Digital vs Film : ภาพแบบไหนถูกใจกว่ากัน ?
ยุคนี้มีกล้อง Digital ดีๆ ตั้งหลายยี่ห้อ ทำไมยังต้องใช้กล้องฟิล์มอีก?
กล้องฟิล์มบางรุ่น เลนส์บางยี่ห้อ ก็แพ้งแพง แล้วมันดีสมราคาจริงหรือเปล่า?
กล้องฟิล์มถ่ายยาก กะแสง กะ Compose ไม่ถูก ทำไมยังชอบรูปจากฟิล์ม?
ฟิล์มดีกว่า Digital ยังไง?
นี่คือคำถามส่วนหนึ่งที่คนใช้กล้องฟิล์มคงได้ประสบพบเจอมาบ้าง
รีวิวนี้เราจึงทำการทดลองเล่นๆ โดยใช้กล้องฟิล์ม และกล้อง Digital ติดเลนส์ระยะ 50 mm
ยืนถ่ายที่จุดเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน Compose รูปใกล้ๆ กัน
มาให้ได้ลองเปรียบเทียบดูว่าชอบแบบไหนมากกว่า
และให้ลองทายกันเล่นๆ ว่ารูปไหนถ่ายจากกล้องฟิล์มบ้าง (เฉลยตอนท้ายนะ)
และเราจะปิดท้ายด้วย Comment ในมุมมองของเราเล็กๆ น้อยๆ จากการทดลองครั้งนี้ให้อ่านกันด้วย
อุปกรณ์ที่ใช้ในรีวิวครั้งนี้
Digital : Sony a7III / Leica Summilux 50 ASPH (เปิดที่ F1.4 ทุกรูป)
Film : Nikon F80 / Nikkor 50 F1.8D (เปิดที่ F1.8 ทุกรูป) / Lomo 100
Model Instagram : @cookies_milkshake , @gunnkws
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
เป็นยังไงบ้างครับกับรูปทั้งหมดที่ได้ชมกันไป
ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่ายังไงโทนแบบฟิล์มมันก็เป็นอะไรที่ Unique มาก ยากจะหาอะไรมาแทนได้
แม้ว่าเรื่องของความคม หรือดีเทล ที่เครื่องแสกนของทางร้านอาจจะทำได้ไม่ดีเท่ากับเซนเซอร์ดีๆ ในกล้อง Digital รุ่นใหม่ๆ
แต่โทนสี มิติ และ Mood ของฟิล์ม ก็มีความสวยงามในแบบของฟิล์มอยู่
รีวิวนี้อาจจะไม่ได้คุมปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเลนส์หรือ Preset ที่ใช้ก็ไม่ได้เป็น Preset สีแบบเดียวกับฟิล์ม
แต่ก็หวังว่าจะพอทำให้ได้เห็นความแตกต่างของผลลัพธ์ที่ได้ ว่าแบบไหนคือแบบที่ชอบ และเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะกับสไตล์ของเรานะครับ
ไว้ถ้ามีโอกาสทดลองถ่ายรูปอะไรสนุกๆ แบบนี้อีก จะเอามาแชร์ให้ได้อ่านกันครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับผม
เฉลยรูป
1 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
2 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
3 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
4 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
5 : : ซ้าย = Digital ขวา = Film
6 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
7 : บน = Film ล่าง = Digital
8 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
9 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
10 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
11 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
12 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
13 : บน = Digital ล่าง = Film
14 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
15 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
16 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
17 : บน = Digital ล่าง = Film
Morocco : Before Summer
azul!
เริ่มต้นทักทายกันด้วยภาษา Berber ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของชาว "Morocco"
ประเทศที่หลายๆ คน (รวมทั้งเราด้วย) เคยสงสัยว่ามีอะไรน่าสนใจ และอยู่ส่วนไหนของโลก?
เมื่อกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเที่ยว Morocco
ซึ่งช่วงเวลานี้ใกล้จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว และเราก็โชคดีมากที่อากาศดี ฟ้าสดใสตลอดทั้ง 7 วัน
ทำให้ทริปนี้เราได้ภาพดีๆ แสงสวยๆ มาเยอะแยะเลย
เราจึงอยากจะแนะนำ Morocco ให้เพื่อนๆ ได้รู้จักผ่านมุมมองของเรา
ให้ได้สัมผัส Morocco ด้วยตากันสักนิด
และครั้งหน้า เราจะพามารู้จักกันอย่างเจาะลึก ผ่านรีวิวแบบเต็มๆ กันอีกที
ดูจบแล้วถ้าชอบ...จะกดหาตั๋วโปรไว้ก่อนก็ไม่ว่ากันนะครับ
Camera : CONTAX T2 , Minolta P's (Panorama shot)
Film : Lomo 100, Lomo 400
Scan & Dev : Flashbox
เริ่มต้นทริปนี้ที่ Casablanca เมืองที่ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อ แต่ที่นี่ไม่ใช่เมืองหลวงของ Morocco หรอกนะ
สถานที่เที่ยวที่เป็น Landmark ของ Casablanca ก็คือ "Hassan II Mosque"
ที่นี่จัดเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา และใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก
ด้านในสามารถจุคนได้ถึง 25,000 คน และลานด้านนอกจุได้ประมาณ 80,000 คน
สถาปัตยกรรมของมัสยิดนี้ก็สวยงามอลังการณ์ไม่แพ้ขนาดเช่นกัน
คาเฟ่เก๋ๆ ที่นี่เขามี %Arabica กาแฟชื่อดังจาก Kyoto มาเปิดสาขาอยู่ใจกลางเมืองด้วย
