Seoul Cafe Guide 2022 : คาเฟ่เกาหลีเกาใจ ที่ไหนน่าไป ตามมาเลย
สวัสดีปีใหม่ 2023
ขอให้ปีกระต่ายปีนี้เป็นปีสำหรับการเริ่มต้นใหม่ที่ดี เงินทองไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะครับ
เริ่มต้นปีใหม่จะพาไป Cafehopping กันที่โซล เพราะคาเฟ่ที่นี่เค้าออกแบบสวย และมีเยอะมาก เรียกได้ว่าการดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนที่นี่กันเลยทีเดียว และครั้งนี้เราได้กลับไปเที่ยวโซลในรอบ 5 ปี เลยมีคาเฟ่ที่อยากไปแวะเยอะมาก แต่ด้วยเวลาอันจำกัด เลยได้ไปมาทั้งหมด 12 ร้าน และเก็บภาพรวมถึงพิกัดมาแนะนำเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาคาเฟ่สวยๆ ในโซล ให้ได้ตามไปเก็บกัน ซึ่งรายชื่อร้านทั้งหมดก็มีตามนี้
- Coffee Nap Roasters
- SD2R
- Gwehdo (Yeonhui branch)
- 1 in 1 jan
- ACOFFEE
- Blue Bottle (Samcheong branch)
- NEMA Coffee
- PLOP Pizza
- Wynyard (Seongsu branch)
- Sayoo
- Milestone Coffee Roasters
- % Arabica (Starfield Library Branch)
ส่วนรายละเอียดของแต่ละร้าน จะน่าสนใจแค่ไหน ตามมาอ่านกันได้ในโพสท์นี้เลยครับ
Coffee Nap Roasters
เป็นคาเฟ่ที่เราเห็นใน IG มานานหลายปี และตั้งใจว่าถ้าไปโซลจะต้องแวะไปให้ได้ ร้านอยู่แถวยอนนัม (ห่างจากฮงแดมา สถานีเดียว) จุดเด่นภายในร้านคือพื้นอิฐแดงยกสูงเป็นคลื่น ตัดกับเคาน์เตอร์สีขาว ร้านเล็กๆ แต่ฟีลดี มีคนแถวนั้นแวะเวียนมาจิบกาแฟ พาน้องหมามาเดินเล่น ส่วนกาแฟที่เราได้ลอง คือ Vanilla Latte รสชาติหวานละมุนกำลังดี (แต่ระวังให้ดีเพราะบางร้านหวานตัดขา) ที่ร้านมีเมล็ดกาแฟและแก้วขายด้วยนะ
พิกัด :
[Naver Map]
Coffee Nap Roasters Yeonnamdong
Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
วานิลลาลาเต้ของที่นี่คือดีงามจริง แนะนำให้ลองครับ
SD2R (저당개2년로스터스)
เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญ เพราะอยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters ทางร้านคั่วกาแฟเองด้วย มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ เราลองแบบดริปเย็นรสชาติดีเลยแหละ ราคาไม่แพง บรรยากาศร้านเหมือนแวะมาจิบกาแฟที่บ้านเพื่อน ชิลๆ มีคนแถวนั้นเดินเข้าออกร้านกันตลอดเวลา ตัวร้านมีสองชั้น แต่มุมที่เราแนะนำคือที่นั่งบริเวณหน้าต่างบานใหญ่หน้าร้านนี่แหละ ถ่ายรูปออกมาสวยมาก แนะนำว่าย่านนี้มีร้านอาหาร คาเฟ่น่ารัก และสวยสาธารณะให้เดินชมได้เพลินๆ ลองเผื่อเวลามาเดินแถวย่านยอนนัมกันดูนะครับ
พิกัด : อยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters (ไม่มีพิกัดใน map)
Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร
บรรยากาศภายในร้านชั้น 1 ตกแต่งเรียบง่าย
บรรยากาศบนชั้น 2 ของร้าน มีที่นั่งอยู่หลายที่
บรรยากาศภายในร้าน
Gwehdo Yeonhui
เป็นอีกร้านที่เราเห็นใน IG แล้วปักหมุดเลยว่าต้องมา จุดเด่นคือรางเสิร์ฟกาแฟ และจอสำหรับแสดง digital art ตรงกลางร้าน ร้านตั้งอยู่ชั้น 2 ในตึกเดียวกับ LAIKA CINEMA เราได้ลองเมนู Signature ของร้าน เป็น Latte ทานคู่กับขนมหวานเกาหลี ใครไม่ชอบหวานแนะนำให้ผ่านไปเลย (เพราะหวานมากกกกก) ส่วนลูกกลมๆ สีๆ เป็นเชอร์เบท รส Lime & Basil เมนูนี้แนะนำให้สั่งมาลองเพราะรสชาติจัดจ้านมาก ทานแล้วตื่นยิ่งกว่ากาแฟ ระวังสับสนนิดนึงเพราะร้าน Gwehdo จะมีอีกสาขาอยู่แถวยอนนัม (ร้านนั้นก็สวยอีกแบบ และอยู่ไม่ไกลจากฮงแด)
พิกัด :
[Naver Map]
Gwedo Yeonhui
Subway : Hongik Univ. station Exit 3 เดินต่ออีกประมาณ 1 กม. หรือ ต่อรถบัสจะสะดวกกว่า
สั่งกาแฟปุ๊บ มาเลือกที่นั่งได้เลย เพราะเค้าจะเสิร์ฟกาแฟมาทางรางเลื่อนนี่แหละ
เมนูที่สั่งวนมาถึงแล้วก็หยิบได้เลย
บรรยากาศภายในร้าน
1인1잔 (1 in 1 jan)
คาเฟ่วิวหมู่บ้านเกาหลีที่มุมถ่ายรูปคือดีมาก เห็นรูปครั้งแรกก็ปักหมุดเลยว่าต้องแวะมา เพราะคาเฟ่นี้อยู่ทางเข้าหมู่บ้าน Enpyeong Hanok Village พอดี คาเฟ่มีทั้งหมด 5 ชั้น ใครอยากมานั่งถ่ายรูปมุมนี้อยู่ชั้น 3 ส่วนชั้น 5 จะเป็นระเบียงอยู่ outdoor เป็นส่วนของร้านอาหาร (เปิดหลังคาเฟ่ 1 ชม.) ขนมที่ร้านหน้าตาดีมาก เครื่องดื่มก็มีหลากหลาย แต่ที่สำคัญคือวิว สวยสุดๆ แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิดจะได้ถ่ายรูปสบายหน่อย เพราะแป๊บเดียวคนเต็มร้านแล้ว
พิกัด :
[Naver Map]
1 In 1 Jan
서울 은평구 연서로 534
การเดินทาง : Subway สถานี Yeonsinnae ออกทาง Exit 3 เดินมาต่อรถบัสจากป้าย Yeonseo market (สาย 701 / 7211 / 7723) ลงที่ป้าย Hanago Samcheonsa Jingwansa Temple Entrance (นั่งรถบัสประมาณ 15 นาที)
วิวจากที่นั่งชั้น 3
มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็จะได้วิวประมาณนี้
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์
หน้าตาขนมและเครื่องดื่ม
ACOFFEE Seoul
หลังจากที่เราเคยไป ACOFFEE ที่เมลเบิร์นมาแล้ว เลยถือโอกาสแวะมาชมบรรยากาศ และมาจิบกาแฟดีๆ ที่สาขาโซลด้วย ตัวร้านตั้งอยู่ในชุมชนแถบเนินเขา เป็นอาคาร 3 ชั้นที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน ภายในร้าน Minimal มาก สำหรับกาแฟเราแนะนำว่าที่นี่ควรดื่มกาแฟดริป เพราะเมล็ดกาแฟเขาดีจริง มีให้เลือกหลายแบบ (ให้บาริสต้าช่วยแนะนำได้)
ด้วยความที่ร้านตั้งอยู่ตามเนินเขา อาจจะต้องเดินขึ้นๆ ลงๆ เยอะนิดนึงนะ
พิกัด
[Naver Map]
A Coffee Seoul
서울 종로구 백석동1가길 19
การเดินทาง : Subway สถานี Gyeongbokgung (Exit 3) แล้วต่อรถบัสสาย 7212 หรือ 7022 ลงป้าย Buamdong Community Service Center. Mugyewon เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บริเวณทางเข้าร้าน
Blue Bottle Samcheong
คาเฟ่สัญชาติอเมริกา ที่มีหลายสาขาในโซล คราวนี้เราจะพามาที่สาชาซัมชอง ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน Bukchon แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งสาขานี้เป็นสาขาแรกของ Blue Bottle ในเกาหลี โดยจุดเด่นของร้านจะเป็นการออกแบบอาคารที่โดดเด่น ถ่ายรูปสวย ส่วนภายในร้านจะมีทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้น 1 และ 2 จะสามารถสั่งกาแฟได้ (espresso bar จะอยู่ชั้น 2) ส่วนชั้น 3 จะเป็น slow bar มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชิลรับลมได้ เรื่องกาแฟไม่ต้องพูดถึง เพราะดีงามสมมาตรฐานของ Blue Bottle อยู่แล้ว แต่พวกของที่ระลึกอย่างแก้วแบบต่างๆ กระเป๋าน่ารักๆ มีหลายอย่างน่าเสียเงินมากเป็นมุมขายอยู่ที่ชั้น 1 แนะนำให้ลองชมดูอาจจะเสียเงินได้โดยไม่รู้ตัวนะ
พิกัด
[Naver Map]
Blue Bottle Samcheong Cafe
서울 종로구 북촌로5길 76
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 800 เมตร
โซนขายของบริเวณชั้น 1 ระวังเสียทรัพย์โดยไม่รู้ตัว
บรรยากาศบริเวณชั้น 2
บรรยากาศบริเวณชั้น 2
บรรยากาศบริเวณชั้น 3
NEMA coffee
คาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งน่ารัก อยู่ไม่ไกลจาก Bukchon Hanok Village หมู่บ้านเกาหลียอดนิยมของนักท่องเที่ยว แนะนำให้มาทาง Subway ลงสถานี Anguk และเดินตาม Map มาเรื่อยๆ เพราะบรรยากาศระหว่างทางมาร้าน มีคาเฟ่สวยๆ ร้านอาหารเก๋ๆ และในช่วง Autumn แบบนี้มีต้นแปะก๊วยใบสีเหลืองอยู่ขนาบสองข้างทาง ถ่ายรูปเพลินมาก ส่วนที่ร้าน NEMA จุดเด่นของร้านคือ ทาร์ตอร่อย มีเมล็ดกาแฟในเลือกหลากหลายแบบ และเสิร์ฟมาในแก้วและจานที่สวยงาม จัด display ได้ดี มุมถ่ายรูปสวยๆ ในร้านเยอะมาก มาช่วง Autumn แบบนี้มองออกไปนอกหน้าต่างร้านจะเห็นใบแปะก๊วยสีเหลืองเต็มเลย บรรยากาศดีสุดๆ แนะนำเลยครับ
พิกัด
[Naver Map]
Cafe Alley Forest Entrance
서울 종로구 삼청동
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 1 กม.
วิวจากภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
PLOP Pizza
ร้านพิซซ่าใน Bukchon Hanok Village ที่ออกแบบร้านได้สวย และพิซซ่าก็อร่อยมาก! เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญเพราะเป็นทางผ่านไปคาเฟ่ เมนูหลักของร้านคือพิซซ่าหลากหลายหน้า มีขนาดเล็กและใหญ่ สามารถสั่งแบบ Half ได้ เราจึงจัดพิซซ่าถาดใหญ่หน้าบูลโกกิ แบ่งครึ่งกับเปเปอโรนี อร่อย เครื่องแน่น ชีสจัดเต็ม ส่วนไก่ทอดกินคู่กับน้ำจิ้มหวานๆ คือดี! แนะนำให้แวะไปลอง และถ้าจะให้ดีควรไปตั้งแต่ร้านเปิด เพราะช่วงเที่ยงคิวยาวมาก
พิกัด
[Naver Map]
Peullop Anguk
서울 종로구 북촌로2길 5
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
พิซซ่าบูลโกกิกับไก่ทอดคือต้องสั่ง
บริเวณหน้าร้าน
Wynyard 성수
ปักหมุดไว้เป็นร้านแรกเลยว่าต้องมา ร้านสวย เท่ บรรยากาศดูแพงมาก แต่ที่ชอบสุดคือการเสิร์ฟกาแฟนี่แหละ เพราะทางร้านจะให้เราเลือกเมล็ดกาแฟ (espresso ก็จะมีเมล็ดชุดนึงให้เลือก ถ้าเป็น filter ก็จะมีอีกชุดนึง) ส่วนตอนมาเสิร์ฟ จะมาพร้อมโปสการ์ดที่บอกรายละเอียดของกาแฟที่เราเลือก โปรการ์ดก็สวยมากด้วย แนะนำว่ามาแถวซองซูแล้วเตรียมท้องมาให้ว่าง คาเฟ่เก๋ๆ เยอะมากจริง
พิกัด
[Naver Map]
Winyadeu Seongsu
서울 성동구 연무장길 8-1
การเดินทาง : Subway สถานี Ttukseom (Exit 5) เดินต่ออีกประมาณ 500 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้
บรรยากาศภายในร้าน
ประทับใจการเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มของที่นี่มาก
Sayoo
คาเฟ่วิวตึกอิฐแดงที่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศ ที่เป็นกระแสในเหล่า Cafehopper เกาหลีอยู่ช่วงหนึ่ง ทำเลของร้านตั้งอยู่แถว Itaewon ภายในตึก 5 ชั้น เป็นส่วนของคาเฟ่ทั้งตึกเลย ชั้นล่างจะเป็นโซน coffee bar สามารถสั่งเครื่องดื่มและขนมได้ที่นี่ ส่วนชั้นอื่นๆ จะเป็นที่นั่ง ลักษณะกึ่ง co-working space และมีชั้น 5 เป็น Rooftop ที่วิวดีมาก ร้านตกแต่งสวย แต่ละชั้นก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันไป ในส่วนของกาแฟก็มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ จะสั่งเป็น Espresso หรือ slow bar ก็ดี รวมถึงเบเกอรี่หน้าตาน่าทานหลายเมนู เป็นอีกคาเฟ่ที่ไม่ควรพลาดครับ
พิกัด
[Naver Map]
Sayoo
서울 용산구 이태원로54길 5
การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 300 เมตร
บรรยากาศภายในชั้น 1 ของร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศบริเวณชั้น 3 ของร้าน
หน้าร้าน
Milestone Coffee Roasters (Hannam branch)
คาเฟ่ชื่อดังอีกร้านในโซล ที่หลายๆ รีวิวบอกว่าต้องมาชิมบราวนี่ของร้านให้ได้สักครั้ง ร้านอยู่ไม่ไกลจากร้าน Sayoo ตัวร้านตกแต่งสวยงาม โดดเด่นตั้งแต่หน้าร้าน ภายในบรรยากาศดี แต่เป็นอีกคาเฟ่ที่ป๊อบมากเพราะมีคนเข้ามาซื้อกาแฟกันตลอดเวลา ส่วนบราวนี่ก็ดีงามสมราคาคุย ถ้าได้แวะมาอย่าลืมสั่งนะ
พิกัด
[Naver Map]
Milestone Coffee Hannam Branch
서울 용산구 한남대로27가길 26 1층
การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 400 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
หน้าตาบราวนี่แสนอร่อย เมนูเด่นของร้าน
บริเวณหน้าร้าน
% Arabica (Starfield Library Branch)
ปิดท้ายกันที่ %Arabica คาเฟ่ยอดนิยมจากญี่ปุ่น ที่พูดชื่อไปหลายๆ คนก็รู้จักอย่างแน่นอน กับสาขาล่าสุดในโซล ซึ่งมาเปิดที่ Starfield Library ห้องสมุดสุดฮิตของเหล่า Influenzer ที่ใครแวะมาเกาหลีจะต้องมาถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่ให้ได้ สำหรับความพิเศษของสาขานี้คือการออกแบบ ซึ่งภายนอกตัวอาคารดูล้ำมาก แต่ด้านในก็ยังคงความ minimal และมีส่วนของบาร์กาแฟ รวมถึงโซนคั่วกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และที่สำคัญคือทำเลที่อยู่ติดกับห้องสมุดเลย แวะถ่ายรูปเสร็จ ก็แวะมาดื่มกาแฟ พักเหนื่อยกันต่อได้ที่นี่เลยครับ
พิกัด
[Naver Map]
% ARABICA Starfield Coex Mall Branch
서울 강남구 영동대로 513 스타필드 코엑스몰 별마당도서관 1층
การเดินทาง : Subway สถานี Samseong (Exit 6) ติดกับ Starfield Library
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
สามารถเดินเข้ามาจากทางห้องสมุดได้เลย
Chiang Mai 2022 : update ที่พักและคาเฟ่ใหม่ๆ กันหน่อย
หากเรามีวันหยุดสัก 2 - 3 วัน เชียงใหม่มักจะเป็นจุดหมายแรกที่เรานึกถึง เพราะไม่ว่าจะไปเชียงใหม่เมื่อไรก็ตาม จะมีร้านอาหาร คาเฟ่ และที่พักใหม่ๆ ให้เราได้ไปสำรวจอยู่เสมอ โพสท์นี้เราจะพาไปเที่ยวและอัพเดทคาเฟ่ ร้านอาหาร และที่พักทั้งใหม่และเก่า ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามกัน ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้นดูได้จาก List ด้านล่างนี้เลย
- Cherlock Hotel
- BeansLiquor
- Match Match
- gallery กาแฟดริป เชียงใหม่
- Twenty Mar
- ISSARA Coffee Space
- Vanilla hill by hill lodge
- PLUTO
- Butter & Neighbor
- ALSO cafe
รายละเอียดแต่ละที่ จะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ตามมาอ่านกันต่อในโพสท์ได้เลยครับ
CHERLOCK HOTEL
มาเชียงใหม่ครั้งนี้ เราเลือกที่พักคืนแรกที่ Boutique Hotel สไตล์ Loft อย่าง CHERLOCK HOTEL สิ่งที่สะดุดตาเรามากที่สุด คือ การออกแบบของที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์ ห้องพักออกแบบได้สวยและมีความเป็นส่วนตัว รวมถึงทำเลที่สะดวกสบาย เพราะโรงแรมตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวอย่างนิมมานฯ นั่นเอง แต่บอกเลยว่าพอหลุดเข้ามาในโซนโรงแรมแล้ว บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่น ต้นไม้เยอะ เหมือนออกมาอยู่แถวชานเมืองมากกว่า
บริเวณ Lobby ของโรงแรม
ห้องพักของที่นี่จะมีทั้งหมด 3 Room type ได้แก่ Superior room (ห้องเริ่มต้น) , Deluxe room และ ห้องที่เราเลือกมาพักครั้งนี้อย่างห้อง Pool Junior Suite (ราคาเต็ม 4,000 บาท/คืน) ซึ่งเป็นห้องที่ขนาดใหญ่สุด และมีสระว่ายน้ำเล็กๆ ส่วนตัวอยู่ภายในห้องด้วย สำหรับห้องพักของเราตกแต่งสวย ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ความสะอาดใช้ได้ กุญแจห้องพักใช้ระบบ key card แต่น่าเสียดายที่การ Maintainance ยังไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้โรงแรมดูเก่าไปกว่าตอนแรกที่เปิดไปเยอะเลย (อาจจะเป็นเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงโควิดด้วยนี่แหละ)
