Sofitel Sydney Darling Harbour
























Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden
Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden
โรงแรมบูทีคเปิดใหม่ในเครือ IHG ที่โดดเด่นทั้งการดีไซน์ การบริการ และบรรยากาศแบบญี่ปุ่น โดยมีฉากหลังเป็นปราสาท Inuyama ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ และมีสวน Urakuen ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Jo-an โรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น อยู่ติดกับโรงแรมแห่งนี้ด้วย
Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden ตั้งอยู่ที่เมือง Inuyama จังหวัด Aichi ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟ Meitetsu เพียง 30 นาที จากสถานี Nagoya โดยโรงแรมเพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อเดือนมีนาคมปี 2022 มีห้องพักทั้งหมด 156 ห้อง ซึ่งการออกแบบของโรงแรมได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเมือง Inuyama ผสมผสานกับความ Modern และความ Stylish ซึ่งเป็น Signature ของ Hotel Indigo ทำให้ภาพรวมของที่นี่มีความเป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่ ตอบโจทย์คนรักงานดีไซน์และเหมาะกับการมาพักผ่อน เพราะนอกจากความสวยงามของสถานที่และบรรยากาศโดยรอบของโรงแรมแล้ว Facilities ภายในโรงแรมก็ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Fitness และ Onsen ขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการกับแขกที่เข้าพักฟรี, "Indigo Home Kitchen Yamateras" ที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดทั้งวัน รวมถึงเสิร์ฟอาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้าพักด้วย
ในส่วนของห้องพัก จะเริ่มต้นที่ห้อง Standard ขนาด 35 ตร.ม. เป็นห้องที่มีจำนวนมากที่สุดของโรงแรม โดยห้อง Standard จะมีวิวแยกย่อยแตกต่างกันไป ทั้งวิวปราสาท Inuyama , วิวแม่น้ำ Kiso , วิวสวน Urakuen และมีห้อง Suite ขนาด 51 และ 70 ตร.ม. ซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่และแพงที่สุดของโรงแรม ห้องที่เราได้มาพักในครั้งนี้ เป็นห้อง Standard River View ซึ่ง Room type นี้จะมีเพียงชั้นละ 2 ห้องเท่านั้น จุดเด่น คือ จะมองเห็นวิวแม่น้ำ Kiso และนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินจากภายในห้องได้ ด้วยความที่โรงแรมเพิ่งเปิดมาได้เพียง 1 ปี ทำให้ทุกอย่างยังดูใหม่ อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องทันสมัยทั้ง Smart TV, การควบคุมม่านและไฟภายในห้อง , ในส่วนของห้องน้ำจะแบ่งเป็น Shower room และห้องสุขา (ไม่มีอ่างอาบน้ำ) ภายในมี Walk-in closet แยกเป็นสัดส่วน การตกแต่งภายในห้องพักก็คุม Theme ของโรงแรมได้ดี ทั้งความเป็นญี่ปุ่นและการใช้สีสันต่างๆ ที่สวยงามลงตัว รับรองว่าถ่ายรูปสวยแน่นอน
สำหรับห้องอาหาร Yamateras เราได้ใช้บริการทั้งมื้อเย็น ซึ่งจะเสริฟแบบ A la carte หรือ Set Menu มีทั้งเมนูอาหารญี่ปุ่น, Pasta, Salad และสเต็กให้เลือกสั่งหลายเมนู ส่วนอาหารเช้าจะเป็น Buffet line ที่มีทั้ง Salad, Pastry, เครื่องดื่มต่างๆ และมี Main Course ให้สั่งคนละ 1 เซ็ต จะเลือกอาหารเช้าแบบญี่ปุ่น หรือแบบ International ก็ได้ โดยเราเลือกเป็นเซ็ตแบบญี่ปุ่น มีปลาย่างเป็นจานหลัก รวมถึงข้าวและเครื่องเคียง มาในเซ็ตที่ตกแต่งอย่างสวยงามตามสไตล์ญี่ปุ่น
Facilities ที่เป็นจุดเด่นของโรงแรม คือ Onsen ที่มีขนาดใหญ่และหรูหรามาก โดยแขกที่เข้าพักสามารถเข้าใช้บริการได้ฟรี โดยห้อง Onsen จะแยกชาย-หญิง ภายใน Onsen จะมีบ่อน้ำร้อนแบบ Indoor 1 บ่อ และบ่อกลางแจ้งอีก 1 บ่อ มีบ่อน้ำเย็น และซาวน่า ซึ่งถือว่าครบครันและตอบโจทย์คนที่อยากมาพักผ่อนและแช่บ่อน้ำร้อนในโรงแรมแบบนี้ ส่วนคนรักการออกกำลังกายก็มีห้อง Fitness อยู่บริเวณชั้น 1 ของโรงแรม ใกล้กับทางเข้า Onsen ให้บริการตลอด 24 ชม.
จากประสบการณ์ที่ได้เข้าพักที่ Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden ต้องบอกว่าเกินความคาดหมายไปมาก ทั้งเรื่องการบริการ ความสวยงามของสถานที่และบรรยากาศโดยรวม เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่เราอยากแนะนำหากใครได้มาเที่ยวแถว Nagoya และอยากหาที่พักผ่อนสบายๆ ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ในราคาที่จับต้องได้ รับรองว่าที่นี่ตอบโจทย์การพักผ่อนแน่นอนครับ
ราคาห้องพักเริ่มต้น : 34,xxx เยน (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ แล้วแต่ช่วงเวลาที่เข้าพัก)
Website : https://www.ihg.com/hotelindigo/hotels/th/th/inuyama/iunkj/hoteldetail
พิกัด : https://goo.gl/maps/NN2co4n51SUViBSL8?coh=178572&entry=tt
นั่งรถไฟ Meitetsu จากสถานี Meitetsu Nagoya มาลงที่สถานี Inuyamayuen เดินต่อมาอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงโรงแรม
หากใครเช่ารถขับมา ด้านหน้าโรงแรมมีที่จอดรถให้บริการ
เดินทางจาก Nagoya ด้วยรถไฟ Meitetsu มาลงที่สถานี Inuyamayuen (ออกทาง West Exit)
ทางเดินไปโรงแรมเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ มีต้นซากุระเรียงรายตลอดทาง
เดินจากสถานีประมาณ 500 เมตร จะเจอป้ายทางเข้าโรงแรมแบบนี้
บริเวณทางเข้าตัวอาคารของโรงแรม จะมีพนักงานเดินออกมาต้อนรับเราที่นี่
ผ่านประตูเข้ามาเราจะได้พบกับ Lobby ที่มองเห็นวิวปราสาท Inuyama แบบเต็มตา
เข้าประตูมาทางฝั่งซ้ายจะเป็นเคาน์เตอร์ Check-in
เนื่องจากเราเป็นสมาชิก IHG ทางพนักงานจึงให้มานั่งรอบริเวณนี้ เพื่อเตรียมเอกสารสำหรับ Check-in
อีกฝั่งของ Lobby จะเป็นบาร์ และส่วนของห้องอาหาร Yamateras
หลังจาก Check-in เรียบร้อย พนักงานจะพาไปส่งที่ห้องพักของเรา และนี่คือบริเวณโถงลิฟต์
ห้องพักของเราอยู่บนชั้น 3 เป็นห้อง Standard River View ซึ่ง Room type นี้จะมีเพียงชั้นละ 2 ห้องเท่านั้น
ซึ่งห้องนี้จะเดินเข้ามาลึกและค่อนข้างไกลจากลิฟต์พอสมควร
บริเวณหัวเตียงเป็นภาพวาดปราสาท Inuyama ลายเส้นสวยงาม
บริเวณปลายเตียงจะมีโซฟา Smart TV และโซน Minibar (น้ำดื่มเป็นขวดกระดาษ สามารถโทรขอเพิ่มได้)
วิวแม่น้ำ Kiso จากระเบียงห้องพักของเรา
สามารถชมพระอาทิตย์ตกจากห้องพักได้เลย
มาชมบรรยากาศในส่วนต่างๆ ของโรงแรมกันบ้างครับ เริ่มจากห้องอาหาร Yamateras ซึ่งอยู่ติดกับ Lobby บริเวณชั้น 1
บริเวณทางเข้าห้องอาหาร ในมื้อเช้าทางฝั่งขวาที่ปิดบานเลื่อนไว้ จะเป็นส่วนของ Buffet Line
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
ที่นั่งโซน Outdoor ของห้องอาหาร
มองไปทางฝั่งซ้ายจะเห็นอาคารและห้องพักทั้งหมดของโรงแรม
มา Dinner พร้อมกับชมวิวปราสาท Inuyama ในช่วงพระอาทิตย์กำลังตก
หน้าตาของ A la carte menu ที่เราสั่งมาสำหรับ Dinner
บรรยากาศยามเย็นบริเวณ Lobby
นอกจากนี้ยังมีห้อง Ballroom สำหรับจัดประชุม / งานเลี้ยงต่างๆ
Fitness ของโรงแรม เปิดให้บริการตลอด 24 ชม.
Locker ภายใน Onsen มีผ้าเช็ดตัวทั้งผืนเล็กและผืนใหญ่ให้บริการ
บรรยากาศบริเวณโซนแต่งตัวใน Onsen (ไม่ได้ถ่ายรูปใน Onsen มาให้ชมนะครับ สามารถดูได้จาก Website โรงแรม)
ทางเข้าสวน Urakuen อยู่ติดกับโรงแรม สามารถเข้าชมสวนได้ฟรี เพียงโชว์ Key card ห้องพักของเราให้เจ้าหน้าที่
ภายในสวนมีโรงน้ำชาแบบญี่ปุ่นให้บริการ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
วิวสวยๆ จากห้องอาหารในยามเช้า
เซ็ตอาหารเช้าแบบญี่ปุ่น จัดเต็มและอิ่มสุดๆ ไปเลย
ถ่ายรูปที่ Lobby ส่งท้ายก่อนกลับ
Cherry Blossom Japan 2023 : ตามล่าหาซากุระ
ฤดูกาลตามล่าซากุระของปี 2023 กำลังจะผ่านไปแล้ว
เป็นอีกปีที่เราได้ไปชมซากุระ วางแผนซะดิบดี แต่ปีนี้ซากุระดันบานไวไปอีก!