จาก Casablanca เดินทางต่อประมาณ 80 กม. เพื่อไปยัง Rabat ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Morocco
จุดแรกที่ได้ไปแวะก็คือ "Kasbah of Udayas" ซึ่งเป็นป้อมปราการที่สร้างติดกับมหาสมุทร Atlantic
ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ทำให้เราสามารถชมวิวมหาสมุทร Atlantic และเมือง Rabat ได้จากจุดนี้
วิวมหาสมุทร Atlantic จากบนป้อมปราการ
บรรยากาศด้านบนของป้อมปราการ
บรรยากาศในชุมชนระหว่างทางเดินขึ้นไปยังป้อมปราการ
บ้านเมืองที่นี่มีความคุมโทนมาก อย่างบริเวณนี้บ้านทุกบ้านจะทาสีฟ้าครึ่งล่าง ครึ่งบนเป็นสีขาว
ถัดจาก Kasbah of Udayas ไปไม่ไกล จะพบกับ Landmark ของ Rabat นั่นคือ Hassan Tower
และ Mausoleum of Mohammed V ซึ่งเป็นสุสานของกษัตริย์ Mohammed V มีทหารยามเฝ้าประตูทางเข้า - ออกทั้ง 2 ฝั่ง
คืนแรกเราพักที่ Riad ในย่าน Old Medina หรือย่านเมืองเก่าของ Rabat
ทำให้มีเวลาเดินสำรวจแถวนั้นบ้างเล็กน้อยก่อนพระอาทิตย์จะตก
สิ่งหนึ่งที่อยากเตือนเกี่ยวกับการถ่ายรูปใน Morocco คือ อย่าถ่ายรูปคน โดยเฉพาะคนแก่
เพราะคุณอาจจะโดนเขาเดินเข้ามาด่าและให้ลบรูปได้ (เพื่อนเราโดนไปแล้ว) แต่โชคดีที่การใช้กล้องฟิล์มเล็กๆ
ก็ลดความน่าสะดุดตา และดูเป็นมิตรกว่ากล้องใหญ่ได้ระดับหนึ่ง แต่ยังไงก็ควรระมัดระวังอยู่ดี
วิถีชีวิตของผู้คนใกล้กับ Kasbah of Udayas ฝั่งตรงข้ามเป็นย่านเมืองใหม่ของ Rabat
วันที่ 2 ใน Morocco เรานั่งรถกันยาวนานประมาณ 5 ชม. เพื่อมาเที่ยวยังเมืองที่ได้ฉายาว่า "Blue Pearl"
นั่นก็คือเมือง "Chefchaoun" ที่ได้ฉายานี้ก็เพราะว่าเมืองนี้ทาด้วยสีฟ้าทั้งเมือง
เรียกได้ว่านักท่องเที่ยวทุกคนที่มา Morocco ยังไงก็ต้องมาแวะเมืองนี้สักครั้ง ไม่อย่างนั้นคงเหมือนมาไม่ถึง
มุมนี้เป็นจุดชมวิวข้างทาง ก่อนจะเข้าไปยังตัวเมือง Chefchaoun
ส่วนที่เป็นจุดท่องเที่ยวนั่นคือส่วนที่อยู่ตรงเชิงเขา ที่เป็นหมู่บ้านสีฟ้าทั้งหมด
ประตูเมือง Chefchaoun มีสีฟ้าเป็นเอกลักษณ์
บ้านเรือนสีฟ้าตั้งไล่ระดับกันอยู่ตรงเชิงเขา
แนะนำให้นอนค้างในเมืองสักคืน มีมุมให้เดินถ่ายรูปกันได้ตั้งแต่เช้า คนจะได้ไม่เยอะ
The Blue Street : จุดถ่ายรูปยอดนิยมในเมือง Chefchaoun
HAMSA : Cafe ที่วิวดีที่สุดใน Chefchaoun
DarSababa : Riad ที่เราพักที่ Chefchaoun อยู่ในใจกลางของเมือง และมีวิว Rooftop ที่ดีงามสุดๆ
กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง คือ การขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกที่ Spanish Mosque
สามารถเดินขึ้นมาได้จากใจกลาง Medina ใช้ระยะเวลาประมาณ 20 - 30 นาที (แล้วแต่กำลังขา)
บรรยากาศระหว่างทางเดินขึ้น Spanish Mosque
บรรยากาศเมือง Chefchaoun ก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า
จากเมือง Chefchaoun เราเดินทางต่อไปยัง Fes อดีตเมืองหลวงของ Morocco
เมืองนี้จัดเป็นอีกเมืองที่ใหญ่และมีผู้คนอาศัยอยู่มาก จุดขายของที่นี่คือ Medina ที่ใหญ่มากๆ
เรียกว่าใหญ่ที่สุดใน Morocco ก็ว่าได้ ทำให้ที่นี่เราต้องอาศัย Local Guide เพื่อพาเดินไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ
ซึ่งถ้านับระยะทางเดินรวมทั้งหมดใน Medina จะเป็นระยะทางถึง 30 กม. แต่เราเดินเที่ยวกันแค่ 6 กม.เท่านั้น
ภายใน Medina จะมีอาคารที่มีสถาปัตยกรรมสไตล์ Morocco ที่สวยงาม
อาคารเหล่านี้เคยเป็นโรงเรียนของชาวมุสลิม ซึ่งใน Medina ก็มีโรงเรียนแบบนี้อยู่หลายที่
แต่จุดที่ไกด์พาไปต้องเสียค่าเข้าชม ไกด์บอกว่าดูที่เดียวก็พอ ที่อื่นๆ ก็คล้ายกันหมด
บรรยากาศภายใน Fes Medina
เด็กๆ เพิ่งเลิกเรียนพอดี
และ Hi-light อีกอย่างของ Fes ก็คือ Chouara Tannery
เป็นสถานที่ฟอกหนังและย้อมสีที่ใหญ่ที่สุดใน Morocco
ใครชอบเครื่องหนังที่นี่ก็มีให้เลือกซื้อกัน ณ ที่ผลิตเลยแหละ แต่ราคาก็แรงใช้ได้อยู่
เราสามารถเข้าไปชมที่จุดนี้ได้โดยไม่เสียเงิน
แต่เจ้าของร้านก็จะทำการขายกับเราไปด้วย ถ้าขี้เกรงใจก็มีโอกาสได้ของติดไม้ติดมือออกมาแน่นอน
บริเวณจุดชมวิวที่ Chouara Tannery
ภายใน Medina ของ Fes ที่กว้างมาก ทำให้มีมัสยิดกระจัดกระจายอยู่หลายที่
และแทบทุกที่ที่เราผ่านไม่อนุญาตให้คนศาสนาอื่นเข้าไปได้
และแต่ละที่ก็จะมีเวลาละหมาดไม่ตรงกัน (แต่อาจจะเหลื่อมกันไม่มาก)
เผื่อว่ามาที่แรกไม่ทัน จะได้เผื่อเวลาไปอีกที่หนึ่งได้
เราใช้เวลาเดินเที่ยวใน Fes Medina ประมาณ 3-4 ชม. ไกด์ก็พาเราไปปิดทริปของวันนี้ที่จุดชมวิวของเมือง Fes
จากมุมนี้สามารถมองเห็นเมืองได้แบบ Panorama จะเห็นได้ว่าเมืองนี้ใหญ่มากจริงๆ (นี่เฉพาะส่วนที่เป็นเมืองเก่านะ)
วันต่อมาถือว่าเป็นวันที่นั่งรถนานที่สุดก็ว่าได้ เพราะเราต้องเดินทางจาก Fes ไปยังทะเลทราย Sahara
ซึ่งอยู่ในเมือง Merzouga ระยะทางกว่า 500 กม. ใช้เวลาประมาณ 7 - 8 ชม.
