Sofitel Sydney Darling Harbour
























Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden
Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden
โรงแรมบูทีคเปิดใหม่ในเครือ IHG ที่โดดเด่นทั้งการดีไซน์ การบริการ และบรรยากาศแบบญี่ปุ่น โดยมีฉากหลังเป็นปราสาท Inuyama ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ และมีสวน Urakuen ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Jo-an โรงน้ำชาที่มีชื่อเสียงโด่งดังแห่งหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น อยู่ติดกับโรงแรมแห่งนี้ด้วย
Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden ตั้งอยู่ที่เมือง Inuyama จังหวัด Aichi ใช้เวลาเดินทางด้วยรถไฟ Meitetsu เพียง 30 นาที จากสถานี Nagoya โดยโรงแรมเพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อเดือนมีนาคมปี 2022 มีห้องพักทั้งหมด 156 ห้อง ซึ่งการออกแบบของโรงแรมได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเมือง Inuyama ผสมผสานกับความ Modern และความ Stylish ซึ่งเป็น Signature ของ Hotel Indigo ทำให้ภาพรวมของที่นี่มีความเป็นญี่ปุ่นสมัยใหม่ ตอบโจทย์คนรักงานดีไซน์และเหมาะกับการมาพักผ่อน เพราะนอกจากความสวยงามของสถานที่และบรรยากาศโดยรอบของโรงแรมแล้ว Facilities ภายในโรงแรมก็ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Fitness และ Onsen ขนาดใหญ่ที่เปิดให้บริการกับแขกที่เข้าพักฟรี, "Indigo Home Kitchen Yamateras" ที่ให้บริการอาหารและเครื่องดื่มตลอดทั้งวัน รวมถึงเสิร์ฟอาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้าพักด้วย
ในส่วนของห้องพัก จะเริ่มต้นที่ห้อง Standard ขนาด 35 ตร.ม. เป็นห้องที่มีจำนวนมากที่สุดของโรงแรม โดยห้อง Standard จะมีวิวแยกย่อยแตกต่างกันไป ทั้งวิวปราสาท Inuyama , วิวแม่น้ำ Kiso , วิวสวน Urakuen และมีห้อง Suite ขนาด 51 และ 70 ตร.ม. ซึ่งเป็นห้องที่ใหญ่และแพงที่สุดของโรงแรม ห้องที่เราได้มาพักในครั้งนี้ เป็นห้อง Standard River View ซึ่ง Room type นี้จะมีเพียงชั้นละ 2 ห้องเท่านั้น จุดเด่น คือ จะมองเห็นวิวแม่น้ำ Kiso และนั่งชมพระอาทิตย์ตกดินจากภายในห้องได้ ด้วยความที่โรงแรมเพิ่งเปิดมาได้เพียง 1 ปี ทำให้ทุกอย่างยังดูใหม่ อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องทันสมัยทั้ง Smart TV, การควบคุมม่านและไฟภายในห้อง , ในส่วนของห้องน้ำจะแบ่งเป็น Shower room และห้องสุขา (ไม่มีอ่างอาบน้ำ) ภายในมี Walk-in closet แยกเป็นสัดส่วน การตกแต่งภายในห้องพักก็คุม Theme ของโรงแรมได้ดี ทั้งความเป็นญี่ปุ่นและการใช้สีสันต่างๆ ที่สวยงามลงตัว รับรองว่าถ่ายรูปสวยแน่นอน
สำหรับห้องอาหาร Yamateras เราได้ใช้บริการทั้งมื้อเย็น ซึ่งจะเสริฟแบบ A la carte หรือ Set Menu มีทั้งเมนูอาหารญี่ปุ่น, Pasta, Salad และสเต็กให้เลือกสั่งหลายเมนู ส่วนอาหารเช้าจะเป็น Buffet line ที่มีทั้ง Salad, Pastry, เครื่องดื่มต่างๆ และมี Main Course ให้สั่งคนละ 1 เซ็ต จะเลือกอาหารเช้าแบบญี่ปุ่น หรือแบบ International ก็ได้ โดยเราเลือกเป็นเซ็ตแบบญี่ปุ่น มีปลาย่างเป็นจานหลัก รวมถึงข้าวและเครื่องเคียง มาในเซ็ตที่ตกแต่งอย่างสวยงามตามสไตล์ญี่ปุ่น
Facilities ที่เป็นจุดเด่นของโรงแรม คือ Onsen ที่มีขนาดใหญ่และหรูหรามาก โดยแขกที่เข้าพักสามารถเข้าใช้บริการได้ฟรี โดยห้อง Onsen จะแยกชาย-หญิง ภายใน Onsen จะมีบ่อน้ำร้อนแบบ Indoor 1 บ่อ และบ่อกลางแจ้งอีก 1 บ่อ มีบ่อน้ำเย็น และซาวน่า ซึ่งถือว่าครบครันและตอบโจทย์คนที่อยากมาพักผ่อนและแช่บ่อน้ำร้อนในโรงแรมแบบนี้ ส่วนคนรักการออกกำลังกายก็มีห้อง Fitness อยู่บริเวณชั้น 1 ของโรงแรม ใกล้กับทางเข้า Onsen ให้บริการตลอด 24 ชม.