แต่ก็ยังดีที่หลายๆที่ยังสวย พอให้เราได้เก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ กันได้อยู่ (แม้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนแผนกันวันต่อวันก็ตาม)
รีวิวนี้จึงรวบรวมจุดชมซากุระที่เราได้ไปมาทั้งหมดในทริปนี้จาก 4 เมือง ได้แก่ Tokyo , Saitama , Osaka และ Kyoto รวมทั้งหมด 10 สถานที่ ได้แก่
- Edo-Sakura Dori (Nihombashi)
- Chidorigafuchi Park
- Naka-meguro
- Kumagaya
- Motoara River
- Tachikawa
- Kema Sakuranomiya Park
- Nanatani River , Kameoka
- Heian Shrine
- Ninna-ji
พร้อมพิกัดและคำแนะนำให้เพื่อนๆ ได้วางแผนเตรียมพร้อมสำหรับการไปตามล่าซากุระในปีต่อๆ ไป
ถ้าพร้อมแล้ว เข้าไปอ่านรายละเอียดกันในโพสท์นี้ได้เลยครับ
**ช่วงเวลาที่เดินทาง 30 มีนาคม - 5 เมษายน พ.ศ. 2566**
Edo-Sakura Dori , Nihombashi (Tokyo)
จุดชมซากุระที่ไม่ค่อย Mass เท่าไรใน Tokyo ความพิเศษของจุดนี้ คือ มีอุโมงค์ซากุระเรียงรายตามถนน มีฉากหลังเป็นอาคารที่ออกแบบสไตล์ยุโรป ให้บรรยากาศที่แตกต่างจากการไปชมซากุระที่จุดอื่น มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปกันพอสมควร แต่อาจจะถ่ายค่อนข้างยาก เพราะคนเดินกันพลุกพล่าน (เป็นย่านสำนักงาน) และต้นซากุระตรงจุดนี้จะค่อนข้างสูง เหมาะกับการมาชมบรรยากาศ หรือสายถ่ายภาพ Street น่าจะชื่นชอบ
พิกัด : https://goo.gl/maps/FBWRdmcGKTWhp4NWA
Mitsukoshimae Station (Exit B1)
Chidorigafuchi Park (Tokyo)
สวนสาธารณะชื่อดังที่อยู่ติดกับ Imperial Palace จุดเด่นของที่นี่คือการมาชมซากุระที่อยู่รอบๆ สระน้ำ และมีคนมาพายเรือ ถีบเรือเป็ดกันอย่างสนุกสนาน เป็นอีกจุดหนึ่งใน Tokyo ที่เป็นที่นิยม (ใครไม่อยากเจอคนเยอะๆ โปรดหนีไป) จุดสังเกต คือ อย่าปักหมุด Chidorigafuchi Park ใน Google map เพราะมันไม่ใช่จุดถ่ายรูปที่เป็นไฮไลท์ของสวนนี้ และมุมที่เหมาะสำหรับถ่ายรูปจะมีอยู่ 2 จุด จุดแรกที่คนชอบมาถ่ายรูปกันจะเป็นจุดลงเรือ (Chidorigafuchi Moat) และอีกจุด คือ Kudanzaka Park ใกล้กับสถานี Kudanshita
พิกัด : https://goo.gl/maps/FPAgKYYNi4X5GpM19 (จุดลงเรือในภาพด้านบน) และ https://goo.gl/maps/EnmCvPtoTBfPP6Vt6 (Kudanzaka Park)
แนะนำให้ลงสถานี Kudanshita เพราะจะเดินไม่ไกล ชมจุดแรกที่ Kudanzaka Park แล้วค่อยเดินไปที่ Chidorigafuchi Moat จะประหยัดเวลาและระยะเดินน้อยกว่าไปลงที่สถานี Hanzomon
มุมมองจาก Kudanzaka Park
Naka-meguro (Tokyo)
เป็นอีกจุดชมซากุระใน Tokyo ที่สวยงามทั้งกลางวันและยามค่ำคืน เราเลือกมาชม Light up ที่นี่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ก็แอบเสียดายนิดหน่อยที่มาในช่วงที่เลยจุด Peak ไปแล้ว และแม้จะมาตอนกลางคืน แต่คนที่มาเที่ยวชมซากุระก็ยังเยอะมากอยู่ดี ใครอยากมาเดินสบายๆ แนะนำให้มาตอนช่วงเช้าน่าจะดีกว่า
พิกัด : https://goo.gl/maps/DkYx8EgaEqJuuma36
Naka-meguro station
Kumagaya (Saitama)
ขอยกให้ที่นี่เป็น The best ของทริปนี้เลย เพราะมีซากุระให้เดินชมได้อย่างจุใจมาก ใครที่ชอบถ่ายรูป และอยากหนีคนเยอะในโตเกียวแนะนำให้นั่งรถไฟมาที่นี่เลย เดินทางสะดวกมาก โดยเฉพาะถ้าใครพักแถว Ueno สามารถนั่ง Shinkansen มาที่นี่ได้ในครึ่ง ชม. แนะนำให้มาถึงที่นี่ไม่เกิน 8 โมงเช้าจะเดินถ่ายรูปได้สบายๆ เพราะแดดยังไม่ร้อน และคนยังไม่เยอะมากนัก
พิกัด : https://goo.gl/maps/tna5x8EJuWQVUWLE9?coh=178572&entry=tt
Kumagaya station (South Exit) เดินต่อประมาณ 300 เมตร
Motoara River (Saitama)
นั่งรถไฟมาจาก Kumagaya เพียงสองสถานีก็มาถึงที่นี่ จุดเด่นคือมีอุโมงค์ซากุระโอบล้อมลำคลองที่ทอดยาวไปในย่านชุมชม เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีเพียงคนในย่านนั้นมาเดินชมมากกว่านักท่องเที่ยว เหมาะแก่การไปเดินถ่ายรูป
พิกัด : https://goo.gl/maps/K4GPqLRPq221cVwb9?coh=178572&entry=tt
Fukiage Station (North Exit) เดินต่อประมาณ 200 เมตร
Tachikawa (Tokyo)
จุดชมซากุระขวัญใจคน Local ที่เราแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการมาในวันหยุด เพราะคนเยอะมากกกกกก จุดเด่นของที่นี่คือซากุระต้นใหญ่ที่เรียงรายขนาบคลองทั้งสองฝั่ง และโน้มกิ่งทอดยาวลงมาจนแทบจะถึงกลางคลองกันเลยทีเดียว ซากุระที่นี่สวยมากจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เราถ่ายรูปอะไรแทบไม่ได้เลยเพราะคนมาเยอะไปหมด 555 และอีกอย่างที่อยากเตือน คือ ที่นี่ไม่มีชื่อขึ้นใน Google Map แต่เราได้ปักพิกัดแบบ Manual เอาไว้ให้ รับรองว่าไม่หลงแน่นอน (เพราะเราหลงมาก่อนแล้ว)
พิกัด : https://goo.gl/maps/dxi9zdquy5StLdsq6?coh=178572&entry=tt
Shibasaki-Taiikukan Station เดินต่อประมาณ 10 นาที
มีอีกจุดที่หลายๆ เพจแนะนำให้ปักพิกัดนี้ https://goo.gl/maps/kDQV72BtzBtFEhsv7?coh=178572&entry=tt ซึ่งก็สวยดีแต่มันไม่ใช่จุดไฮไลท์นะทุกคน อย่าไปผิดที่จ้า
Kema Sakuranomiya Park (Osaka)
ข้ามมาที่ Osaka กันบ้างครับ กับสวนสาธารณะใจกลาง Osaka ที่มีต้นซากุระเยอะมาก และอยู่ไม่ไกลจาก Osaka Castle ด้วย หากใครเดินไหวก็สามารถเดินต่อไปได้เลย แนะนำว่าให้มาที่นี่ช่วงเย็น เพราะถ่ายรูปสวยและไม่ย้อนแสง
พิกัด : https://goo.gl/maps/cnB5cKKAXgGbUeb6A?coh=178572&entry=tt
JR Sakuranomiya station
Nanatani River (Kameoka)
Heian Shrine (Kyoto)




Ninna-ji (Kyoto)




Intercontinental Khao Yai Resort : Luxury & Peaceful place on the hill.