แต่ไม่ต้องกลัวว่านั่งรถนานแล้วจะเบื่อ เพราะระหว่างทางมีวิวสวยๆ ให้ชมกันตลอด
แนะนำว่าอย่าเผลอหลับยาวจะดีกว่า
เราเดินทางมาถึงทะเลทราย Sahara เกือบ 6 โมงเย็น คนขับรถจะพาเรามาส่งที่ทางเข้า
แล้วจะมีรถ 4WD ของ Camp ที่เราจะเข้าพักมารอรับ เพื่อส่งเราไปยังจุดขึ้นอูฐ
เพราะว่าวันนี้ เราจะขี่อูฐเข้าไปในแคมป์ และชมพระอาทิตย์ตกท่ามกลางทะเลทราย Sahara กัน!
คนนำขบวนอูฐของเรา มีหน้าที่คอยดูแลและคอยถ่ายรูปให้เป็นระยะ
มีหลายขบวน ที่มุ่งหน้าไปยังแคมป์ต่างๆ
การนั่งบนหลังอูฐท่ามกลางทะเลทรายแบบนี้ ก็ได้บรรยากาศและความทรงจำที่ดีเหมือนกันนะ
ชมวิวพระอาทิตย์ตกกลางทะเลทราย Sahara
เราพักกันที่ Orient Desert Camp ได้ยินว่านอนแคมป์อย่าคิดว่าต้องไปลำบากเหมือนเข้าค่ายลูกเสือ
เพราะแคมป์นี้ไฮโซมาก แต่ละแคมป์มีเตียงนอนอย่างดี มีห้องน้ำในตัว มีไฟให้ใช้ ไม่ต้องจุดเทียนอย่างที่คิด
แถมด้วยอาหารจัดเต็มทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า ไม่ต้องก่อไฟ หุงข้าวกันเองนะ
ตอนเช้าก็ตื่นมาเก็บภาพทะเลทรายก่อนกลับ
สักครั้งหนึ่งที่ได้มานอนกลางทะเลทราย Sahara แบบนี้ มันดีมากจริงๆ นะ
จาก Merzouga เราเดินทางต่อไปยังเมือง Ouarzazate ใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 5 - 6 ชม.
ระหว่างทางไกด์ก็แวะให้เราพักทานข้าวกันก่อน
ไม่รู้จะเรียกว่าเป็นคำเตือน (สำหรับนักท่องเที่ยว) ดีไหม? เกี่ยวกับผู้คนใน Morocco ที่ยังไงก็ต้องได้เจอแน่ๆ
เพราะคนที่นี่ชอบทักทายนักท่องเที่ยวมาก เห็นหน้าเอเชียก็ทัก "หนีห่าว" "คอนนิจิวะ" เหมารวมไปหมดว่าเป็นคนจีน คนญี่ปุ่นแน่ๆ
(แต่ยังไม่เจอใครทัก "สวัสดี" สักคน) ซึ่งการทักทายส่วนใหญ่มักมีจุดประสงค์แอบแฝง เช่น ชักชวนเราไปร้านค้า ร้านอาหาร
หรือเสนอขายของแบบ Direct sell กันไปเลย กับอีกกลุ่มหนึ่งคือ "เด็ก" ที่มักจะเข้ามาหาด้วยการยื่นของเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำเอง
(ส่วนใหญ่ก็งานสานปลา สานรูปสัตว์ต่างๆ อย่างเด็ก 2 คนในรูปนี่แหละ) และบอกเราว่าเป็นของขวัญ ให้ฟรี
รวมถึงพยายามยัดเยียดใส่มือ แม้เราจะปฏิเสธก็ตาม
พอเรารับมาปุ๊บ ก็จะขอเงินทันที ไม่ก็ขอขนมที่เรากำลังกินอยู่นี่แหละ
ขอกันซื่อๆ เลย สุดแท้แต่จะให้หรือไม่ให้ก็แล้วแต่ (เพราะถ้าไม่ให้แล้วโดนเด็กด่าก็ฟังไม่ออกอยู่ดี)
ส่วนเราก็ให้เงินไปนิดหน่อย แลกกับการขอถ่ายรูปน้องๆ มาเป็นที่ระลึกสักรูป
(รวมถึงเอาน้องมาเมาท์ในนี้ด้วย 555)
บรรยากาศและวิวระหว่างทางจาก Merzouga ไปยัง Ouarzazate
Todgha Gorge : อารมณ์ประมาณ Grand Canyon เป็นส่วนหนึ่งของ High Atlas Mountain
สูงประมาณ 160 เมตร ตั้งเรียงรายไปตามทาง
มีลำธารเล็กๆ ทอดตัวไปกับ Todgha Gorge
ริมถนนก็มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงขายของ
คนที่นี่ส่วนใหญ่น่ารัก เป็นมิตร ชอบทักทายนักท่องเที่ยว
เข้าสู่เมือง Ouarzazate เมืองนี้มีสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นสถานที่ที่ Hollywood ชอบมาถ่ายทำภาพยนตร์
จนมีการทำโรงถ่ายภาพยนตร์ไว้ให้เช่า และเป็นแหล่งท่องเที่ยว
Ksar of Ait Ben Haddou : 1 ใน 9 ของ UNESCO World Heritage Sites
อดีตเคยเป็นป้อมปราการ และที่พักระหว่างทางของกองทัพที่เดินทางจากยุโรป มายังทวีปแอฟริกา