นอกจากสระว่ายน้ำเล็กๆ ภายในห้อง (มีจากุชชี่ด้วยนะ แต่ต้องแจ้งพนักงานให้มาช่วยเปิด)
ยังมีสระว่ายน้ำส่วนกลางที่สามารถไปใช้ได้ด้วย อยู่ติดกับ Lobby ของโรงแรม
อาหารเช้าของทางโรงแรมจะเสิร์ฟเป็นเซ็ต มีครัวซองต์ ชา/กาแฟ น้ำผลไม้ และ American brakefast ให้ 1 จาน/คน สามารถเลือกได้ว่าจะทานที่ห้องพักของเราเลย หรือจะมาทานที่ห้องอาหาร (อยู่ที่เดียวกับ Lobby ของโรงแรม) ก็ได้ แนะนำให้แจ้งตั้งแต่วันเข้าพักนะครับ จะได้ไม่ต้องรอนาน
หน้าตาอาหารเช้าของเรา
MOOH
ร้านโดนัทสอดไส้สุด Cute ที่เคยเป็นกระแสฮอตฮิตอยู่ช่วงหนึ่ง ร้านอยู่ติดกับโรงแรม CHERLOCK ที่เราพัก เลยถือโอกาสแวะมาซื้อโดนัทและถ่ายรูปตอนคนยังโล่งๆ สักหน่อย รส CREME BRULEE กับอันที่เป็นไส้ Strawberry สองอันนี้อร่อยมาก แนะนำว่าต้องลองครับ
BeansLiquor
คาเฟ่และบาร์เปิดใหม่บนถนนศิริมังคลาจารย์ (ฝั่งทางออกถนนห้วยแก้ว) หากมาพักแถวนิมมานก็เดินมาได้ไม่ไกลมากนัก ตัวร้านมีทั้งหมด 3 ชั้น มีที่นั่งเยอะมาก ภายในร้านตกแต่งสไตล์ Minimal Loft ในช่วงกลางวันจะเสิร์ฟกาแฟ เครื่องดื่ม Non-coffee และขนมปัง แต่หลังจาก 6 โมงเย็นร้านจะกลายเป็นบาร์สำหรับมานั่งดื่ม นั่งชิลล์กันได้ยาวๆ จนถึงเที่ยงคืน ด้านหลังร้านมีลานจอดรถกว้างขวาง
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
match match
คาเฟ่ชาเขียวน้องใหม่ในเครือของร้าน Matchappen ที่ให้บรรยากาศเหมือนไปนั่งอยู่ในร้านชาเขียวน่ารักๆ ที่ญี่ปุ่น ร้านตั้งอยู่แถวนิมมานซอย 9 เมนูของทางร้านจะเน้นชาเขียวญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ สามารถเลือกชนิดของชาเขียวได้ เลือกเมนูที่จะดื่ม ไม่ว่าจะเป็น Matcha Latte หรือ ชาเขียวที่ผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆ ตามสูตรที่ทางร้านคิดขึ้นมา บรรยากาศภายในร้านก็อบอุ่น น่ารัก ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
gallery กาแฟดริป เชียงใหม่
หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นชื่อ gallery กาแฟดริป คาเฟ่ที่จัดว่าเป็น Specialty coffee อีกร้านหนึ่งในกรุงเทพ ที่ตั้งอยู่ที่หอศิลป์ฯ ตรงแยกปทุมวัน จากหอศิลป์กรุงเทพ มาเปิดสาขาเพิ่มที่หอศิลป์เชียงใหม่ เอกลักษณ์ที่ยังคงเหมือนกันคือการเสิร์ฟกาแฟดริป หรือ slow bar ที่มีเมล็ดหลากหลายแบบให้เลือกกันตามความชอบ เหมาะกับคนที่จริงจังเรื่องกาแฟ และอยากดื่มกาแฟดีๆ สักแก้ว รับรองว่าแวะมาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน
บรรยากาศภายในร้าน
Twenty Mar
คาเฟ่เปิดใหม่ในย่านสามกษัตริย์ ที่ภายในร้านออกแบบได้สวยและเท่มาก ร้านตั้งอยู่ในตึกแถวที่ดูจากหน้าร้านแล้วอาจจะดูเล็กไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วสามารถเดินลึกเข้าไปด้านใน และมีโซนที่นั่งมากมายอยู่ภายในร้าน บรรยากาศภายในร้านชิลมาก มีเพลงเปิดคลอ พร้อมจิบกาแฟไปด้วย ส่วนใครไม่ดื่มกาแฟเราขอแนะนำชาไทยของทางร้าน อร่อยมาก หวานกำลังดี เป็นอีกร้านที่แนะนำให้มาลองครับ
ถ้าใครขับรถมาอาจจะหาที่จอดรถยากนิดนึง และต้องสังเกตป้าย วันคี่-วันคู่ด้วย เพราะนี่ก็วนหาที่จอดอยู่สองรอบกว่าจะได้
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
ISSARA Coffee Space
ช่วงบ่ายเราเดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปพักที่หางดง ก่อนเดินทางเข้าที่พักก็แวะหากาแฟดีๆ สำหรับช่วงบ่ายสักแก้วกันที่ร้าน ISSARA Coffee Space เดิมทีร้านตั้งอยู่ที่ตลาดแม่เหียะ แต่ตอนนี้เขาย้ายร้านมาอยู่ที่ถนนราชพฤกษ์ ในเขตอำเภอหางดง ภายในร้านมีที่นั่งทั้ง indoor และ outdoor จุดเด่นจะอยู่ตรงส่วนของ indoor ที่มีบาร์ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางร้าน และการใช้สีตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึก cozy ดูสวยเก๋และถ่ายรูปดีมาก ยิ่งช่วงบ่ายที่แสงส่องผ่านกระจกหน้าร้านเข้ามายิ่งดีสุดๆ
เมนูของทางร้านมีทั้ง Coffee และ Non-coffee กาแฟมีเมล็ดให้เลือกอยู่ 2-3 ชนิด ราคาก็จะแตกต่างกันไปนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าราคาถูกกว่าคาเฟ่ในเมืองหลายๆ ร้านเลยแหละ แถมยังรสชาติดีมากด้วย ใครจะไปเที่ยวหางดงลองแวะมาชิมกันได้ ด้านหน้าร้านมีที่จอดรถได้ประมาณ 4-5 คัน
บรรยากาศภายในร้าน
Vanilla hill by hill lodge
โจทย์ในการหาที่พักนอกเมืองของเราในครั้งนี้ คืออยากได้ที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พักได้หลายคน และถ้าแบ่งห้องเป็นสัดส่วนได้ก็จะดี เดินทางไม่ลำบากเพราะช่วงที่เราไปคือฤดูฝน และที่สำคัญคือราคาต้องไม่แรงจนเกินไป สุดท้าย Vanilla hill by hill lodge ก็ตอบโจทย์ทั้งหมดที่ว่ามา เพราะใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชม. ถนนก็ค่อนข้างดีถึงแม้จะเป็นถนนสองเลนที่ต้องขับขึ้นเขา ลักษณะของที่พักซึ่งเป็นบ้านสวยกลางป่า มีหลากหลายขนาดให้ได้เลือกจอง และมีความเป็นส่วนตัวสูงเพราะมีบ้านพักเพียงแค่ 6 หลังเท่านั้น ข้อควรระวังอย่างนึงคือที่พักต้องเดินขึ้นบันได้สูงหลายขั้น อาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุเท่าไรนัก
"บ้านราตรี" วิลล่า 1 ห้องนอนที่เป็นห้อง Signature ของที่นี่
วิลล่าของเรา คือ บ้านบุญนาค เป็นวิลล่า 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่บ้านพักทั้งหมด 110 ตร.ม. สามารถเข้าพักได้มากสุด 7 คน (เตียงเสริม 1 เตียง) บอกเลยว่าที่นี่ตอบโจทย์สายครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันได้เป็นอย่างดี ภายในบ้านแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชมวิว รับลม ดูดาวตอนกลางคืนได้ และมีห้อง Master bedroom ที่มีห้องน้ำซึ่งมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย 1 ห้อง และห้องนอนเล็กที่มีห้องน้ำในตัวทั้งคู่อีก 2 ห้อง ในราคาพันบาทนิดๆ ต่อคนเท่านั้น (รวมอาหารเช้าแล้วนะ) ซึ่งอาหารเช้าทางโรงแรมจะมีใบให้เลือกตั้งแต่ check-in สามารถเลือก main dish ได้ 1 จาน ระหว่าง ABF กับข้าวต้มเครื่อง และมีชอยส์อื่นๆ เพิ่มเติมทั้งขนมปัง ครัวซองต์ ผลไม้ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ต่างๆ
บรรยากาศภายในวิลล่า
บรรยากาศภายในห้องนอนเล็ก
บรรยากาศภายในวิลล่า
Pluto
เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งที่การออกแบบชนะเลิศ โดดเด่นตั้งแต่อาคารทรงกระบอกสีดำขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ พอเข้าไปด้านในก็เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง Pluto เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งในเชียงใหม่ที่ป๊อบมาก คนเยอะตลอดเวลา ซึ่งจุดเด่นของที่นี่นอกจากการออกแบบที่ใส่ใจในทุก Detail แล้ว เมนูเครื่องดื่มและอาหารของทางร้านก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เครื่องดื่มเมนูหลักก็จะเป็นพวกกาแฟ และเมนู Signature ต่างๆ ที่ทางร้านคิดค้นขึ้น โดยส่วนตัวขอแนะนำ ma:ki ma:ki เป็นกาแฟ Latte ที่รองพื้นด้วยแยมสตอเบอรี่ ท็อปด้วยครีมชีสด้านบน เวลาดื่มแนะนำให้ดื่มแบบจิบดูก่อน เพื่อสัมผัสกับรสชาติของครีมชีสและกาแฟ หลังจากนั้นค่อย Mix ทั้งหมดเข้าด้วยกัน รสชาติละมุนละไมมากๆ ส่วนเมนูอาหารที่ทางร้านเสิร์ฟมีทั้ง Brunch และอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น สามารถมาทานได้ตลอดทั้งวัน
บรรยากาศภายในร้าน
มุม Signature ที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูป
บรรยากาศภายในร้าน
butter & neighbor
หลายคนอาจจะรู้จักร้าน butter & bourbon คาเฟ่ชื่อดังที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งตอนนี้เขาได้ขยายสาขามาที่เชียงใหม่ในชื่อ butter & neighbor โดยยังคุม theme และบรรยากาศของในร้านซึ่งเน้นความ cozy & minimal ได้เช่นเคย สาขานี้จะเน้นเสิร์ฟอาหารเป็นส่วนใหญ่ (แต่ใครจะมาดื่มกาแฟ ทานขนมก็มีให้บริการนะครับ) ซึ่งเมนูอาหารของทางร้านจะเน้นเป็นอาหารจานเดียว และ appetizer โดยจุดเด่นของเมนูจะเน้นฟิวชั่นระหว่างอาหารเหนือ กับอาหารญี่ปุ่น และฝรั่ง แนะนำให้ไปกันหลายๆ คนเพราะจะได้ลองหลากหลายเมนูที่น่ากินทั้งนั้นเลย
ร้านจะตั้งอยู่ในซอยทางเข้ากองบิน 41 ฝั่งสวนดอก มีลานจอดรถบริเวณหน้าร้าน สามารถจอดได้หลายคัน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
มันบดและ toast ของทางร้านซึ่งท็อปด้วยอ่องปู ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ข้าวหน้าสไตล์ญี่ปุ่น
ALSO Cafe
คาเฟ่และบาร์ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตัวร้าน Renovate จากบ้านเก่ามาเป็นสไตล์เกาหลี Minimal สุดๆ สายถ่ายรูปห้ามพลาดเลยนะ
ช่วงกลางวันทางร้านจะเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้ง Coffee และ Non-Coffee รวมถึงเมนูขนมอีกเล็กน้อย ส่วนกลางคืนจะกลายร่างเป็นบาร์นั่งชิลล์ หากใครมีโอกาสมาเที่ยวเชียงใหม่ แนะนำให้ลองแวะมานะครับ
สามารถจอดรถได้ริมถนนบริเวณหน้าร้าน
Fitzroy พาสำรวจย่าน Hipster ใน Melbourne
และประชันความสวยงามของ Interior กันแบบจัดเต็ม เหมือนหลุดออกมาจาก Pinterest
รับรองว่าถูกใจคนรักงานดีไซน์ สายคาเฟ่ สายถ่ายรูป รวมถึงสายช็อปได้อย่างแน่นอน
รีวิวนี้เราเลยจะพาเพื่อนๆ ไปเดินเล่นชมเมือง หาคาเฟ่สวยๆ นั่งจิบกาแฟ และปิดท้ายด้วย Exhibition ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
ส่วนกาแฟ ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เจอร้านไหนกาแฟไม่อร่อยเลยอะ
ACOFFEE
คาเฟ่ชื่อดังอีกร้าน ที่เราเคยเห็นรูปในนิตยสาร Online ที่เกี่ยวกับงานดีไซน์
และเพิ่งรู้ว่าเขามีสาขาที่เกาหลีด้วย
สำหรับสาขาที่ Fitzroy จะเป็นทั้งคาเฟ่และโรงคั่ว
เมนูต่างๆ ในร้านจะเป็นเมนูกาแฟ และเบเกอรี่ มีพวกอุปกรณ์ทำกาแฟ และเมล็ดกาแฟวางขายด้วยเช่นกัน
ร้านค้าต่างๆ ทั้งแบรนด์ต่างประเทศ และแบรนด์ Local ของออสเตรเลียเอง (ซึ่งราคาก็แรงพอตัว)
อย่างที่นี่คือช็อป FREITAG ซึ่งดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศพื้นที่โดยรอบ
ข้างในใส่แล้วนุ่มสบายดีเลย มีสีให้เลือกหลากหลายด้วย
อีกร้านที่แนะนำสำหรับสาวๆ คือ ASSEMBLY LABEL
เมนูนั้นก็คือ...กาแฟใส่ไข่มุก นั่นเอง
เป็นกาแฟ ผสมกับนม (เลือกนมได้ มีหลายประเภทให้เลือก แต่เราเอาแบบ Original ตามสูตรร้าน)
และมีไข่มุกกาแฟเม็ดเล็กๆ อยู่ด้านล่าง ดูดขึ้นมาแล้วเขียวหนึบหนับเขากันดี เพลินและอร่อยเกินคาดนะ ว่าไม่ได้
อีกเมนูที่เราชอบ คือ Fitzroy iced เป็น Cold brew ผสมกับนม และ Syrup สูตรพิเศษของทางร้าน
Ima Project Cafe
เราจะมาแวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่กำลังป๊อบสุดๆ ร้านหนึ่งใน Melbourne นั่นคือ Ima Project Cafe
เราไปเจอ website หนึ่งแนะนำร้านนี้โดยบังเอิญ และเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจาก Fitzroy เท่าไรนัก
เรามาที่นี่เพราะอยากทานอาหาร Set Menu นี่แหละ ซึ่งเมนูที่เราเลือกก็คือ
Today's Teishoku หรือเมนูประจำวันนั่นเอง
"ไก่ทอดซอสนัมบัง"อาจจะดูไม่แปลก ยาโยอิก็มีขาย
แต่บอกเลยว่าวัตถุดิบเขาดีมาก รสชาติซอสคือดี ซุปมิโสะคือปัง
และที่ชอบมาก คือ สลัด เพราะเขาใช้ผักสลัด + แผ่นสาหร่ายทอดกรอบ และมีข้าวพองกรอบๆ โรยด้านบน ทานคู่กับสลัดน้ำใสรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีมาก
เป็นอีกร้านที่แนะนำเลยนะ ว่าต้องมาลอง!
(ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปภายในร้านมาให้ดู เพราะคนเต็มร้านเลย)
จุดประสงค์ในการมาที่นี่ ก็เพื่อเข้าชมนิทรรศการ "Tyama: A multisensory experience of nature" เป็นงาน Interactive digital art ที่น่าสนใจและจัดขึ้นในช่วงที่เราไปเที่ยวพอดี
ค่าเข้าชม (เฉพาะงาน) 30 AUD
อาจจะดูแพงไปนิด แต่เข้าไปเดินชม เดินถ่ายรูปก็ดีอยู่น้า
บางห้อง จะต้องปรบมือดังๆ เพื่อให้เกิดงานศิลปะขึ้น บางห้องอาจจะต้องใช้การเคลื่อนไหว
และห้องในรูปนี้ก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน
Bangkok Cafe Guide 2021 : พาไปฮอป 16 คาเฟ่ใหม่ในกรุงเทพฯ
Bangkok Cafe Guide 2021
สวัสดีปีใหม่ เพื่อนๆ ที่ติดตามเพจ ThirtyWander ทุกๆ คนนะครับ
วันนี้เรามี 16 คาเฟ่เปิดใหม่ในกรุงเทพ มาอัพเดทให้เพื่อนๆ ได้ไปตามรอยกันครับ รับรองว่าทุกร้านที่มาแนะนำ ทั้งถ่ายรูปสวย และกาแฟดีแน่นอน แม้ว่าสถานการณ์ Covid ช่วงนี้ อาจจะดูคลี่คลายลงไปได้บ้าง แต่ออกไป Cafehopping ก็อย่าลืมป้องกันตัวเองด้วยการใส่ Mask และ keep social distancing กันด้วยนะครับ
ส่วนจะมีร้านไหนน่าสนใจบ้างนั้น ตามมาอ่านกันได้เลยครับ
Nosleep Bkk
คาเฟ่ Minimal เปิดใหม่ ตัวร้านเป็นห้องเล็กๆ อยู่ริมถนนในซอยสุคนธสวัสดิ์ 23 (ใกล้เลียบด่วนรามอินทรา) ร้านนี้มีทั้งกาแฟ และ Brunch รวมถึงพวก Tart หน้าตาน่ารัก และราคาไม่แพง เราลองสั่ง Dirty มาชิม (ราคา 75 บาท) กาแฟรสชาติดีทีเดียว
เราชอบการออกแบบของร้านที่แม้จะมีขนาดไม่ได้ใหญ่นัก แต่แต่งออกมาได้สวยงามลงตัว ใช้โทนสีขาวเป็นหลักตัดกับสีน้ำตาลของไม้ที่เป็นวัสดุหลักของเฟอร์นิเจอร์ภายในร้าน มุมที่ต้องมาถ่ายรูป คือ ประตูโค้งที่มองเห็นโต๊ะเล็กๆ และโคมไฟด้านบน แนะนำให้มาช่วงสายๆ แสงจะเข้ามาในร้านดีกว่าช่วงบ่าย
พิกัด : https://g.page/nosleepbkk?share
จอดรถริมถนนบริเวณหน้าร้าน หรือบริเวณใกล้เคียง
BONCI
คาเฟ่ใหม่สุดในย่านสะพานควาย และกำลัง Pop สุดๆ ตอนนี้ เป็นคาเฟ่ที่ดีไซน์ได้น้อยแต่มากจริงๆ เราชอบที่เค้าใช้ Space ที่มีออกแบบได้อย่างลงตัวและดูเท่สุดๆ ตอนสายแสงอาทิตย์จะส่องผ่านกระจกบานใหญ่เข้ามาในร้าน ทำให้บรรยากาศในร้านสวยงามมากยิ่งขึ้น
เมนูกาแฟที่ทางร้านเสิร์ฟ มี Signature อย่าง bimbom cream (150 บาท) และครัวซองท์หลายรสชาติให้เลือก (เราชอบรสไข่เค็ม อร่อยมาก) ช่วงนี้มีตู้ถ่ายรูปของ Sculpture มาให้ถ่ายรูปกันได้เก๋ๆ (เสียเงินเพิ่มนะ) เป็นร้านใหม่ที่เราแนะนำว่าต้องมาลอง!