Intercontinental Khao Yai Resort
รีสอร์ทเปิดใหม่ในเครือ IHG ที่คราวนี้เลือก Location ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติอย่าง "เขาใหญ่" เหมาะแก่การมาพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ และเสพการออกแบบที่โดดเด่นของ Bill Bensley สถาปนิกชื่อดังที่เป็นผู้ออกแบบโรงแรม และรีสอร์ทหรูหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งการออกแบบครั้งนี้ใช้ Theme ของการรถไฟในสมัยรัชกาลที่ 5 ผสมผสานกับความ Modern ในแบบตะวันตก สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างสวยงาม และมี Detail ที่น่าสนใจในหลายจุด โดยเฉพาะการออกแบบภายในของห้องพัก ที่ให้บรรยากาศเหมือนนอนอยู่บนตู้รถไฟ รวมถึงห้องพักแบบ Suite และ Villa ที่อยู่บนตู้รถไฟที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้ความเป็นส่วนตัว และแปลกใหม่เหมือนได้เดินทางด้วยรถไฟทางไกล ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบและสวยงาม
เมื่อมาถึงรีสอร์ทจะเจอกับ "สถานีเขาใหญ่" เป็นอาคารที่ออกแบบเหมือนสถานีรถไฟสมัยก่อน ซึ่งเป็นส่วน Lobby ของรีสอร์ท ภายในแบ่งเป็นสองส่วน คือ บริเวณเคาน์เตอร์ check-in และส่วนของห้องพักของนายสถานี มีเตียง 2 ชั้น และมุมทำงานของนายสถานีให้เราได้นั่งถ่ายรูปเล่นระหว่างรอ โดยที่พักของที่นี่มีทั้งหมด 45 ห้อง โดยเป็นห้องพักแบบ Classic และ Suite กระจายอยู่บน 3 อาคาร และส่วนของตู้รถไฟ ที่จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในของรีสอร์ท เป็นห้องแบบ Suite และ Pool Villa ซึ่งแม้จะเป็น Room type เดียวกัน แต่การออกแบบภายในของแต่ละห้องก็จะมีความแตกต่างกันไปทั้งสีสัน และสไตล์การออกแบบ
เราได้มาพักที่นี่ 2 คืน ในห้องแบบ 1 King Classic Lake View ซึ่งเป็นห้องพักที่อยู่บนอาคาร จุดเด่นของห้องนี้ คือ วิว Lake เต็มตาที่มองเห็นได้จากระเบียงห้อง ภายในตกแต่งเหมือนอยู่บนตู้นอนรถไฟ Amenities ของโรงแรมใช้ของแบรนด์ Byredo ซึ่งเหมือนกันกับโรงแรม Intercontinental ที่อื่นๆ ในไทย ภายในห้องแบ่งสัดส่วนเป็นอย่างดี ทั้งส่วนของห้องน้ำที่กะทัดรัด ออกแบบเหมือนบนรถไฟ ส่วนของ Walk-in closet มีพื้นที่ให้แขวนเสื้อผ้าและวางกระเป๋าเดินทาง
ภายในรีสอร์ทยังมีห้องอาหารทั้งหมด 4 ห้อง เริ่มกันที่ Tea Carriage ห้องน้ำชาบนรถไฟที่ออกแบบได้สวยและคลาสสิกมาก มี Set Afternoon Tea รวมถึงเครื่องดื่มหลากหลายให้บริการ , Somying's Kitchen ห้องอาหารเช้า Buffet และ all day dining restaurant ที่มีให้เลือกทั้งอาหารไทย และ International , Poirot ห้องอาหารฝรั่งเศสบนรถไฟในบรรยากาศเหมือนอยู่บนขบวนรถ First class ของ Oriental express เสิร์ฟอาหารแบบ Formal French Dining และ Papillon Bar บาร์สุดเท่ที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม Signature สูตรเฉพาะของที่นี่ ในบรรยากาศชิลๆ บนตู้รถไฟสุดคลาสสิก ซึ่งห้องอาหารทั้งหมดนี้ แขกภายนอกสามารถเข้ามาใช้บริการได้เช่นกัน แต่แนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้ามาก่อนนะ
นอกจากนี้ ในแต่ละวันยังมีกิจกรรมพิเศษที่จัดให้แขกที่เข้าพักได้เข้าร่วม อย่างวันที่เราไปพักจะมี Naturalist tour ซึ่งถ้าใครมาพักที่นี่เป็นครั้งแรกแนะนำให้ลองเข้าร่วมดู เพราะไกด์ทัวร์จะเล่าประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มสร้างรีสอร์ท พาชมสัตว์และต้นไม้ชนิดต่างๆ ที่ล้วนแต่ผ่านกระบวนการคิด และดูแลสิ่งเหล่านี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปี กว่าจะได้ Landscape ภายในรีสอร์ทที่สวยงามอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันนี้
หากกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนสำหรับวันหยุดที่ใกล้จะถึงนี้ Intercontinental Khao Yai เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยส่วนตัวที่นี่เป็นอีกรีสอร์ทที่เราประทับใจหลายอย่าง โดยเฉพาะบรรยากาศ และการออกแบบที่ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย มีกิจกรรมมากมายให้ทำ มีห้องพักหลากหลายแบบให้เลือก รวมถึงการบริการที่ดีสมมาตรฐานของโรงแรมในเครือ IHG ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามไปอ่านได้ในรีวิวนี้เลยครับ
บริเวณทางเข้ารีสอร์ท
บริเวณจุด Drop off เปรียบเสมือนบริเวณด้านหน้าทางเข้าสถานีรถไฟ
ออกแบบได้สวยงามและมีความ Vintage
ก่อนจะเดินเข้าไปก็สั่นกระดิ่งให้พอเป็นพิธีสักหน่อย
บริเวณ Lobby ของรีสอร์ท จำลองเป็นสถานีรถไฟเขาใหญ่
ที่มีทั้งส่วนที่นั่งพักของผู้โดยสาร และห้องพักของนายสถานี
เราจะมา check-in กันที่บริเวณนี้
มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูประหว่างรอ check-in
ในส่วนของห้องพัก อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าจะมีห้องพักแบบ Classic และ Suite อยู่บนอาคารทั้งหมด 3 อาคาร ได้แก่ ปากช่อง (อยู่ติดกับ Lobby) , ซับม่วง (อยู่ติดกับ Lake) และ บันไดม้า (อยู่ใกล้ห้องอาหารสมหญิง) และอีกโซนจะเป็นส่วนของห้องพักที่อยู่ในโบกี้รถไฟ มีทั้งห้อง Suite และ Villa โดยห้องที่เรามาพักเป็นห้องแบบ 1 King Classic Lake View จุดเด่นของห้องพักแบบนี้ คือ จะมองเห็นวิว Lake แต่ขนาดห้องจะไม่แตกต่างกับห้อง Classic ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้น ซึ่งเราได้มาพักห้อง Type นี้ทั้ง 2 ครั้งแต่อยู่กันคนละตึก ทำให้เห็นวิว Lake ที่แตกต่างกัน ใครชอบวิวแบบไหนก็ลอง Request กับทางรีสอร์ทตอนจองได้นะ
Lake view จากอาคารซับม่วง อยู่ใกล้กับ Lake มาก มองไปเห็นห้องน้ำชา Tea Carriage
Lake view มุมสูงจากอาคารปากช่อง มองเห็นวิวภายในรีสอร์ทได้กว้างขวางกว่า
บรรยากาศภายในห้องพักแบบ Classic จะมี Layout ที่เหมือนกัน แต่ต่างที่รายละเอียดและการใช้สีสันของแต่ละห้อง
บริเวณผนังตกแต่งสวยงาม เหมือนนอนอยู่ในโบกี้รถไฟหรู
บริเวณระเบียง เป็นจุดที่เราชอบมานั่ง โดยเฉพาะตอนเย็นถึงค่ำที่อากาศจะเย็นสบาย
และระเบียงของห้องก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ถ่ายรูปสวย
ห้องสุขาเล็กกะทัดรัด เหมือนห้องสุขาบนรถไฟจริง
พามาชมบรรยากาศที่ห้องน้ำชากันบ้างครับ
โรงน้ำชานี้เขาเอาโบกี้รถไฟมาตกแต่งใหม่ให้สวยงาม
ที่นั่งภายในโบกี้รถไฟ
ที่นั่งด้านนอก
วิวยามบ่ายจากโรงน้ำชา มองเห็นอาคารซับม่วงและ Lake
Afternoon tea set ราคาไม่แรง แขกภายนอกสามารถเข้ามาทานได้ (ต้องจองมาก่อนนะครับ)
หรือถ้าใครไม่อยากทานเยอะ ก็มีเมนูเครื่องดื่มขายแยกเช่นกัน
ถัดมาไม่ไกลจะเป็นโบกี้ของห้องอาหาร Poirot ห้องอาหารฝรั่งเศสที่เสิร์ฟอาหารแบบ Formal French Dining และ Papillon Bar บาร์สุดเท่ที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม Signature สูตรเฉพาะของที่นี่
บรรยากาศภายใน Papillon Bar
บรรยากาศภายใน Papillon Bar
แวะมาจิบเครื่องดื่มดีๆ ถ่ายรูปสวยๆ ในช่วงค่ำได้
ส่วน Breakfast เสิร์ฟที่ห้องอาหารสมหญิง เป็น International Buffet ซึ่งมีอาหารให้เลือกหลากหลาย
บรรยากาศภายในห้องอาหารสมหญิง
บรรยากาศภายในห้องอาหารสมหญิง
แนะนำว่า Croffle ทานคู่กับ Homemade jam คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด
Egg Benedict ก็ต้องสั่งนะ
Pool bar และสระว่ายน้ำของรีสอร์ทอยู่ติดกับห้องอาหารสมหญิง
สระขนาดไม่ใหญ่นัก มีโซนจากุชชี่ให้แช่ด้วย
Fitness ของรีสอร์ทเปิด 24 ชม.