จากประสบการณ์ที่ได้เข้าพักที่ Hotel Indigo Inuyama Urakuen Garden ต้องบอกว่าเกินความคาดหมายไปมาก ทั้งเรื่องการบริการ ความสวยงามของสถานที่และบรรยากาศโดยรวม เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่เราอยากแนะนำหากใครได้มาเที่ยวแถว Nagoya และอยากหาที่พักผ่อนสบายๆ ไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก ในราคาที่จับต้องได้ รับรองว่าที่นี่ตอบโจทย์การพักผ่อนแน่นอนครับ
ราคาห้องพักเริ่มต้น : 34,xxx เยน (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงได้ แล้วแต่ช่วงเวลาที่เข้าพัก)
Website : https://www.ihg.com/hotelindigo/hotels/th/th/inuyama/iunkj/hoteldetail
พิกัด : https://goo.gl/maps/NN2co4n51SUViBSL8?coh=178572&entry=tt
นั่งรถไฟ Meitetsu จากสถานี Meitetsu Nagoya มาลงที่สถานี Inuyamayuen เดินต่อมาอีกประมาณ 10 นาทีก็จะถึงโรงแรม
หากใครเช่ารถขับมา ด้านหน้าโรงแรมมีที่จอดรถให้บริการ
เดินทางจาก Nagoya ด้วยรถไฟ Meitetsu มาลงที่สถานี Inuyamayuen (ออกทาง West Exit)
ทางเดินไปโรงแรมเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ มีต้นซากุระเรียงรายตลอดทาง
เดินจากสถานีประมาณ 500 เมตร จะเจอป้ายทางเข้าโรงแรมแบบนี้
บริเวณทางเข้าตัวอาคารของโรงแรม จะมีพนักงานเดินออกมาต้อนรับเราที่นี่
ผ่านประตูเข้ามาเราจะได้พบกับ Lobby ที่มองเห็นวิวปราสาท Inuyama แบบเต็มตา
เข้าประตูมาทางฝั่งซ้ายจะเป็นเคาน์เตอร์ Check-in
เนื่องจากเราเป็นสมาชิก IHG ทางพนักงานจึงให้มานั่งรอบริเวณนี้ เพื่อเตรียมเอกสารสำหรับ Check-in
อีกฝั่งของ Lobby จะเป็นบาร์ และส่วนของห้องอาหาร Yamateras
หลังจาก Check-in เรียบร้อย พนักงานจะพาไปส่งที่ห้องพักของเรา และนี่คือบริเวณโถงลิฟต์
ห้องพักของเราอยู่บนชั้น 3 เป็นห้อง Standard River View ซึ่ง Room type นี้จะมีเพียงชั้นละ 2 ห้องเท่านั้น
ซึ่งห้องนี้จะเดินเข้ามาลึกและค่อนข้างไกลจากลิฟต์พอสมควร
บริเวณหัวเตียงเป็นภาพวาดปราสาท Inuyama ลายเส้นสวยงาม
บริเวณปลายเตียงจะมีโซฟา Smart TV และโซน Minibar (น้ำดื่มเป็นขวดกระดาษ สามารถโทรขอเพิ่มได้)
วิวแม่น้ำ Kiso จากระเบียงห้องพักของเรา
สามารถชมพระอาทิตย์ตกจากห้องพักได้เลย
มาชมบรรยากาศในส่วนต่างๆ ของโรงแรมกันบ้างครับ เริ่มจากห้องอาหาร Yamateras ซึ่งอยู่ติดกับ Lobby บริเวณชั้น 1
บริเวณทางเข้าห้องอาหาร ในมื้อเช้าทางฝั่งขวาที่ปิดบานเลื่อนไว้ จะเป็นส่วนของ Buffet Line
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
ที่นั่งโซน Outdoor ของห้องอาหาร
มองไปทางฝั่งซ้ายจะเห็นอาคารและห้องพักทั้งหมดของโรงแรม
มา Dinner พร้อมกับชมวิวปราสาท Inuyama ในช่วงพระอาทิตย์กำลังตก
หน้าตาของ A la carte menu ที่เราสั่งมาสำหรับ Dinner
บรรยากาศยามเย็นบริเวณ Lobby
นอกจากนี้ยังมีห้อง Ballroom สำหรับจัดประชุม / งานเลี้ยงต่างๆ
Fitness ของโรงแรม เปิดให้บริการตลอด 24 ชม.