พิกัด : https://goo.gl/maps/4Y3u33HZsaMuiUfz7
ร้านอยู่ตรงข้ามกับ Big C สะพานควาย
มีที่จอดรถหลังร้าน (แต่มีค่อนข้างจำกัด) แนะนำให้มา BTS (ลงสถานีสะพานควาย) หรือแท็กซี่จะดีกว่า
KINDLY Coffee Project
ร้านกาแฟไซส์เล็กน่ารัก ตั้งอยู่ในอาคาร Two Pacific Place ใกล้กับโรงแรม Landmark ปกติทางร้านจะมีเมล็ดกาแฟให้เลือก 2-3 อย่าง แต่วันที่เราไปมีเหลืออยู่อย่างเดียว (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็น Kindly House Blend) กาแฟดีงาม ราคาไม่แพง (Iced Americano แก้วละ 90 บาท) แต่ร้านเล็กไปนิด เหมาะกับการ take away มากกว่า
พิกัด : https://g.page/twopacificplace?share
จอดรถภายในตึก One Pacific Tower (สามารถแสตมป์บัตรได้ที่ร้าน จอดฟรี 1 ชม)
หรือลง BTS สถานีนานาแล้วเดินต่อมาประมาณ 50 เมตร
NOC coffee co
คาเฟ่ชื่อดังจากฮ่องกงมาเปิดสาขาแรกในกรุงเทพฯ เป็นอีกร้านที่กาแฟดีมากๆ สำหรับสาขาแรกของประเทศไทย อยู่ในพื้นที่ของ Community แห่งใหม่อย่าง POWWOWWOW BKK ในซอยสุขใจ สุขุมวิท 40 ซึ่งการออกแบบร้านสาขานี้ มีความ Minimal เน้นสีขาว สีเทา และสีน้ำตาลอ่อนของไม้ พื้นที่นั่งส่วนใหญ่เป็น Outdoor เหมาะกับการไปนั่งจิบกาแฟชิลๆ ในช่วงอากาศเย็นๆ แบบนี้เป็นที่สุด
XXXYYY
คาเฟ่และแกลอรีเปิดใหม่ใกล้ BTS แบริ่ง การออกแบบภายในร้านมีความเก๋ ถูกใจวัยรุ่นสุดๆ ร้านเพิ่งเปิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม ที่ผ่านมา โดยบริเวณชั้นลอยของร้านจะจัดเป็นแกลอรีแสดงงานศิลปะให้ได้ชมกันฟรีๆ ส่วนด้านล่างจะเป็นโซนคาเฟ่และ Slow bar มีกาแฟ ขนม และสินค้าดีไซน์สวยๆ ให้ได้เลือกซื้อกลับบ้าน เมนูกาแฟของทางร้านเป็นเมนู basic เราได้ลอง Iced black (ราคา 100 บาท) กาแฟอเมริกาโนเย็น ซึ่งใช้ House blend ของทางร้าน และ Streusel Sour Cream Cake รสชาติหวานน้อย มีกลิ่น Cinnamon หอมอร่อยใช้ได้เลย ใครชอบงานดีไซน์เก๋ๆ ไม่ควรพลาด
พิกัด : https://goo.gl/maps/JVp1TMc6nDyUdbfSA
BTS แบริ่ง ทางออก 4 เดินต่ออีกประมาณ 100 เมตร
จอดรถได้ที่ปั๊มเชลล์ใกล้ๆ ร้าน
Kepler BKK
ใครจะไปคิดว่าคาเฟ่จะมาอยู่ในร้านเดียวกับร้านข้าวแกงใต้ได้ มาที่เดียวอิ่มท้องแล้วมาสั่งกาแฟดื่มต่อได้เลย บอกเลยว่ากาแฟที่นี่ดีงามมากโดยเฉพาะ Signature อย่าง Kepler Flower ที่น้ำผึ้ง ขิง และมะนาว ผสมกันแล้วท็อปด้วย Espresso shot ดื่มแล้วสดชื่น อีกทั้งดีไซน์และเฟอร์นิเจอร์ที่ทางร้านใช้ให้บรรยากาศที่ดูวินเทจ แสงที่ส่องเข้ามาในร้านช่วงบ่ายคือดีมาก ยกให้เป็นร้านข้าวแกงใต้ที่เก๋ที่สุดที่เคยเจอมา ใครแวะมาแถวลาซาล แนะนำว่าต้องมาลอง
พิกัด : https://goo.gl/maps/QAWAc7RJCREAxq9M8
BTS แบริ่ง exit 1 | ลาซาล ซอย 8
มีที่จอดรถชั่วโมงละ 20 บาท อยู่เลยจากร้านไปประมาณ 20 เมตร
F.I.X Pradiphat
F.I.X มาเปิดสาขาใหม่ที่โครงการ Somewhere ในซอยประดิพัทธ์ 17 ในโครงการนี้เข้ามาแล้วบรรยากาศเหมือนอยู่แถว Omotesando เลยแหละ ยิ่งช่วงบ่ายๆ แสงส่องเข้ามาหน้าโครงการยิ่งสวย ภายในร้านมีที่นั่งค่อนข้างจำกัด แต่ด้านหลังร้านมีบาร์นั่ง Outdoor ให้นั่งชิลๆ ได้อยู่ เมนูที่เราชอบและแนะนำให้ลอง คือ ชามะนาว แต่นอกจากเครื่องดื่มก็มีพวกแซนวิชและครัวซองต์ให้สั่งด้วยนะ หรือถ้าใครอยากทานหนักหน่อยร้านใกล้กันมีไก่ทอดขาย อร่อยดี
พิกัด : https://goo.gl/maps/PxppVyuHZKHKLP1e6
ซอยประดิพัทธ์ 17
BTS สะพานควาย แล้วเดินต่อมาประมาณ 500 เมตร
ถ้านำรถมาต้องหาที่จอดภายในซอย หรือจอดริมถนนประดิพัทธ์ (ดูช่วงเวลาให้ดีเพราะมีช่วงที่ห้ามจอดด้วยนะ)
Patina Bangkok
คาเฟ่สวยในบ้านเก่าอย่าง "บ้านเหลียวแล" ใจกลางตลาดน้อย เราเคยเข้ามาที่บ้านนี้ในช่วงงาน Design week กับ Awakening Bangkok ยังเคยคิดเล่นๆ ว่าบ้านสวยแบบนี้ทำไมเขาถึงไม่ทำคาเฟ่นะ จนในที่สุดก็มี Patina Bangkok นี่แหละ ถือว่าเขาจัด Space ภายในบ้านเก่านี้ออกมาได้อย่างสวยงาม และยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่เดิมได้อย่างดี สวยที่สุดในร้ายคือบาร์กาแฟหน้าร้านนี่แหละ ดีไซน์ดีมากทั้งหน้าตาและสีสันที่เลือกใช้ ในส่วนของเครื่องดื่มเราได้ลอง “Thai Derm” โซดาผสม Syrup เสาวรสและใบเตย รสชาติหวานหอมดื่มแล้วสดชื่นดี
พิกัด : https://goo.gl/maps/ooodpJPLD9xuSgLt9
ถนนวานิช 2 ใกล้ศาลเจ้าโรงเกือก ตลาดน้อย
ไม่แนะนำให้นำรถมา เพราะหาที่จอดยาก
La Cabra Bangkok
กาแฟดังจาก Denmark ที่มาเปิดสาขาแรกในย่านเจริญกรุง โดยกาแฟของ La Cabra มีจุดเด่นอยู่ที่การคั่วแบบ Nordic Roasting Style ทำให้โชว์คาแรคเตอร์ของกาแฟออกมาได้ชัดขึ้น ทั้งกลิ่น และรสชาติ ตัวร้านตั้งอยู่ในตึกแถวเก่าติดถนนเจริญกรุง ตกแต่งอย่างเรียบง่าย และยังคงเอกลักษณ์ความเป็นตึกเก่าไว้เป็นอย่างดี เราได้ลองดื่มกาแฟ Pour Over ซึ่งมีเมล็ดให้เลือกหลายแบบหลายราคา รสชาติและกลิ่นก็จะแตกต่างกันไป ถ้าเลือกไม่ถูกให้บาริสต้าช่วยแนะนำได้นะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/NTgPJA88YJ3AYVuV6
ร้านตั้งอยู่ริมถนนเจริญกรุง ระหว่างซอยเจริญกรุง 29 และ 31
แนะนำให้มารถสาธารณะ เพราะหาที่จอดรถค่อนข้างยาก
Coffee Context
คาเฟ่เปิดใหม่ริมคลองบางลำพู ร้านตั้งอยู่ชั้นล่างของ Nappiness Hotel ตกแต่งสไตล์ Minimal บรรยากาศสบายๆ จิบกาแฟไป ชมวิวคลองบางลำพูไปได้ด้วย เมนูของร้านมีทั้งกาแฟและ Non-Coffee ส่วนเมนูที่เราได้ลองคือ Black Yuzu (ราคา 80 บาท) เป็น Espresso shot ผสมกับน้ำส้มยูสุ ดื่มแล้วสดชื่นดี แนะนำให้มาช่วงเช้า เพราะแสงสวยๆ จะส่องเข้ามาในร้านพอดี
พิกัด : https://goo.gl/maps/BJ1jM1NZasLacnGP6
ถนนพระสุเมรุ เดินเข้าซอยมาอีกนิดจะเจอกับ Nappiness Hotel ส่วนคาเฟ่จะอยู่ติดกับคลอง
จอดรถริมถนนพระสุเมรุได้เป็นบางช่วงเวลา แนะนำให้มา Taxi สะดวกสุด
Double Pitcher
คาเฟ่เปิดใหม่ในย่านเมืองเก่า มีพนักงานต้อนรับเป็นน้องแมวน่ารักๆ บรรยากาศภายในร้านอบอุ่น เหมือนมาจิบกาแฟที่บ้านเพื่อน แสงจะเข้าร้านและสวยที่สุดช่วงบ่ายๆ เมนูเด็ดที่ทางร้านแนะนำคือ Homemade Scone เสิร์ฟพร้อมแยมหลากหลายรสชาติ และครัวซองต์ที่ทางร้านทำเอง อบกันแบบสดๆ ในร้าน รวมถึงกาแฟที่มีเมล็ดให้เลือก 2-3 แบบ ราคาไม่แพงด้วยนะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/7CKdhF4yEeNixYQi6
ถนนลูกหลวง ใกล้กับตลาดสะพานขาว
มีที่จอดรถริมถนนหน้าร้าน มีพนักงานกทม. เก็บค่าจอดรถในบางช่วงเวลา
Slōlē Cafe & Garden
คาเฟ่ในสวนสวยใจกลางโชคชัย 4 บรรยากาศเหมือนได้ไปเที่ยวในหมู่บ้านน่ารักๆ ที่อังกฤษ มุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก มีเมนูเครื่องดื่มทั้งชา กาแฟ และขนมที่ทางร้านทำเองหลากหลายเมนูให้ลองสั่งมาชิม นอกจากโซนคาเฟ่แล้ว ทางร้านยังมี Co-working space และ Studio ให้บริการด้วย หากต้องการทราบรายละเอียดสามารถติดต่อกับเพจของทางร้านได้เลย
พิกัด : https://goo.gl/maps/VGZgBUNBzmsdX4Z66
โชคชัย 4 ซอย 52/1
มีที่จอดรถหน้าร้าน
Blacksugar Cafe
ยกเกาหลีมาไว้ที่รามอินทรากันเลยทีเดียว กับคาเฟ่สุดเก๋อย่าง Blacksugar Cafe ภายในร้านเน้นการใช้สีขาว-ดำ ตัดกับปูนเปลือยและเฟอร์นิเจอร์สีเงิน นอกจากคาเฟ่แล้วยังมีเสื้อผ้าสวยๆ ถูกใจสาวๆ ที่ชอบแต่งตัวแน่นอน ส่วนเครื่องดื่มของทางร้านที่เราได้ลองสั่งมาชิม คือ Love me back ( 100 บาท ) เป็น กาแฟผสมอัญชันมะนาวโซดา หน้าตาดูดี ดื่มแล้วสดชื่นดีมาก เตือนไว้ก่อนว่าที่นี่ค่อนข้างป๊อบ มาวันเสาร์อาทิตย์คนอาจจะแน่นร้านได้ แนะนำให้มาเช้าๆ หน่อยจะได้ชิลๆ
พิกัด : https://g.page/blacksugarcafebkk?share
ซอยรามอินทรา 14
มีลานจอดรถอยู่ด้านหลังร้าน
NAMWAN BAKEHOUSE
กระแสครัวซองต์กำลังมา ชาวเลียบด่วนรามอินทราเขาก็มีร้านครัวซองต์คุณภาพดี รสชาติอร่อยอย่าง NAMWAN BAKEHOUSE มาเปิดสาขาใหม่ให้ได้ลิ้มลองเช่นกัน Signature ของร้าน คือ Red Velvet เสียดายที่เราไปเช้าเกิน ทางร้านยังอบไม่เสร็จ เลยได้สั่ง The Rocket (ราคา 135 บาท) ครัวซองต์แฮมชีส ที่ชิ้นใหญ่และชีสแน่นมาก อร่อยดีงามสมราคาจริงๆ ที่สำคัญไม่ต้องต่อคิวแบบร้านอื่นๆ แต่ก็อร่อยไม่แพ้กันนะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/5nZ4icb6SZetFmMu6
ซอยนาคนิวาส 16 (ด้านหลัง Central Eastville)
มีที่จอดรถภายในโครงการ
Maysa
คาเฟ่เปิดใหม่แถวเกษตร-นวมินทร์ สวยตั้งแต่หน้าประตูรั้ว จนถึง Space ภายในร้าน ที่นำตัวบ้านเก่ามาดัดแปลง และ Renovate ออกมาได้อย่างสวยงาม มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะเลย ช่วงที่เราไปยังเป็น Soft opening มีเมนูกาแฟและชาให้เลือกไม่มากนัก เราได้ลอง "Floral Peach" เป็นชาพีชที่หอม และอร่อยมากๆ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็น Outdoor แต่ไปช่วงกลางวันก็ไม่ร้อนมากนักเพราะมีต้นไม้ใหญ่คอยบังแดด
พิกัด : https://goo.gl/maps/pLhFVEkmX2vhgJ7E8
เสนานิเวศน์ 119/1
มีที่จอดรถหน้าร้าน
Rocket Rolls
ปิดท้ายกันที่ร้านขนมโตเกียวสุดคิวท์อย่าง Rocket Rolls ที่นอกจากร้านจะน่ารักแล้ว ขนมโตเกียวของที่นี่ก็อร่อยมากกกกกกก มีไส้ให้เลือกทั้งคาวและหวาน แต่ที่เราชอบมากและอยากแนะนำให้ลอง คือ Lemon Curd และ หมูสับ ไข่ ไส้กรอก ทางร้านใช้วัตถุดิบดี ไส้แน่น กินไป 2-3 ชิ้นนี่ก็จุกแล้ว ในร้านมีที่นั่งไม่เยอะ แนะนำให้ซื้อแบบ Take away จะดีกว่า นอกจากโตเกียวแล้วก็มีกาแฟให้สั่งด้วยนะ ราคาไม่แรง
ร้านอยู่โครงการ U Center สามย่าน ห่างจากสามย่านมิตรทาวน์ 100 เมตร
Chiang Mai in the rain : มาอัพเดทคาเฟ่และที่เที่ยวเก๋ๆ ในเชียงใหม่กัน
ฤดูฝนอันแสนชุ่มฉ่ำของปีนี้กำลังจะผ่านพ้นไป ถูกแทนที่ด้วยลมหนาวที่น่าจะหนาวพอดู
เมื่อเข้าช่วงฤดูหนาวแบบนี้ "เชียงใหม่" ก็คงเป็นจุดหมายของหลายๆ คนที่อยากจะขึ้นไปสัมผัสอากาศหนาวและหาที่ถ่ายรูปสวยๆ ช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา เราได้แวะไปพักใจที่เชียงใหม่มาหลายรอบ เลยอยากจะมาอัพเดทสถานที่เที่ยว โรงแรมน่าพัก และคาเฟ่ที่น่าแวะไปจิบกาแฟ ถ่ายรูปเช็คอินกันซะหน่อย รับรองว่าได้รูปสวย อิ่มท้อง และนอนหรูอยู่สบายในราคาไม่แพงแน่นอน ส่วนจะมีที่ไหนกันบ้าง เข้ามาชมและปักหมุดกันไว้ได้เลยครับ
Cafehopping in Chiang Mai
1. Component Lab
2. Creative On Demand
3. Transit No.8
4. Hubba
5. Groon
6. Orange Badminton
7. SELF
8. Savor
9. Tomato
10. Baan 104
11. Looper Co.
12. อุตสาชงที่บ้าน
13. Fernpresso at Lake
14. Afternoon tea at Four Seasons Resort Chiang Mai
Travel
- อ่างเก็บน้ำห้วยลาน
Stay
1. Syn Boutique
2. K-Maison Boutique Hotel
3. Raya Heritage
Component Lab
บาร์กาแฟสีดำสุดเท่ ที่นอกจากดีไซน์ร้านจะสวยแล้ว เมนูกาแฟที่นี่ก็พิเศษกว่าที่อื่น รับรองได้ว่าถูกใจคนรักกาแฟอย่างแน่นอน เมนูของร้านนี้จะเน้นเป็นพวก Slow bar เป็นหลัก และมี Cold brew ที่นำมาทำเป็นเมนู Mocktail สูตรเฉพาะของทางร้าน ที่เรายกให้เป็น Cold brew ที่อร่อยสุดในเชียงใหม่เลย
พิกัด : https://goo.gl/maps/FDcyhNvUjCh6ZGk36
ร้านอยู่ริมถนนนิมมานฯ บริเวณหน้าปากซอยนิมมาน ซอย 3 ใกล้กับร้าน กูโรตี
กาแฟที่เราสั่ง ชื่อ "Noire" เป็นกาแฟ Cold brew ผสมกับ Rose และ Promegranate ก่อนดื่มจะได้กลิ่นหอมหวานๆ ของกุหลาบ ดื่มแล้วได้รสชาติหวานอมเปรี้ยว ตัดกับรสชาติของกาแฟ Cold brew ได้ดี คนที่ไม่ชอบดื่มกาแฟขมๆ เข้มๆ ดื่มเมนูนี้ได้ง่ายเลย
บริเวณชั้นสองของร้านจะมีห้องมืด ที่ฉายภาพของดวงดาวไปบนผนังห้อง และมีพร็อบเป็นดวงจันทร์ให้เราได้ถ่ายรูปลง IG
ใครมาถึงที่ร้านแล้วไม่ได้มาแวะถ่ายรูปในห้องนี้ ถือว่ายังมาไม่ถึงนะ
Hubba
Hubba คือ การรวมตัวของเกษตรกรปลูกกาแฟ คนคั่วกาแฟ และบาริสต้า ชู Concept หลักของร้านคือ "From farm to cup" เปิดเป็นคาเฟ่ที่ใช้เมล็ดกาแฟของทางร้าน ซึ่งปลูกอยู่ที่ขุนช่างเคี่ยนในจังหวัดเชียงใหม่ และได้รับรางวัลเมล็ดกาแฟแห่งประเทศไทยในปี 2019 มาเสิร์ฟให้ทุกคนได้ลิ้มรสกัน
พิกัด : https://goo.gl/maps/CPqt9vxbZCHGS3dv5
ร้านอยู่ในซอยนิมมานเหมินท์ 13
ภายในร้านตกแต่งสไตล์ Loft เน้นความเรียบง่าย มีบาร์อยู่ตรงกลางร้านและมีที่นั่งไม่มาก เมนูกาแฟของทางร้าน นอกจากเมนู Basic แล้วก็มี Special drink อย่าง Espresso Tonic เป็น Tonic + น้ำส้ม ผสมกับ Shot Espresso รวมถึงกาแฟดริป ที่สามารถเลือกเมล็ดต่างๆ ของทางร้านได้ และมีเมล็ดขายให้ซื้อกลับไปดริปที่บ้านได้ด้วย
Espresso tonic (ราคา 100 บาท) และ Iced Latte (ราคา 80 บาท)
Groon
คาเฟ่ที่เน้น Bakery ซึ่งมีจุดขายหลักคือ ขนมปังที่ทำด้วยยีสต์ที่เลี้ยงตามธรรมชาติ อบขายสดใหม่ทุกวัน บอกเลยว่าขนมปังร้านนี้นุ่มและอร่อยมาก ภายในร้านตกแต่งด้วยสีขาว ตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ ให้บรรยากาศอบอุ่น หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่นขนมปัง วันไหนแดดดีๆ แสงในร้านคือสวยมาก เครื่องดื่มมีทั้งกาแฟ และ Non-coffee เราได้ลองชานมคือดี กินคู่กับขนมปังหรือโดนัทก็เข้ากันสุดๆ
พิกัด : https://g.page/Groon-Cafe-Thailand?share
ถนน ศิริมังคลาจารย์ ซอย 7 อยู่ติดกับร้าน Cheevit Cheeva
บรรยากาศภายในร้าน
Orange Badminton
คาเฟ่และ Airbnb สไตล์ Minimal ที่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่เกาหลี ครั้งนี้เราแวะมาชิมกาแฟในส่วนของคาเฟ่เพียงอย่างเดียว แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากจะลองแวะมานอนพักดูสักคืนสองคืน กาแฟและขนมมีเมนูให้เลือกไม่มากนัก แต่เราอยากแนะนำให้ลองสั่ง glom glom มาลองชิมดู ทานคู่กับกาแฟดำ หรือ Latte ร้อนๆ ก็เข้ากันดีทีเดียว
พิกัด : https://goo.gl/maps/KCxLJ9K3fx5S6scz6
เราชอบการออกแบบเมนูของร้าน น่ารักเข้ากับ Mood & Tone ของร้านมากๆ
Syn Boutique Hotel
มาเที่ยวเชียงใหม่ทั้งที เราก็ต้องหาที่พักสวยๆ ไว้นอนกันสักคืน Syn Boutique Hotel คือโรงแรมที่เราเลือกพักในคืนแรกโรงแรมตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงแรมเชียงใหม่ภูคำ ติดถนนเลียบคลองชลประทาน ขับรถไม่เกิน 5 นาทีก็ถึงนิมมาน เหตุผลที่เราเลือกพักที่นี่ เพราะชอบการออกแบบของโรงแรมที่ดูสวยงามมีสไตล์ ทั้งภายในห้องพักและส่วนกลาง โดยเฉพาะโซนสระว่ายน้ำสีพาสเทลที่ใครมาพักที่นี่ก็ต้องถ่ายรูปมุมนี้แทบทุกคน
พิกัด : https://g.page/SYNhotel?share
บริเวณ Lobby ของโรงแรม บริเวณนี้เปรียบเสมือน Gallery เล็กๆ ที่ตั้งอยู่ภายในโรงแรม
และมีงานศิลปะหมุนเวียนมาจัดแสดงให้แขกที่เขาพักได้ชม
สระว่ายน้ำสีฟ้า ตัดกับ กำแพงสีชมพูพาสเทล เป็นมุมที่ Photogenic มาก
มองย้อนเข้าไปจะเป็นตึกของโรงแรม ออกแบบสไตล์ Minimal ดูเรียบหรู
ห้องที่เราพักในคืนนี้ คือห้อง Stylistic room ซึ่งเป็นห้องพักเริ่มต้นของโรงแรม ขนาดห้อง 31 ตร.ม. สามารถพักได้มากสุด 3 คน ภายในห้องจัดสรรพื้นที่ได้อย่างลงตัว ตกแต่งด้วยสีขาว เทา และเฟอร์นิเจอร์ไม้ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องครบครัน จุดที่เราชอบมาก คือ Sofa bed ที่อยู่ริมหน้าต่าง จะนอนเล่น ดูทีวี หรือนั่งมองวิวนอกหน้าต่างก็ได้ ช่วงนี้ทางโรงแรมลดราคาห้องพักมาเยอะทีเดียว และสามารถใช้ส่วนลดโครงการเราเที่ยวด้วยกันได้ อย่างห้องที่เราพัก ราคา 1,800 บาท/คืน รวมอาหารเช้า (หักส่วนลดแล้ว) และถ้าต้องการเสริมเตียง จ่ายเพิ่ม 1,200 บาท/คน
ห้องน้ำสวยมาก ยังกะหลุดมาจาก Pinterest ส่วนพวก Amenities ที่โรงแรมเลือกใช้กลิ่นหอมมาก
โดยเฉพาะ Lotion หอมจนอยากซื้อกลับไปใช้ที่บ้านเลย
CO CREATIVE ON DEMAND
มาต่อกันที่คาเฟ่เปิดใหม่สุดฮิปอย่าง CO CREATIVE ON DEMAND คาเฟ่ Slowbar ที่สวยเด่นมาตั้งแต่ด้านหน้าร้าน ภายในตกแต่งสไตล์ Minimal + Loft เน้นการใช้สีขาว-เทา-ดำ และมี Counter bar ให้นั่งชม Barista ทำกาแฟให้เราดื่มได้ เมนูกาแฟของที่นี่สามารถเลือกเมล็ดที่เราชอบได้ด้วย ราคาก็จะแตกต่างกันไปตามเมล็ดที่เลือก โซนที่นั่งด้านในคือโซนที่เราชอบที่สุด เพราะจะมี Projector ฉายภาพลงบนผนัง เปลี่ยนรูปแบบไปได้เรื่อยๆ เป็นมุมถ่ายรูปที่เก๋ดี
พิกัด : https://goo.gl/maps/Nbwqu6bU6pm7rvTHA
เมนูแนะนำของทางร้าน คือ Mulan เป็นกาแฟ Dirty ที่ผสมช็อคโกแล็ตเพิ่มเข้าไปทำให้รสชาติหวานมัน เสริมด้วยกลิ่นหอมของช็อคโกแล็ตเข้าไปด้วย เป็นเมนูที่แนะนำว่าต้องลอง
ที่นั่งโซนด้านในของร้าน เป็นมุมถ่ายรูปที่ดีมาก
Transit Number 8
เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งที่ต้องอยู่ในลิสท์ของ Cafehopper หลายๆ คนที่มาเที่ยวเชียงใหม่ กับคาเฟ่ชื่อดัง Transit Number 8 บอกได้เลยว่าที่นี่มีมุมถ่ายรูปเยอะมากๆ เราเคยมาตั้งแต่ร้านเปิดช่วงแรก มาเชียงใหม่ครั้งนี้จึงถือโอกาสแวะมาเยี่ยมชมซะหน่อย เพราะเห็นว่าร้านขยายและเปิดโซนใหม่เพิ่ม ตกแต่งได้บรรยากาศเหมือนไปคาเฟ่ที่เกาหลี ญี่ปุ่นเลยแหละ
พิกัด : https://goo.gl/maps/U2aCGnnmeNKrJKg39
ภายในร้านบริเวณโซนใหม่ สวยมาก แนะนำให้มาวันธรรมดา หรือไม่ก็มาตั้งแต่ร้านเปิด เพราะคนจะได้ไม่เยอะ
ด้านหน้าร้านก็มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะแยะเลยแหละ
Savor Society
คาเฟ่เปิดใหม่ในย่านช้างคลาน ที่บันไดหน้าร้านให้บรรยากาศเหมือนไปคาเฟ่ที่ต่างประเทศ มีเมนูกาแฟเยอะ ทั้งเมนู Basic และกาแฟดริป ราคาเริ่มต้นเพียง 40 บาทต่อแก้วเท่านั้น พนักงานภายในร้านน่ารัก ให้คำแนะนำดี ช่วงนี้คนก็จะเยอะๆ หน่อย
พิกัด : https://g.page/savor-society?share
เราสั่งกาแฟดริปมาลอง มีเมล็ดให้เลือก 3-4 ชนิด
เมนู Non-Coffee อย่างชาต่างๆ ก็มีให้สั่งนะ
SELF
เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งที่เราตั้งใจมากว่าถ้ามาเชียงใหม่รอบนี้ต้องแวะ เพราะนอกจากดีไซน์ของร้านที่ดูยูนีคสุดๆ แล้ว เมนูกาแฟของร้านก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน (เห็นเขาว่าบาริสต้ามีดีกรีแชมป์หลายรายการด้วยนะ) น่าเสียดายที่เราไปช่วงบ่าย เมนู Signature หลายๆ เมนูๆ หมดไปแล้ว แต่ถ้าได้ไปเชียงใหม่อีก ต้องไปซ้ำแน่นอน
พิกัด : https://goo.gl/maps/MfhNz149sZNAWKJw5
เราลองสั่งเมนูเบสิคอย่าง Dirty มาลอง กาแฟดีมวากกกก
TOMATO.cafe.cnx
ช่วงนี้ใครมาเชียงใหม่แล้วไม่แวะ TOMATO ถือว่าผิด ไม่ได้พูดเกินจริงแต่ใน IG เพื่อนเราแทบทุกคนที่มาเชียงใหม่ ต้องได้ลงรูปที่ร้านนี้อย่างน้อย 1 รูป ด้วยความป๊อบของร้านนี้เราก็เลยต้องแวะมาลองสักที เมนูกาแฟของทางร้านมีความครีเอทดี และมีเมนูที่น่าสั่งมาลองหลายเมนูมาก หน้าตาแต่ละเมนูก็สวย น่าถ่ายรูปสุดๆ ถ้าจะมีข้อเสียอย่างเดียวก็คือคนเยอะมากกกกก แนะนำว่ารีบตื่นเช้าแล้วมาตั้งแต่ร้านเปิด จะได้จิบกาแฟ ถ่ายรูปชิลๆ ได้
พิกัด : https://goo.gl/maps/Z9UKQysF6RtmvFbFA
กาแฟหน้าตาดี รสชาติก็ดีไม่แพ้หน้าตา
ใครไม่ได้รูปตรงนี้ ถือว่ามาไม่ถึงนะ
K Maison Boutique Hotel
Minimal style Boutique Hotel ใจกลางเมืองเชียงใหม่ที่บรรยากาศ Private และเงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน โรงแรมตั้งอยู่ในซอยวัดเกตุ มีห้องพักทั้งหมด 19 ห้อง อยู่ภายในตึก 4 ชั้น เราเลือกพักห้อง Classic Corner ราคาช่วงที่เราไปพัก คือ 1,766 บาท/คืน รวมอาหารเช้า (หักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกันแล้ว) ใครชอบถ่ายรูปที่นี่มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลย
ชมรีวิวแบบเต็มๆ ได้ที่ http://www.porsuke.com/2020/10/22/k_maison_chiangmai/
พิกัด : https://g.page/kmaisonlanna?share
ภายในห้องพักตกแต่งด้วยโทนสีขาว / ดำ ตัดกับสีของไม้และสีเบจของผ้าม่าน / ผ้าปูต่างๆ แม้ขนาดห้องจะไม่ได้ใหญ่นัก แต่ก็ให้ความรู้สึกโปร่ง สบาย จุดที่เก๋ของการออกแบบห้องนี้ก็คือต้นไม้ที่อยู่ในห้องกั้นด้วยกระจก ทำให้บรรยากาศในห้องมีความผ่อนคลายมากขึ้นจากสีเขียวของต้นไม้
Loopee Co.