บรรยากาศภายใน Fitness
Highlight สุดท้ายที่ไม่อยากให้พลาด คือ การเดินเล่นรอบ Lake ของรีสอร์ท
มองเห็นโซนที่พักแบบโบกี้รถไฟ
ระหว่างเดินเล่นเราก็จะเจอหงส์มากมายทั้งว่ายน้ำและเดินโชว์ตัวให้เราได้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด
ถ้ามาตรงกิจกรรม Naturalist ทัวร์ในช่วงสายของวัน จะมีให้อาหารปลาใน Lake ด้วยนะ
และนี่ก็คือภาพรวมบรรยากาศของรีสอร์ทที่เราประทับใจมากอีกที่หนึ่งในประเทศไทย
แนะนำให้มาลองสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ที่นี่กันสักครั้งนะครับ
Seoul Cafe Guide 2022 : คาเฟ่เกาหลีเกาใจ ที่ไหนน่าไป ตามมาเลย
สวัสดีปีใหม่ 2023
ขอให้ปีกระต่ายปีนี้เป็นปีสำหรับการเริ่มต้นใหม่ที่ดี เงินทองไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะครับ
เริ่มต้นปีใหม่จะพาไป Cafehopping กันที่โซล เพราะคาเฟ่ที่นี่เค้าออกแบบสวย และมีเยอะมาก เรียกได้ว่าการดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนที่นี่กันเลยทีเดียว และครั้งนี้เราได้กลับไปเที่ยวโซลในรอบ 5 ปี เลยมีคาเฟ่ที่อยากไปแวะเยอะมาก แต่ด้วยเวลาอันจำกัด เลยได้ไปมาทั้งหมด 12 ร้าน และเก็บภาพรวมถึงพิกัดมาแนะนำเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาคาเฟ่สวยๆ ในโซล ให้ได้ตามไปเก็บกัน ซึ่งรายชื่อร้านทั้งหมดก็มีตามนี้
- Coffee Nap Roasters
- SD2R
- Gwehdo (Yeonhui branch)
- 1 in 1 jan
- ACOFFEE
- Blue Bottle (Samcheong branch)
- NEMA Coffee
- PLOP Pizza
- Wynyard (Seongsu branch)
- Sayoo
- Milestone Coffee Roasters
- % Arabica (Starfield Library Branch)
ส่วนรายละเอียดของแต่ละร้าน จะน่าสนใจแค่ไหน ตามมาอ่านกันได้ในโพสท์นี้เลยครับ
Coffee Nap Roasters
เป็นคาเฟ่ที่เราเห็นใน IG มานานหลายปี และตั้งใจว่าถ้าไปโซลจะต้องแวะไปให้ได้ ร้านอยู่แถวยอนนัม (ห่างจากฮงแดมา สถานีเดียว) จุดเด่นภายในร้านคือพื้นอิฐแดงยกสูงเป็นคลื่น ตัดกับเคาน์เตอร์สีขาว ร้านเล็กๆ แต่ฟีลดี มีคนแถวนั้นแวะเวียนมาจิบกาแฟ พาน้องหมามาเดินเล่น ส่วนกาแฟที่เราได้ลอง คือ Vanilla Latte รสชาติหวานละมุนกำลังดี (แต่ระวังให้ดีเพราะบางร้านหวานตัดขา) ที่ร้านมีเมล็ดกาแฟและแก้วขายด้วยนะ
พิกัด :
[Naver Map]
Coffee Nap Roasters Yeonnamdong
Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
วานิลลาลาเต้ของที่นี่คือดีงามจริง แนะนำให้ลองครับ
SD2R (저당개2년로스터스)
เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญ เพราะอยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters ทางร้านคั่วกาแฟเองด้วย มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ เราลองแบบดริปเย็นรสชาติดีเลยแหละ ราคาไม่แพง บรรยากาศร้านเหมือนแวะมาจิบกาแฟที่บ้านเพื่อน ชิลๆ มีคนแถวนั้นเดินเข้าออกร้านกันตลอดเวลา ตัวร้านมีสองชั้น แต่มุมที่เราแนะนำคือที่นั่งบริเวณหน้าต่างบานใหญ่หน้าร้านนี่แหละ ถ่ายรูปออกมาสวยมาก แนะนำว่าย่านนี้มีร้านอาหาร คาเฟ่น่ารัก และสวยสาธารณะให้เดินชมได้เพลินๆ ลองเผื่อเวลามาเดินแถวย่านยอนนัมกันดูนะครับ
พิกัด : อยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters (ไม่มีพิกัดใน map)
Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร
บรรยากาศภายในร้านชั้น 1 ตกแต่งเรียบง่าย
บรรยากาศบนชั้น 2 ของร้าน มีที่นั่งอยู่หลายที่
บรรยากาศภายในร้าน
Gwehdo Yeonhui
เป็นอีกร้านที่เราเห็นใน IG แล้วปักหมุดเลยว่าต้องมา จุดเด่นคือรางเสิร์ฟกาแฟ และจอสำหรับแสดง digital art ตรงกลางร้าน ร้านตั้งอยู่ชั้น 2 ในตึกเดียวกับ LAIKA CINEMA เราได้ลองเมนู Signature ของร้าน เป็น Latte ทานคู่กับขนมหวานเกาหลี ใครไม่ชอบหวานแนะนำให้ผ่านไปเลย (เพราะหวานมากกกกก) ส่วนลูกกลมๆ สีๆ เป็นเชอร์เบท รส Lime & Basil เมนูนี้แนะนำให้สั่งมาลองเพราะรสชาติจัดจ้านมาก ทานแล้วตื่นยิ่งกว่ากาแฟ ระวังสับสนนิดนึงเพราะร้าน Gwehdo จะมีอีกสาขาอยู่แถวยอนนัม (ร้านนั้นก็สวยอีกแบบ และอยู่ไม่ไกลจากฮงแด)
พิกัด :
[Naver Map]
Gwedo Yeonhui
Subway : Hongik Univ. station Exit 3 เดินต่ออีกประมาณ 1 กม. หรือ ต่อรถบัสจะสะดวกกว่า
สั่งกาแฟปุ๊บ มาเลือกที่นั่งได้เลย เพราะเค้าจะเสิร์ฟกาแฟมาทางรางเลื่อนนี่แหละ
เมนูที่สั่งวนมาถึงแล้วก็หยิบได้เลย
บรรยากาศภายในร้าน
1인1잔 (1 in 1 jan)
คาเฟ่วิวหมู่บ้านเกาหลีที่มุมถ่ายรูปคือดีมาก เห็นรูปครั้งแรกก็ปักหมุดเลยว่าต้องแวะมา เพราะคาเฟ่นี้อยู่ทางเข้าหมู่บ้าน Enpyeong Hanok Village พอดี คาเฟ่มีทั้งหมด 5 ชั้น ใครอยากมานั่งถ่ายรูปมุมนี้อยู่ชั้น 3 ส่วนชั้น 5 จะเป็นระเบียงอยู่ outdoor เป็นส่วนของร้านอาหาร (เปิดหลังคาเฟ่ 1 ชม.) ขนมที่ร้านหน้าตาดีมาก เครื่องดื่มก็มีหลากหลาย แต่ที่สำคัญคือวิว สวยสุดๆ แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิดจะได้ถ่ายรูปสบายหน่อย เพราะแป๊บเดียวคนเต็มร้านแล้ว
พิกัด :
[Naver Map]
1 In 1 Jan
서울 은평구 연서로 534
การเดินทาง : Subway สถานี Yeonsinnae ออกทาง Exit 3 เดินมาต่อรถบัสจากป้าย Yeonseo market (สาย 701 / 7211 / 7723) ลงที่ป้าย Hanago Samcheonsa Jingwansa Temple Entrance (นั่งรถบัสประมาณ 15 นาที)
วิวจากที่นั่งชั้น 3
มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็จะได้วิวประมาณนี้
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์
หน้าตาขนมและเครื่องดื่ม
ACOFFEE Seoul
หลังจากที่เราเคยไป ACOFFEE ที่เมลเบิร์นมาแล้ว เลยถือโอกาสแวะมาชมบรรยากาศ และมาจิบกาแฟดีๆ ที่สาขาโซลด้วย ตัวร้านตั้งอยู่ในชุมชนแถบเนินเขา เป็นอาคาร 3 ชั้นที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน ภายในร้าน Minimal มาก สำหรับกาแฟเราแนะนำว่าที่นี่ควรดื่มกาแฟดริป เพราะเมล็ดกาแฟเขาดีจริง มีให้เลือกหลายแบบ (ให้บาริสต้าช่วยแนะนำได้)
ด้วยความที่ร้านตั้งอยู่ตามเนินเขา อาจจะต้องเดินขึ้นๆ ลงๆ เยอะนิดนึงนะ
พิกัด
[Naver Map]
A Coffee Seoul
서울 종로구 백석동1가길 19
การเดินทาง : Subway สถานี Gyeongbokgung (Exit 3) แล้วต่อรถบัสสาย 7212 หรือ 7022 ลงป้าย Buamdong Community Service Center. Mugyewon เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บริเวณทางเข้าร้าน
Blue Bottle Samcheong
คาเฟ่สัญชาติอเมริกา ที่มีหลายสาขาในโซล คราวนี้เราจะพามาที่สาชาซัมชอง ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน Bukchon แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งสาขานี้เป็นสาขาแรกของ Blue Bottle ในเกาหลี โดยจุดเด่นของร้านจะเป็นการออกแบบอาคารที่โดดเด่น ถ่ายรูปสวย ส่วนภายในร้านจะมีทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้น 1 และ 2 จะสามารถสั่งกาแฟได้ (espresso bar จะอยู่ชั้น 2) ส่วนชั้น 3 จะเป็น slow bar มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชิลรับลมได้ เรื่องกาแฟไม่ต้องพูดถึง เพราะดีงามสมมาตรฐานของ Blue Bottle อยู่แล้ว แต่พวกของที่ระลึกอย่างแก้วแบบต่างๆ กระเป๋าน่ารักๆ มีหลายอย่างน่าเสียเงินมากเป็นมุมขายอยู่ที่ชั้น 1 แนะนำให้ลองชมดูอาจจะเสียเงินได้โดยไม่รู้ตัวนะ
พิกัด
[Naver Map]
Blue Bottle Samcheong Cafe
서울 종로구 북촌로5길 76
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 800 เมตร
โซนขายของบริเวณชั้น 1 ระวังเสียทรัพย์โดยไม่รู้ตัว
บรรยากาศบริเวณชั้น 2
บรรยากาศบริเวณชั้น 2
บรรยากาศบริเวณชั้น 3
NEMA coffee
คาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งน่ารัก อยู่ไม่ไกลจาก Bukchon Hanok Village หมู่บ้านเกาหลียอดนิยมของนักท่องเที่ยว แนะนำให้มาทาง Subway ลงสถานี Anguk และเดินตาม Map มาเรื่อยๆ เพราะบรรยากาศระหว่างทางมาร้าน มีคาเฟ่สวยๆ ร้านอาหารเก๋ๆ และในช่วง Autumn แบบนี้มีต้นแปะก๊วยใบสีเหลืองอยู่ขนาบสองข้างทาง ถ่ายรูปเพลินมาก ส่วนที่ร้าน NEMA จุดเด่นของร้านคือ ทาร์ตอร่อย มีเมล็ดกาแฟในเลือกหลากหลายแบบ และเสิร์ฟมาในแก้วและจานที่สวยงาม จัด display ได้ดี มุมถ่ายรูปสวยๆ ในร้านเยอะมาก มาช่วง Autumn แบบนี้มองออกไปนอกหน้าต่างร้านจะเห็นใบแปะก๊วยสีเหลืองเต็มเลย บรรยากาศดีสุดๆ แนะนำเลยครับ
พิกัด
[Naver Map]
Cafe Alley Forest Entrance
서울 종로구 삼청동
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 1 กม.
วิวจากภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
PLOP Pizza
ร้านพิซซ่าใน Bukchon Hanok Village ที่ออกแบบร้านได้สวย และพิซซ่าก็อร่อยมาก! เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญเพราะเป็นทางผ่านไปคาเฟ่ เมนูหลักของร้านคือพิซซ่าหลากหลายหน้า มีขนาดเล็กและใหญ่ สามารถสั่งแบบ Half ได้ เราจึงจัดพิซซ่าถาดใหญ่หน้าบูลโกกิ แบ่งครึ่งกับเปเปอโรนี อร่อย เครื่องแน่น ชีสจัดเต็ม ส่วนไก่ทอดกินคู่กับน้ำจิ้มหวานๆ คือดี! แนะนำให้แวะไปลอง และถ้าจะให้ดีควรไปตั้งแต่ร้านเปิด เพราะช่วงเที่ยงคิวยาวมาก
พิกัด
[Naver Map]
Peullop Anguk
서울 종로구 북촌로2길 5
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
พิซซ่าบูลโกกิกับไก่ทอดคือต้องสั่ง
บริเวณหน้าร้าน
Wynyard 성수
ปักหมุดไว้เป็นร้านแรกเลยว่าต้องมา ร้านสวย เท่ บรรยากาศดูแพงมาก แต่ที่ชอบสุดคือการเสิร์ฟกาแฟนี่แหละ เพราะทางร้านจะให้เราเลือกเมล็ดกาแฟ (espresso ก็จะมีเมล็ดชุดนึงให้เลือก ถ้าเป็น filter ก็จะมีอีกชุดนึง) ส่วนตอนมาเสิร์ฟ จะมาพร้อมโปสการ์ดที่บอกรายละเอียดของกาแฟที่เราเลือก โปรการ์ดก็สวยมากด้วย แนะนำว่ามาแถวซองซูแล้วเตรียมท้องมาให้ว่าง คาเฟ่เก๋ๆ เยอะมากจริง
พิกัด
[Naver Map]
Winyadeu Seongsu
서울 성동구 연무장길 8-1
การเดินทาง : Subway สถานี Ttukseom (Exit 5) เดินต่ออีกประมาณ 500 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้
บรรยากาศภายในร้าน
ประทับใจการเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มของที่นี่มาก
Sayoo
คาเฟ่วิวตึกอิฐแดงที่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศ ที่เป็นกระแสในเหล่า Cafehopper เกาหลีอยู่ช่วงหนึ่ง ทำเลของร้านตั้งอยู่แถว Itaewon ภายในตึก 5 ชั้น เป็นส่วนของคาเฟ่ทั้งตึกเลย ชั้นล่างจะเป็นโซน coffee bar สามารถสั่งเครื่องดื่มและขนมได้ที่นี่ ส่วนชั้นอื่นๆ จะเป็นที่นั่ง ลักษณะกึ่ง co-working space และมีชั้น 5 เป็น Rooftop ที่วิวดีมาก ร้านตกแต่งสวย แต่ละชั้นก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันไป ในส่วนของกาแฟก็มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ จะสั่งเป็น Espresso หรือ slow bar ก็ดี รวมถึงเบเกอรี่หน้าตาน่าทานหลายเมนู เป็นอีกคาเฟ่ที่ไม่ควรพลาดครับ
พิกัด
[Naver Map]
Sayoo
서울 용산구 이태원로54길 5
การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 300 เมตร
บรรยากาศภายในชั้น 1 ของร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศบริเวณชั้น 3 ของร้าน
หน้าร้าน
Milestone Coffee Roasters (Hannam branch)
คาเฟ่ชื่อดังอีกร้านในโซล ที่หลายๆ รีวิวบอกว่าต้องมาชิมบราวนี่ของร้านให้ได้สักครั้ง ร้านอยู่ไม่ไกลจากร้าน Sayoo ตัวร้านตกแต่งสวยงาม โดดเด่นตั้งแต่หน้าร้าน ภายในบรรยากาศดี แต่เป็นอีกคาเฟ่ที่ป๊อบมากเพราะมีคนเข้ามาซื้อกาแฟกันตลอดเวลา ส่วนบราวนี่ก็ดีงามสมราคาคุย ถ้าได้แวะมาอย่าลืมสั่งนะ
พิกัด
[Naver Map]
Milestone Coffee Hannam Branch
서울 용산구 한남대로27가길 26 1층
การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 400 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
หน้าตาบราวนี่แสนอร่อย เมนูเด่นของร้าน
บริเวณหน้าร้าน
% Arabica (Starfield Library Branch)
ปิดท้ายกันที่ %Arabica คาเฟ่ยอดนิยมจากญี่ปุ่น ที่พูดชื่อไปหลายๆ คนก็รู้จักอย่างแน่นอน กับสาขาล่าสุดในโซล ซึ่งมาเปิดที่ Starfield Library ห้องสมุดสุดฮิตของเหล่า Influenzer ที่ใครแวะมาเกาหลีจะต้องมาถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่ให้ได้ สำหรับความพิเศษของสาขานี้คือการออกแบบ ซึ่งภายนอกตัวอาคารดูล้ำมาก แต่ด้านในก็ยังคงความ minimal และมีส่วนของบาร์กาแฟ รวมถึงโซนคั่วกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และที่สำคัญคือทำเลที่อยู่ติดกับห้องสมุดเลย แวะถ่ายรูปเสร็จ ก็แวะมาดื่มกาแฟ พักเหนื่อยกันต่อได้ที่นี่เลยครับ
พิกัด
[Naver Map]
% ARABICA Starfield Coex Mall Branch
서울 강남구 영동대로 513 스타필드 코엑스몰 별마당도서관 1층
การเดินทาง : Subway สถานี Samseong (Exit 6) ติดกับ Starfield Library
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
สามารถเดินเข้ามาจากทางห้องสมุดได้เลย
VOCO Seoul Gangnam : บูทีคโฮเทลสุดเก๋ในเครือ IHG
VOCO Seoul Gangnam
บูทีคโฮเทลในเครือ IHG ที่เพิ่งเปิดให้บริการที่โซลไม่นานมานี้ สำหรับ "VOCO Seoul Gangnam" โรงแรม 4 ดาวที่โดดเด่นด้วยการออกแบบ และทำเลที่สะดวกสบายในการเดินทาง
เราได้มีโอกาสมาเข้าพักเป็นเวลา 2 คืน เหตุผลแรกที่ตัดสินใจเลือกที่นี่ คือ การออกแบบที่ดูเรียบหรู สวยงาม ตั้งแต่ Lobby ไปจนถึงห้องพักแบบต่างๆ ด้วยความที่เราเป็นสมาชิก IHG ระดับ Diamond ก็จะได้สิทธิพิเศษอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่การจองห้องพักที่เราจองผ่าน application IHG ซึ่งจะได้เรทราคาพิเศษสำหรับสมาชิก และยังได้รับการ upgrade ห้องพัก จากห้องเริ่มต้นที่จองมา ไปเป็นห้อง Premium One King Bed with Hinoki Bath ขนาด 30 ตร.ม. ซึ่งความพิเศษของห้องนี้คือภายในห้องน้ำ จะมีอ่างอาบน้ำไม้ สไตล์ญี่ปุ่น ให้เราได้แช่เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าหลังจากออกไปเดินเที่ยวมาทั้งวัน และสิทธิพิเศษของสมาชิกระดับ Diamond อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราจะได้อาหารเช้าฟรีเพิ่มมาด้วย บอกเลยว่าอาหารเช้าของที่นี่ก็จัดเต็มและดีเกินความคาดหมายของเราไปด้วยเช่นกัน
Location ของโรงแรมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราตัดสินใจเลือกที่นี่ เพราะโรงแรมอยู่ใกล้สถานี Sinsa และย่าน Garosugil ซึ่งเป็นย่านที่เหมาะแก่การมาเดินชมใบแปะก๊วยในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเป็นอย่างมาก รวมถึงมีร้านค้า ร้านอาหาร แหล่ง shopping ยาวไปจนถึงย่าน Apgujeong ที่อยู่ถัดไปไม่ไกล มีห้าง Lotte และช็อป brandname มากมายให้ได้ช็อปกันทั้งวัน และตัวโรงแรมยังอยู่ติดกับโรงพยาบาล ID โรงพยาบาลศัลยกรรมชื่อดังของเกาหลี บอกเลยว่าที่ VOCO ก็ตอบโจทย์มากสำหรับคนที่จะมาพักฟื้นหลังทำศัลยกรรมที่นี่ได้เช่นกัน
บรรยากาศบริเวณบาร์ของโรงแรม
ทางเข้าโรงแรมมี Mascot ของแบรนด์ Voco เป็นรูปนกตั้งอยู่
บรรยากาศบริเวณ Lobby ตกแต่งได้อย่างเรียบหรูดูดี เราชอบการเลือกใช้โทนสีของเขามาก
บรรยากาศภายในห้องพัก
ห้องพักของที่นี่จะเป็นห้องหน้าแคบลึกเข้าไปด้านใน มีการใช้ Partition เป็นกระจกกั้นระหว่างโถงทางเข้ากับส่วนของห้องนอน ซึ่ง Partition นั้นก็จะทำหน้าที่เป็นบานประตูของตู้เสื้อผ้า Built in ด้วย
วิวจากห้องของเราสามารถมองเห็น Seoul tower ได้อย่างชัดเจน
และนี่คือไฮไลท์ของห้อง Hinoki Bath เล็กๆ ที่อยู่ภายในห้องน้ำ
อีกฝั่งของห้องน้ำจะมี Shower room
ห้องอาหารหลักของโรงแรมจะอยู่บริเวณชั้น 1 ด้านหลัง Lobby
ภายในห้องอาหารตกแต่งได้สวยงาม คุมโทน และเลือกใช้สีสันเหมือนกับบริเวณ Lobby
Buffet Line ถือว่าจัดเต็มและหลากหลายมาก มีทั้งอาหารเกาหลี พร้อมเครื่องเคียง , American Breakfast , Salad bar ,Pastry และ Egg Station แนะนำว่าควรจองแบบมีอาหารเช้ามาด้วยนะครับ คุ้มมากๆ (ส่วนใครเป็น Diamond แล้วได้อาหารเช้าฟรีด้วย ถือว่าคุ้มสุด)