แต่ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็น Location ถ่ายทำภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็น The Mummy, Gladiators, Prince of Persia และซีรีส์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones เป็นต้น
วิวจากด้านบนของ Ait Ben Haddou
วิวภูเขาระหว่างทางจาก Ouarzazate ไปยัง Marrakesh
Le Jardin Majorelle
Marrakech เมืองที่หลายคนคุ้นชื่อ และเป็นเมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยว
มีหลายสถานที่ท่องเที่ยวของที่นี่ ที่เป็นจุดน่าสนใจ ถ่ายรูปสวยมาก
แต่น่าเสียดายที่เมืองนี้เป็น Tourist attractions ไปแล้ว จึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ดูวุ่นวาย
ต่างจากเมืองแรกๆ ที่เราได้สัมผัสมา โดยส่วนตัวแล้วเราจึงไม่ค่อยประทับใจที่นี่เท่าไรนัก
Marrakech มี Riad และโรงแรมที่ตกแต่งสวยงามให้เลือกพักมากมาย
และสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้ คือการถ่ายรูปใน Riad สวยๆ ไว้อัพลง Social สักรูปนี่แหละ
Jemaa el-Fna : ถ้าให้เปรียบกับบ้านเราก็คงคล้ายกับตลาดนัดจตุจักร
ที่เต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้า และนักท่องเที่ยว มีสินค้าทั้งของกิน ของใช้ ของฝากมากมายที่นี่
แต่เรามาที่นี่เพื่อถ่ายรูปจัตุรัสจาก Rooftop ของร้านอาหารสักร้าน ไม่ได้มาช็อปปิ้งหรอก
ร้านไหนวิวดี พอช่วงเย็นคนก็จะเยอะแบบนี้แหละ
ภายใน Medina ของเมือง Marrakech เดินเที่ยวไม่ยาก
มีทั้งพิพิธภัณฑ์ จุดถ่ายรูป และ Cafe ที่น่าสนใจให้ได้เดินชมกันเพลินๆ
หรือจะเดินดูวิถีชีวิตของคนที่นี่ก็ได้ เพียงแค่ต้องระวังเรื่องการถ่ายรูปอย่างที่เตือนไว้ด้านบน
ร้านค้าหลายร้านก็จัดร้านได้สวยงาม ขออนุญาตเจ้าของร้านก่อนถ่ายรูปก็ดีนะ
ที่ไม่อยากให้พลาด คือ Museum de Marrakech ค่าเข้า 50 DH (ประมาณ 200 บาท)
แต่ความสวยงามของสถาปัตยกรรมด้านในดูแพงเกินราคาไปมาก
ข้อดีอีกอย่างคือคนไม่เยอะ เดินชมสบายๆ ถ่ายรูปได้เพลินๆ
(แต่ด้านในแสงที่ผ่านหลังคาลงมาจะเหลืองมาก ถ้าใช้กล้อง Digital ก็ปรับ White balance กันให้ดี)
Bahia Palace
Bahia Palace : สำหรับเราที่นี่คือที่ที่อยากมามาก เพราะดูจากรูปคือสวย
แต่พอเจอนักท่องเที่ยวที่ต่อคิวเข้าแถวมาที่นี่ ก็รู้สึกเซ็งเล็กน้อย
และพอเข้ามาก็ตามคาดคือคนเยอะมาก ใครรักความสงบ ชอบถ่ายรูปชิลๆ ควรหลีกเลี่ยง
ถ่ายรูปยังไงก็หลบนักท่องเที่ยวไม่ได้
ปิดท้ายทริปนี้โดยการวนกลับมาที่จุดเริ่มต้น คือเมือง Casablanca อีกครั้ง
เราตั้งใจมาปิดทริปนี้ด้วยการถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกที่ด้านนอกของ Hassan II Mosque
อากาศในวันที่เราไปค่อนข้างเย็น และมีลมพัดจากทะเลมาตลอด
แต่เสื้อผ้าที่เราใส่ไปวันนั้นคือเสื้อเชิ้ตบางๆ และกางเกงชิโนขายาว ซึ่งแทบไม่ได้ป้องกันความหนาวได้เลย
ขอส่งท้ายกระทู้นี้ด้วยภาพ Hassan II Mosque ก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
หวังว่าเพื่อนๆ ที่แวะเข้ามาชม จะได้ทำความรู้จักกับ Morocco มากขึ้น
และอาจจะได้แรงบันดาลใจในการไปเที่ยวที่ประเทศนี้กันสักครั้ง
แล้วไว้กระทู้หน้า เราจะมาแนะนำและรีวิวเกี่ยวกับการเตรียมตัวไปเที่ยว Morocco ให้ได้อ่านกันเต็มๆ
อดใจรอกันอีกนิดนะครับ :-)
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาแวะชมครับ
'New York' from the Good Old Films
My dream destinations
แม้ว่าปี 2018 กำลังจะผ่านพ้นไปในอีกไม่กี่วัน...