Locker ภายใน Onsen มีผ้าเช็ดตัวทั้งผืนเล็กและผืนใหญ่ให้บริการ
บรรยากาศบริเวณโซนแต่งตัวใน Onsen (ไม่ได้ถ่ายรูปใน Onsen มาให้ชมนะครับ สามารถดูได้จาก Website โรงแรม)
ทางเข้าสวน Urakuen อยู่ติดกับโรงแรม สามารถเข้าชมสวนได้ฟรี เพียงโชว์ Key card ห้องพักของเราให้เจ้าหน้าที่
ภายในสวนมีโรงน้ำชาแบบญี่ปุ่นให้บริการ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
วิวสวยๆ จากห้องอาหารในยามเช้า
เซ็ตอาหารเช้าแบบญี่ปุ่น จัดเต็มและอิ่มสุดๆ ไปเลย
ถ่ายรูปที่ Lobby ส่งท้ายก่อนกลับ
Intercontinental Khao Yai Resort : Luxury & Peaceful place on the hill.
Intercontinental Khao Yai Resort
รีสอร์ทเปิดใหม่ในเครือ IHG ที่คราวนี้เลือก Location ยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวที่รักธรรมชาติอย่าง "เขาใหญ่" เหมาะแก่การมาพักผ่อน สูดอากาศบริสุทธิ์ และเสพการออกแบบที่โดดเด่นของ Bill Bensley สถาปนิกชื่อดังที่เป็นผู้ออกแบบโรงแรม และรีสอร์ทหรูหลายแห่งทั่วโลก ซึ่งการออกแบบครั้งนี้ใช้ Theme ของการรถไฟในสมัยรัชกาลที่ 5 ผสมผสานกับความ Modern ในแบบตะวันตก สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างสวยงาม และมี Detail ที่น่าสนใจในหลายจุด โดยเฉพาะการออกแบบภายในของห้องพัก ที่ให้บรรยากาศเหมือนนอนอยู่บนตู้รถไฟ รวมถึงห้องพักแบบ Suite และ Villa ที่อยู่บนตู้รถไฟที่สร้างขึ้นมาใหม่ ให้ความเป็นส่วนตัว และแปลกใหม่เหมือนได้เดินทางด้วยรถไฟทางไกล ท่ามกลางธรรมชาติที่สงบและสวยงาม
เมื่อมาถึงรีสอร์ทจะเจอกับ "สถานีเขาใหญ่" เป็นอาคารที่ออกแบบเหมือนสถานีรถไฟสมัยก่อน ซึ่งเป็นส่วน Lobby ของรีสอร์ท ภายในแบ่งเป็นสองส่วน คือ บริเวณเคาน์เตอร์ check-in และส่วนของห้องพักของนายสถานี มีเตียง 2 ชั้น และมุมทำงานของนายสถานีให้เราได้นั่งถ่ายรูปเล่นระหว่างรอ โดยที่พักของที่นี่มีทั้งหมด 45 ห้อง โดยเป็นห้องพักแบบ Classic และ Suite กระจายอยู่บน 3 อาคาร และส่วนของตู้รถไฟ ที่จะอยู่ลึกเข้าไปด้านในของรีสอร์ท เป็นห้องแบบ Suite และ Pool Villa ซึ่งแม้จะเป็น Room type เดียวกัน แต่การออกแบบภายในของแต่ละห้องก็จะมีความแตกต่างกันไปทั้งสีสัน และสไตล์การออกแบบ
เราได้มาพักที่นี่ 2 คืน ในห้องแบบ 1 King Classic Lake View ซึ่งเป็นห้องพักที่อยู่บนอาคาร จุดเด่นของห้องนี้ คือ วิว Lake เต็มตาที่มองเห็นได้จากระเบียงห้อง ภายในตกแต่งเหมือนอยู่บนตู้นอนรถไฟ Amenities ของโรงแรมใช้ของแบรนด์ Byredo ซึ่งเหมือนกันกับโรงแรม Intercontinental ที่อื่นๆ ในไทย ภายในห้องแบ่งสัดส่วนเป็นอย่างดี ทั้งส่วนของห้องน้ำที่กะทัดรัด ออกแบบเหมือนบนรถไฟ ส่วนของ Walk-in closet มีพื้นที่ให้แขวนเสื้อผ้าและวางกระเป๋าเดินทาง
ภายในรีสอร์ทยังมีห้องอาหารทั้งหมด 4 ห้อง เริ่มกันที่ Tea Carriage ห้องน้ำชาบนรถไฟที่ออกแบบได้สวยและคลาสสิกมาก มี Set Afternoon Tea รวมถึงเครื่องดื่มหลากหลายให้บริการ , Somying's Kitchen ห้องอาหารเช้า Buffet และ all day dining restaurant ที่มีให้เลือกทั้งอาหารไทย และ International , Poirot ห้องอาหารฝรั่งเศสบนรถไฟในบรรยากาศเหมือนอยู่บนขบวนรถ First class ของ Oriental express เสิร์ฟอาหารแบบ Formal French Dining และ Papillon Bar บาร์สุดเท่ที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม Signature สูตรเฉพาะของที่นี่ ในบรรยากาศชิลๆ บนตู้รถไฟสุดคลาสสิก ซึ่งห้องอาหารทั้งหมดนี้ แขกภายนอกสามารถเข้ามาใช้บริการได้เช่นกัน แต่แนะนำให้จองโต๊ะล่วงหน้ามาก่อนนะ
นอกจากนี้ ในแต่ละวันยังมีกิจกรรมพิเศษที่จัดให้แขกที่เข้าพักได้เข้าร่วม อย่างวันที่เราไปพักจะมี Naturalist tour ซึ่งถ้าใครมาพักที่นี่เป็นครั้งแรกแนะนำให้ลองเข้าร่วมดู เพราะไกด์ทัวร์จะเล่าประวัติความเป็นมาตั้งแต่เริ่มสร้างรีสอร์ท พาชมสัตว์และต้นไม้ชนิดต่างๆ ที่ล้วนแต่ผ่านกระบวนการคิด และดูแลสิ่งเหล่านี้มาเป็นเวลากว่า 10 ปี กว่าจะได้ Landscape ภายในรีสอร์ทที่สวยงามอย่างที่เราได้เห็นกันในปัจจุบันนี้