กลางวันเป็นคาเฟ่ กลางคืนเป็นบาร์ ร้านที่รวมทั้งสองอย่างนี้เข้าด้วยกัน ใครชอบดื่มทั้งกาแฟและ Cocktail มาที่นี่ได้ครบจบในที่เดียว เราชอบการออกแบบ บรรยากาศโดยรวมภายในร้าน และเครื่องดื่ม Signature เมนูต่างๆ ที่ทางร้านคิดขึ้นมา ทั้งอร่อยแล้วก็หน้าตาดีมากๆ ด้วย เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งที่ต้องกลับไปซ้ำแน่นอน
พิกัด : https://goo.gl/maps/wnX6i2WxenHCnzsX8
มุมโซฟานี่คือเท่มาก
Baan 104
คาเฟ่ในบ้านเก่า ที่ให้บรรยากาศเหมือนมานั่งจิบกาแฟในบ้านของผู้ใหญ่ที่มีรสนิยมดีๆ สักท่านหนึ่ง เราชอบตั้งแต่การออกแบบและเลือกสีภายนอกของบ้าน แล้วก็การตกแต่งภายในที่ยังคงความวินเทจ แต่ดูไม่เชย แล้วยังดูดีมีรสนิยมมากๆ ที่ห้ามพลาดเลยคือ Earl Grey Cake ที่หมดไวมากๆ ขนาดเราไปก่อนเที่ยงยังได้สั่งมาเป็นชิ้นสุดท้ายพอดี แต่ก็ยังมีเมนูเค้กอื่นๆ ที่น่าลองหลายอย่างเลยนะ อาจจะไม่ใช่คาเฟ่ที่แมสหรือดูวัยรุ่นจ๋าๆ แบบที่หลายๆ คนชอบกัน แต่ที่นี่ดีงามทั้งเครื่องดื่มและขนมจริงๆ แนะนำเลยครับ
พิกัด : https://goo.gl/maps/A5693oe9HtnY1v4g6
บริเวณเคาน์เตอร์สำหรับสั่งกาแฟ ด้านขวามือเป็นตู้ขนม เลือกกันได้ตามสบาย
บรรยากาศภายในร้าน
อ่างเก็บน้ำห้วยลาน
พาออกไปเที่ยวนอกเมืองกันบ้างที่อ่างเก็บน้ำห้วยลาน ตั้งอยู่ในอำเภอสันกำแพง (อยู่ระหว่างทางไปแม่กำปอง) เราได้ไปที่นี่เพราะพี่ที่รู้จักพามาแวะหลังกลับจากแม่กำปอง เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกแห่งหนึ่งของชาวเชียงใหม่ ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ ยังไม่ค่อยรู้จักกัน แนะนำให้มาช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก พกเสื่อกับของกินมานั่งปิคนิค ถ่ายรูป ชมวิวอ่างเก็บน้ำที่มีฉากหลังเป็นภูเขาสวยๆ บรรยากาศดีมากเลยแหละ
พิกัด : https://goo.gl/maps/Xdp2pZ2Gj3ezaHA89
วิวสวยมากกกกกก
อุตสาชงที่บ้าน
คาเฟ่เล็กๆ ริมลำธารที่แม่กำปอง จิบกาแฟในบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียว อากาศบริสุทธิ์และเย็นตลอดทั้งปี เป็นอีกคาเฟ่ที่ต้องแวะถ้าได้มาเที่ยวที่แม่กำปอง
พิกัด : https://goo.gl/maps/AghkCEgWo9PDtmv2A
ไม่สามารถขับรถมาที่ร้านได้ แต่จะมีจุดจอดรถ และมีรถสองแถวรับส่งฟรีระหว่างที่จอดรถกับที่ร้าน
ไม่แนะนำสำหรับคนที่แข้งขาไม่ดี เพราะต้องเดินขึ้นลงบันไดเยอะพอสมควร
บรรยากาศภายในร้าน
Four Seasons Resort Chiang Mai
รีสอร์ทสุดหรูที่ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม เป็น Dream destination ของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติที่อยากจะมาพักที่นี่กันสักครั้ง เราได้ยินชื่อเสียงของ Four Seasons เชียงใหม่มานานและประทับใจกับภาพทุ่งนาและการจัด Landscape ของทางโรงแรมมาก มาเชียงใหม่ครั้งนี้เป็นช่วงที่นาข้าวกำลังเขียวขจีพอดี เลยแวะมาลองจิบชายามบ่ายที่นี่ดูซะหน่อย
พิกัด : https://goo.gl/maps/61kM8828iWrNC89y5
แค่เข้ามาทาน Afternoon tea แต่ก็สามารถเดินถ่ายรูปบริเวณทุ่งนาของโรงแรมได้นะ
แม้ว่าโรงแรมจะเปิดมาหลายปีแล้ว แต่การดูแลรักษาทั้งตัวอาคาร และต้นไม้ต่างๆ ถือว่าทำได้ดีมาก
เห็นแบบนี้แล้วก็อยากจะหาโอกาสมาลองพักดูสักครั้ง
สระว่ายน้ำของโรงแรม
Afternoon tea set ราคา 1,200++ / 2 คน ประกอบไปด้วย Fig Scone และอีกหลายๆ เมนูที่มีส่วนผสมของลูกฟิก รวมทั้งหมด 7 อย่าง และสามารถสั่งเครื่องดื่มได้คนละ 1 แก้ว แนะนำให้โทรมาสอบถามและจองที่นั่งกับทางโรงแรมก่อนนะ โดยส่วนตัวแล้วเราค่อนข้างประทับใจมากๆ กับการบริการของพนักงาน และ Afternoon tea เซ็ทนี้ ดูเหมือนจะไม่เยอะ แต่อิ่มมาก รวมถึงได้เข้ามาชมบรรยากาศของโรงแรมที่หรูหราติดอันดับต้นๆ ของประเทศ คุ้มค่าที่จะลองมาสักครั้งนะ
Raya Heritage
ตั้งแต่มาเที่ยวและพักโรงแรมในเชียงใหม่ ขอยกให้ที่นี่เป็นอันดับต้นๆ ในใจตอนนี้เลย ดีไซน์ของโรงแรมแทบทุกจุดมีความใส่ใจในรายละเอียด ซึ่งตอบโจทย์ทั้งความสวยงามและ Function การคัดสรรสิ่งของและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในห้องพักที่เน้นใช้งานหัตถกรรมท้องถิ่น มาผสมผสานได้อย่างดูดีมีรสนิยม ที่สำคัญคือการบริการของพนักงานในทุกส่วนที่เราได้พบเจอ แทบไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลยจริงๆ เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่แนะนำให้มาลองพักกันดูสักครั้งครับ ยิ่งช่วงนี้สามารถใช้ส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันได้ด้วย ทำให้ราคาโรงแรมถูกลงไปเยอะทีเดียว
หากสนใจตามมาอ่านรีวิวเต็มๆ ได้ที่ http://www.porsuke.com/2020/10/01/raya_heritage/
พิกัด : https://goo.gl/maps/AodTYohfGBeaQjaE9
ห้องพักของเราเป็นห้อง Heun Bon Suite อยู่บนชั้น 3 ของอาคาร ราคา 3,840 บาท/คืน
ตกแต่งสไตล์ล้านนา และมีเพดานสูง ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูโปร่งสบาย และกว้างขวาง
ส่วนใครไม่ได้พักแต่อยากเข้ามาชมบรรยากาศภายในโรงแรม ก็สามารถแวะเข้ามาทาน Afternoon tea กันได้นะ ช่วงนี้ทางโรงแรมมีโปรโมชั่น Afternoon tea set สำหรับ 2 คน ราคา 690 บาท net และยังสามารถใช้ E-Voucher จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันมาเป็นส่วนลดได้อีก 40% ถึงไม่ได้มาเข้าพักที่โรงแรม ก็สามารถแวะมาจิบชา ถ่ายรูปสวยๆ กันได้
fernpresso at Lake
คาเฟ่ที่ตั้งอยู่ในศูนย์เกษตรแม่เหียะ มีที่นั่งทั้งส่วนที่เป็นห้องแอร์ภายในร้าน และ Outdoor ที่สามารถมานั่งชมวิวสวยๆ แบบนี้ได้ แนะนำให้มาช่วงเย็นๆ บรรยากาศจะดีมาก สั่งชาหรือกาแฟสักแก้ว มานั่งรับลมเย็นๆ มันช่างดีเหลือเกิน
พิกัด : https://goo.gl/maps/RukJD7166vtAUtaw5
และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของคาเฟ่ และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจภายในเชียงใหม่ที่เราได้มาอัพเดทให้ได้อ่านกัน หวังว่าเพื่อนๆ จะพอได้ไอเดียและมีร้านที่ถูกใจสำหรับทริปเชียงใหม่ครั้งต่อไปกันบ้างนะครับ บอกเลยว่าไปเชียงใหม่ครั้งเดียวไม่เคยพอ แล้วรีวิวต่อไปจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก อย่าลืมคอยติดตามเพจ ThirtyWander กันด้วยนะครับ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านและติดตามกันอยู่เสมอครับ
Starbucks Reserve Roastery Nakameguro : Starbucks สาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใจกลางกรุงโตเกียว
คงไม่มีใครไม่รู้จักร้านกาแฟชื่อดังอย่าง "Starbucks" ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกันที่มีสาขามากมายทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
หลายคน (รวมถึงเราด้วย) ก็เป็นแฟนคลับของแบรนด์นี้อย่างเหนียวแน่น ด้วยคุณภาพของกาแฟ และรสชาติที่มีมาตรฐาน
ทำให้เวลาไปเที่ยวต่างประเทศก็อดไม่ได้ที่จะต้องหาร้าน Starbucks ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นในแต่ละเมือง
เพื่อเข้าไปสัมผัสบรรยากาศ และลิ้มลองเมนูพิเศษของแต่ละประเทศในช่วงเวลานั้นๆ
เมื่อปีก่อนเราได้พาไปชมร้าน Starbucks Reserve Roastery ที่ (เคย) เป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
ซึ่งสาขาที่เซี่ยงไฮ้จัดเป็นสาขาแรกของเอเชีย และเป็นเป็นสาขาที่ 2 ของ Starbucks Reserve Roastery ทั่วโลก
มีขนาดใหญ่กว่าสาขาแรกที่เมืองซีแอตเทิลถึง 2 เท่า และจัดว่าเป็นร้าน Starbucks ที่สวยที่สุดในโลกอีกด้วย
จากร้าน Starbucks Reserve Roastery ทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ ซีแอตเทิล, นิวยอร์ก, เซี่ยงไฮ้ และมิลาน
(หากใครอยากชมรายละเอียด ดูจากรีวิวนี้ได้เลยครับ http://www.porsuke.com/2018/12/24/shanghaicafeguide/ )
เมื่อต้นปี 2019 ที่ผ่านมานี้ ทาง Starbucks ได้ทำการเปิด Starbucks Reserve Roastery สาขาที่ 5 ในย่านสุดฮิปอย่าง Nakameguro ใจกลางกรุง Tokyo ซึ่งถือเป็น Starbucks Reserve Roastery สาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลกแทนที่แชมป์เก่าอย่างสาขาเซี่ยงไฮ้ มีพื้นที่ 4 ชั้น รวมทั้งหมด 32,000 ตารางฟุต สามารถผลิตกาแฟได้มากถึง 750 ตันต่อปี โดยสาขานี้ออกแบบโดย Kengo Kuma ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากการออกแบบร้าน Starbucks สาขาในเมือง Fukuoka โดยผู้ออกแบบได้รับแรงบันดาลใจจากต้นซากุระ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของญี่ปุ่น และเหมาะกับย่าน Nakameguro ซึ่งเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมในเมือง Tokyo
ทั้ง 4 ชั้นในร้าน Starbucks Reserve Roastery Nakameguro ประกอบไปด้วย
ชั้นที่ 1 : STARBUCKS RESERVE (ขายกาแฟและ Bakery)
ชั้นที่ 2 : TEAVANA
ชั้นที่ 3 : ARRIVIAMO BAR
ชั้นที่ 4 : AMU INSPIRATION LOUNGE
ในแต่ละชั้นจะมีความพิเศษอย่างไรบ้าง กดเข้าไปอ่านรายละเอียดตามรูปได้เลยครับ
การเดินทาง : Tokyo Metro - Tokyu Toyoko Line ลงสถานี Nakameguro ออกทาง Exit 1 เดินเลียบคลอง Meguro ไปประมาณ 700 เมตร
เวลาเปิดทำการ : 7:00-23:00 น. ทุกวัน
บริเวณด้านหน้าร้าน สาขานี้ใช้การตกแต่งด้วยไม้เป็นหลัก ให้บรรยากาศทั้งด้านนอกและด้านในที่ดูอบอุ่น
เข้ามาเป็นส่วนของชั้นที่ 1 จะพบกับโซนกาแฟ เป็น Bar ขนาดใหญ่ เพดานสูง ด้านข้างเป็นกระจกใสบานใหญ่
ให้ความรู้สึกโปร่ง สบายๆ เหมาะแก่การนั่งจิบกาแฟ
มีที่นั่งรอบบาร์ให้เราได้นั่งชมบาริสต้า drip กาแฟได้อย่างใกล้ชิด
ด้านหลังบาร์เป็นเครื่องคั่วกาแฟขนาดใหญ่ ที่สูงถึง 17 เมตร มีท่อส่งเมล็ดกาแฟที่คั่วเสร็จแล้วไปยังจุดต่างๆ ของร้านด้วย
เดินเข้าร้าน ทางด้านขวาจะเป็นโซนขายของที่ระลึกรวมถึงเมล็ดกาแฟชนิดต่างๆ
Exclusive เฉพาะสาขานี้เท่านั้น
ด้านในสุดก่อนเดินขึ้นชั้น 2 จะเป็นโซนขายพวก Bakery อบกันสดๆ ใหม่ๆ
ส่งตรงมาจากร้าน "Princi" ร้าน Bakery ชื่อดังจากมิลาน ประเทศอิตาลี
ชั้น 2 เป็นโซน TEAVANA ใครรักการดื่มชา และอยากลิ้มลองรสชาติชาใหม่ๆ แนะนำอย่างยิ่งครับ
ชั้น 2 นี้เป็นโซนเล็กๆ มีโต๊ะนั่งประมาณ 4-5 โต๊ะ และสามารถนั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ได้
มีเมนูชาพิเศษของที่นี่ให้ได้ลองชิมก่อนสั่งด้วย
ชา Strawberry Mint Oolong ที่ทางร้านให้ลองชิม อร่อยมากๆ
อีกมุมหนึ่งของชั้น 2 จะมีใบชาขาย ให้กลับไปชงที่บ้านได้
มาต่อกันที่ชั้น 3 ความพิเศษของชั้นนี้คือการนำกาแฟ มาผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (และ Non-alcohol)
มีหลากหลายเมนูให้ได้ลองสั่งมาชิมกัน
ด้านนอกของชั้น 3 มีระเบียงให้ได้นั่งชมวิวริมคลอง Meguro
ถ้าได้มาช่วงฤดูใบไม้ผลิบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยดอกซากุระ คงสวยงามเหมาะแก่การมาถ่ายรูปมากแน่ๆ
Arriviamo Cocktail Bar
เมนูที่เราได้ลองสั่งมา คือ Espresso Lovers Cherry Cola (ราคา 1,000 เยน)
เป็นเมนูพิเศษเฉพาะของ Starbucks Reserve Roastery เท่านั้น
รสชาติคล้ายกับ Cherry Coke ผสมกับ Espresso Shot แต่มีความนุ่มกว่า และไม่ซ่ามากเหมือนโค้กทั่วไป
ใครดื่มกาแฟไม่เป็นหรือไม่ชอบกาแฟเข้มๆ แก้วนี้ดื่มง่ายมากครับ
ปิดท้ายกันที่ชั้น 4 ชั้นบนสุดของร้านที่ดัดแปลงให้เป็น “โรงงานกาแฟ”
และมีพื้นที่ไว้ให้เป็นโซนสำหรับการเรียนรู้เรื่องกาแฟสำหรับลูกค้าด้วย
มองจากด้านบนจะเห็นว่าเครื่องคั่วกาแฟของที่นี่มันใหญ่มากกกก
และนี่ก็คือทั้งหมดของ Starbucks Reserve Roastery สาขา Nakameguro, Tokyo ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วเราชอบบรรยากาศและเมนูที่หลากหลายมากกว่าสาขาทั่วไป แม้ว่าราคาอาจจะสูงไปนิด แต่เมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้ ก็อยากแนะนำให้ได้แวะมาลองสักครั้ง (แนะนำว่าถ้ามาควรมาแต่เช้านะครับ คนจะได้ไม่เยอะมาก)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านนะครับ แล้วไว้เจอกันใหม่ในรีวิวหน้า...สวัสดีครับ :-)
Bangkok Cafehopping 2019
สวัสดีปีใหม่ 2562
ปีใหม่นี้ก็ขอให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่ติดตามเพจ ThirtyWander มีความสุข สุขภาพแข็งแรง
ร่ำรวยเงินทอง จะได้มีทริปไปเที่ยวในปีใหม่นี้เยอะๆ นะครับ
หยุดปีใหม่แบบนี้แอดมินก็ได้ใช้เวลาในวันหยุดอย่างคุ้มค่า ด้วยการตะลอนๆ อยู่ตามคาเฟ่ในกรุงเทพฯ นี่แหละ
จึงขอเริ่มต้นปี 2019 ด้วย BKK cafe guide กับ 9 คาเฟ่ที่ (ส่วนใหญ่) เพิ่งเปิดใหม่ กาแฟและขนมอร่อย
ที่สำคัญคือสามารถเดินทางไปได้ง่ายด้วยรถไฟฟ้า ไว้เป็นไกด์สำหรับวันหยุดเสาร์อาทิตย์นี้
ให้ได้ไปจิบกาแฟเพลินๆ ถ่ายรูปเช็คอินกันเก๋ๆ ได้
จะมีร้านไหนที่เราแวะไปบ้าง...ตามมาได้เลยครับ
1.høst x AMBER : Zen, Central World ชั้น 1
ร้านกาแฟชื่อดังจากฮ่องกงอย่างร้าน Amber Coffee Brewery ที่มีบาริสต้าดีกรีแชมป์ระดับโลกอย่างคุณ Dawn Chan ได้มาร่วมโปรเจ็คท์เปิดร้าน høst x AMBER ภายในห้าง Zen, Central World โดยในช่วงแรกคุณ Dawn Chan จะมาดูแลเรื่องกาแฟให้ที่ร้านด้วย
ภายในร้านตกแต่งได้สวยงาม เน้นเฟอร์นิเจอร์สีขาวและลายไม้ ให้ความรู้สึกอบอุ่น สบาย และมีแสงแดดส่องเข้ามาทางร้านตลอด
ใครชอบถ่ายรูป มีมุมสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปกันเยอะเชียวแหละ
สำหรับเมนู Signature ของร้านชื่อว่า "Amber" เป็นกาแฟที่มีส่วนผสมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำสัปปะรด ชาอังกฤษ และมีกระบวนการในการชงที่เฉพาะทางมากๆ แต่รอบนี้เรายังไม่ได้สั่งมาลองเพราะอยากลองกาแฟที่เบสิคธรรมดาๆ ดูก่อน จึงสั่ง Iced Latte กับครัวซองท์มาลองชิม กาแฟที่นี่รสชาติดี ครัวซองท์ก็กรอบ อร่อย แต่คนไม่ดื่มกาแฟก็มีช็อคโกแล็ตและชาเขียวให้สั่งมาชิมได้เช่นกัน
การเดินทาง : BTS สถานีชิดลม หรือสยาม และเดินมาที่ Central World ชั้น 1 ฝั่ง Zen ร้านอยู่ฝั่งถนนพระราม 1
2. CPS Coffee : Central World ชั้น 2
Cafe ของแบรนด์ CPS CHAPS ที่เปิดเป็นบาร์หินอ่นสีดำตัดกับสีทองดูหรูและเท่ห์อยู่หน้าร้าน CPS
แม้ว่า CPS CHAPS จะเป็นแบรนด์เสื้อผ้า แต่พอลงมาทำ Cafe แล้วก็มีความพิถีพิถันกับทุกเมนูที่คิดและเลือกวัตถุดิบอย่างดีมาใช้ ทำให้เมนูหลายๆ เมนูของที่นี่ดูแตกต่างและน่าสนใจ
เดินช็อปในร้านแล้ว มานั่งพักจิบกาแฟต่อที่ด้านหน้าร้านได้เลย
เมนูที่เราได้ลองวันนั้น คือ White tea lemonade เป็นชาขาวที่เบลนด์ด้วยพีชและลาเวนเดอร์ มาผสมกับน้ำเลมอนทำให้ได้ความหอมของชา ผสมกับความเปรี้ยวแบบนุ่มๆ ละมุนลิ้น เพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี หากใครมีโอกาสมาช็อปปิ้งที่ Central World แนะนำให้มาลองชิมกันได้
การเดินทาง : BTS สถานีชิดลม หรือสยาม และเดินมาที่ Central World ชั้น 2 ร้านอยู่ทางฝั่งลิฟท์แก้ว ใกล้กับบันไดเลื่อน
3. Sarnies : ซอยเจริญกรุง 44