แต่ปีนี้เป็นอีกปีที่เราได้ทำความฝันของตัวเองสำเร็จไปอีก 1 เรื่อง
นั่นคือการได้ไปเที่ยวในเมืองที่เราฝันว่าจะต้องไปให้ได้สักครั้ง
อยากไปดูตึก Empire State ให้เห็นกับตา
อยากรู้ว่าเทพีเสรีภาพของจริงนั้นสูงขนาดไหน
อยากไปเดินเล่นใน Central Park ที่เขาว่ากว้างกว่าสวนลุมหลายเท่านัก
อยากนั่งรถชมเมืองที่ฮีโร่ในหนังหลายๆ เรื่องมาช่วยกันกอบกู้ได้หลายต่อหลายครั้ง
และที่สำคัญ...อยากไปเก็บภาพในเมืองนี้ด้วยมุมมองของเราเอง
New York City
เราได้รวบรวมภาพทั้งหมด 70 ภาพ ที่เป็นมุมมองของเราต่อ New York
และรวมถึง Boston ที่เราได้มีโอกาสแวะไปเที่ยวช่วงสั้นๆ
บันทึกความทรงจำนี้ผ่านกล้องฟิล์มตัวเก่งของเรา มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน
เป็นของขวัญส่งท้ายปี 2018
ขอให้มีความสุขต้อนรับปีใหม่ 2019 กันทุกคนนะครับ
Camera : CONTAX T3
Film : Kodak E100 (Ektachrome), Fuji Superior 200, LOMO F2/400
Scan & Dev : Nine Billion RAM
หากเพื่อนๆ สนใจเกี่ยวกับการถ่ายภาพ และท่องเที่ยว หรืออยากติดตามชมรีวิวเก่าๆ ของเรา
สามารถติดตามได้ที่
Facebook : Thirtywander
https://www.facebook.com/thirtywander
พูดถึงการท่องเที่ยวในเมืองอย่าง New York สิ่งแรกที่เรานึกถึง และเป็นกังวลมากที่สุด ก็คือ การเดินทางด้วย Subway อาจจะเพราะคำบอกกล่าว ปนขู่กันมาว่ามันสกปรก งงเพราะมีหลายสาย และจู่ๆ จะปิดซ่อมก็ปิด พอได้มาเจอของจริงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ขนาดนั้นนะ แต่กลับชอบด้วยซ้ำที่ทำให้การเดินทางในเมืองใหญ่แบบนี้รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น
ถ้าถามว่าเขตไหนใน New York ที่เราชอบมากที่สุด?
ขอตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า "Brooklyn" เราชอบตึก บรรยากาศ และสไตล์ของผู้คนแถวนี้มาก
มันดูมีสีสัน จะเป็นเมืองก็ไม่ได้ดูเมืองจ๋าๆ เหมือนใน Manhattan แต่มันมีความคูล ความเป็นเอกลักษณ์ดี
โดยเฉพาะพวกตึกที่สร้างด้วยอิฐแดงพวกนี้แหละ แถมยังมี Graffiti สวยๆ ที่ระบายอยู่ตามผนังตึกให้ได้ถ่ายรูปกันเพลินๆ ด้วย
แต่ก่อนที่เราจะพาไปเที่ยวสถานที่แมสๆ อย่าง Brookyn bridge หรือ Dumbo
เราขอแนะนำสถานที่ชม New York City View ที่สวยงามและคนไม่เยอะ มาให้ได้ตามไปถ่ายรูปสวยๆ กันก่อน
WNYC Transmitter Park สวนสาธารณะเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจาก Subway สถานี Greenpoint Ave
ที่แม้สวนจะไม่ใหญ่ แต่วิวดีงามมาก และที่สำคัญคือเข้าฟรี
ที่สวนนี้สามารถชมวิวเมือง New York ฝั่ง Manhattan ได้ มองเห็นทั้ง One Worldtrade และ Empire State
แนะนำว่าให้มาช่วงเช้าๆ ถ่ายรูปจะได้ไม่ย้อนแสงนะ
แถวสถานี Greenpoint Ave นี่ถือว่าเป็นสวรรค์ของ Hipster ก็ว่าได้ เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Williumsburg
ดังนั้นจะพบเจอคาเฟ่ หรือ select shop ฮิปๆ เก๋ๆ กระตุ้นความอยากแวะถ่ายรูปได้ตลอดทาง
Homecoming Cafe เดินมาไม่ไกลจาก WNYC Transmitter Park ร้านน่ารัก กาแฟอร่อย
เราเดินจาก Greenpoint Ave เพื่อไป Williumsburg โดยมีจุดหมายระหว่างทางคือ Whyth Hotel
ที่นี่เป็นโรงแรมที่มีคาเฟ่อยู่ที่ชั้น 1 ตกแต่งสวยงามและรสชาติอาหารก็อร่อย แค่ด้านนอกโรงแรมก็สวยแล้ว
เดินตรงเข้าไปในซอยข้าง Whyth Hotel จะเจอ Cityscape สวยๆ แบบนี้
มองเห็นตึก Empire State ด้วย
Kinfolk Cafe อยู่ใกล้กับ Whyth Hotel เลย ในร้านตกแต่ง Minimal Style
และที่สำคัญต้องมีใบไม้เขียวๆ ใหญ่ๆ ประดับไว้ด้วย ใครชอบสไตล์ Kinfolk ต้องแวะ
Dumbo landmark ของ Brooklyn ที่ใครมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูปสักครั้ง
Brooklyn bridge ถ่ายรูปยังไงไม่ให้ติดคนอื่นเป็นความท้าทายของที่นี่
ถ้ามีเวลาแนะนำให้เดินข้ามจากฝั่ง Brooklyn ไป Manhattan เลย
เพราะช่วงกลางๆ สะพานคนจะไม่เยอะเท่าช่วงแรก
ถ้าจะเริ่มจากฝั่ง Brooklyn ควรไปช่วงเย็น เพราะถ่ายรูปแล้วจะไม่ย้อนแสง
Graffiti สวยๆ คือสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปใน New York
ข้ามมาทางฝั่ง Manhattan เริ่มกันที่ One World Trade และ The Oculus
บริเวณนี้อยู่ที่เดียวกับตึก World Trade Center เดิม
Reflection Pools อยู่ด้านนอกของ The Oculus สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11
โดยสร้างขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของตึก Twin Towers
Statue of Liberty
การมาชมเทพีเสรีภาพสามารถเลือกมาได้หลายแบบ แต่แบบที่เราเลือกคือ
การเดินทางด้วยเรือ Ferry ข้ามจาก Manhattan มาที่ Staten Island
ข้อดีก็คือ "ฟรี" จะนั่งกี่รอบก็ได้ แต่ข้อเสียก็คือจะเห็นเทพีอยู่ไกลไปนิด แต่ก็พอถ่ายรูปได้อยู่นะ
เมื่อข้ามมาถึง Staten Island แนะนำให้ขึ้นมาด้านบนของท่าเรือ จะมีลานกว้างๆ ให้นั่งชมวิวได้
มองเห็นวิวตึกบนฝั่ง Manhattan ด้วย ถ้าใครพกเลนส์เทเลไปคงสวยเชียวแหละ