หากกำลังมองหาสถานที่พักผ่อนสำหรับวันหยุดที่ใกล้จะถึงนี้ Intercontinental Khao Yai เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี โดยส่วนตัวที่นี่เป็นอีกรีสอร์ทที่เราประทับใจหลายอย่าง โดยเฉพาะบรรยากาศ และการออกแบบที่ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย มีกิจกรรมมากมายให้ทำ มีห้องพักหลากหลายแบบให้เลือก รวมถึงการบริการที่ดีสมมาตรฐานของโรงแรมในเครือ IHG ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามไปอ่านได้ในรีวิวนี้เลยครับ
บริเวณทางเข้ารีสอร์ท
บริเวณจุด Drop off เปรียบเสมือนบริเวณด้านหน้าทางเข้าสถานีรถไฟ
ออกแบบได้สวยงามและมีความ Vintage
ก่อนจะเดินเข้าไปก็สั่นกระดิ่งให้พอเป็นพิธีสักหน่อย
บริเวณ Lobby ของรีสอร์ท จำลองเป็นสถานีรถไฟเขาใหญ่
ที่มีทั้งส่วนที่นั่งพักของผู้โดยสาร และห้องพักของนายสถานี
เราจะมา check-in กันที่บริเวณนี้
มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูประหว่างรอ check-in
ในส่วนของห้องพัก อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าจะมีห้องพักแบบ Classic และ Suite อยู่บนอาคารทั้งหมด 3 อาคาร ได้แก่ ปากช่อง (อยู่ติดกับ Lobby) , ซับม่วง (อยู่ติดกับ Lake) และ บันไดม้า (อยู่ใกล้ห้องอาหารสมหญิง) และอีกโซนจะเป็นส่วนของห้องพักที่อยู่ในโบกี้รถไฟ มีทั้งห้อง Suite และ Villa โดยห้องที่เรามาพักเป็นห้องแบบ 1 King Classic Lake View จุดเด่นของห้องพักแบบนี้ คือ จะมองเห็นวิว Lake แต่ขนาดห้องจะไม่แตกต่างกับห้อง Classic ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้น ซึ่งเราได้มาพักห้อง Type นี้ทั้ง 2 ครั้งแต่อยู่กันคนละตึก ทำให้เห็นวิว Lake ที่แตกต่างกัน ใครชอบวิวแบบไหนก็ลอง Request กับทางรีสอร์ทตอนจองได้นะ
Lake view จากอาคารซับม่วง อยู่ใกล้กับ Lake มาก มองไปเห็นห้องน้ำชา Tea Carriage
Lake view มุมสูงจากอาคารปากช่อง มองเห็นวิวภายในรีสอร์ทได้กว้างขวางกว่า
บรรยากาศภายในห้องพักแบบ Classic จะมี Layout ที่เหมือนกัน แต่ต่างที่รายละเอียดและการใช้สีสันของแต่ละห้อง
บริเวณผนังตกแต่งสวยงาม เหมือนนอนอยู่ในโบกี้รถไฟหรู
บริเวณระเบียง เป็นจุดที่เราชอบมานั่ง โดยเฉพาะตอนเย็นถึงค่ำที่อากาศจะเย็นสบาย
และระเบียงของห้องก็เป็นอีกหนึ่งจุดที่ถ่ายรูปสวย
ห้องสุขาเล็กกะทัดรัด เหมือนห้องสุขาบนรถไฟจริง
พามาชมบรรยากาศที่ห้องน้ำชากันบ้างครับ
โรงน้ำชานี้เขาเอาโบกี้รถไฟมาตกแต่งใหม่ให้สวยงาม
ที่นั่งภายในโบกี้รถไฟ
ที่นั่งด้านนอก
วิวยามบ่ายจากโรงน้ำชา มองเห็นอาคารซับม่วงและ Lake
Afternoon tea set ราคาไม่แรง แขกภายนอกสามารถเข้ามาทานได้ (ต้องจองมาก่อนนะครับ)
หรือถ้าใครไม่อยากทานเยอะ ก็มีเมนูเครื่องดื่มขายแยกเช่นกัน
ถัดมาไม่ไกลจะเป็นโบกี้ของห้องอาหาร Poirot ห้องอาหารฝรั่งเศสที่เสิร์ฟอาหารแบบ Formal French Dining และ Papillon Bar บาร์สุดเท่ที่เสิร์ฟเครื่องดื่ม Signature สูตรเฉพาะของที่นี่
บรรยากาศภายใน Papillon Bar
บรรยากาศภายใน Papillon Bar
แวะมาจิบเครื่องดื่มดีๆ ถ่ายรูปสวยๆ ในช่วงค่ำได้
ส่วน Breakfast เสิร์ฟที่ห้องอาหารสมหญิง เป็น International Buffet ซึ่งมีอาหารให้เลือกหลากหลาย
บรรยากาศภายในห้องอาหารสมหญิง
บรรยากาศภายในห้องอาหารสมหญิง
แนะนำว่า Croffle ทานคู่กับ Homemade jam คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด
Egg Benedict ก็ต้องสั่งนะ
Pool bar และสระว่ายน้ำของรีสอร์ทอยู่ติดกับห้องอาหารสมหญิง
สระขนาดไม่ใหญ่นัก มีโซนจากุชชี่ให้แช่ด้วย
Fitness ของรีสอร์ทเปิด 24 ชม.