หน้าตาอาหารเช้าของเรา
และนี่เป็นภาพรวมของ VOCO Seoul Gangnam อีกโรงแรมหนึ่งที่ออกแบบได้สวยงาม ใหม่ เดินทางสะดวก และ ที่สำคัญราคาไม่แพงอย่างที่คิด เพราะเราจองมาในราคาห้องเริ่มต้นประมาณ 3,7xx - 4,xxx บาท ต่อคืน (แล้วแต่โปรโมชั่นที่เพื่อนๆ จะจองมาได้นะ) หากใครสนใจมาพักและอยากจะมานอนที่นี่มากกว่า 1 คืน ก็แนะนำสมัครสมาชิก IHG เพื่อจะได้เก็บแต้ม เก็บไนท์ สะสมไว้แลกห้องพักฟรีในอนาคตได้ ถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว
Park Hyatt Seoul : พาชมโรงแรมหรูที่สายถ่ายรูปต้องรัก
Park Hyatt Seoul
เป็นอีกโรงแรมที่เราได้พักในทริปโซลที่ผ่านมา และอยากจะมาแนะนำ (อย่างยิ่ง) ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามกัน ที่โรงแรม Park Hyatt Seoul ซึ่งจุดเด่นของที่นี่มีหลายอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ Location ของโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามกับ COEX Mall ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเกาหลี ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง Starfield Library สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายเพราะด้านหน้าโรงแรมติดกับ Subway สถานี Samseong (สาย 2) ซึ่งอยู่ห่างจาก Gangnam เพียง 4 สถานี และสามารถนั่งต่อไปช็อปปิ้งที่สถานี Hongik Univ. กันได้ยาวๆ หรือจะไปสนามบินก็สะดวกสบาย
จุดเด่นต่อมาและเป็นเหตุผลหลักที่เราเลือกที่นี่ คือ การออกแบบของโรงแรมที่มีความสวยงาม ตั้งแต่ Lobby บริเวณชั้น 24 ซึ่งอยู่ติดกับ The Lounge ห้องอาหารเกาหลีและเป็นห้องเดียวกับที่เสิร์ฟ Afternoon tea ในช่วงบ่าย การออกแบบของที่นี่เน้นการใช้สีแนว Earth tone ตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และเน้นการใช้กระจกบานใหญ่โดยรอบเพื่อให้แขกที่มาเข้าพักสามารถชมวิวมุมสูงของกรุงโซลได้อย่างเต็มตา
ถัดมาคือห้องพักของเรา ห้อง 1 King Bed High Floor ซึ่งอยู่บนชั้น 17 เป็นห้องมุมห้องเดียวที่อยู่ติดกับลิฟท์ ไฮไลท์ของห้องพักที่นี่ คือ ทั้งห้องจะรายล้อมไปด้วยกระจกบานใหญ่ สามารถชม City view ที่มองเห็นได้จากหลายมุมของห้อง ทั้งจากเตียงนอน, Living area ซึ่งมองเห็นวิวตึก COEX mall และบริเวณโดยรอบ, วิวกรุงโซลที่มองเห็นได้จากอ่างอาบน้ำ รวมถึงการออกแบบพื้นที่ใช้สอย การเลือกใช้ของและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในห้องที่ดูเรียบหรู ใช้ Amenities ของ BALMAIN และการควบคุมไฟและม่านด้วยระบบไฟฟ้า
ส่วน Facility ของโรงแรมจะอยู่ที่ชั้น 23 มี Fitness และสระว่ายน้ำ ที่มองเห็นวิวเมืองแบบ Panorama, Spa ของโรงแรม ภายในมีห้อง Locker แยกชายและหญิง จะมีทั้งอ่างจากุชชี่และห้องซาวน่าให้ใช้บริการ (ส่วนนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
อาหารเช้าจะเสิร์ฟที่ห้องอาหาร Cornerstone ซึ่งอยู่บริเวณชั้น 2 มีทั้งโซน Buffet ที่ในไลน์จะมีทั้ง Pastry, Salad, Cold cut และน้ำผลไม้คั้นสด รวมถึง a la carte menu ซึ่งจะเป็นอาหารเกาหลีกว่า 10 รายการ ทั้งข้าวหน้าเนื้อ (บุลโกกิ) , ข้าวหน้าหมูผัดซอสเผ็ด, มันดู (เกี๊ยวเกาหลี) และเมนูซุปต่างๆ
จุดเด่นสำคัญอีกอย่าง คือ การบริการของพนักงาน ตั้งแต่เดินทางมาถึงบริเวณ Front ด้านล่างของโรงแรม การจัดการดูแลต่างๆ ตั้งแต่การ check-in, ขณะเข้าพัก และบริการตามห้องอาหารต่างๆ ถือว่าทำได้ดีมาก
สำหรับราคาห้องพัก จะเริ่มต้นที่ประมาณ 420,000 KRW รวมอาหารเช้า (อาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาและโปรโมชั่น) เมื่อเทียบกับทำเลและประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าพักแล้ว โดยส่วนตัวเราว่าคุ้มค่า และแนะนำให้มาลองสัมผัสประสบการณ์เข้าพักที่นี่ดูสักครั้งครับ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมในแต่ละส่วนของโรงแรม สามารถตามอ่านกันได้ด้านล่างนี้เลยครับ
เริ่มที่การเดินทางมาโรงแรมด้วย subway ลงสถานี Samseong Exit 1 มีลิฟท์ที่ทางออกนี้ด้วย
ขึ้นมาก็จะเจอทางเข้าโรงแรมเลยครับ สะดวกมาก
บริเวณทางเข้าโรงแรม ชั้นนี้จะเป็น Front ต้อนรับ ส่วน Lobby ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 24
ออกจากลิฟท์มาบนชั้น 24 จะเจอ Counter check-in อยู่ติดกับห้องอาหาร The Lounge
บรรยากาศบริเวณห้องอาหาร The Lounge
ห้องพักของเราวันนี้อยู่ที่ชั้น 17 ครับ
เปิดประตูห้องเข้ามาก็เจอกับมุมนี้เลย เป็นส่วนของเตียงนอนและ Living area อยู่รวมกัน
ห้อง 1701 ของเราอยู่มุมตึกห้องเดียวโดดๆ เลย ได้วิว COEX Mall และมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้เต็มๆ
ทางโรงแรมเตรียม Complimentary Wine ไว้ต้อนรับด้วย
จิบไวน์ไปพร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกกลางกรุงโซล มันช่างดีจริงๆ
มองจากฝั่งเตียงมาจะเจอโทรทัศน์ และมุม Minibar ทางขวา
ส่วนด้านหลังโทรทัศน์จะเป็นมุมอ่างล้างหน้าและกระจก
เดินลึกเข้ามาด้านในจะเจอห้องสุขาอยู่ขวามือ ในสุดจะเป็นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่และมุม Shower
Amenities ของ BALMAIN กลิ่นหอมดีครับ
ใกล้กับมุม Minibar เปิดออกมาจะเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่
ต่อไปเราจะพาชม Facility ของโรงแรมที่ชั้น 23 กันครับ
บริเวณทางเดินมีมุมที่นั่งไว้ให้ มองเห็นวิวเมืองสวยๆ
เดินเข้ามาด้านในจะมีเคาน์เตอร์เสิร์ฟเครื่องดื่ม สามารถสั่งกับพนักงานได้ (มีค่าบริการเพิ่ม)
จากจุดนี้ไปสระว่ายน้ำกับฟิตเนส ต้องขึ้นบันไดไปอีกชั้น
ฟิตเนสกว้างขวาง วิวดี และมีเครื่องออกกำลังให้พอสมควร
ติดกับฟิตเนสจะเป็นสระว่ายน้ำที่สวยและวิวดีมาก
เป็นอีกจุดถ่ายรูปสวยๆ ภายในโรงแรม
มื้อเช้าของโรงแรมจะมาทานที่ห้องอาหาร Cornerstone ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2 ครับ
ส่วนนี้จะเป็น Buffet Line
บริเวณนี้จะเป็นส่วนของ Chef ที่ทำเมนู a la carte
หน้าตาอาหารเช้าของเรา มีทั้งอาหารเกาหลีและ อาหารมาตรฐาน Buffet โรงแรม
มาปิดท้ายกันด้วย Afternoon tea ที่ห้องอาหาร The Lounge บริเวณชั้น 24 ของโรงแรมกันครับ
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
เป็นห้องอาหารที่วิวสวยที่สุดของโรงแรม
เนื่องจากในแพ็คเกจของเราได้ Hotel Credit มา 100 USD เลยตัดสินใจมาใช้กับ Afternoon tea ของโรงแรม
ซึ่งช่วงที่เราไปจะเป็นธีม Chocolate Afternoon Tea ซึ่งเมนูที่เสิร์ฟจะมีส่วนประกอบเป็นช็อคโกแลตทั้งหมด
ราคารวม Sparkling wine 1 แก้ว = 64,000 KRW (ต่อคน)
มีใบชาให้เลือกอยู่ประมาณ 4-5 ชนิด
หน้าตา Afternoon tea ของเรา
City view จากห้องอาหาร The Lounge
และนี่ก็คือบรรยากาศโดยภาพรวมของ Park Hyatt Seoul ครับ โดยส่วนตัวค่อนข้างประทับใจ และเหนือความคาดหมายกับเรื่องการบริการ บรรยากาศและความสวยงามภายในโรงแรม ที่สำคัญ คือ เดินทางสะดวก และอยู่ติดกับ COEX Mall ใครชอบช็อปปิ้งถูกใจแน่นอน และโรงแรมก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก คุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ
สำหรับค่าห้องที่เราจองมา เนื่องจากเราใช้บัตรเครดิต American Express และโรงแรมนี้อยู่ในเครือ Fine Hotels ของ AMEX ทำให้การจองครั้งนี้ได้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหลายอย่างเมื่อจองผ่าน AMEX platinum center ทั้งการ Upgrade ห้องพัก, early check-in และ late check-out รวมถึง Hotel Credit 100 USD ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการนี้ ประทับใจในความคุ้มค่าจริงๆ ครับ
Seoul Travel Guide 2022







Chiang Mai 2022 : update ที่พักและคาเฟ่ใหม่ๆ กันหน่อย
หากเรามีวันหยุดสัก 2 - 3 วัน เชียงใหม่มักจะเป็นจุดหมายแรกที่เรานึกถึง เพราะไม่ว่าจะไปเชียงใหม่เมื่อไรก็ตาม จะมีร้านอาหาร คาเฟ่ และที่พักใหม่ๆ ให้เราได้ไปสำรวจอยู่เสมอ โพสท์นี้เราจะพาไปเที่ยวและอัพเดทคาเฟ่ ร้านอาหาร และที่พักทั้งใหม่และเก่า ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามกัน ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้นดูได้จาก List ด้านล่างนี้เลย
- Cherlock Hotel
- BeansLiquor
- Match Match
- gallery กาแฟดริป เชียงใหม่
- Twenty Mar
- ISSARA Coffee Space
- Vanilla hill by hill lodge
- PLUTO
- Butter & Neighbor
- ALSO cafe
รายละเอียดแต่ละที่ จะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ตามมาอ่านกันต่อในโพสท์ได้เลยครับ
CHERLOCK HOTEL
มาเชียงใหม่ครั้งนี้ เราเลือกที่พักคืนแรกที่ Boutique Hotel สไตล์ Loft อย่าง CHERLOCK HOTEL สิ่งที่สะดุดตาเรามากที่สุด คือ การออกแบบของที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์ ห้องพักออกแบบได้สวยและมีความเป็นส่วนตัว รวมถึงทำเลที่สะดวกสบาย เพราะโรงแรมตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวอย่างนิมมานฯ นั่นเอง แต่บอกเลยว่าพอหลุดเข้ามาในโซนโรงแรมแล้ว บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่น ต้นไม้เยอะ เหมือนออกมาอยู่แถวชานเมืองมากกว่า
บริเวณ Lobby ของโรงแรม
ห้องพักของที่นี่จะมีทั้งหมด 3 Room type ได้แก่ Superior room (ห้องเริ่มต้น) , Deluxe room และ ห้องที่เราเลือกมาพักครั้งนี้อย่างห้อง Pool Junior Suite (ราคาเต็ม 4,000 บาท/คืน) ซึ่งเป็นห้องที่ขนาดใหญ่สุด และมีสระว่ายน้ำเล็กๆ ส่วนตัวอยู่ภายในห้องด้วย สำหรับห้องพักของเราตกแต่งสวย ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ความสะอาดใช้ได้ กุญแจห้องพักใช้ระบบ key card แต่น่าเสียดายที่การ Maintainance ยังไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้โรงแรมดูเก่าไปกว่าตอนแรกที่เปิดไปเยอะเลย (อาจจะเป็นเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงโควิดด้วยนี่แหละ)
นอกจากสระว่ายน้ำเล็กๆ ภายในห้อง (มีจากุชชี่ด้วยนะ แต่ต้องแจ้งพนักงานให้มาช่วยเปิด)
ยังมีสระว่ายน้ำส่วนกลางที่สามารถไปใช้ได้ด้วย อยู่ติดกับ Lobby ของโรงแรม
อาหารเช้าของทางโรงแรมจะเสิร์ฟเป็นเซ็ต มีครัวซองต์ ชา/กาแฟ น้ำผลไม้ และ American brakefast ให้ 1 จาน/คน สามารถเลือกได้ว่าจะทานที่ห้องพักของเราเลย หรือจะมาทานที่ห้องอาหาร (อยู่ที่เดียวกับ Lobby ของโรงแรม) ก็ได้ แนะนำให้แจ้งตั้งแต่วันเข้าพักนะครับ จะได้ไม่ต้องรอนาน
หน้าตาอาหารเช้าของเรา
MOOH
ร้านโดนัทสอดไส้สุด Cute ที่เคยเป็นกระแสฮอตฮิตอยู่ช่วงหนึ่ง ร้านอยู่ติดกับโรงแรม CHERLOCK ที่เราพัก เลยถือโอกาสแวะมาซื้อโดนัทและถ่ายรูปตอนคนยังโล่งๆ สักหน่อย รส CREME BRULEE กับอันที่เป็นไส้ Strawberry สองอันนี้อร่อยมาก แนะนำว่าต้องลองครับ
BeansLiquor
คาเฟ่และบาร์เปิดใหม่บนถนนศิริมังคลาจารย์ (ฝั่งทางออกถนนห้วยแก้ว) หากมาพักแถวนิมมานก็เดินมาได้ไม่ไกลมากนัก ตัวร้านมีทั้งหมด 3 ชั้น มีที่นั่งเยอะมาก ภายในร้านตกแต่งสไตล์ Minimal Loft ในช่วงกลางวันจะเสิร์ฟกาแฟ เครื่องดื่ม Non-coffee และขนมปัง แต่หลังจาก 6 โมงเย็นร้านจะกลายเป็นบาร์สำหรับมานั่งดื่ม นั่งชิลล์กันได้ยาวๆ จนถึงเที่ยงคืน ด้านหลังร้านมีลานจอดรถกว้างขวาง
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
match match
คาเฟ่ชาเขียวน้องใหม่ในเครือของร้าน Matchappen ที่ให้บรรยากาศเหมือนไปนั่งอยู่ในร้านชาเขียวน่ารักๆ ที่ญี่ปุ่น ร้านตั้งอยู่แถวนิมมานซอย 9 เมนูของทางร้านจะเน้นชาเขียวญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ สามารถเลือกชนิดของชาเขียวได้ เลือกเมนูที่จะดื่ม ไม่ว่าจะเป็น Matcha Latte หรือ ชาเขียวที่ผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆ ตามสูตรที่ทางร้านคิดขึ้นมา บรรยากาศภายในร้านก็อบอุ่น น่ารัก ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
gallery กาแฟดริป เชียงใหม่
หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นชื่อ gallery กาแฟดริป คาเฟ่ที่จัดว่าเป็น Specialty coffee อีกร้านหนึ่งในกรุงเทพ ที่ตั้งอยู่ที่หอศิลป์ฯ ตรงแยกปทุมวัน จากหอศิลป์กรุงเทพ มาเปิดสาขาเพิ่มที่หอศิลป์เชียงใหม่ เอกลักษณ์ที่ยังคงเหมือนกันคือการเสิร์ฟกาแฟดริป หรือ slow bar ที่มีเมล็ดหลากหลายแบบให้เลือกกันตามความชอบ เหมาะกับคนที่จริงจังเรื่องกาแฟ และอยากดื่มกาแฟดีๆ สักแก้ว รับรองว่าแวะมาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน
บรรยากาศภายในร้าน
Twenty Mar
คาเฟ่เปิดใหม่ในย่านสามกษัตริย์ ที่ภายในร้านออกแบบได้สวยและเท่มาก ร้านตั้งอยู่ในตึกแถวที่ดูจากหน้าร้านแล้วอาจจะดูเล็กไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วสามารถเดินลึกเข้าไปด้านใน และมีโซนที่นั่งมากมายอยู่ภายในร้าน บรรยากาศภายในร้านชิลมาก มีเพลงเปิดคลอ พร้อมจิบกาแฟไปด้วย ส่วนใครไม่ดื่มกาแฟเราขอแนะนำชาไทยของทางร้าน อร่อยมาก หวานกำลังดี เป็นอีกร้านที่แนะนำให้มาลองครับ
ถ้าใครขับรถมาอาจจะหาที่จอดรถยากนิดนึง และต้องสังเกตป้าย วันคี่-วันคู่ด้วย เพราะนี่ก็วนหาที่จอดอยู่สองรอบกว่าจะได้
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
ISSARA Coffee Space
ช่วงบ่ายเราเดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปพักที่หางดง ก่อนเดินทางเข้าที่พักก็แวะหากาแฟดีๆ สำหรับช่วงบ่ายสักแก้วกันที่ร้าน ISSARA Coffee Space เดิมทีร้านตั้งอยู่ที่ตลาดแม่เหียะ แต่ตอนนี้เขาย้ายร้านมาอยู่ที่ถนนราชพฤกษ์ ในเขตอำเภอหางดง ภายในร้านมีที่นั่งทั้ง indoor และ outdoor จุดเด่นจะอยู่ตรงส่วนของ indoor ที่มีบาร์ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางร้าน และการใช้สีตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึก cozy ดูสวยเก๋และถ่ายรูปดีมาก ยิ่งช่วงบ่ายที่แสงส่องผ่านกระจกหน้าร้านเข้ามายิ่งดีสุดๆ
เมนูของทางร้านมีทั้ง Coffee และ Non-coffee กาแฟมีเมล็ดให้เลือกอยู่ 2-3 ชนิด ราคาก็จะแตกต่างกันไปนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าราคาถูกกว่าคาเฟ่ในเมืองหลายๆ ร้านเลยแหละ แถมยังรสชาติดีมากด้วย ใครจะไปเที่ยวหางดงลองแวะมาชิมกันได้ ด้านหน้าร้านมีที่จอดรถได้ประมาณ 4-5 คัน
บรรยากาศภายในร้าน
Vanilla hill by hill lodge