รูปนี้เราถ่ายบนเรือ Ferry (ถ่ายผ่านกระจกเรือ) น่าจะเป็นจุดที่ใกล้กับเทพีมากที่สุดแล้ว
High Line สวนสาธารณะลอยฟ้าของ New York ที่พัฒนามาจากรางรถไฟร้าง
กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ และจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่ควรแวะไปเดินเล่นสักครั้ง
จุดเริ่มต้นให้นั่ง Subway ไปลงสถานี 14th Street แล้วมาเริ่ม High Line ตรงหน้า Whitney Museum
แนะนำให้มาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เพราะแสงที่ตกกระทบตึกรอบๆ มันสวยมาก
Golden period ของเราอยู่ที่ High Line นี่แหละ แสงเย็นที่นี่ดีจริงๆ
ข้อดีอีกอย่างของการมาเดินเล่นที่ High Line ก็คือ Chelsea Market ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
แนะนำให้เข้าไปชิม Lobster ที่อร่อย สด และราคาไม่แพงด้วย
ไหนๆ ก็ได้มาเที่ยว New York ทั้งที เราเลยตัดสินใจพักที่พักหรูๆ กลาง Manhattan สักคืน
ซึ่ง Arlo Nomad ก็ตอบโจทย์มาก เพราะอยู่ไม่ไกลจาก 5th Avenue และแทบจะติดกับ Empire State เลยด้วย
ที่สำคัญห้องมุมของโรงแรมนี้มันดีมาก เพราะสามารถเห็น City View แบบอลังการณ์ได้จากในห้อง
เสียดายที่เลนส์กล้องฟิล์มเราเก็บมาได้กว้างมากสุดแค่นี้
Empire State
Flatiron Building
New Yorkers
Central Park เป็นอีกสถานที่ใน New York ที่คนรักการถ่ายภาพสตรีทไม่ควรพลาด
ด้วยความที่สวนมีขนาดใหญ่ (มาก) ทำให้มีหลายจุดที่สวยงาม และผู้คนที่มาที่นี่ก็หลากหลาย
หากมีเวลาเดินเล่นในสวนมากพอก็จะได้เก็บ Moment ดีๆ กลับไปเยอะเชียวแหละ
Bethesda Fountain ใครเคยดูหนังเรื่องกุมภาพันธ์น่าจะพอคุ้นๆ กันบ้าง
The Lake and Loeb Boathouse
Alice in Wonderland
มีคนจูงน้องหมามาเดินเล่นกันเยอะแยะเลย
Superhero ก็มาเดินเล่นที่นี่ด้วย
พื้นที่สีเขียวกลางเมืองใหญ่แบบนี้ ดู Contrast ดี
Wollman Rink
Inside The Met
Top of the Rock
จุดชมวิวที่ควรค่าแก่การขึ้นมา (แม้ว่าค่าบัตรจะแพงมาก)
ได้ขึ้นมาถ่ายรูป Empire State มุมนี้ก็คุ้มแล้ว
น่าเสียดายที่ฝั่ง Central Park มีตึกบังเยอะไปหน่อย
มาต่อกันที่ Boston เป็นของแถมนิดหน่อยละกันครับ
พอดีเราได้มีโอกาสไปเที่ยว Boston ประมาณ 2 วัน ก่อนที่จะเข้ามา New York
เพราะโดนบังคับด้วยโปรของสายการบิน แต่ก็กลับพบว่า Boston ก็มีมุมสวยๆ และน่าเที่ยวหลากหลายที่เหมือนกัน
MIT - Massachusetts Institute of Technology
นี่คือตึกในวิทยาลัยชื่อดังอย่าง MIT เราได้เห็นภาพตึกนี้ใน Instagram ตอนหาข้อมูล Boston
แล้วก็ปักหมุดไว้เลยว่าต้องไป ไปแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ มีหลายมุมให้ได้ถ่ายรูปเพลินเลยแหละ
King Bhumibol Adulyadej of Thailand Square
ตั้งอยู่ไม่ไกล Harvard University ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ได้เดินทางมาถึง Boston
เราจึงตั้งใจที่จะมาที่นี่ เพื่อรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเมืองที่ท่านเคยประทับอยู่
Harvard University
เป็นมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วย Tourist แต่ไหนๆ ได้มาก็มาแวะลูบเท้าท่าน Johb Harvard สักหน่อย
Isabella Stewart Gardner Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่คลาสสิค และมีสวนสวยๆ อยู่ตรงกลางตึก
แม้จะไม่ใหญ่นัก และงานก็เป็นของสะสมส่วนตัวของเจ้าของพิพิธภัณฑ์เอง
แต่ถ้าชอบงานศิลปะก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งใน Boston ที่น่าสนใจครับ
Boston Common
คล้าย Central Park ใน New York ขนาดพอๆ กับสวนลุมบ้านเรา
ไว้สำหรับให้คนเมืองได้มาพักผ่อนหย่อนใจ บางทีก็มีงานอาร์ทมาจัดให้ชมด้วย
Longfellow Bridge
อยู่ใกล้กับสถานี Charles / MGH (red line) เป็นจุดชมวิวเมือง Boston ที่อยู่สองฝั่งของแม่น้ำ Charles
ยิ่งในช่วง Autumn แบบนี้ จะมองเห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่อยู่ตลอดริมแม่น้ำ แม้จะไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
แต่ถ้าชอบถ่ายรูปแนะนำให้แวะมาครับ
Acorn Street
ตรอกนี้เราก็ได้มาจากการส่อง IG เช่นกัน เป็นตรอกเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยบ้านอิฐแดง
ได้อารมณ์เหมือนอยู่ในหนังฝรั่งย้อนยุค มีนักท่องเที่ยวมาบ้างประปราย แต่รอจังหวะดีๆ ก็จะได้ภาพสวยๆ ไม่ยาก
Boston Public Library
ห้องสมุดประชาชนของ Boston ที่ออกแบบได้สวย คลาสสิค และที่สำคัญคือเข้าชมได้ฟรี
จะเข้ามานั่งอ่านหนังสือ หรือแค่เข้ามาพักเหนื่อยก็ได้ แต่อย่าลืมถ่ายรูปสวยๆ ก่อนออกมาด้วยละกัน
ปิดท้ายด้วยรูปที่สนามบิน Doha ระหว่าง Transit
และทั้งหมดนี้ก็คือรูปจากกล้องฟิล์มที่เราใช้เก็บความทรงจำดีๆ ในทริปอเมริกาครั้งแรกของเรา
ขอบคุณที่เข้ามารับชมนะครับ :-)
S(e)oul on Film : บันทึกไว้ในความทรงจำ
ไปเกาหลีรอบนี้...ไปเที่ยวไหนดีล่ะ?