บรรยากาศภายใน Fitness
Highlight สุดท้ายที่ไม่อยากให้พลาด คือ การเดินเล่นรอบ Lake ของรีสอร์ท
มองเห็นโซนที่พักแบบโบกี้รถไฟ
ระหว่างเดินเล่นเราก็จะเจอหงส์มากมายทั้งว่ายน้ำและเดินโชว์ตัวให้เราได้ถ่ายรูปอย่างใกล้ชิด
ถ้ามาตรงกิจกรรม Naturalist ทัวร์ในช่วงสายของวัน จะมีให้อาหารปลาใน Lake ด้วยนะ
และนี่ก็คือภาพรวมบรรยากาศของรีสอร์ทที่เราประทับใจมากอีกที่หนึ่งในประเทศไทย
แนะนำให้มาลองสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ที่นี่กันสักครั้งนะครับ
VOCO Seoul Gangnam : บูทีคโฮเทลสุดเก๋ในเครือ IHG
VOCO Seoul Gangnam
บูทีคโฮเทลในเครือ IHG ที่เพิ่งเปิดให้บริการที่โซลไม่นานมานี้ สำหรับ "VOCO Seoul Gangnam" โรงแรม 4 ดาวที่โดดเด่นด้วยการออกแบบ และทำเลที่สะดวกสบายในการเดินทาง
เราได้มีโอกาสมาเข้าพักเป็นเวลา 2 คืน เหตุผลแรกที่ตัดสินใจเลือกที่นี่ คือ การออกแบบที่ดูเรียบหรู สวยงาม ตั้งแต่ Lobby ไปจนถึงห้องพักแบบต่างๆ ด้วยความที่เราเป็นสมาชิก IHG ระดับ Diamond ก็จะได้สิทธิพิเศษอยู่หลายอย่าง ตั้งแต่การจองห้องพักที่เราจองผ่าน application IHG ซึ่งจะได้เรทราคาพิเศษสำหรับสมาชิก และยังได้รับการ upgrade ห้องพัก จากห้องเริ่มต้นที่จองมา ไปเป็นห้อง Premium One King Bed with Hinoki Bath ขนาด 30 ตร.ม. ซึ่งความพิเศษของห้องนี้คือภายในห้องน้ำ จะมีอ่างอาบน้ำไม้ สไตล์ญี่ปุ่น ให้เราได้แช่เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าหลังจากออกไปเดินเที่ยวมาทั้งวัน และสิทธิพิเศษของสมาชิกระดับ Diamond อีกอย่างหนึ่งก็คือ เราจะได้อาหารเช้าฟรีเพิ่มมาด้วย บอกเลยว่าอาหารเช้าของที่นี่ก็จัดเต็มและดีเกินความคาดหมายของเราไปด้วยเช่นกัน
Location ของโรงแรมก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราตัดสินใจเลือกที่นี่ เพราะโรงแรมอยู่ใกล้สถานี Sinsa และย่าน Garosugil ซึ่งเป็นย่านที่เหมาะแก่การมาเดินชมใบแปะก๊วยในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเป็นอย่างมาก รวมถึงมีร้านค้า ร้านอาหาร แหล่ง shopping ยาวไปจนถึงย่าน Apgujeong ที่อยู่ถัดไปไม่ไกล มีห้าง Lotte และช็อป brandname มากมายให้ได้ช็อปกันทั้งวัน และตัวโรงแรมยังอยู่ติดกับโรงพยาบาล ID โรงพยาบาลศัลยกรรมชื่อดังของเกาหลี บอกเลยว่าที่ VOCO ก็ตอบโจทย์มากสำหรับคนที่จะมาพักฟื้นหลังทำศัลยกรรมที่นี่ได้เช่นกัน
บรรยากาศบริเวณบาร์ของโรงแรม
ทางเข้าโรงแรมมี Mascot ของแบรนด์ Voco เป็นรูปนกตั้งอยู่
บรรยากาศบริเวณ Lobby ตกแต่งได้อย่างเรียบหรูดูดี เราชอบการเลือกใช้โทนสีของเขามาก
บรรยากาศภายในห้องพัก
ห้องพักของที่นี่จะเป็นห้องหน้าแคบลึกเข้าไปด้านใน มีการใช้ Partition เป็นกระจกกั้นระหว่างโถงทางเข้ากับส่วนของห้องนอน ซึ่ง Partition นั้นก็จะทำหน้าที่เป็นบานประตูของตู้เสื้อผ้า Built in ด้วย
วิวจากห้องของเราสามารถมองเห็น Seoul tower ได้อย่างชัดเจน
และนี่คือไฮไลท์ของห้อง Hinoki Bath เล็กๆ ที่อยู่ภายในห้องน้ำ
อีกฝั่งของห้องน้ำจะมี Shower room
ห้องอาหารหลักของโรงแรมจะอยู่บริเวณชั้น 1 ด้านหลัง Lobby
ภายในห้องอาหารตกแต่งได้สวยงาม คุมโทน และเลือกใช้สีสันเหมือนกับบริเวณ Lobby