โจทย์ในการหาที่พักนอกเมืองของเราในครั้งนี้ คืออยากได้ที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พักได้หลายคน และถ้าแบ่งห้องเป็นสัดส่วนได้ก็จะดี เดินทางไม่ลำบากเพราะช่วงที่เราไปคือฤดูฝน และที่สำคัญคือราคาต้องไม่แรงจนเกินไป สุดท้าย Vanilla hill by hill lodge ก็ตอบโจทย์ทั้งหมดที่ว่ามา เพราะใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชม. ถนนก็ค่อนข้างดีถึงแม้จะเป็นถนนสองเลนที่ต้องขับขึ้นเขา ลักษณะของที่พักซึ่งเป็นบ้านสวยกลางป่า มีหลากหลายขนาดให้ได้เลือกจอง และมีความเป็นส่วนตัวสูงเพราะมีบ้านพักเพียงแค่ 6 หลังเท่านั้น ข้อควรระวังอย่างนึงคือที่พักต้องเดินขึ้นบันได้สูงหลายขั้น อาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุเท่าไรนัก
"บ้านราตรี" วิลล่า 1 ห้องนอนที่เป็นห้อง Signature ของที่นี่
วิลล่าของเรา คือ บ้านบุญนาค เป็นวิลล่า 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่บ้านพักทั้งหมด 110 ตร.ม. สามารถเข้าพักได้มากสุด 7 คน (เตียงเสริม 1 เตียง) บอกเลยว่าที่นี่ตอบโจทย์สายครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันได้เป็นอย่างดี ภายในบ้านแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชมวิว รับลม ดูดาวตอนกลางคืนได้ และมีห้อง Master bedroom ที่มีห้องน้ำซึ่งมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย 1 ห้อง และห้องนอนเล็กที่มีห้องน้ำในตัวทั้งคู่อีก 2 ห้อง ในราคาพันบาทนิดๆ ต่อคนเท่านั้น (รวมอาหารเช้าแล้วนะ) ซึ่งอาหารเช้าทางโรงแรมจะมีใบให้เลือกตั้งแต่ check-in สามารถเลือก main dish ได้ 1 จาน ระหว่าง ABF กับข้าวต้มเครื่อง และมีชอยส์อื่นๆ เพิ่มเติมทั้งขนมปัง ครัวซองต์ ผลไม้ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ต่างๆ
บรรยากาศภายในวิลล่า
บรรยากาศภายในห้องนอนเล็ก
บรรยากาศภายในวิลล่า
Pluto
เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งที่การออกแบบชนะเลิศ โดดเด่นตั้งแต่อาคารทรงกระบอกสีดำขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ พอเข้าไปด้านในก็เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง Pluto เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งในเชียงใหม่ที่ป๊อบมาก คนเยอะตลอดเวลา ซึ่งจุดเด่นของที่นี่นอกจากการออกแบบที่ใส่ใจในทุก Detail แล้ว เมนูเครื่องดื่มและอาหารของทางร้านก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เครื่องดื่มเมนูหลักก็จะเป็นพวกกาแฟ และเมนู Signature ต่างๆ ที่ทางร้านคิดค้นขึ้น โดยส่วนตัวขอแนะนำ ma:ki ma:ki เป็นกาแฟ Latte ที่รองพื้นด้วยแยมสตอเบอรี่ ท็อปด้วยครีมชีสด้านบน เวลาดื่มแนะนำให้ดื่มแบบจิบดูก่อน เพื่อสัมผัสกับรสชาติของครีมชีสและกาแฟ หลังจากนั้นค่อย Mix ทั้งหมดเข้าด้วยกัน รสชาติละมุนละไมมากๆ ส่วนเมนูอาหารที่ทางร้านเสิร์ฟมีทั้ง Brunch และอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น สามารถมาทานได้ตลอดทั้งวัน
บรรยากาศภายในร้าน
มุม Signature ที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูป
บรรยากาศภายในร้าน
butter & neighbor
หลายคนอาจจะรู้จักร้าน butter & bourbon คาเฟ่ชื่อดังที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งตอนนี้เขาได้ขยายสาขามาที่เชียงใหม่ในชื่อ butter & neighbor โดยยังคุม theme และบรรยากาศของในร้านซึ่งเน้นความ cozy & minimal ได้เช่นเคย สาขานี้จะเน้นเสิร์ฟอาหารเป็นส่วนใหญ่ (แต่ใครจะมาดื่มกาแฟ ทานขนมก็มีให้บริการนะครับ) ซึ่งเมนูอาหารของทางร้านจะเน้นเป็นอาหารจานเดียว และ appetizer โดยจุดเด่นของเมนูจะเน้นฟิวชั่นระหว่างอาหารเหนือ กับอาหารญี่ปุ่น และฝรั่ง แนะนำให้ไปกันหลายๆ คนเพราะจะได้ลองหลากหลายเมนูที่น่ากินทั้งนั้นเลย
ร้านจะตั้งอยู่ในซอยทางเข้ากองบิน 41 ฝั่งสวนดอก มีลานจอดรถบริเวณหน้าร้าน สามารถจอดได้หลายคัน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
มันบดและ toast ของทางร้านซึ่งท็อปด้วยอ่องปู ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ข้าวหน้าสไตล์ญี่ปุ่น
ALSO Cafe
คาเฟ่และบาร์ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตัวร้าน Renovate จากบ้านเก่ามาเป็นสไตล์เกาหลี Minimal สุดๆ สายถ่ายรูปห้ามพลาดเลยนะ
ช่วงกลางวันทางร้านจะเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้ง Coffee และ Non-Coffee รวมถึงเมนูขนมอีกเล็กน้อย ส่วนกลางคืนจะกลายร่างเป็นบาร์นั่งชิลล์ หากใครมีโอกาสมาเที่ยวเชียงใหม่ แนะนำให้ลองแวะมานะครับ
สามารถจอดรถได้ริมถนนบริเวณหน้าร้าน
Fitzroy พาสำรวจย่าน Hipster ใน Melbourne
และประชันความสวยงามของ Interior กันแบบจัดเต็ม เหมือนหลุดออกมาจาก Pinterest
รับรองว่าถูกใจคนรักงานดีไซน์ สายคาเฟ่ สายถ่ายรูป รวมถึงสายช็อปได้อย่างแน่นอน
รีวิวนี้เราเลยจะพาเพื่อนๆ ไปเดินเล่นชมเมือง หาคาเฟ่สวยๆ นั่งจิบกาแฟ และปิดท้ายด้วย Exhibition ที่น่าตื่นตาตื่นใจ






ส่วนกาแฟ ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เจอร้านไหนกาแฟไม่อร่อยเลยอะ


ACOFFEE
คาเฟ่ชื่อดังอีกร้าน ที่เราเคยเห็นรูปในนิตยสาร Online ที่เกี่ยวกับงานดีไซน์
และเพิ่งรู้ว่าเขามีสาขาที่เกาหลีด้วย
สำหรับสาขาที่ Fitzroy จะเป็นทั้งคาเฟ่และโรงคั่ว
เมนูต่างๆ ในร้านจะเป็นเมนูกาแฟ และเบเกอรี่ มีพวกอุปกรณ์ทำกาแฟ และเมล็ดกาแฟวางขายด้วยเช่นกัน



ร้านค้าต่างๆ ทั้งแบรนด์ต่างประเทศ และแบรนด์ Local ของออสเตรเลียเอง (ซึ่งราคาก็แรงพอตัว)
อย่างที่นี่คือช็อป FREITAG ซึ่งดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศพื้นที่โดยรอบ
ข้างในใส่แล้วนุ่มสบายดีเลย มีสีให้เลือกหลากหลายด้วย
อีกร้านที่แนะนำสำหรับสาวๆ คือ ASSEMBLY LABEL



เมนูนั้นก็คือ...กาแฟใส่ไข่มุก นั่นเอง
เป็นกาแฟ ผสมกับนม (เลือกนมได้ มีหลายประเภทให้เลือก แต่เราเอาแบบ Original ตามสูตรร้าน)
และมีไข่มุกกาแฟเม็ดเล็กๆ อยู่ด้านล่าง ดูดขึ้นมาแล้วเขียวหนึบหนับเขากันดี เพลินและอร่อยเกินคาดนะ ว่าไม่ได้
อีกเมนูที่เราชอบ คือ Fitzroy iced เป็น Cold brew ผสมกับนม และ Syrup สูตรพิเศษของทางร้าน



Ima Project Cafe
เราจะมาแวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่กำลังป๊อบสุดๆ ร้านหนึ่งใน Melbourne นั่นคือ Ima Project Cafe
เราไปเจอ website หนึ่งแนะนำร้านนี้โดยบังเอิญ และเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจาก Fitzroy เท่าไรนัก

เรามาที่นี่เพราะอยากทานอาหาร Set Menu นี่แหละ ซึ่งเมนูที่เราเลือกก็คือ
Today's Teishoku หรือเมนูประจำวันนั่นเอง

"ไก่ทอดซอสนัมบัง"อาจจะดูไม่แปลก ยาโยอิก็มีขาย
แต่บอกเลยว่าวัตถุดิบเขาดีมาก รสชาติซอสคือดี ซุปมิโสะคือปัง
และที่ชอบมาก คือ สลัด เพราะเขาใช้ผักสลัด + แผ่นสาหร่ายทอดกรอบ และมีข้าวพองกรอบๆ โรยด้านบน ทานคู่กับสลัดน้ำใสรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีมาก
เป็นอีกร้านที่แนะนำเลยนะ ว่าต้องมาลอง!
(ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปภายในร้านมาให้ดู เพราะคนเต็มร้านเลย)

จุดประสงค์ในการมาที่นี่ ก็เพื่อเข้าชมนิทรรศการ "Tyama: A multisensory experience of nature" เป็นงาน Interactive digital art ที่น่าสนใจและจัดขึ้นในช่วงที่เราไปเที่ยวพอดี
ค่าเข้าชม (เฉพาะงาน) 30 AUD
อาจจะดูแพงไปนิด แต่เข้าไปเดินชม เดินถ่ายรูปก็ดีอยู่น้า

บางห้อง จะต้องปรบมือดังๆ เพื่อให้เกิดงานศิลปะขึ้น บางห้องอาจจะต้องใช้การเคลื่อนไหว
และห้องในรูปนี้ก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน







