้มาจอดรถบริเวณนี้ เพราะจุดนี้เป็นไฮไลท์และมีมุมถ่ายรูปหมู่บ้านสวยๆ หลายมุมมาก และสามารถถ่ายได้ทั้งเช้าและบ่าย อาจจะมีแสงแตกต่างกันเล็กน้อย แต่สวยงามทั้งสองช่วงเวลา ส่วนค่าจอดรถฟรี 30 นาทีแรก และจะคิด 100 เยนในทุกๆ 30 นาทีหลังจากนั้น
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/sye2pdsUbWcoNryv7
จุดนี้อยู่ใกล้กับทางเข้าที่จอดรถ ช่วงบ่ายแสงจะดีกว่าช่วงเช้า
หากพอมีเวลา แนะนำล่องเรือชมวิวหมู่บ้าน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อรอบ
สามารถให้อาหารนกพิราบบนเรือได้ด้วย
เดินมาทางอีกฝั่งของลานจอดรถจะได้มุมหมู่บ้านอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งนี้แสงจะสวยตอนช่วงสายๆ ประมาณ 9-10 โมงเช้า
พิกัด(บริเวณหน้าห้องน้ำสาธารณะ) : https://maps.app.goo.gl/uRakqY28C3DqC7xUA
ยังอยู่กันที่ลานจอดรถเดิม แต่ให้เดินมาบริเวณที่มีทางยื่นไปใกล้กับหมู่บ้าน จะได้มุมยอดนิยมที่ใครมาก็ต้องมาถ่ายภาพตรงนี้
จุดนี้แสงจะดีในช่วงบ่าย แต่น่าเสียดายที่ตอนเราไปค่อนข้างครึ้ม แสงเลยไม่ค่อยสวย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/WA9hLd2oKogvboii6
ระหว่างทางเดินจากลานจอดรถไปที่ Ine Cafe. มีมุมทางเดินเข้าหมู่บ้านที่ถ่ายรูปสวยมาก รูปนี้ถ่ายประมาณ 11 โมงเช้า
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ZmLDATCfZSVXBexD9
ระหว่างทางเดินไป Ine Cafe
Ine Cafe
คาเฟ่ชื่อดังของ Ine ที่ควรมาอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้ชมวิวสวยๆ จากในร้านแล้ว ขนม และ Lunch Menu ของทางร้านอร่อยมาก แต่แนะนำว่าควรมารอตั้งแต่ก่อนร้านเปิดสักครึ่ง ชม. เพราะขนาดเรามาวันธรรมดายังมีคนมาต่อคิวก่อนร้านเปิดกันหลายคน
ร้านเปิดเวลา 11.00 - 16.30 น. (ปิดทุกวันพุธ)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ARQUwYdKxNbY84j2A
ระหว่างรอเข้าร้าน มีมุมหน้าร้านถ่ายรูปสวยๆ ได้นิดหน่อย
เข้ามาในร้านก็จะเจอมุมนี้ วิวสวยมาก
เราได้ที่นั่งชั้น 2 ริมหน้าต่าง ซึ่งที่นั่งตรงนี้วิวดีมาก แต่จำกัดสำหรับลูกค้าที่มากัน 2 คนเท่านั้น
ขนมอร่อย หน้าตาดี ถ่ายรูปสวย
จิบกาแฟไป ชมวิว Ine ไปด้วย
Lunch Set เป็นข้าวหน้าปลาดิบทั้ง 2 เมนู ปลาสดมาก ซอสที่ราดมาในข้าวก็อร่อยมาก แนะนำสุดๆ
Wadatsumi Sushi Restaurant
ร้านซูชิที่อยู่ติดกับ Ine cafe เป็นร้านอาหารที่ได้คะแนนรีวิวค่อนข้างดี ตั้งใจว่าจะไปทานมื้อกลางวันที่ร้านก่อนกลับไป Kyoto แต่น่าเสียดายวันที่เราไปร้านปิด หากใครมีโอกาสมา Ine หรือได้มาค้างคืนที่นี่ ลองแวะมาทานกันดูนะครับ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/T3UdJf6ASm3PGffGA
teamLab : A Forest Where Gods Live
teamLab : A Forest Where Gods Live