Buffet Line ถือว่าจัดเต็มและหลากหลายมาก มีทั้งอาหารเกาหลี พร้อมเครื่องเคียง , American Breakfast , Salad bar ,Pastry และ Egg Station แนะนำว่าควรจองแบบมีอาหารเช้ามาด้วยนะครับ คุ้มมากๆ (ส่วนใครเป็น Diamond แล้วได้อาหารเช้าฟรีด้วย ถือว่าคุ้มสุด)
หน้าตาอาหารเช้าของเรา
และนี่เป็นภาพรวมของ VOCO Seoul Gangnam อีกโรงแรมหนึ่งที่ออกแบบได้สวยงาม ใหม่ เดินทางสะดวก และ ที่สำคัญราคาไม่แพงอย่างที่คิด เพราะเราจองมาในราคาห้องเริ่มต้นประมาณ 3,7xx - 4,xxx บาท ต่อคืน (แล้วแต่โปรโมชั่นที่เพื่อนๆ จะจองมาได้นะ) หากใครสนใจมาพักและอยากจะมานอนที่นี่มากกว่า 1 คืน ก็แนะนำสมัครสมาชิก IHG เพื่อจะได้เก็บแต้ม เก็บไนท์ สะสมไว้แลกห้องพักฟรีในอนาคตได้ ถือว่าคุ้มค่ามากเลยทีเดียว
Park Hyatt Seoul : พาชมโรงแรมหรูที่สายถ่ายรูปต้องรัก
Park Hyatt Seoul
เป็นอีกโรงแรมที่เราได้พักในทริปโซลที่ผ่านมา และอยากจะมาแนะนำ (อย่างยิ่ง) ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามกัน ที่โรงแรม Park Hyatt Seoul ซึ่งจุดเด่นของที่นี่มีหลายอย่างมาก เริ่มตั้งแต่ Location ของโรงแรมที่อยู่ตรงข้ามกับ COEX Mall ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของเกาหลี ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง Starfield Library สามารถเดินทางไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบายเพราะด้านหน้าโรงแรมติดกับ Subway สถานี Samseong (สาย 2) ซึ่งอยู่ห่างจาก Gangnam เพียง 4 สถานี และสามารถนั่งต่อไปช็อปปิ้งที่สถานี Hongik Univ. กันได้ยาวๆ หรือจะไปสนามบินก็สะดวกสบาย
จุดเด่นต่อมาและเป็นเหตุผลหลักที่เราเลือกที่นี่ คือ การออกแบบของโรงแรมที่มีความสวยงาม ตั้งแต่ Lobby บริเวณชั้น 24 ซึ่งอยู่ติดกับ The Lounge ห้องอาหารเกาหลีและเป็นห้องเดียวกับที่เสิร์ฟ Afternoon tea ในช่วงบ่าย การออกแบบของที่นี่เน้นการใช้สีแนว Earth tone ตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และเน้นการใช้กระจกบานใหญ่โดยรอบเพื่อให้แขกที่มาเข้าพักสามารถชมวิวมุมสูงของกรุงโซลได้อย่างเต็มตา
ถัดมาคือห้องพักของเรา ห้อง 1 King Bed High Floor ซึ่งอยู่บนชั้น 17 เป็นห้องมุมห้องเดียวที่อยู่ติดกับลิฟท์ ไฮไลท์ของห้องพักที่นี่ คือ ทั้งห้องจะรายล้อมไปด้วยกระจกบานใหญ่ สามารถชม City view ที่มองเห็นได้จากหลายมุมของห้อง ทั้งจากเตียงนอน, Living area ซึ่งมองเห็นวิวตึก COEX mall และบริเวณโดยรอบ, วิวกรุงโซลที่มองเห็นได้จากอ่างอาบน้ำ รวมถึงการออกแบบพื้นที่ใช้สอย การเลือกใช้ของและเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ ภายในห้องที่ดูเรียบหรู ใช้ Amenities ของ BALMAIN และการควบคุมไฟและม่านด้วยระบบไฟฟ้า
ส่วน Facility ของโรงแรมจะอยู่ที่ชั้น 23 มี Fitness และสระว่ายน้ำ ที่มองเห็นวิวเมืองแบบ Panorama, Spa ของโรงแรม ภายในมีห้อง Locker แยกชายและหญิง จะมีทั้งอ่างจากุชชี่และห้องซาวน่าให้ใช้บริการ (ส่วนนี้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
อาหารเช้าจะเสิร์ฟที่ห้องอาหาร Cornerstone ซึ่งอยู่บริเวณชั้น 2 มีทั้งโซน Buffet ที่ในไลน์จะมีทั้ง Pastry, Salad, Cold cut และน้ำผลไม้คั้นสด รวมถึง a la carte menu ซึ่งจะเป็นอาหารเกาหลีกว่า 10 รายการ ทั้งข้าวหน้าเนื้อ (บุลโกกิ) , ข้าวหน้าหมูผัดซอสเผ็ด, มันดู (เกี๊ยวเกาหลี) และเมนูซุปต่างๆ