จากอดีตติ่งเกาหลีที่เคยไปตามรอยซีรีส์กับทัวร์เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน
มาถึงตอนนี้ที่ไม่ค่อยมีเวลาได้ดูซีรีส์เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
ทำให้เราไม่ค่อยมีไอเดียกับสถานที่ท่องเที่ยวในเกาหลีสักเท่าไร
แต่คิดว่าเวลาผ่านไปหลายปี ก็คงมีสถานที่ใหม่ๆ ให้ไปถ่ายรูปเล่นเยอะอยู่แหละ
ด้วยความที่ไม่ได้ไปมานานและเจอตั๋วโปรโมชั่น (จองข้ามชาติ)
ปีนี้เราเลยแพลนไปถ่ายรูปใบไม้แดงที่เกาหลี ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา
หลังจากนั่งหาข้อมูลเพื่อเตรียมแพลนเที่ยว ก็พบว่าสถานที่เที่ยวที่นักท่องเที่ยว "ต้องไป" ในโซลและบริเวณใกล้เคียง
เราไปมาเกือบหมดแล้ว
งั้นออกนอกโซลไปปูซานบ้างละกัน ใบไม้แดงก็ไปดูที่อื่นที่ไม่ใช่ซอรัคซาน
ส่วนในโซล...ไม่ต้องแพลนล่วงหน้า กดดูใน IG ตรงไหนสวยๆ ก็ค่อยตามเขาไป
ครั้งนี้เราแบกกล้องฟิล์มที่เพิ่งได้มาใหม่ ไปลองใช้ในทริปนี้ด้วย
ถ่ายวิวบ้าง ถ่ายเพื่อนร่วมทริปบ้าง ถ่ายคนอื่นบ้าง
จึงอยากนำภาพบางส่วน (ที่พอจะดูได้ 555) มาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน
Camera : CONTAX G1 + Zeiss Planar 45mm F2
Film : Fuji Superior 400, Sunny 100, Fuji Venus 800, Fuji Natura 1600
Scan & Dev : AIRLAB
หากเพื่อนๆ สนใจเกี่ยวกับการถ่ายภาพ และท่องเที่ยว หรืออยากติดตามชมรีวิวเก่าๆ ของเรา
สามารถติดตามได้ที่
Facebook : Thirtywander
https://www.facebook.com/thirtywander
เริ่มต้นทริปนี้กันที่ Busan Gamcheon Culture Village
หมู่บ้านหลากสีเรียงรายกันอยู่บนภูเขา เป็นสถานที่ที่ตั้งใจว่าหากได้กลับมาที่เกาหลีจะต้องไป
ในหมู่บ้านมีมุมให้ถ่ายรูปหลายจุด หากอยากได้รูปสวยๆ ก็ต้องเดินเยอะหน่อย
นอกจากเดินเล่นถ่ายรูปแล้ว ในหมู่บ้านยังมีร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่น่ารัก
ให้ได้แวะพักหรือจะแวะถ่ายรูปสวยๆ กันก่อนก็ได้
"IT Cafe" ร้านกาแฟที่สามารถมองเห็นวิวของหมู่บ้าน ผ่านกระจกบานใหญ่
"voda vom" คาเฟ่สีขาว-น้ำเงิน เหมือนบ้านใน Santorini มีดีที่กาแฟ และวิวดาดฟ้าของร้าน
ร้านนี้อยู่ด้านบนสุดของหมู่บ้าน เดินหาได้ไม่ยาก
ปูซาน อาจจะไม่ได้มีจุดชมใบไม้แดงมากนัก แต่ถ้าให้แนะนำก็คงจะเป็น "วัด Beomosa"
เพราะวัดนี้อยู่บนภูเขา ที่รายล้อมไปด้วยใบไม้แดงเลยแหละ น่าเสียดายที่เราไปเร็วไปหน่อย
ถ้าจะมาชมใบไม้แดงที่ปูซาน แนะนำซักช่วงสัปดาห์ที่ 2 - 3 ของเดือน พ.ย. น่าจะกำลังพีค
ส่งท้ายปูซานที่ "CARIN Yeongdo Place" คาเฟ่บนเนินเขาที่วิวสวยมากกกกกกก
ตัวคาเฟ่เป็นตึก 4 ชั้น จุด Hilight อยู่ที่ชั้นดาดฟ้านี่แหละ เสียดายที่มาตอนมืดแล้วทำให้ถ่ายรูปได้ไม่มาก
วันต่อมา เราได้ไปชมใบไม้แดงที่ "Naejangsan" เป็นจุดชมใบไม้แดงยอดนิยมรองจากซอรัคซาน
Naejangsan คืออุทยานแห่งชาติ ซึ่งกว้าง และต้องเดินเยอะพอสมควร
แต่ทุกๆ จุดที่เดินผ่าน ก็สวยงาม แวะถ่ายรูปได้เรื่อยๆ
ไว้มีโอกาสจะมารีวิววิธีการเดินทางไป Naejangsan อย่างละเอียดให้ได้อ่านกันอีกที
"Uhwajeong"
สามารถขึ้น Cable car ไปชมวิว Naejangsan มุมสูงได้ด้วย
กลับมาเที่ยวในโซล แพลนกันวันต่อวัน เน้นเที่ยวสบายๆ
ไปคาเฟ่บ้าง ไปชมใบไม้แดงตามวัง ตามสวนสาธารณะบ้าง
ไม่รีบร้อน จะได้มีเวลาเดินเล่นถ่ายรูปเพลินๆ
Anthracite Coffee Roaster / Itaewon Station
Ehwa Woman University
Seoul World Cup Stadium / World Cup Stadium Station
On the way to Haneul Park