หากจะพูดถึงงาน Digital Art ชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงคงไม่พ้น "teamLab" กลุ่มคนรักศิลปะที่รวมตัวผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพ มาร่วมกันสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบใหม่ และจัดแสดงผลงานในหลายประเทศทั่วโลก และคราวนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชม 1 ในนิทรรศการของ teamLab ที่ต้องบอกว่าเขาเล่นใหญ่มากจริงๆ เพราะงานนี้จัดที่ Mifuneyama Rakuen Park สวนที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1845 ในจังหวัด Saga และมีพื้นที่กว้างถึง 500,000 ตารางเมตร โดย artwotk ทั้งหมด จะกระจายไปตามจุดต่างๆ ทั้งในสวน และภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยรีวิวนี้เราจะพาไปชม artwork ที่ไม่ควรพลาดของงานนี้ และ จุดถ่ายรูปต่างๆ เผื่อใครมีแพลนจะเดินทางมาชมงาน จะได้มีข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเตรียมตัวกันครับ
พื้นที่จัดงานหลักๆ แบ่งเป็นสองส่วน คือ ภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen เป็นบริเวณที่สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ภายในมีร้านชาให้บริการ เปิดตั้งแต่ 11.00 น. (แนะนำว่าถ้าไม่ได้มาพักโรงแรมก็ควรไปอุดหนุนร้านชานะครับ เพราะข้างในถ่ายรูปสวยมาก) อีกส่วนคือภายในสวนซึ่งเป็นพื้นที่กลางแจ้ง จะเปิดไฟในช่วงเย็น (ตามเวลาที่แจ้งไว้ด้านล่าง) แนะนำว่าหากใครแพลนมาชมงาน มาถึงสักช่วงบ่ายๆ เป็นต้นไปก็น่าจะพอดีกับช่วงที่เปิดไฟ สำหรับรายละเอียดของ artwork จุดต่างๆ เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ภายในรีวิวนี้ครับ
การเดินทางมาชมงาน ตั้งต้นจากสถานี Hakata สามารถนั่งรถไฟสาย Relay Kamome หรือ Kasasaki (สายเดียวกับที่ไป Huis Ten Bosch) ใช้เวลาประมาณ 45 - 60 นาที มาลงที่สถานี Takeo-Onsen แนะนำให้ต่อ Taxi มาลงที่โรงแรม Mifuneyama Rakuen (ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ค่ารถประมาณ 1,000-1,200 เยน) หากใครอยากประหยัดก็สามารถนั่งรถบัสมาได้ หรือถ้าเช่ารถขับมา บริเวณหน้างานก็มีลานจอดรถให้บริการเช่นกัน (แถวโรงแรมไม่ค่อยมีร้านอาหาร นอกจากร้านในโรงแรม มีแต่ร้านขายขนมและของฝากทั่วไปตรงบริเวณทางเข้างาน หากใครต้องการเรียก Taxi ให้ทางร้านโทรเรียกได้ แต่ช่วยอุดหนุนของกินเล็กๆ น้อยๆ ภายในร้านกันด้วยนะครับ)
ค่าเข้าชมงาน 12oo เยน
งานจัดตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม - 5 พฤศจิกายน 2023
เวลาเข้าชมงาน (บริเวณภายในสวน)
14 กรกฎาคม - 10 กันยายน : 19.00 - 22.30 น.
11 กันยายน - 8 ตุลาคม : 18.00 - 22.30 น.
9 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน : 17.00 - 22.30 น.