คาเฟ่ชื่อดังจากสิงคโปร์ที่มาเปิดอย่างเป็นทางการที่ไทย ในซอยเจริญกรุง 44 จัดว่าเป็นคาเฟ่ที่ป๊อบมากในหมู่ Cafehopping ในตอนนี้ เพราะนอกจากกาแฟที่เป็นหัวใจหลักของร้านแล้ว สถานที่และการตกแต่งภายในร้านก็สวยงาม มีความอนุรักษ์สภาพเก่าๆ เดิมๆ ของตึก ผสมกับกระจกและกระเบื้องที่เพิ่มความโปร่ง และดูสบายตาให้ร้าน ที่สำคัญยังมีเมนู Brunch เสิร์ฟให้ได้ลองทานกันด้วย
เมนู Signature ที่เราได้ลองชิมก็คือ Orange Mocca เป็นกาแฟ Mocca ผสมกับ Syrup รสส้ม ที่ได้ชิมคำแรกก็จะสัมผัสได้ถึงกลิ่นส้มที่หอม และหวานอ่อนๆ ปนไปกับความหอมของเมล็ดกาแฟที่ทางร้านเลือกใช้ บวกกับความเข้มข้มของช็อคโกแลตที่เป็น base ในแก้วนี้ รวมกันได้ความอร่อยแบบนุ่มลิ้นดีงามมาก
อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าร้านนี้กำลังป๊อบมาก ดังนั้นคนจะค่อนข้างเยอะทั้งนักท่องเที่ยวและคนไทย โดยเฉพาะช่วงวันหยุด แนะนำว่าถ้าอยากหากนั่งสบายๆ ถ่ายรูปได้สะดวกหน่อย ควรไปตั้งแต่เช้า เพราะเราไปช่วงบ่ายที่นั่งค่อนข้างเต็ม (ทั้งที่ร้านมี 2 ชั้นแล้วนะ) เพิ่มเติมนิดนึงว่าไปตอนเช้าก็ดี จะได้ลองสั่ง Brunch มาทานกันด้วย เพราะเราตั้งใจว่าต้องไปซ้ำแน่นอน
การเดินทาง : BTS สะพานตากสิน แล้วเดินมาทางโรบินสัน บางรัก เลยไปประมาณ 30 เมตรจะเจอซอยเจริญกรุง 44 เดินเข้าไปในซอยอีกประมาณ 50 เมตรจะเจอร้านอยู่ทางด้านซ้าย
4. Eureka Coffee Tap ช่องนนทรี : BTS ช่องนนทรี
ร้านกาแฟ Nitro ที่เปิดมาหลายสาขาแล้ว ทั้งที่ศาลาแดงซอย 1, ช่องนนทรี, หัวหิน และที่ห้าง Icon Siam ซึ่งสาขาที่เราพาไปในวันนี้คือสาขาช่องนนทรี เพราะเป็นสาขาในเมืองที่เราว่าเดินทางสะดวก นอกจากกาแฟและเครื่องดื่มต่างๆ แล้ว ที่สาขานี้ก็มีอาหารให้สั่งมาทานได้ด้วย
Sakura Yuzu Lemonade เมนูหน้าตาสวยงาม สำหรับคนไม่ดื่มกาแฟ
เมนูขึ้นชื่อของร้านนี้คงหนีไม่พ้นเจ้า Kai Kem Latte เป็นกาแฟลาเต้ที่ผสมด้วยซอสไข่เค็มและท็อปด้วยไข่เค็ม ดูรวมๆ แล้วหน้าตาหน้าดื่มแบบนี้แหละ แต่อีกหลายๆ เมนูโดยเฉพาะเมนู Nitro ทั้งหลาย อย่างครั้งนี้เราได้ลอง Nitro Thai Tea ก็มีความอร่อยและน่าสนใจ เพราะเป็นประสบการณ์ในการดื่มชาไทยในรูปแบบ Nitro ที่จะนุ่มๆ ลิ้น ดื่มง่ายและสดชื่นดี
การเดินทาง : BTS ช่องนนทรี ออกทางออกฝั่งตรงข้ามกับตึกมหานคร เดินย้อนไปทางสีลมประมาณ 20 เมตรจากบันไดสถานี BTS
5.ATM TEA BAR : Central Embassy
สาขาใหม่ของร้านชาไข่มุกขวัญใจเด็กสยาม (อย่างเรา) ที่ยังคงเอกลักษณ์ในการตกแต่งร้านได้คล้ายคึงกันในทุกสาขา หลังจากที่เพิ่งเปิดสาขาใหม่ที่ ICON SIAM คราวนี้ก็กลับมาเปิดสาขาล่าสุดในห้างใหญ่ใจกลางอย่าง Central Embassy ที่โซน Open House ชั้น 6
ตู้ ATM สีชมพูตั้งเด่นเป็นสัญลักษณ์ของร้าน
เมนูเหมือนกับทุกๆ สาขา ราคาก็ใกล้เคียงกัน แต่ได้เปลี่ยนบรรยากาศในการนั่งดื่ม
การเดินทาง : BTS เพลินจิต เดินมาที่ห้าง Central Embassy ร้านอยู่ที่ชั้น 6 โซน Open House
6.KOHI Roastery & Coffee Bar : เอกมัย
คาเฟ่ใหม่ในดงคาเฟ่อย่างเอกมัย ที่มีการตกแต่งร้านสไตล์ Loft และมีความ minimal สไตล์ญี่ปุ่น ที่ร้านมีโรงคั่วอยู่ที่ชั้น 1 ส่วนชั้น 2 จะเป็นส่วนที่นั่ง ทางร้านคัดสรรเมล็ดกาแฟมาอย่างดี และที่ห้ามพลาดคือขนมของทางร้าน อย่าง Chocolate Ganache ซึ่งรสชาติช็อคโกแลตเข้มข้นมากๆ ควรสั่งมากินคู่กับกาแฟเป็นอย่างยิ่ง
การเดินทาง : BTS เอกมัย ต่อ Taxi หรือมอเตอร์ไซค์จากหน้าปากซอยสุขุมวิท 63 ตรงเข้ามาเรื่อยๆ ร้านจะอยู่ทางด้านขวามือก่อนถึง ซอยเอกมัย 14
7.Behind the Bar : BTS หมอชิต
คาเฟ่ขนาดเล็กกะทัดรัด ที่ความจริงจังของกาแฟร้านนี้ไม่ได้เล็กตามขนาดร้านเลย เพราะมีให้เลือกชิมหลากหลาย
และราคาย่อมเยาว์ ส่วนคนที่ไม่ดื่มกาแฟก็มีเมนูชาและขนมให้ได้ลองชิมเช่นกัน
กาแฟดริปก็มี ลาเต้อาร์ทก็สวย
เมนูที่เราสั่งมาชิมเป็นชาอัญชันผสมกับน้ำส้ม Yuzu หน้าตา สีสันก็จะดูสวยงามตามนี้
ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ด้านบน Top ด้วยผิวส้ม Yuzu เปรี้ยวๆ ขมนิดๆ ตัดกับชาได้ดีทีเดียว
การเดินทาง : BTS หมอชิต เดินมาตาม Skywalk ที่ไปทางคอนโด The Line จตุจักร ร้านอยู่เลยคอนโดไปประมาณ 20 เมตร
8.gram cafe & pancakes : สามเสน
ร้านนี้คงไม่ใหม่สำหรับหลายๆ คน (แต่ใหม่สำหรับเรา) ด้วยความที่สาขา Siam Paragon คิวยาวเหยียดตลอดเวลา เราเลยยังไม่ได้ลองชิม Pancake ชื่อดังอย่าง gram ซะที โชคดีที่เขาเปิดสาขาใหม่แถวสามเสน (เข้าซอยข้าง รพ.วิชัยยุทธ) ดูจะมีที่นั่งเยอะกว่าที่พารากอน (และก็มาลำบากกว่าหน่อย) เราเลยถือโอกาสมาลองให้รู้สักทีว่าเป็นยังไง
มีทั้งที่นั่งในร้าน และ Take away ต่อคิวบ้างแต่ไม่นานและโหดร้ายเหมือนที่พารากอนแน่ๆ
จัดไปกับ Premium Pancake นุ่มๆ ดึ๋งๆ สมคำร่ำลือ
การเดินทาง : ถ้ามาทาง BTS ลงสถานีอารีย์ และต่อ Taxi มาที่ รพ.วิชัยยุทธ ร้านอยู่ห่างจาก รพ.วิชัยยุทธประมาณ 200 เมตร
9.Factory Cafe : พญาไท
ร้านไม่ใหม่ และคงไม่ต้องบรรยาสรรพคุณของร้านนี้มาก เพราะกาแฟที่นี่เขาดีจริง เพียงแต่ว่าร้านเขาจะย้ายไปเปิดที่ใหม่วันที่ 11 ม.ค. นี้ ใกล้ๆ กับสถานี Airport Link พญาไท (ซึ่งก็ไม่ได้ไกลจากร้านเดิมมากนัก) เราจึงถือโอกาสแวะมาจิบกาแฟซึมซับบรรยากาศที่ร้านเก่าสักหน่อย
มาทีไรเราก็ชอบมานั่งที่เคาน์เตอร์บาร์ เพราะได้ดู Barista drip กาแฟ บรรยากาศและกลิ่นในร้านมันดีต่อใจคนรักกาแฟมากเลยนะ
ส่วนอันนี้เมนูประจำ "Phayathai" มากี่ทีก็สั่งแต่เมนูนี้ เพราะเป็นกาแฟที่ดื่มง่าย ไม่ขม และสดชื่นจากเลมอนที่เป็นส่วนผสมหนึ่งในแก้วนี้
การเดินทาง : BTS พญาไท ร้านใหม่อยู่ติดกับ Hotel tranz ใกล้บันไดเลื่อนขึ้นสถานี Airport Link พญาไท ไว้ถ้าเขาย้ายร้านไปเมื่อไรเราจะมารีวิวให้ได้อ่านกันอีกที
และนี่ก็คือ 9 คาเฟ่ใหม่ (และเก่าบ้าง) ที่เราอยากจะแนะนำให้ได้แวะไปชิมกาแฟ และถ่ายรูปกันได้สวยๆ
เดือนนี้เรามีแพลนไปเชียงใหม่ ก็รอชมรีวิวคาเฟ่ใหม่ๆ ในเชียงใหม่กันได้เลย สำหรับรีวิวนี้ก็ขอจบเพียงเท่านี้ก่อน
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามอ่านนะครับ
Chiang Mai Cafehopping 2018
"เชียงใหม่เป็นเมืองกาแฟ"
เพราะไม่ว่าจะไปเชียงใหม่กี่ครั้ง ก็มีคาเฟ่ใหม่ๆ ให้ได้แวะเวียนไปชิมและถ่ายรูป check-in ลง social network กันอยู่เรื่อยๆ ไปเท่าไรก็ไม่ครบสักที และเมื่อสัปดาห์ก่อน เราได้ไปเชียงใหม่พร้อมกับ List คาเฟ่ในเชียงใหม่หลายร้าน แต่ด้วยเวลา (และความจุของกระเพาะอาหาร) ที่มีจำกัด จึงได้ไปแค่ 10 ร้าน ที่คัดมาแล้วว่าน่าสนใจและเป็นร้านใหม่ๆ ที่อยากแนะนำให้รู้จักกัน สายทัวร์คาเฟ่และสายดื่มกาแฟ ถ้าพร้อมก็ตามมาเลย!
- Akha Ama Living Factory
เริ่มต้นที่นอกเมืองเชียงใหม่กับร้านกาแฟเปิดใหม่ แต่ชื่อคุ้นเคยอย่าง Akha Ama (อาข่า อาม่า) ที่มาเปิดสาขา 3 ที่ อ.แม่ริม โดยใช้ชื่อว่า Akha Ama Living Factory โดดเด่นตั้งแต่การออกแบบร้านที่ทำเหมือนโรงนา เข้าไปจะพบเคาน์เตอร์บาร์ตั้งเด่นอยู่หน้าร้าน เพดานสูงโปร่ง มีเครื่องคั่วกาแฟบริเวณชั้น 2 ตอนนี้ยังเป็นพื้นที่โล่งอยู่ แต่บาริสต้าบอกว่ากำลังจะมีโต๊ะ เก้าอี้ มาให้ได้นั่งจิบกาแฟสบายๆ (สรุปคือเราไปเร็วเกิน ร้านเขายังทำไม่เสร็จดี)
บริเวณชั้น 2 ของร้าน ยังเป็นพื้นที่โล่งๆ อยู่
ส่วนกาแฟของที่นี่ราคาถูกมากกกกกกก แถมรสชาติก็ดีงาม ถ้าใครไม่ดื่มกาแฟ มีเมนูที่แนะนำให้ลอง ก็คือ Blue Latte ซึ่งเป็นชาอัญชันผสมนมสด หน้าตาก็ดี รสชาติก็ดี ราคาไม่แพง
ร้านเปิดเวลา 9.00 - 17.00 น. (ปิดทุกวันพุธ)
พิกัด : https://goo.gl/maps/2e1DuDykM7B2
*แนะนำให้เช่ารถขับไปสะดวกสุด เพราะร้านไม่ได้อยู่ติดถนนใหญ่ ต้องซอกแซกเข้าไปในหมู่บ้านพอสมควร
2. The Ironwood
ยังคงอยู่ที่ อ.แม่ริม กับคาเฟ่ที่เห็นในรูปครั้งแรก ก็ตั้งใจไว้เลยว่าถ้าได้มาเชียงใหม่จะต้องมาแวะที่นี่ กับร้าน The Ironwood ที่มีบรรยากาศเหมือนนั่งรับประทานอาหารอยู่กลางป่า ทางร้านจัดบริเวณโดยรอบร้านได้สวยงาม โดยเฉพาะ Glass house ซึ่งเป็นเหมือน signature ของทางร้าน ที่ใครได้มาต่างก็ต้องมาถ่ายรูป
บริเวณร้านมีมุมให้ถ่ายรูปสวยๆ หลากหลายแบบ
เมนูแนะนำ "ข้าวคลุกกะปิดอกไม้"
เมนูของทางร้านมีให้เลือกทั้งอาหารหลัก ขนม และกาแฟ ราคาอาหารที่นี่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ ในเชียงใหม่ เมนูอาหารมีให้เลือกไม่หลากหลาย รสชาติกลางๆ ถ้าใครเน้นอยากมาทานอาหารอาจไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าตั้งใจมาหาอะไรทานเล่น จิบกาแฟกับเค้กยามบ่าย ท่ามกลางบรรยากาศร่มรื่นแบบนี้ อย่าลืมแวะที่นี่เชียวล่ะ
ร้านเปิดเวลา 9.00 - 19.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/8DA5fJCzdiJ2
3. Thongma Studio
ร้านกาแฟของศิลปินนักปั้น คุณจำเนียร ทองมา เป็นร้านกาแฟที่สวยงามทั้งด้านนอกและด้านในร้าน ตกแต่งด้วยอิฐ และปูนปั้นรูปทรงต่างๆ ซึ่งเป็นผลงานของเจ้าของร้าน มีเมนูกาแฟ ชา และขนมหลากหลายชนิดให้ได้สั่งมาลองทาน
ร้านเปิดเวลา 10.30 - 18.00 น. (ปิดวันพุธ) อยู่ติดกับร้าน The Ironwood
พิกัด : https://goo.gl/maps/SRHjdCsYZR72
4. Ausaa
อยากเรียกที่นี่ว่า "บ้าน" มากกว่าคาเฟ่ด้วยซ้ำ เพราะถ้า GPS ไม่ได้บอกทาง เราคงไม่รู้ว่าตรงนั้นมีคาเฟ่อยู่ เพราะ Ausaa เป็นคาเฟ่ที่อยู่รวมในรั้วบ้านกับบ้านหลังอื่นๆ ในนั้น เป็นร้านเล็กๆ ที่มีเจ้าของร้านดูแลจัดการทุกสิ่งอย่างคนเดียว ตั้งแต่ทำเครื่องดื่ม ขนม และเสิร์ฟลูกค้า แต่ในความเล็ก และการตกแต่งแบบ minimal ของร้านนี้ ทำให้เราหลงรักได้ไม่ยาก ที่สำคัญ ขนมเค้กของร้านนี้ก็อร่อยมากๆ ราคาก็ไม่แพง
การตกแต่งร้านเรียบง่าย เน้นสีขาวตัดกับสีเฟอร์นิเจอร์ไม้ และของตกแต่งน่ารักๆ
เค้กหน้าตาน่ารัก รสชาติก็อร่อย
ร้านเปิดเวลา 10.00 - 17.00 น. (ปิดวันอังคาร) ร้านอยู่เลยแยกที่จะเลี้ยวไปแม่ริมประมาณ 300 เมตร
พิกัด : https://goo.gl/maps/atSDwpJ6dQ72
กลับเข้าเมืองเชียงใหม่ มาเดินเล่นชิลๆ กันที่นิมมานดีกว่าครับ ตอนนี้มี Community Mall แห่งใหม่ ชื่อ One Nimman อยู่ตรงนิมมานซอย 1 ใครมาเชียงใหม่ช่วงนี้แล้วยังไม่ได้แวะมาถ่ายรูป ก็เหมือนยังมาไม่ถึง แถมบรรยากาศและสถาปัตยกรรมยังเหมือนเดินอยู่ต่างประเทศ (ยกเว้นเรื่องอากาศที่ร้อนแทบไหม้) นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านค้ามากมายให้ได้จับจ่ายกันเพลินๆ
5. Graph Cafe One Nimman
ขอยกให้ร้านนี้เป็นที่ 1 ในใจ เพราะโดยส่วนตัวชอบรสชาติของกาแฟที่นี่ และบรรยากาศโดยรวมของสาขานี้มันดีมากๆ จากเดิมการไป Graph Cafe สาขาแรกค่อนข้างลำบากสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เช่ารถแบบเรา สาขานี้ค่อนข้างตอบโจทย์เพราะอยู่นิมมาน และมีพื้นที่ให้นั่งเยอะกว่าสาขาแรก
เมนูที่เราตั้งใจจะมาลองครั้งนี้ก็คือ Monochrome เป็นกาแฟผสมกับนม และมีรสวานิลลาแทรกอยู่ ซึ่งเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากๆ รสชาตินุ่มๆ และกลบความขมของกาแฟได้ดี โดยเฉพาะคนที่ไม่ชอบดื่มกาแฟเข้มๆ แบบเรา ส่วนคนที่ไม่ดื่มกาแฟก็มีชาเขียวเย็น และขนมอร่อยๆ ให้ได้เลือกชิม
ร้านเปิดเวลา 9.30 - 17.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/pAPQaXNLnK42
6. RK cafe by omnia
Pop Up store ของ Omnia cafe ซึ่งตั้งอยู่หน้าร้าน Rubber Killer ที่นิมมาน ใครเดินผ่านไปมาก็ต้องสะดุดตากับรถสีฟ้าหน้าร้าน ที่จัดวาง space ได้อย่างลงตัว กาแฟที่นี่รสชาติดีมาก และราคาไม่แพง และในแต่ละเดือนจะมี Special Menu from Barista เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เสียดายวันที่ไปเมนูพิเศษหมดเลยอดไปตามระเบียบ
ร้านเปิดเวลา 9.00 - 17.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/ECW6ALUgH4t อยู่ระหว่างนิมมานซอย 11 และ 13
7. frose yogurt cafe
ก่อนจะตาแข็งนอนไม่หลับกันไปซะก่อน ขอเปลี่ยนบรรยากาศมากินโยเกิร์ตแบบ Healthy กันบ้าง ที่ร้าน frose yogurt cafe สาวๆ เห็นก็คงจะกรี๊ดกร๊าดกันตั้งแต่หน้าร้าน เพราะตกแต่งทุกอย่างด้วยสีชมพูพาสเทล หวานแหววสุดๆ
เข้ามาด้านในร้าน จะมีโยเกิร์ตประมาณ 4 -5 รสชาติ ให้ได้กดกันตามใจชอบ พร้อมกับท็อปปิ้งอีกมากมายหลายแบบ หลังจากตักทุกอย่างเสร็จ ก็เอาถ้วยมาชั่งน้ำหนักเพื่อจ่ายเงิน ใครกินจุใส่ท็อปปิ้งเยอะก็จ่ายแพงหน่อย
นอกจากโยเกิร์ตแบบกดเองแล้ว ก็มีเมนูเครื่องดื่มและขนมอื่นๆ ที่สามารถสั่งได้ด้วย
หน้าตาโยเกิร์ตที่เรากดมา
ร้านเปิดเวลา 10.00 - 21.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/XchCexg1Uqz
8. Across the Universe Cafe
ขอเรียกที่นี่ว่า Hidden place ของนิมมานละกัน เพราะมันดูลึกลับ เหมือนไม่ใช่คาเฟ่ แต่เข้าไปข้างในร้านคือประทับใจมาก เพราะตกแต่งได้สวยงามและเก๋มากๆ นอกจากส่วนที่เป็นคาเฟ่แล้ว ยังมีส่วนของที่พัก ชื่อว่า "The Laboratory" ซึ่งเราตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าได้มาเชียงใหม่คราวหน้า จะต้องมาพักที่นี่แน่นอน
ช่วงกลางคืนจะกลายสภาพเป็นบาร์ มีดนตรีสด และ (น่าจะ) มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ขายด้วย แต่เนื่องจากเรามาช่วงกลางวันและตั้งใจจะมาหาอาหารหนักๆ ลงท้อง เลยไม่ได้สนใจอย่างอื่นเลย
Black spaghetti with spicy sausage ใครชอบความจัดจ้าน ต้องจัดจานนี้
ร้านเปิดเวลา 10.00 - 23.00 น. ดนตรีสดมีทุกวันพุธ - เสาร์ ตั้งแต่ 21.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/4WZ12wmDRgs
9. The Baristro at Ping River
สาขาใหม่ของคาเฟ่ชื่อดังอย่าง The Baristro ที่ครั้งนี้ออกมาอยู่ริมแม่น้ำปิง แต่บรรยากาศยังคง Minimal & clean เป็นเอกลักษณ์ของร้าน และเมนูต่างๆ ก็ดูจะไม่ค่อยแตกต่างจากสาขาอื่นเท่าไร คงเพราะเป็นสาขาใหม่ ทำให้คนมากันเยอะมากๆ แนะนำว่าถ้าไม่อยากต่อคิวให้ไปตั้งแต่เช้า จะได้นั่งจิบกาแฟ ถ่ายรูปกันได้สบายๆ
ภายนอกร้านเป็นหนังสีขาวเรียบๆ มีช่องกระจกให้แสงลอกเข้าไปในร้าน
และมีต้นไม้ต้นเล็กๆ มาตัดผกับผนังสีขาว ให้ความรู้สึกร่มรื่นดี
มุมต่างๆ ภายในร้าน แสงลอดเข้ามาสวยมา
Matcha crape cake
ร้านเปิดเวลา 8.00 - 19.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/xft29GJwADH2
10. Gateway Coffee Roaster
คาเฟ่เปิดใหม่แถวท่าแพ ซึ่งมีเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟเองด้วย ขอยกให้เป็นอีกร้านที่ชอบมากๆ ทั้งบรรยากาศและรสชาติของกาแฟ กาแฟของที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลายเมนู และมีเมนู Signature ของร้านอยู่ 2 - 3 อย่าง ราคาก็ถือว่ากลางๆ ไม่แพงจนเกินไป เมื่อเทียบกับคุณภาพและรสชาติของกาแฟที่ได้
ภายในร้านตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และผนังสีขาว มีเก้าอี้ให้นั่งจิบกาแฟและชมวิวที่ระเบียง
Lost star เมนู Signature ของร้าน เป็นกาแฟผสมกับ Lemon, Plum และน้ำอ้อย
ร้านเปิดเวลา 9.00 - 18.00 น.
พิกัด : https://goo.gl/maps/dXWeDX5p2TE2
ทั้งหมดนี้ก็คือ 10 คาเฟ่ใหม่ๆ ในจังหวัดเชียงใหม่ ที่เราไม่อยากให้ทุกคนพลาด หากถูกใจรบกวนกด Like Facebook Page : Thirtywander และฝากแชร์กันด้วยนะครับ ส่วนคราวหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก อย่าลืมรอติดตามกันนะ
Shanghai Cafe Guide 2018 : คาเฟ่และร้านอร่อยในเซี่ยงไฮ้ที่ไม่อยากให้พลาด
ภาพจำเมื่อได้ยินคำว่า "ประเทศจีน" สำหรับเราคือ ความเสียงดังช้งเช้ง วุ่นวาย และ "ห้องน้ำ" ที่ขึ้นชื่อลือชา
"ประเทศจีน" จึงเป็นประเทศที่เราตั้งใจว่าจะไม่ไปเที่ยวเองเด็ดขาด เพราะกลัวพ่ายแพ้ต่อพลเมืองจีน
ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราเคยไปประเทศจีน คือประมาณ 13 ปีก่อน เป็นการออกนอกประเทศครั้งแรก
และได้ประเดิมกับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของบรรพบุรุษอย่างประเทศจีน ที่เมืองปักกิ่ง
ตอนนั้นที่บ้านซื้อทัวร์ให้ไปเที่ยวกันช่วงปิดเทอม จำได้ว่าสถานที่เที่ยวอย่างกำแพงเมืองจีน
จตุรัสเทียนอันเหมิน มันก็อลังการณ์งานสร้างดี แต่เรากลับเฉยๆ และไม่ได้ประทับใจจนคิดว่าจะต้องกลับไปอีก
แต่ด้วยความที่เราอยากไป Disneyland ไง Disneyland ที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งตอนนี้ก็เปิดมาสักพักหนึ่งแล้ว
และหลังจากได้อ่านหลายๆ รีวิวที่เขาบอกกันว่าเซี่ยงไฮ้มันดี ตึกสูงเยอะแยะมากมาย
แถมดีไซน์ซะเหมือนเดินเที่ยวในยุโรปไปอีก ประจวบเหมาะกับเจอตั๋วเครื่องบินลดราคาพอดิบพอดี
ทริปนี้จึงเกิดขึ้น และได้ทำลายความตั้งใจของเราที่ไม่คิดจะไปเที่ยวเมืองจีนออกไป
จนเมื่อได้ไปสัมผัสความเป็นจีนที่ "เซี่ยงไฮ้" จริงๆ แล้ว กลับทำให้เราเปลี่ยนความคิดและอคติที่เคยมีมา
และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เราหลงเสน่ห์ของ "เซี่ยงไฮ้" เข้าอย่างจังแล้วแหละ จึงอยากจะเอาประสบการณ์ที่เราได้เจอ
ทั้งความเก๋ ความดีงาม ของเซี่ยงไฮ้ ที่ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้เจอ มันดี๊ มันดี จนต้องมาทำกระทู้ให้ทุกคนได้อ่านนี่แหละ
ส่วนจะดีงามอย่างไรนั้น...เลื่อนลงไปอ่านกันต่อได้เลย!
มีหลายรีวิวที่ได้กล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น Landmark ของเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว
คราวนี้เราจึงอยากจะมาแนะนำคาเฟ่เก๋ๆ รวมไปถึงร้านอาหารที่ไม่อยากให้พลาดหากได้มา
และปิดท้ายกันด้วย Art museum ที่เราเหลือเวลาไปได้แค่ที่เดียวเท่านั้น
แต่ก่อนที่จะไปถึงรีวิวส่วนหลักของกระทู้นี้ เราขอมาเพิ่มเติมประสบการณ์จริง
และ Tips เล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้ Survive และท่องเที่ยวที่เซี่ยงไฮ้ได้อย่างแฮปปี้แบบเรา
Shanghai Tips
- การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง สามารถเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงที่เรียกว่า Maglev จากสนามบิน Pudong ไปลงที่สถานี Longyang road (Line 2 : สายสีเขียว) ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 7 นาทีเท่านั้น ค่ารถเที่ยวละ 50 หยวน แต่! ถ้ามี boarding pass ที่ใช้เดินทางในวันเดียวกันสามารถนำมาเป็นส่วนลด Maglev เหลือแค่เที่ยวละ 40 หยวนเท่านั้น
ภายในสถานี Maglev Longyang Road
บรรยากาศภายในรถ สะอาด คนโล่งมาก
รถไฟจีนก็วิ่งเร็วเหมือนกันนะ (431 km/hr คือความเร็วสูงสุดที่รถวิ่ง)
- หากไม่นั่ง Maglev ก็นั่งรถไฟ Metro (จากนี้ไปขอย่อว่า MRT แล้วกันนะ) จากสถานี Pudong International Airport (Line 2 : สายสีเขียว) เข้าไปในเมืองได้ แต่ว่าไม่ได้นั่งยาวเข้าเมืองเลยนะ ต้องแวะเปลี่ยนขบวนที่สถานี Guanglan Road อย่าเผลอหลับ หรือเด๋อไม่ออกจากขบวนอย่างเราละกัน นั่งตั้งนานก็ว่าทำไมไม่ถึงสักที T_T
- บัตรเติมเงินสำหรับใช้ขึ้น MRT ถ้าจะซื้อที่สนามบินจะต้องซื้อที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟ Maglev และจะเริ่มขายตั้งแต่ 9.oo น.เป็นต้นไป ถ้าไปถึงเช้ามากแบบเรา ก็ซื้อไม่ได้จ้า
- แต่ถึงไม่ได้ซื้อบัตรเติมเงิน หรือ 1, 2, 3 daypass ใดๆ ก็ตาม การซื้อตั๋วเที่ยวเดียว (Single trip) ที่สถานี MRT ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะคิวไม่ได้ยาวขนาดนั้น และเครื่องซื้อตั๋วก็มีเยอะอยู่ สรุปแล้ว 4 วันที่เราอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ใช้การซื้อตั๋วเป็นรอบๆ ตลอดเลย ก็ไม่ได้ลำบากหรือช้าอะไรมากนะ ติดแค่ว่าเครื่องขายตั๋วรับแบงค์ใหญ่สุด คือ 50 หยวน ดังนั้นเวลาแลกเงินแลกแบงค์ย่อยไปด้วยก็ดี
- การใช้บัตร Metro แบบ Single trip ขาเข้าใช้บัตรทาบกับที่อ่านบัตร ขาออกให้สอดบัตรคืน
- ค่ารถไฟที่นี่ถูกมากเว่อร์ เริ่มต้นที่ราคา 3 หยวน (ประมาณ 15 บาท) เท่านั้น เรานั่ง MRT จากสนามบิน Pudong มาที่ รร.ของเราที่สถานี Shanghai Railway ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. นิดๆ ค่ารถแค่ 7 หยวน (ถูกกว่า Airport Link ไปอีก) แพงสุดที่นั่งคือจาก รร. เราไปที่ Disneyland ค่ารถ 8 หยวน ซึ่งถูกกว่านั่ง BTS จากสถานีหมอชิตไปอนุสาวรีย์ซะอีก
- ความดีงามของ Metro ที่นี่อีกอย่างคือ มันคลอบคลุมสถานที่เที่ยวทุกที่ที่เราอยากไป บรรยากาศเหมือน Metro ที่สิงคโปร์ นั่งง่าย ไม่วุ่นวายมาก เอาสะดวกสุดต้องโหลด App : Shanghai Metro แค่กรอกสถานีต้นทางและปลายทางก็จบ ง่ายมาก!
- ควรเช็คเวลาเปิด-ปิดของ Metro แต่ละสถานีให้ดี เพราะมันปิดเวลาไม่ตรงกัน ถ้ากลับดึกมากอาจตกรถได้
- ค่ารถถูก แต่ค่ากาแฟที่นี่แพงมาก เจอถูกสุดคือประมาณ 20 หยวนต่อแก้ว (ประมาณ 100 บาท) ดังนั้นสาย Cafehopping ที่จะไปตามรอยกระทู้เรา ควรเตรียมแลกเงินไปเผื่อค่ากาแฟเยอะๆ
- ค่าอาหารการกิน ค่า รร. เราว่ากลางๆ ที่พักถูกกว่าญี่ปุ่น และฮ่องกง (มาก) ขนาดเรานอน รร. ที่จัดว่าหรูหราใช้ได้ ห้องกว้างขวาง อยู่ใจกลางเมืองใกล้สถานีรถไฟ ตกคืนละ 3 พันกว่าๆ (บาท) ส่วนเรื่องอาหารส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับ Location และชื่อเสียงของร้าน แต่เราแลกเงินค่ากินค่าเที่ยวสำหรับ 4 วันไปประมาณหมื่นบาท ยังเหลือเงินกลับมาแลกคืนได้อีก (กินอิ่ม กินดีแทบทุกมื้อเลยนะ)
- ทางเท้าหรือฟุตบาท ในเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับคนเดินถนน เพราะจะมีรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งเสียงเครื่องยนต์เบากว่าเสียงโซ่จักรยาน (มารู้ทีหลังว่ามอเตอร์ไซค์ที่นี่เขาใช้ไฟฟ้า) และพร้อมที่จะพุ่งชนเราได้ทุกเมื่อหากเราเดินเอ้อระเหยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว ดังนั้นเวลาเดินก็ต้องมองซ้ายขวาหน้าหลังให้ดี เพราะนี่เกือบโดนรถชนแล้วเหมือนกัน
- ไฟเขียวไฟแดงตรงแยก อาจไม่ได้ช่วยอะไรกับบ้านเมืองนี้ เพราะรถแทบทุกคันสามารถแหกกฎได้ทุกเมื่อโดยไม่สนใจอะไร (เจอกลับรถแบบงงๆ ต่อหน้าตำรวจก็มี) ดังนั้น เวลาข้ามถนน ก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
- ร้านอาหารส่วนใหญ่ โดยเฉพาะร้านอาหารจีน มักจะไม่มีภาษาอังกฤษ ไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ ควรเตรียมฝึกภาษาจีนขั้นพื้นฐาน เช่น นับเลข ถามราคา เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ขอน้ำ ถามทางไปห้องน้ำ เป็นต้น หรือถ้าขี้เกียจก็เตรียม App แปลภาษาหรือ google translate ไปให้ดี
- ศึกษาเส้นทางของสถานที่ที่เราจะไปตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น ที่เที่ยวอยู่สถานี MRT อะไร ออกทางออกไหน และ capture หน้าจอแผนที่เก็บเอาไว้ให้ดี อย่าหวังพึ่ง 4G ที่ประเทศจีนเด็ดขาด เราซื้อซิมของค่ายสีแดงไป เรียกได้ว่าไม่ช่วยอะไรเลย สัญญาณมาๆ หายๆ (ส่วนใหญ่หาย) และขึ้น EDGE มากกว่า 4G ถึงบางครั้งจะขึ้น 4G แต่ใช้ไม่ได้ก็มีบ่อยๆ ดังนั้นควรต้อง Back to basic จด note และ cap รูปแผนที่เอาไว้จะดีที่สุด และอย่าลืมโหลด App VPN ไว้ใช้เล่น Facebook / IG / Line ด้วย Wifi ที่โรงแรม
- หากใช้ iPhone แนะนำให้ใช้ Apple Map จะมีสถานที่ครบและบอกทางได้ดีกว่า Google Map (บอกละเอียดถึง Exit No. ของแต่ละสถานี MRT ด้วยล่ะ)
- คนที่รักการถ่ายรูป รักความสงบ ไม่ชอบคนพลุกพล่าน และอยากไปสถานที่เที่ยวฮิตๆ อย่าง The Bund / Yuyuan Garden แนะนำให้ไปแต่เช้ามากๆ (เช็คเวลาเปิดปิดให้ดี) เพื่อหลีกเลี่ยงทัวร์และนักท่องเที่ยวที่พร้อมจะแห่แหนกันมาทั้งคนจีนและต่างชาติ
- ร้านอาหารหรือคาเฟ่ฮิตๆ ก็ควรไปตั้งแต่ร้านเปิดเช่นกัน ไม่งั้นต้องรอเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กิน
- ใครที่มีแพลนไป Disneyland แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ไปก่อนเลย เพราะการไปซื้อตั๋วหน้างาน เสียเวลาต่อคิวมาก และมีเคาน์เตอร์ที่เปิดขายน้อย ทำให้ต้องต่อคิวซ้ำซ้อนไปอีก
- ขาช็อปทั้งหลาย หากเตรียมเงินไปช็อปพวกแบรนด์ต่างๆ ที่บ้านเราก็มี เช่น H&M, UNIQLO, Muji หรือใดๆ ก็ตามที่เป็นแบรนด์นอก (ที่ไม่ใช่ของจีน) แพงกว่าบ้านเราแทบทุกอย่าง ที่เจอถูกกว่า คือ Zara ซึ่งก็ถูกกว่าประมาณ 100 - 300 บาท ส่วนเรื่องตลาดของก๊อปอันนี้ไม่รู้ ไม่ได้ไป แฮะๆๆๆ
Pullman Shanghai Jingan
โจทย์ในการเลือกที่พักของเราก็คือ เราอยากได้ รร. ที่อยู่ใกล้กับ MRT Line 1 หรือ 2 ก็ได้ เพราะเดินทางไปไหนมาไหนดูจะสะดวกที่สุด และรอบนี้ไปกับเพื่อนอีกคน ซึ่งเคยไปเจอประสบการณ์แย่ๆ กับ Hostel ที่ฮ่องกงมาเมื่อ 2 ปีก่อน เลยขอโรงแรมที่ดีๆ นอนสบาย เรื่องราคาก็ขอให้ไม่แพงจนเกินความจำเป็น ซึ่ง Pullman ที่เราไปพักครั้งนี้ก็ตอบโจทย์แทบทุกอย่าง ราคาตอนที่จองก็ตกประมาณคืนละ 3,4xx บาท ซึ่งก็พอรับได้อยู่
ห้องที่เราจองเป็นห้อง Superior Twin Room กว้างขวางใช้ได้เลยแหละ
มีน้ำดื่มให้วันละ 4 ขวด
ห้องน้ำมี Shower แยกส่วนแห้งส่วนเปียก ไม่มีสายฉีดชำระ ไม่มีอ่างอาบน้ำ
ข้อดี
- อยู่ติดกับทางออกที่ 5 ของสถานี MRT Shanghai Railway (Line 1) เดินทางสะดวกมาก
- สามารถเช็คอินได้ตั้งแต่เช้า เราไปถึง รร. ประมาณ 10 โมง ก็ได้ห้องเลย ใครมาไฟลท์ดึกถึงเช้าก็ได้อาบน้ำพักผ่อนก่อนออกไปลุยต่อ
- ห้องใหญ่ สะอาด ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ
- พนักงานพูดอังกฤษได้ดี รับฝากกระเป๋าหลัง check out ฟรี
ข้อเสีย
- ทางออก 5 ที่จะมา รร. ไม่มีบันไดเลื่อนหรือลิฟท์ ใครมีกระเป๋าใหญ่จะลำบากพอควร
- ไม่มีอาหารเช้าให้ ต้องจ่ายเงินเพิ่มหากต้องการทานอาหารที่โรงแรม
- ระบบการจ่ายเงินดูงงๆ เพื่อความสบายใจแนะนำให้จ่ายกับ web agent ที่เราจองไปให้เรียบร้อยก่อน check in จะดีที่สุด
- ต้องเตรียมบัตรเครดิตหรือเงินสดเพื่อจ่ายค่ามัดจำความเสียหาย ประมาณ 3,000 หยวน (จะได้คืนตอน check out)
Shanghai Cafe Guide
มาเข้าสู่เรื่องหลักของเราดีกว่า กระทู้นี้เราจะมาแนะนำ 8 คาเฟ่ และ 4 ร้านอาหาร ที่เราได้แวะไปลองชิมมา และอยากให้ได้ไปตามรอยกัน โดยจะแบ่งตามสถานี MRT เพื่อให้สะดวกต่อการจัดแพลนของเพื่อนๆ แล้วกันครับ
MRT Shanghai Library (Line 10 สายสีม่วงอ่อน)
1. % Arabica Shanghai Wukang Lu
หากใครเคยไปเที่ยว Arashiyama ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น คงจะเคยผ่านตากับร้านกาแฟ % Arabica ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งแบรนด์นี้ได้ขยายสาขาไปหลายประเทศ (รวมถึงกำลังจะมีสาขาที่ประเทศไทย ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยนะ) และสาขาแรกที่เซี่ยงไฮ้ ก็คือสาขาถนน Wukang ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ แต่ยังคง Mood & Tone เหมือนร้านที่ญี่ปุ่นเลย ส่วนตอนนี้สาขาที่สองก็เพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หากใครได้ไปเซี่ยงไฮ้ช่วงนี้ลองแวะกันไปได้ครับ
บรรยากาศภายในร้านยังคงตกแต่งด้วยโทนสีขาวตัดกับสีน้ำตาลของไม้
มีที่นั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ประมาณ 4-5 ที่นั่ง
มีเมล็ดกาแฟและของที่ระลึกของร้านขายด้วย
Matcha Latte ราคาแก้วละ 50 หยวน
ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00 - 19.oo น.