Haneul Park / World Cup Stadium Station
Huwon Garden, Changdeokgung / Anguk Station
ตอนเดินถ่ายรูปอยู่ในวังชางด๊อก และสวนฮูวอน เราเห็นคู่รักเกาหลีคู่หนึ่ง
แต่งชุดย้อนยุค เดินผลัดกันถ่ายรูปไปมา
เห็นแล้วน่ารักดี (ปนอิจฉานิดหน่อย 555) แต่ก็ไม่กล้าไปขอเขาถ่ายรูป
พอมาถึงที่สวนฮูวอน เห็นมีศาลาให้นั่งพัก ด้วยความที่แบกกล้องพะรุงพะรังจนเมื่อย เลยแวะเข้าไปนั่ง
สักพักก็เห็นคู่นี้เดินมาอีก แต่คราวนี้พุ่งตรงมาที่เราพร้อมกับยื่นมือถือให้ช่วยถ่ายรูปให้ ด้วยความยินดีอย่างมาก
หลังจากถ่ายรูปให้เขาไปได้ 4-5 รูปแล้ว เราเลยสบโอกาสขอใช้กล้องฟิล์มถ่ายรูปคู่เขามาด้วย
ทำให้รูปนี้ เป็นรูปที่เราอยากเห็นมากที่สุดหลังจากเอาฟิล์มทั้งหมดไปล้าง
น่ารักเนอะ :-)
Bukchon Hanok Village / Anguk Station
Dongdaemun Design Plaza (DDP)
onion cafe / Seongsu Station
around Seongsu Station
Seoul Forest Park / Seoul Forest Park Station
Seoul Coffee / Jongno 3-ga Station
หากสนใจอยากชมรูปจากทริปเกาหลีเพิ่มเติม
หรืออยากติดตามทริปอื่นๆ ของเราต่อ
สามารถเข้าไปติดตามได้ที่ Facebook Page : ThirtyWander
ถ้าถูกใจ รบกวนกด + กด Share ด้วยนะครับ :-)
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
Leh through my eyes : มอง "Leh" ผ่านฟิล์ม
Julley!
"Leh Ladakh" คงเป็น Dream destination สำหรับใครหลายๆ คน
หลังจากได้เห็นภาพสวยๆ จากใน Internet และได้ฟังคำบอกเล่าเรื่องราวของเมืองนี้จากหลายๆ คน
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ฝันไว้ว่าถ้ามีโอกาส ก็อยากจะไปเห็น Leh กับตาตัวเองสักครั้ง
และผมก็ได้มีโอกาสทำความฝันให้เป็นจริง
สำหรับทริปของผมครั้งนี้ ไปช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
ที่เลือกไปเที่ยวในช่วงนั้น เพราะเป็นฤดูร้อน อากาศไม่หนาวมากนัก
ดอกไม้เริ่มบาน มีต้นไม้สีเขียวให้เห็นไปทั่วเมือง แต่ก็ยังพอมีหิมะให้ได้สัมผัสบ้าง
เหมาะกับคนรักการถ่ายรูป ที่อยากจะไปเก็บภาพ Leh สักครั้ง
ผมจึงตั้งกระทู้นี้ขึ้น เพื่อนำภาพ 70 ภาพจากกล้องฟิล์ม
ที่ได้บันทึกความทรงจำจากการเดินทางครั้งนี้ มาแชร์ให้ได้ชมกัน
ถ้าพร้อมแล้ว ไปเที่ยว Leh กันครับ!
Film : Fuji PRO800z (Expired), Fuji Superior 200
Scan & Dev : AIRLAB
และนี่ก็คือรูปบางส่วนที่นำมาให้ชมกัน หากมีโอกาสสักครั้งในชีวิต
อย่าลืมจัด Lah Ladakh ไว้ในลิสต์การเดินทางของคุณด้วยนะครับ
แล้วไว้พบกันใหม่กับรีวิว Leh Ladakh แบบละเอียด
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
R O D T A N K
Model : Rodtank ( Instagram : rodtank.s )
Location : IDEO Q Ratchathewi
Camera : Sony A7ii
Lens : FE 55mm F1.8
all photos processed via Lightroom 2016 with VSCOfilm
3rd X Max
Model : Third ( Instagram : 3rd.ntk ) , Max ( Instagram : m.xzm )
Location : Asiatique
Camera : CONTAX Aria
Lens : Carl Zeiss Planar 50mm F1.4
Film : Fuji PRO400H
Pre-wedding : Pink & Gift
Location : Chiang Mai
Camera : Sony A7 & PENTAX 645 (Film)
Lens : FE 55 F1.8 , PENTAX 75 mm F2.8
all photos processed via Lightroom 2016 with VSCOfilm
MinimalMe X Leegade
All photo are taken from MinimalMe 1st Workshop
Model : Leegade ( IG : @gadd.de)
Location : Cafe House Studio
Camera : Sony A7ii
Lens : Batis 85mm F1.8
all photos processed via Lightroom 2016 with VSCOfilm