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.teamlab.art/e/mifuneyamarakuen/
มาชมแผนที่ของงานนี้กันก่อนครับ (แนะนำเซฟรูปนี้เก็บไว้ได้เลย ใช้วางแผนสำหรับการเดินชม) โซนที่เราสามารถชมงานได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน คือ ภายในโรงแรมโซน A และ G (ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ของพื้นที่ แต่เราไม่ได้ไปนะ เพราะเดินค่อนข้างไกล และมีช่วงเวลาจำกัดที่เปิดให้เข้าชม) ส่วนโซนอื่นๆ ต้องชมในช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตกเป็นต้นไป ซึ่งในรีวิวนี้ เราจะพาไปชมโซน A, B, C, D และ E กันครับ
A1 : Forest and Spiral of Resonating Lamps - One Stroke
จุดเริ่มต้นของเราคือ โรงแรม Mifuneyama Rakuen เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับ Lobby และเป็น 1 ใน artwork ของงานนี้ โดยจะเป็นโคมไฟสีต่างๆ กระจายไปทั่งทั้งห้อง เป็น Lobby ของโรงแรมที่พื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ความสวยงามนี่ต้องยกให้เป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว
ถ่ายรูปเพลินมาก แต่ระวังหัวหรือตัวจะไปกระแทกกับโคมไฟนะ
จากรูปจะเห็นว่าโคมไฟห้อยลงมาต่ำ เวลาถ่ายรูปอาจจะเผลอไปกระแทกได้ ระวังกันด้วยนะ
ติดกับ Lobby ของโรงแรมจะเป็นร้านชา "EN TEA HOUSE" ซึ่งร้านชาจะมี 2 จุดนะ อีกจุดจะอยู่ในสวน ซึ่งจะเปิดในช่วงเย็น ส่วนจุดแรกที่อยู่ในโรงแรมเปิดตั้งแต่ 11.00 น. แวะมาถ่ายรูปแล้วก็อุดหนุนชาของโรงแรมกันสักหน่อย
ถ่ายรูปจากร้านชาออกไปก็สวยงามไปอีกแบบ
A2 : Life Survives by the Power of Life II
เดินเข้ามาในห้องติดกับร้านชา จะเจอกับภาพของต้นไม้ต้นหนึ่งที่ความสวยงามจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
A3 : Life Sculpture of Flames
B1 : Universe of Fire Particles in a Decaying Underground Passage
หลังจากเรากลับมา งานนี้ก็ปิดปรับปรุง เป็นการฉายภาพไฟในทางเดินที่คล้ายกับอุโมงมืดๆ มีเพียงแสงไฟจากโคมเล็กๆ ริมทาง
พื้นที่จัดแสดงงานนี้ ไม่เหมาะกับคนที่กลัวความมืดและพื้นที่แคบนะครับ
B2 : Megaliths in the Bath House Ruins
เป็นอีกห้องไฮไลท์ของงานที่เราใช้เวลาถ่ายรูปนานมาก เพราะแท่งไฟในห้องจะมีการเปลี่ยนสีสัน เปลี่ยน Pattern ไปเรื่อยๆ และมีความสวยงามแตกต่างกันไป เป็นจุดที่ควรมาถ่ายทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนเพราะให้บรรยากาศและความสวยงามที่ไม่เหมือนกัน แต่หากใครเวลาจำกัด แวะมาถ่ายรูปช่วงกลางวันแบบเราก็ได้นะ
C1 : Drawing on the Water Surface Created by the Dance of Koi and Boat - Mifuneyama Rakuen Pond
อีกจุดไฮไลท์ที่อยากให้มาใช้เวลาซึมซับกับความสวยงาม และบรรยากาศโดยรอบ ทั้งแสง สี เสียง ที่งดงาม อลังการณ์มากจริงๆ กับการแสดงไฟบนพื้นน้ำ และมีฉากหลังเป็นภูเขา มีเรือพายเล่นกับแสงไฟ พร้อมเสียงดนตรีประกอบ แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 10 นาที
D2 : Life is Continuous Light - Azalea Valley
การจัดแสดงไฟในทุ่งอาซาเลียขนาดใหญ่ภายในสวน เป็นอีกจุดที่สวยงามมากทั้งตอนที่ยังไม่มืดสนิท และหลังจากมืดแล้ว แนะนำให้แวะมาชมทั้งสองช่วง เพราะสวยงามคนละแบบ
D4 : Universe of Water Particles on a Sacred Rock
D5 : Memory of Continuous Life
D6 : Hanamidai (Viewing Spot)
D7 : Flower Bloom in an Infinity Universe inside a Teacup
จุดนี้จะอยู่ที่ร้านชา EN TEA HOUSE ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวน ใกล้กับจุด D2 เป็นการดื่มชา พร้อมกับชมงานศิลปะที่ mapping ลงในถ้วยชาของเรา เวลายกดื่มดอกไม้จะสลายกลีบออก พอตั้งวางเฉยๆ ก็จะรวมเป็นดอกไม้สวยในถ้วยชา
บรรยากาศร้านชา EN TEA HOUSE
E1 : Spatial Calligraphy on the Rock Wall of Five Hundred Arhats, Continuous Life
E2 : Cut Out Continuous Life - Forest Path