จุดเด่นสำคัญอีกอย่าง คือ การบริการของพนักงาน ตั้งแต่เดินทางมาถึงบริเวณ Front ด้านล่างของโรงแรม การจัดการดูแลต่างๆ ตั้งแต่การ check-in, ขณะเข้าพัก และบริการตามห้องอาหารต่างๆ ถือว่าทำได้ดีมาก
สำหรับราคาห้องพัก จะเริ่มต้นที่ประมาณ 420,000 KRW รวมอาหารเช้า (อาจแตกต่างกันไปตามช่วงเวลาและโปรโมชั่น) เมื่อเทียบกับทำเลและประสบการณ์ที่ได้จากการเข้าพักแล้ว โดยส่วนตัวเราว่าคุ้มค่า และแนะนำให้มาลองสัมผัสประสบการณ์เข้าพักที่นี่ดูสักครั้งครับ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมในแต่ละส่วนของโรงแรม สามารถตามอ่านกันได้ด้านล่างนี้เลยครับ
เริ่มที่การเดินทางมาโรงแรมด้วย subway ลงสถานี Samseong Exit 1 มีลิฟท์ที่ทางออกนี้ด้วย
ขึ้นมาก็จะเจอทางเข้าโรงแรมเลยครับ สะดวกมาก
บริเวณทางเข้าโรงแรม ชั้นนี้จะเป็น Front ต้อนรับ ส่วน Lobby ต้องขึ้นลิฟท์ไปชั้น 24
ออกจากลิฟท์มาบนชั้น 24 จะเจอ Counter check-in อยู่ติดกับห้องอาหาร The Lounge
บรรยากาศบริเวณห้องอาหาร The Lounge
ห้องพักของเราวันนี้อยู่ที่ชั้น 17 ครับ
เปิดประตูห้องเข้ามาก็เจอกับมุมนี้เลย เป็นส่วนของเตียงนอนและ Living area อยู่รวมกัน
ห้อง 1701 ของเราอยู่มุมตึกห้องเดียวโดดๆ เลย ได้วิว COEX Mall และมองเห็นพระอาทิตย์ตกได้เต็มๆ
ทางโรงแรมเตรียม Complimentary Wine ไว้ต้อนรับด้วย
จิบไวน์ไปพร้อมกับชมพระอาทิตย์ตกกลางกรุงโซล มันช่างดีจริงๆ
มองจากฝั่งเตียงมาจะเจอโทรทัศน์ และมุม Minibar ทางขวา
ส่วนด้านหลังโทรทัศน์จะเป็นมุมอ่างล้างหน้าและกระจก
เดินลึกเข้ามาด้านในจะเจอห้องสุขาอยู่ขวามือ ในสุดจะเป็นอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่และมุม Shower
Amenities ของ BALMAIN กลิ่นหอมดีครับ
ใกล้กับมุม Minibar เปิดออกมาจะเป็นตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่
ต่อไปเราจะพาชม Facility ของโรงแรมที่ชั้น 23 กันครับ
บริเวณทางเดินมีมุมที่นั่งไว้ให้ มองเห็นวิวเมืองสวยๆ
เดินเข้ามาด้านในจะมีเคาน์เตอร์เสิร์ฟเครื่องดื่ม สามารถสั่งกับพนักงานได้ (มีค่าบริการเพิ่ม)
จากจุดนี้ไปสระว่ายน้ำกับฟิตเนส ต้องขึ้นบันไดไปอีกชั้น
ฟิตเนสกว้างขวาง วิวดี และมีเครื่องออกกำลังให้พอสมควร
ติดกับฟิตเนสจะเป็นสระว่ายน้ำที่สวยและวิวดีมาก
เป็นอีกจุดถ่ายรูปสวยๆ ภายในโรงแรม
มื้อเช้าของโรงแรมจะมาทานที่ห้องอาหาร Cornerstone ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2 ครับ
ส่วนนี้จะเป็น Buffet Line
บริเวณนี้จะเป็นส่วนของ Chef ที่ทำเมนู a la carte
หน้าตาอาหารเช้าของเรา มีทั้งอาหารเกาหลีและ อาหารมาตรฐาน Buffet โรงแรม
มาปิดท้ายกันด้วย Afternoon tea ที่ห้องอาหาร The Lounge บริเวณชั้น 24 ของโรงแรมกันครับ
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
เป็นห้องอาหารที่วิวสวยที่สุดของโรงแรม
เนื่องจากในแพ็คเกจของเราได้ Hotel Credit มา 100 USD เลยตัดสินใจมาใช้กับ Afternoon tea ของโรงแรม
ซึ่งช่วงที่เราไปจะเป็นธีม Chocolate Afternoon Tea ซึ่งเมนูที่เสิร์ฟจะมีส่วนประกอบเป็นช็อคโกแลตทั้งหมด