การเดินทาง : MRT Shanghai Library (Exit 3) เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
MRT South Shaanxi Road (Line 1 สายสีแดง หรือ Line 10 / 12)
สถานีนี้ถือเป็นดงคาเฟ่ก็ว่าได้ อารมณ์ประมาณแถวเอกมัยที่มีคาเฟ่อยู่ปะปนกับบ้านทั่วไป มีคาเฟ่น่าสนใจรายทางเยอะแยะมาก และสามารถเดินชิลๆ ไปจนถึง Xintiandi ซึ่งเป็นย่านที่มีร้านอาหาร บาร์ ห้าง และร้านค้าให้ช็อปปิ้งได้ด้วย
2. Café Chez W, 一木家
ขอยกให้ที่นี่เป็นคาเฟ่ที่เราประทับใจที่สุดละกัน เป็นคาเฟ่ที่เราค้นเจอใน Instagram แล้วสะดุดตากับหน้าร้านและน้องแมวที่เป็นหน้าเป็นตาของร้านนี้มาก จากสถานี South Shaanxi ก็ถือว่าเดินไกลพอสมควรแต่คุ้มค่าที่จะมา ร้านเป็นบ้านสองชั้นเล็กๆ ภายในร้านมีที่นั่งทั้งสองชั้น เจ้าของร้านทำหน้าที่ทั้งดูแลร้าน บาริสต้า ทำขนม และดูแลแมว (อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ) เรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างของทั้งร้าน และที่สำคัญเจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้
คุณเจ้าของเล่าให้ฟังว่าร้านเพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 6 เดือน มีลูกค้าแวะเวียนมาเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนจีน เพิ่งจะมีเราที่เป็นคนไทยโผล่ไปนี่แหละ ส่วนน้องแมวที่เราเข้าใจว่าเขาเลี้ยงไว้ สรุปแล้วน้องคือ street cat ที่วนเวียนอยู่แถวร้าน แล้วเจ้าของเขาใจดีให้อาหารน้อง น้องก็เลยมาวนเวียนเสมือนเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว
ที่นั่งบริเวณชั้น 2 ของร้าน
ที่นี่มีทั้งกาแฟและชาเขียว เมนูเป็นภาษาอังกฤษด้วย
ส่วนเจ้าของร้านก็ทำทุกอย่างจริงๆ
มี Tote bag ของทางร้านขายด้วย
ชาเขียว ราคาแก้วละ 32 หยวน
ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00 - 19.oo น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 1 เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
(Search จาก Apple Map : Cafe Chex W Yimujia)
3. 17 Cafe
เราเดินผ่านร้านนี้ก่อนจะถึง Café Chez W แล้วก็สะดุดตากับการออกแบบร้าน และมารู้ทีหลังว่าที่ชั้นใต้ดินของร้านจะมีการตกแต่งเปลี่ยน Theme ไปทุก 3 เดือน เพื่อให้ลูกค้าลงไปถ่ายรูปเล่นได้ ซึ่งช่วงที่เราไปเขาได้จำลองหาดทรายมาไว้ที่ห้องใต้ดิน พร้อมพร็อบอีกมากมายให้ถ่ายรูปกันได้เพลินๆ
บรรยากาศหน้าร้าน
ชั้นใต้ดินของร้าน โพสถ่ายรูปกันได้เต็มที่
ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งกาแฟ (ร้านนี้มี Flat white ให้สั่งด้วย) รสชาติก็ดีงามตามมาตรฐาน มีเมนูภาษาอังกฤษ พนักงานพูดภาษาอังกฤษพอได้ เราสั่ง Hot Latte ไป ราคาแก้วละ 28 หยวน
ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00 - 19.oo น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 1 เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที (ก่อนถึง Cafe Chez W)
4. PARAS Cafe
Brunch Cafe ชื่อดัง ที่ search google ก็เจอเป็นร้านแรกๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี MRT South Shaanxi Road ด้วยความที่ร้านไม่ใหญ่นัก ทำให้เราต้องไปต่อคิวรอเกือบ 2 ชม. T_T แนะนำว่าถ้าจะไปควรไปตั้งแต่ร้านเปิดนะ
ชั้นล่างของร้านเป็น Counter ทำกาแฟและสั่งอาหาร
มีที่ให้นั่งต่อคิวอยู่นิดหน่อย ที่นั่งของลูกค้าจะอยู่ที่ชั้น 2
เราสั่ง Orange Blossom Latte ซึ่งเป็นเมนูพิเศษของร้านในช่วงนี้มาลองชิมดู
เป็นลาเต้ที่ราดด้วยครีมนุ่มๆ รสส้ม ก็หวานอ่อนๆ ละมุนดี
มีขนมหลายอย่างให้สั่ง น่าชิมทั้งนั้นเลย
บรรยากาศร้านชั้น 2
ร้านเปิดทุกวัน วันธรรมดา เปิด 8.30 - 20.3o น. เสาร์อาทิตย์ เปิด 9.30 - 20.3o น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 1
5. Tao Heung
ร้านติ่มซำสไตล์ฮ่องกงที่โด่งดังในเซี่ยงไฮ้ร้านนี้ ตั้งอยู่ชั้น 3 ของห้าง IAPM Mall มีเมนูทั้งติ่มซำ และอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง ราคาก็ค่อนข้างสูง (แต่ก็ยังถูกกว่าร้านดังๆ ในฮ่องกงนะ) อาหารและการบริการดีงามตามมาตรฐาน เมนูแนะนำที่ต้องสั่งคือ หมูกรอบ ซึ่งหนังบาง กรอบ แต่เนื้อหมูนุ่มสุด ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มอะไรเลยก็อร่อย แต่ข้อเสียก็คือทั้งร้านไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ เมนูไม่มีภาษาอังกฤษ มีเพียงภาพให้ชี้ + ใช้ภาษามือกับพนักงาน
ภายในร้านมีโต๊ะเยอะมาก แต่เราเข้ามาไม่นานโต๊ะก็เต็ม
แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิด
อาหารทั้งหมดที่เราสั่งวันนี้ (ไม่นับหมูกรอบที่ลงท้องไปหมดแล้ว)
ซาลาเปาไส้ไหลเยิ้ม
แค่หน้าตาดีไม่พอ รสชาติดีเกินหน้าตาไปอีก เห็นแค่รูปยังหิว
ค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ ประมาณหัวละ 500 - 600 บาท
ร้านเปิดทุกวัน แบ่งเป็น 2 ช่วง 9.00 - 16.00 น. และ 17.30 - 22.00 น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 6 หรือ 7 (เข้าไปในห้างได้เลย)
6. Cha's restaurant
ร้านอาหารจีน Local ที่การันตีด้วยรางวัล Reader's choice award ปี 2017 และยืนยันได้ด้วยปริมาณคนที่มาต่อคิวหน้าร้าน เมนูส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารจีนทั่วๆ ไป เมนูเด็ดของร้านที่ต้องสั่ง คือ ปีกไก่ทอด และ ขนมปังหน้ากุ้ง
มีป้ายรางวัลการันตีโชว์อยู่หน้าร้าน
ปีกไก่ทอดอร่อยโดยไม่ต้องจิ้มอะไร
ขนมปังหน้ากุ้ง มากันทั้งตัวเต็มๆ
ร้านเปิดทุกวัน 11.00 - 01.30 น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 4 เดินต่อประมาณ 15 นาที
(เดินตรงมาเรื่อยๆ จากทางออกสถานีจนเจอสี่แยกที่มี Line Cafe อยู่ทางด้านซ้ายมือ ให้เลี้ยวไปทางขวาประมาณ 100 เมตร)
MRT South Huangpi Road ( Line 1 สายสีแดง)
7. S.ENGINE COFFEE
เป็นอีกร้านที่เราชอบเพราะมีกาแฟหลากหลายแบบให้เลือกชิม ทั้งเมนูพิเศษที่ทางร้านครีเอทเอง กาแฟ drip และขนมเค้กหน้าตาน่ากินอีกหลายอย่าง การตกแต่งของร้านออกแนว Minimal เน้นสีเงิน/ขาว/ดำ มีจุดเด่นคือบันไดเวียนที่อยู่กลางร้าน
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ชั้น 1
บันไดเวียนสีดำกลางร้าน
นั่งชม barista drip กาแฟเพลินๆ
เราสั่ง Shanghai Dumpling เป็นเค้กที่ทำหน้าตาเหมือนเสี่ยวหลงเปา
และกาแฟ Cold brew ผสมพีช อร่อยมากๆ ทั้งคู่
ร้านเปิดทุกวัน 8.00 - 22.00 น.
การเดินทาง : MRT South Huangpi Road Exit 2 เดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
MRT Jing'an Temple (Line 2 สายสีเขียว / Line 7 สายสีส้ม)
8. Aunn Cafe & Co
ขอยกให้เป็นคาเฟ่ที่ Packaging design ดีงามที่สุดในเซี่ยงไฮ้ และ (เค้าร่ำลือว่า) cold brew ของที่นี่ก็ดีงามไม่แพ้กัน (เสียดายวันนี้ดื่มกาแฟไม่ไหวแล้ว เลยไม่ได้ลอง) ร้านตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด Jing'an เดินข้ามถนนมาก็ถึงเลย
เคาน์เตอร์เท่มาก
แก้วสวยจนต้องเก็บกลับบ้าน ส่วน Apple tart ก็อร่อยมากกกกกก
บรรยากาศภายในร้าน
ร้านเปิดทุกวัน 8.30 - 22.00 น.
การเดินทาง : MRT Jing'an Temple Exit 1
9. ORITEA
เดินต่อจาก Aunn Cafe ประมาณ 50 เมตร จะเจอกับตึก 1788 E.A.T เข้าไปในตึกก็จะเจอกับร้านชา ORITEA ซึ่งทางร้านมีคอนเซปท์ คือ Handmade Tea เหมาะกับ Tea Lover สุดๆ ส่วนเราก็ได้ลอง 2 จาก 5 เมนูขายดีของร้าน คือ Oolong tea macchiato และ Aloe lemon soda
บริเวณเคาน์เตอร์ของร้าน
มีชาสกัด (ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า) ซึ่งน่าจะเลือกใบชาได้ แต่ไม่ได้สั่งมาลอง
Oolong tea macchiato และ Aloe lemon soda ที่เราสั่งมาลองชิม
ส่วนตัวชอบ Aloe lemon soda เพราะรสเปรี้ยวซ่าของมะนาวโซดาพอคู่กับว่านหางจระเข้แล้วมันเข้ากันดี
บริเวณหน้าตึก 1788 E.A.T เปิดประตูเข้าไปจะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ
ร้านเปิดทุกวัน 10.00 - 21.00 น.
การเดินทาง : MRT Jing'an Temple Exit 1
10. Din Tai Fung (Nanjing West Road)
คนไทยคงรู้จักร้านอาหารจีนร้านนี้กันเป็นอย่างดี ถามว่าทำไมต้องถ่อไปกินที่เซี่ยงไฮ้? เพราะใน tripadvisor แนะนำน่ะสิ เราก็เลยไป 555 สาขาที่ไปหาไม่ยาก เดินไม่ไกลจากสถานี Metro ด้วย ร้านสาขานี้ตั้งอยู่ในห้าง Jing'an Kerry Centre Outlet ชั้น 4 ดีงามตรงที่พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ มีเมนูภาษาอังกฤษด้วย สร้างมาเพื่อชาวต่างชาติโดยเฉพาะ เมนูส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กับที่ไทย แต่ที่ต้องสั่งก็คือเสี่ยวหลงเปา โดยส่วนตัวคิดว่าที่จีนรสชาติดีกว่า ส่วนราคาก็กลางๆ ตกคนละประมาณ 100 - 200 หยวน
บรรยากาศภายในร้าน
เราสั่งเสี่ยวหลงเปาหน้ากุ้งมาลอง กุ้งเต็มปากเต็มคำ น้ำซุปอร่อย
มีวิธีการกินเสี่ยวหลงเปาแนะนำให้ด้วย
ไก่ต้มเหล้า และข้าวผัดหน้าหมูทอดก็จัดว่าเด็ด
ร้านเปิดทุกวัน 10.00 - 21.00 น.
การเดินทาง : MRT Jing'an Temple Exit 6
MRT West Nanjing Road (Line 2 สายสีเขียว / Line 12, 13)
11. Starbucks Reserve Roastery
Starbucks สาขานี้ ถือเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ณ เวลานี้) ตัวร้านมี 2 ชั้น พื้นที่รวม 2,700 ตร.ม. ภายในร้านมีทั้งโรงคั่ว ที่คั่วกันให้ดูสดๆ และยังมีบาร์ที่แบ่งตามชนิดของเครื่องดื่ม มีทั้งบาร์กาแฟธรรมดา บาร์ Teavana ที่จะเป็นเมนูชา บาร์กาแฟผสมกับช็อคโกแล็ต, แอลกอฮอล์ ให้เลือกชิมกันได้หลากหลายตามกำลังทรัพย์ รวมถึงเมล็ดกาแฟและใบชาแบบต่างๆ ให้ซื้อกลับไปชงที่บ้านได้ด้วย
เข้าไปจะเจอโรงคั่วกาแฟเด่นอยู่กลางร้าน
บรรยากาศตามบาร์ต่างๆ
มีร้านเบเกอรี่ด้วย
โซน Teavana มีชา Nitro ให้สั่ง และมีชาหลายแบบให้ลองชิม
โซนนี้ขายเมล็ดกาแฟ
ร้านเปิดทุกวัน 7.00 - 23.00 น.
การเดินทาง : MRT West Nanjing Road Exit 11
MRT Wujiaochang (Line 10 สายสีม่วงอ่อน)
12. Hai Di Lao Hot Pot (สาขาห้าง SUNING)
มาเซี่ยงไฮ้ทั้งที ถ้าไม่พาไปกินชาบูหมาล่าก็เหมือนมาไม่ถึง เราขอแนะนำร้านนี้เพราะมีหลายสาขา รสชาติอร่อย ราคาไม่แพงมาก และที่ดีที่สุดคือการบริการของร้านนี้เอาไปเลยเต็มร้อย!
จาก MRT Wujiaochang เดินมาตามทางที่จะไปทางออก 5 จะเจอร้าน KFC ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของห้าง เดินเข้าไปในห้างจนเจอลิฟท์ที่อยู่ด้านในสุด กดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 5 ก็จะถึงหน้าร้านเลย
ออกจากลิฟท์ทางด้านซ้ายจะมีพนักงานรอรับคิว
ห้องทางด้านขวาเป็นห้องรับรองสำหรับลูกค้าที่มารอต่อคิว
หลังได้บัตรคิวแล้ว เดินเข้าไปนั่งรอที่ห้องรับรองลูกค้าได้เลย เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอร้านชาบูที่มีห้องรับรองนี่แหละ นั่งไปได้แปบเดียวมีพนักงานเอาขนมกรุบกรอบใส่จานมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะเลยจ้า แค่นั้นไม่พอ นั่งกินจนเกือบจะหมด พอพนักงานเห็นว่าจานที่กินพร่องไป นางก็เดินเอาขนมมาเติมให้ถึงที่ แถมที่โต๊ะยังมีน้ำดื่มให้เติมได้ไม่อั้น นี่ขนาดยังไม่ได้เสียเงินให้ร้านสักบาทเดียวนะ
ขนมฟรีที่ทางร้านมีให้ตักได้ไม่อั้นระหว่างรอคิว
ที่ประทับใจไปกว่านั้นคือ เรากับเพื่อนนั่งกินขนมแล้วมีขนมอย่างนึงหน้าตาคล้ายคอนเน่ของบ้านเรา แต่มันอร่อยและเข้มข้นกว่ามาก ทำให้เราเดินไปเติมบ่อยจนแอบกระซิบกับเพื่อนว่าจะแอบเอาใส่ถุงกลับบ้าน (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะ) ไม่รู้พนักงานอ่านใจเราออกหรือฟังภาษาไทยออกก็ไม่รู้ แปบเดียวนางเดินเอาขนมที่เราชอบ ห่อใส่ถุงมาให้ประมาณ 4-5 ห่อ แล้วมายื่นให้ที่โต๊ะ โดยที่เรายังไม่ได้ร้องขอใดๆ ประทับใจใน Service Mind มากๆ
ขนมที่พนักงานเอาใส่ถุงกลับบ้านมาให้
นั่งรอคิวอยู่ประมาณ 20 นาทีก็ได้เข้าไปในร้าน แทบทั้งชั้นก็คือร้านนี้เนี่ยแหละ โต๊ะเยอะมาก แต่ลูกค้าก็เยอะมากเหมือนกัน ร้านนี้ไม่ใช่ Buffet นะ ต้องสั่งเป็นอย่างๆ ไป มีทั้งหมูและเนื้อ ส่วนน้ำซุปก็เลือกได้ว่าจะเอากี่แบบ (ค่าน้ำซุปก็คิดเงินเหมือนกัน) เมนูที่นี่ไม่มีภาษาอังกฤษ พนักงานพูดอังกฤษไม่ได้ แต่พนักงานยินดีช่วยเหลือเต็มที่มาก พยายามสื่อสารกับเราสุดๆ และก็คอยดูแลเราที่โต๊ะตั้งแต่สั่งอาหาร วิธีการกิน คอยเติมน้ำ ฯลฯ ซึ่งนี่ก็ตกใจนะ ไม่คิดว่าจะเจอการบริการอะไรแบบนี้ที่จีนเหมือนกัน
เราสั่งน้ำซุปไปสองแบบ เป็นซุปหมาล่า (ซึ่งเผ็ดมาก) และซุปข้น มีหอยตลับต้มมาด้วย
ก่อนจะเริ่มกินพนักงานเอาซองพลาสติดมาให้ใส่มือถือกันเปื้อนไว้อีก ดูแลทุกเรื่องจริงๆ
น้ำจิ้มและผลไม้จะมีบาร์ให้บริการตนเองอยู่หลายจุดทั่วร้าน
สำหรับมื้อนี้กินกันอิ่ม หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณคนละ 120 หยวน เนื่องจากพนักงานบริการดี เรากับเพื่อนเลยตั้งใจจะให้ทิปเพิ่ม แต่พนักงานไม่รับจ้า ตื๊อยังไงก็ไม่รับ (เราไม่รู้ธรรมเนียมที่นี่เหมือนกันว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องนี้) สุดท้ายเพื่อนเลยขอถ่ายรูปคู่กับพนักงานเป็นที่ระลึก เพราะประทับใจมาก 555
ร้านเปิดทุกวัน 24 ชม.
การเดินทาง : MRT Wujiaochang Exit 5
EVERYTHING & NOTHING at YUZ Museum
ช่วงสุดท้ายนี้เราจะพาไปเดินชมงานอาร์ทดีๆ ที่ YUZ Museum ซึ่งตอนนี้มีนิทรรศการที่ชื่อว่า EVERYTHING & NOTHING ผมงานของ RANDOM INTERNATIONAL จากประเทศอังกฤษ ซึ่ง RANDOM INTERNATIONAL เป็นกลุ่มที่เริ่มก่อมาตั้งแต่ปี 2005 โดยศิลปิน คือ Hannes Koch และ Florian Ortkrass เป็นผู้จัดตั้งกลุ่ม มี concept คือ ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมจำลองขึ้นมา เพื่อดูพฤติกรรมของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมนั้น ทั้งความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ และสัญชาตญาณที่มีต่อสภาพแวดล้อมเหล่านั้น งานนี้ถือเป็น Solo Exhibition ครั้งแรกในเอเชียของ RANDOM INTERNATIONAL ด้วย โดยจะจัดงานที่ YUZ Museum ตั้งแต่ 20 เมษายน ถึง 14 ตุลาคม 2018
หลังจากซื้อตั๋วแล้ว ก็เดินเข้าชมงานได้เลย
ห้ามพกกล้องถ่ายรูปเข้าไป แต่ใช้กล้องมือถือถ่ายรูปได้
ชิ้นงานทุกชิ้นจะเป็นงานที่เราต้องมี interactive กับงานนั้นๆ เช่น ห้องทางซ้ายมือ จะมีแผงไฟ พอเราไปยืนด้านหน้า ไฟจะติดขึ้นมาเสมือนเป็นกระจกที่สะท้อนตัวเรา เวลาเคลื่อนไหว ไฟก็จะเคลื่อนไหวเหมือนตัวเราไปด้วย ส่วนห้องด้านขวาจะมีขวดสเปรย์ กับแม่พิมพ์ ให้เราเอาแม่พิมพ์ไปทาบที่ผนังสีเขียว แล้วเอาสเปรย์ซึ่งฉีดออกมาไม่มีสีไม่มีกลิ่น ฉีดลงไปตามแม่พิมพ์ พอเอาแม่พิมพ์ออกมาก็จะเห็นเป็นรอยสะท้อนแสงตามรูปแม่พิมพ์นั้น
ส่วนห้องที่เป็นไฮไลท์ และเป็นเหตุผลที่เราอยากมางานนี้ก็คือ RAIN ROOM
ห้องนี้จะมีฝนจำลองตกลงมาทั่วห้อง เหมือนสถานการณ์เวลาที่เราเจอฝนตก เราก็มักจะวิ่งเพื่อหลบฝน แต่ห้องนี้ยิ่งเราวิ่งหลบฝน เราจะยิ่งเปียก แต่จะทำยังไงให้ตัวไม่เปียกและยืนถ่ายรูปกลางสายฝนเท่ๆ แบบเราได้ ก็ต้องลองไปชมงานนี้ดูครับ
เดินถ่ายรูปกลางสายฝนได้ โดยไม่เปียก
เปิดวันอังคาร - อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) 10.00 - 21.00 น. (เข้าได้ช้าสุด 20.00 น.)
การเดินทาง : MRT Yunjin Road (Line 11) Exit 1 หรือ 2 เดินต่ออีกประมาณ 500 เมตร
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเซี่ยงไฮ้ในอีกมุมหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ ว่าที่จริงแล้วเซี่ยงไฮ้ก็มีความเก๋ ความฮิป ไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน ใครที่ชอบถ่ายรูป รักการเดินมิวเซียม และงานอาร์ท เซี่ยงไฮ้ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ไม่ควรพลาด ค่าครองชีพไม่ได้แพงมากเหมือนฮ่องกง หรือ ญี่ปุ่น แถมอาหารการกินก็ดีงาม เรื่องคนจีนหรือห้องน้ำที่เราหวาดกลัว เอาจริงๆ ก็ไม่ได้แย่เท่าที่คิด เหมือนบ้านเราแหละที่มีทั้งคนที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป เอาจริงๆ คนส่วนใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ก็มีมารยาทที่ดี ไม่แทรกแถวแซงคิว (สี่วันที่เราอยู่เจอแซงคิวไม่ถึง 10 คน) ห้องน้ำตามสถานที่ท่องเที่ยวสะอาดพอใช้ได้ ห้องน้ำในห้างหรือร้านอาหารใหญ่ๆ สะอาดดีมากๆ หมดกังวลเรื่องห้องน้ำในภาพจำเก่าๆ ไปได้เลย
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายที่ที่เราหาข้อมูลไว้ว่าน่าสนใจ แต่เวลามีจำกัดเลยไปได้ไม่หมด ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปอีกหลายๆ ครั้ง หรือถ้าใครมีโอกาสได้ไป ลองหาข้อมูลให้ดี จะพบว่าเซี่ยงไฮ้ไม่ได้มีดีแค่ The Bund หรือ Yuyuan Garden เท่านั้น แล้วครั้งหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก รอติดตามกันนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันครับ :-)
[Fukushima Diary] Day 3 : Cafehopping in Koriyama
เช้าวันนี้ฝนหยุดตกแล้ว
เป็นสัญญาณที่ดีว่าพายุไต้ฝุ่นระดับ 4 กำลังจะจากลากันไปอย่างเป็นทางการ
แต่ถึงจะไม่มีพายุ อากาศก็ยังแปรปรวนอยู่ดี ทำให้จากแพลนเดิมที่ตั้งใจจะขับรถไป Azuma Bandai Skyline เป็นอันต้องเลื่อนไปเป็นพรุ่งนี้แทน ส่วนแพลนของวันนี้ก็เพิ่งนั่งคิดเมื่อคืนว่าจะไปไหนดีที่ไม่ต้องเสี่ยงกับการเปียกและลำบากมากแบบเมื่อวาน
สรุปก็คือ...ไปเที่ยว Koriyama แล้วกัน
Koriyama เป็นเมืองหนึ่งในจังหวัด Fukushima ที่เรารู้สึกว่าที่นี่มีความคึกคักมากกว่าเมือง Fukushima เองซะอีก เพราะเป็นเมืองที่มีรถไฟ Shinkansen ผ่าน และมีรถไฟที่เชื่อมต่อไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น Aizu-Wakamatsu, Lake Inawashiro, Goshikinuma เป็นต้น แต่ถ้าถามว่าในเมือง Koriyama เอง มีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรน่าสนใจบ้าง? เท่าที่รู้ก็มีเพียงพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ กับท้องฟ้าจำลอง (ซึ่งก็ไม่ได้อินสักเท่าไร)
แต่จากการหาข้อมูลมาล่วงหน้า พบว่ามีร้านกาแฟ 2 ร้านที่น่าสนใจ และวันนี้ตั้งใจจะไปเพื่อกลับมาทำรีวิวให้ได้อ่านกันนี่แหละ เผื่อสาย cafehopping ที่มาเที่ยว Fukushima จะได้แวะมาลิ้มลองรสชาติของกาแฟที่นี่กัน
วิธีการเดินทาง
การเดินทางจาก Fukushima ไป Koriyama นั้นสะดวกมาก เพราะมี Shinkansen Yamabiko
ซึ่งใช้เวลาเพียง 13 นาทีเท่านั้น (ค่ารถ 840 เยน แต่ถ้ามี JR Pass ขึ้นฟรีกี่เที่ยวก็ได้) และไม่จำเป็นต้องไปจองที่นั่งให้วุ่นวาย เพราะคนไม่เยอะ สามารถไปเลือกที่นั่งในขบวน Non-reserved ได้เลย
ถึงสถานี Koriyama ก็ต้องไปแวะขอข้อมูลจาก Tourist Information Center กันสักหน่อย
Tourist Information Center จะอยู่ที่ชั้น 2 ของสถานี เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปแล้วเลี้ยวขวา
Tourist Information Center จะอยู่ทางด้านซ้ายมือ ก่อนจะถึงโซนร้านอาหารของห้าง S-PAL
Tourist Information Center Koriyama
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่ใน Information Center สรุปได้ความว่า สถานที่เที่ยวที่ (พอจะ) น่าสนใจใน Koriyama อยู่ไม่ไกลจากสถานี และสามารถเดินไปได้ ก็คือ
- เริ่มจากไปชิมกาแฟที่ร้าน OBROS COFFEE
- ไปเที่ยวสวน Hayama Park และ 21st Century Anniversary Park
- แวะชมวัด Nyohoji / Zendoji / Asaka-Kunitsuko Shrine
- กลับมาแวะกินข้าวกลางวันที่สถานี Koriyama
- ไปร้านกาแฟ Flat White Coffee Factory ซึ่งอยู่นอกเมือง
- แวะกลับมาเดินช็อปนิดหน่อยที่สถานี Koriyama ก่อนกลับที่พัก
ก่อนจะออกจากสถานี ขอแวะสำรวจในสถานีสักหน่อย ว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง
เริ่มจากโซนร้านอาหารของห้าง S-PAL ที่อยู่ติดกับ Tourist Information Center
มีร้าน Wako Tonkatsu ที่รู้จักกันดี ในไทยก็มีสาขามาเปิดด้วย
ติดกับสถานีมีห้าง S-PAL เหมือนที่ Fukushima แต่สาขานี้เล็กกว่า (มีร้าน Muji ใหญ่พอควร)
ชั้นล่างสถานีมีร้านสบู่ชื่อดังอย่าง LUSH ให้แวะช็อปด้วย
ออกมาด้านนอกสถานี มองไปทางด้านซ้ายมี Yodobashi Camera
ใครตั้งใจมาหาซื้อฟิล์ม ซื้อกล้อง / เลนส์ แนะนำให้ช็อปจากที่นี่ไปเลย
หรืออาจจะไปช็อปที่ biccamera ที่ Fukushima แต่ร้าน bic จะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟมาก ต้องใช้รถส่วนตัวจึงจะสะดวก
OBROS COFFEE
การเดินทางไปร้าน OBROS COFFEE สามารถนั่งรถบัสไป (ประมาณ 3 ป้าย) หรือจะใช้วิธีแบบเรา คือ เดินไป ระยะทางประมาณ 1 กม. เส้นทางไม่ยุ่งยาก อากาศวันนี้ก็เย็นๆ ฝนไม่ตก เหมาะแก่การเดินชมเมืองไปในตัว
เดินออกมาตรงถนนใหญ่หน้าสถานี Koriyama จะเห็น Daiwa Roynet Hotel
ให้เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จากนั้นเดินตรงไปเรื่อยๆ ตามทาง
เดินมาจนถึงแยกที่มีตึก Leopalace 21 ให้เดินมาขึ้นสะพานลอยด้านข้างตึก เพื่อข้ามไปถนนอีกฝั่ง
ลงจากสะพานลอย จะเห็นซุ้มประตูศาลเจ้าทางด้านขวา นั่นคือ Asaka-Kunitsuko Shrine ให้เดินตรงต่อไปก่อน
เดินต่อมาอีกประมาณ 100 เมตร จะเจอวัด Zendoji อยู่ทางด้านขวามือ ให้เดินตรงต่อไป
(ในรูปนี้คือ วัด Zendoji ถ้ามีเวลาจะแวะเดินชมดูก่อนก็ได้ วัดไม่ใหญ่มาก)
เดินมาจนสุดรั้ววัด จะเจอซอยด้านขวา มีรูปปั้นอยู่ตรงด้านหน้าตึก ให้เลี้ยวขวาเข้าซอยแล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ
เดินตรงต่อไปประมาณ 300 เมตร ก็จะเจอ OBROS COFFEE อยู่ตรงแยกพอดี
ถึงแล้ว OBROS COFFEE
ร้านตกแต่งแบบ Minimal ด้วยไม้และสีผนังแบบปูนเปลือย มีจุดเด่นคือป้ายสีดำสัญลักษณ์ของร้านติดอยู่ด้านหน้า
ถึงปุ๊บก็แวะไปสั่งกาแฟและขนมปังก่อน ราคากาแฟต่อแก้ว ประมาณ 400 - 600 เยน
ในร้านเป็นที่นั่งแบบ Counter bar สามารถดูบาริสต้าชง / drip กาแฟได้อย่างใกล้ชิด
เมนูที่สั่ง คือ Ice Latte กับ Toast
เรื่องรสชาติ เนื่องจากเราเพิ่งเป็นมือใหม่หัดดื่ม คงตอบยากว่ามันดีกว่ากาแฟที่อื่นยังไง แต่สำหรับเรา รู้สึกว่ากาแฟที่ชงมารสชาติมันจะกลางๆ นวลๆ ไม่ขม แล้วก็ไม่ได้อมเปรี้ยวเหมือนเม็ดกาแฟของบางที่ ส่วน Toast ก็เป็นขนมปังทาเนยธรรมดาๆ กินกับผักดองแก้เลี่ยน ก็พอได้อยู่นะ แต่บรรยากาศภายในร้านดีงาม ถ้าแดดดีกว่านี้คงจะดีมาก เพราะร้านเป็นกระจกทั้งหมด แสงเข้าได้ทุกด้านเลย เหมาะกับช่างภาพสาย cafehopping
Hayama Park / 21st Century Anniversary Park
จากร้าน OBROS COFFEE ถ้ายืนอยู่ตรงสี่แยกแล้วหันหน้าเข้าหาร้านเหมือนตอนขามา ให้เลี้ยวไปทางด้านซ้าย เดินตรงต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร จะเจอป้ายบอกทางไป Hayamonori Park ให้เลี้ยวขวาไปตามป้ายแล้วเดินตรงไปประมาณ 200 เมตร จะเจอ Hayama Park อยู่ทางซ้าย และ 21st Century Anniversary Park อยู่ทางด้านขวามือเยื้องๆ กันนิดนึง
เจอป้ายนี้ เลี้ยวขวาตามป้ายได้เลย
เราแวะไปเดินเล่นใน Hayama Park ก่อน บรรยากาศภายในสวนดูร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นสนต้นใหญ่ และมีคลองขุดอยู่ตรงกลางสวน มีศาลาริมน้ำให้ไว้ไปนั่งชิลๆ ได้ มีต้นเมเปิลที่ใบกำลังเริ่มเปลี่ยนสีอยู่บ้างนิดหน่อย น่าเสียดายที่ฝนตกในช่วง 3-4 วันที่ผ่านมา น้ำในสวนเลยขุ่นมาก
ถ้าได้มาช่วงใบไม้แดงพีค คงจะสวยกว่านี้
เสร็จแล้วเดินข้ามฝั่งมาที่ 21st Century Anniversary Park จากโบชัวร์ที่ทาง Information Center แจกมา มีจุดเด่นคือดอกไม้ที่ปลูกไว้ในสวนช่วงฤดูร้อน แต่ช่วงที่เราไปเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ดอกไม้เลยเริ่มเหี่ยว แต่ก็ยังดีที่มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้ชมกันพอสมควร
ใบเมเปิ้ลเพิ่งเริ่มเปลี่ยนสี
Nyohoji Temple / Zendoji Temple / Asaka-Kunitsuko Shrine
จาก 21st Century Anniversary Park เดินย้อนกลับมาทางเดิมแล้วเปิด Google map หาพิกัดของ Nyohoji Temple ได้เลย เพราะอยู่ห่างกันไม่ถึง 500 เมตร ตรงนี้ต้องขออภัยจริงๆ ที่เราก็ไม่รู้ข้อมูลความสำคัญของวัดที่ได้แวะไปชมเหมือนกัน เลยขอเก็บภาพมาให้ได้ชมกันเพลินๆ แทน
บริเวณวัด Nyohoji
บริเวณประตูทางเข้าวัด Nyohoji
วัด Zendoji ที่เราผ่านมาตอนเช้า ฟ้าเริ่มโปร่ง มีแสงแดดให้เห็นบ้างแล้ว
บริเวณรั้วข้างวัดมีต้นเมเปิ้ลอยู่ แต่ยังไม่เปลี่ยนสี
บริเวณทางเข้า Asaka-Kunitsuko Shrine ที่นี่ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมาก ไม่เสียค่าเข้าชมด้วย
Asaka-Kunitsuko Shrine
ออกจาก Asaka-Kunitsuko Shrine เดินขึ้นสะพานลอยแล้วย้อนกลับไปที่สถานี Koriyama ตามทางเดิม เพื่อแวะไปหาข้าวกลางวันกิน ก่อนจะออกไปร้านกาแฟอีกร้านนึง ซึ่งมื้อกลางวันอันแสนสิ้นคิดของเราก็ไปจบที่ร้าน Wako Tonkatsu (ที่กรุงเทพก็มี 555) เพราะง่ายดีและอิ่มด้วย
มีเมนูภาษาอังกฤษ สามารถขอจากพนักงานได้
เมนูพิเศษในช่วงนี้ ก็คือ Korokke ไส้ไก่กับเห็ดและครีม แต่ขอผ่านละกันเพราะกลัวเลี่ยน
สุดท้ายก็ไปจบที่ทงคัตสึหมูสันนอกและหอยนางรม
ข้อแตกต่างของ Wako ที่นี่กับที่ไทยก็คือ ไม่มีน้ำสลัดงา และข้าวก็ไม่มีมาให้เป็นหม้อ ต้องขอเพิ่มเอง
Flat White Coffee Factory
อิ่มท้องแล้วได้เวลาเดินทางกันต่อ ช่วงบ่ายเราเลือกที่จะไปร้าน Flat White Coffee Factory ซึ่งแต่แรกเรากะว่าจะไม่ไปแล้ว เพราะนั่งรถบัสไปไกลพอสมควร แถมยังต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 2 กม. แต่ถ้าไม่ไปที่นี่ ก็ไม่รู้จะทำอะไร อีกอย่าง ร้านนี้ก็เป็นร้านที่อยากไปมากที่สุดระหว่างที่หาข้อมูลก่อนมา เลยตัดสินใจเดินก็ได้ เพราะฝนก็หยุดแล้ว แล้วก็จะได้ย่อยทงคัตสึที่กินเมื่อกี้ไปด้วย
ป้ายรถบัสหมายเลข 3 และตารางเดินรถแต่ละสาย
วิธีการเดินทางจากสถานี Koriyama ให้มาขึ้นรถบัสที่ป้ายหมายเลข 3 (ป้ายรถบัสจะอยู่ด้านหน้าสถานี) แต่ตรงป้ายหมายเลข 3 ก็มีรถหลายเบอร์เหลือเกิน แล้วจะขึ้นรถสายไหนดี แนะนำว่าให้เช็คตารางเวลารถได้ จาก Google map ครับ (กรอก Destination ว่า "Flat White Coffee Factory" ใน google map จะบอกเลยว่าต้องขึ้นรถรอบกี่โมง และเดินต่อไปทางไหน)
ด้วยความงงในตอนแรก เราเลยเอาชื่อป้ายรถบัสที่ Search จาก google map เดินไปที่ Bus Information ซึ่งอยู่ใกล้กับป้ายหมายเลข 3 พอดี ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ให้ข้อมูลน่ารักมาก ตอนแรกบอกแค่ว่าให้ขึ้นรถที่ป้ายหมายเลข 3 พอรถมาถึงตามเวลาที่ดูไว้ เราก็เดินขึ้นไป เจ้าหน้าที่คนนี้ก็รีบเดินตามเข้ามาบนรถอีก เพื่อบอกชื่อป้ายที่จะต้องลง และให้เราสังเกตที่จอหน้ารถ พร้อมทั้งแจ้งราคาค่ารถ 390 เยน ที่จะต้องจ่ายก่อนลงรถให้อีก ใจดีมากๆ
รถบัสที่เราขึ้นมา คือ สาย 76-1 ค่ารถ 390 เยน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
บรรยากาศบนรถ อย่างโล่ง
รถจะขับพาเราออกนอกเมืองมาเรื่อยๆ จนเริ่มเข้าป่าเข้าดง มีบ้านคนอยู่ริมทางบ้างประปราย จนกระทั่งถึงป้ายนี้...
ป้ายที่ต้องลง ชื่อ "Midorigaokadanchi" จุดสังเกตก็คือ แถวนั้นจะเป็นละแวกที่อยู่อาศัย มีบ้าน และแมนชั่นเรียงรายอยู่เต็มเลย ขาไปจะไม่มีป้ายตามรูป ป้ายจะอยู่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งเราจะมาขึ้นรถขากลับเข้าเมืองกันตรงป้ายนี้แหละ
ลงจากรถแล้วเดินตรงมาอีกนิด จะเจอแยกแบบนี้ เลี้ยวขวาไปเลย
เดินตรงไปตามทางเรื่อยๆ จะเจอทางโค้งและดอกไม้ใบหญ้าแบบนี้
มันดีมากกกกกกกก ถ่ายรูปเพลินมากกกกกกกก
ถึงท้องฟ้าจะไม่เป็นใจ แต่ลมที่พัดมา และความสวยงามของธรรมชาติรอบๆ ก็ทำให้เราเสียเวลากดชัตเตอร์อยู่แถวนี้พักหนึ่ง
มองย้อนกลับไปจากทางที่เราเดินมา จะเห็นตึกที่พักอาศัยเรียงราย
เดินตรงไป จะเจอทางแยกด้านขวา ให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงตามทางในรูปไปเรื่อยๆ
รอบๆ มีแต่ทุ่งนา และป่า
เดินตรงมาเจอสามแยก ให้เลี้ยวไปทางซ้าย
แต่ก่อนเลี้ยวขอแวะถ่ายรูปแวบนึง
เดินตรงมาตามทางเรื่อยๆ จนเจอสี่แยกนี้ ให้เดินตรงข้ามแยกต่อไปอีกประมาณ 400 เมตร
เดินจนเจอทางสามแพร่งแบบนี้ ให้เลี้ยวขวา
ตามป้าย Miharu Herb Hana Garden เข้าไปนี่แหละ
ตรงจุดนี้เรียกว่า "Britomart" เป็น Community Mall ย่อมๆ ที่มีทั้งร้านขายต้นไม้ ดอกไม้ ร้านอาหาร และร้านกาแฟที่เป็นจุดหมายของเรา พร้อมลานจอดรถที่สามารถจุรถได้หลายสิบคัน (แต่เราเดินมาไง โคตรจะไกล)
แวะไปชมร้านขายต้นไม้กันก่อน
ร้านอาหาร SARARA แต่วันนี้ปิด
เจอร้าน Flat White Coffee Factory แล้ว เข้าไปได้เลย
ร้านจะอยู่ภายในโกดัง มีร้านทั้งหมดประมาณ 4 ร้านอยู่ในพื้นที่เดียวกัน โดยที่ร้านกาแฟ Flat White Coffee Factory จะอยู่ติดกับประตูทางเข้า และมีร้านข้างเคียง ขายสินค้าพวกของใช้ในบ้าน และร้านอาหาร
เมนูต่างๆ และราคา
หลังจากเดินตากลมมานาน ขอ Hot Latte สักแก้วละกัน
เมล็ดกาแฟที่ร้านนี้ใช้ชง มีทั้งจาก Ethiopia และ Columbia ที่เราได้ชิมเป็นเมล็ดจาก Ethiopia รสชาติมันจะหวานๆ เปรี้ยวติดปลายลิ้นนิดๆ ก็อร่อยไปอีกแบบ
ถ่ายรูปเล่นได้สักแปบ ก็มีชายญี่ปุ่นวัยกลางคน เดินเข้ามา Speak English อย่างคล่องแคล่ว ถามว่าเรามาจากที่ไหน ชอบกาแฟไหม คุยไปคุยมาจึงรู้ได้ว่าเขาคือเจ้าของร้านตัวจริงเสียงจริง ชื่อคุณ Yoshitaka Nakazawa แต่เขาให้เรียก "Mickey" ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษของเขาเอง
ที่คุณ Mickey พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแบบนี้ เพราะก่อนหน้าที่จะมาเปิดร้าน Flat White Coffee Factory เขาเคยไปทำงานเป็นบาริสต้าอยู่ที่ประเทศ New Zealand และใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมา มาเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเองนี่แหละ โดยร้าน Flat White Coffee Factory มีทั้งหมด 3 สาขา 2 สาขาแรกอยู่ที่ Sendai และสาขาที่ Fukushima คือสาขาที่ 3 โดยสาขานี้มีจุดเด่นตรงที่มีเครื่องคั่วเมล็ดกาแฟแบบพิเศษที่ 2 สาขาแรกไม่มี
คุณ Mickey เล่าถึงกระบวนการคั่วเมล็ดกาแฟให้ฟัง แถมยังเอากาแฟที่คั่วแต่ละแบบมาให้ลองชิมด้วย การคั่วแบบแรก คือ "Tyoka" (เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไรเหมือนกัน) เป็นการคั่วโดยใช้ไฟแรง ทำให้ด้านนอกของเมล็ดไหม้ แต่ไม่ไหม้ถึงด้านใน รสชาติที่ได้ก็จะออกขมกว่าอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า "Han nepu" ซึ่งใช้ความร้อนปานกลาง คั่วโดยใช้เวลานานกว่า การคั่วแบบหลังก็จะทำให้ได้รสชาติที่ขมน้อยลง จากที่ได้ลองเราว่าแบบหลังอร่อยกว่าแบบแรก (แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายว่ายังไงดี เพราะก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านกาแฟขนาดนั้น)
ต้องขอบคุณ คุณ Mickey และ คุณ Hanzawa บาริสต้าหน้าใส ที่มานั่งคุยเป็นเพื่อน แถมยังแนะนำร้านกาแฟใน Fukushima ร้านอื่นๆ ให้เราได้แวะไปอีก คิดไม่ผิดเลยที่ตัดสินใจมาที่นี่ ประทับใจตั้งแต่ทางเดินมา จนกระทั่งในร้านกันเลยทีเดียว
บรรยากาศร้านอื่นๆ ใน Britomart
เป็นอีกวันที่เราประทับใจกับการท่องเที่ยวในเมือง Koriyama และหวังว่าเพื่อนๆ ที่ได้แวะมาอ่าน คงจะอยากมาเที่ยวที่ Koriyama สักครั้ง โดยเฉพาะร้านกาแฟที่เราได้แนะนำไป ไม่อยากให้พลาดจริงๆ
ส่วนพรุ่งนี้ จะไปเที่ยวที่ไหน รอติดตามกันได้นะครับ
วันนี้ขอตัวไปนอนแล้ว
ราตรีสวัสดิ์ :-)
สำหรับใครที่อยากติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ของเรา
หรืออัพเดทกระทู้ใหม่ๆ ก่อนใคร
ฝากติดตามใน Facebook Fanpage : ThirtyWander ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/thirtywander
หรือจะติดตามชมรูปสวยๆ ได้ที่ Instagram : porsuke13