ราคารวม Sparkling wine 1 แก้ว = 64,000 KRW (ต่อคน)
มีใบชาให้เลือกอยู่ประมาณ 4-5 ชนิด
หน้าตา Afternoon tea ของเรา
City view จากห้องอาหาร The Lounge
และนี่ก็คือบรรยากาศโดยภาพรวมของ Park Hyatt Seoul ครับ โดยส่วนตัวค่อนข้างประทับใจ และเหนือความคาดหมายกับเรื่องการบริการ บรรยากาศและความสวยงามภายในโรงแรม ที่สำคัญ คือ เดินทางสะดวก และอยู่ติดกับ COEX Mall ใครชอบช็อปปิ้งถูกใจแน่นอน และโรงแรมก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก คุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ
สำหรับค่าห้องที่เราจองมา เนื่องจากเราใช้บัตรเครดิต American Express และโรงแรมนี้อยู่ในเครือ Fine Hotels ของ AMEX ทำให้การจองครั้งนี้ได้สิทธิประโยชน์เพิ่มเติมหลายอย่างเมื่อจองผ่าน AMEX platinum center ทั้งการ Upgrade ห้องพัก, early check-in และ late check-out รวมถึง Hotel Credit 100 USD ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ใช้บริการนี้ ประทับใจในความคุ้มค่าจริงๆ ครับ
Waldorf Astoria : Best Luxury Staycation in Bangkok
หากถามเราว่า Luxury Hotel ในกรุงเทพที่เราชอบมีที่ไหนบ้าง รับรองได้ว่า Waldorf Astoria Bangkok ต้องเป็น 1 ใน Top 3 ของโรงแรมที่เราประทับใจมากที่สุดในกรุงเทพ ทั้งทำเลที่สะดวกสบาย อยู่ใจกลางเมืองอย่างราชดำริ เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวก ที่นี่ยังมีความโดดเด่นในด้านการออกแบบสถาปัตยกรรม / ความสะดวกสบายของห้องพัก / วิวที่สวยมากโดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตก และที่สำคัญคือการบริการที่ดีงาม สมคำว่า Luxury อย่างแท้จริง
เราได้มาพักที่นี่เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว โดยเลือกพักห้อง Deluxe Park View ที่มองเห็นวิวของราชกรีฑาสโมสรได้อย่างเต็มตา ภายในห้องกว้างขวาง ตกแต่งและใช้สีสันได้ดูหรูหราสมกับความเป็น Luxury Hotel อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน จุดที่เราชอบ คือ ผ้าม่านที่สามารถเปิดอัตโนมัติเมื่อเราเข้ามาในห้อง และปิดให้เมื่อเราออกจากห้องไปสักพักหนึ่ง, ห้องน้ำมีเครื่องสุขภัณฑ์ระบบอัตโนมัติ ห้องน้ำแยกทั้งส่วนห้องสุขา / ห้อง Shower และอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ Amenities ใช้ของแบรนด์ Salvatore Ferragamo มี Walk-in closet และ Minibar ไว้บริการ
ในส่วนของ Facility ที่ไม่ควรพลาดที่จะมาใช้บริการ (และถ่ายรูปสวยๆ) คือ สระว่ายน้ำของโรงแรม ที่ออกแบบมาอย่างสวยงาม อุณหภูมิน้ำภายในสระปรับให้อุ่นเหมาะกับสภาพอากาศ มีโซนจากุชชี่ให้แช่ และที่สำคัญคือ วิวสวยมากโดยเฉพาะในช่วงเย็น แนะนำเป็นอย่างยิ่งว่าควรมาชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ ในส่วนอื่นก็มีทั้ง Spa / Sauna / Steam และ Fitness ที่แขกที่เข้าพักสามารถมาใช้บริการได้
ส่วนห้องอาหารที่เราได้ไปใช้บริการ คือ Bull & Bear บนชั้น 55 ของโรงแรม เป็นห้องอาหารและบาร์ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มหลากหลายเมนู ในส่วนของอาหารที่นี่เขาจะเด่นในเรื่อง Grilled meats & seafood และที่สำคัญคือวิวบนห้องอาหารนี้คือสวยมาก เหมาะแก่การมาสังสรรค์กับเพื่อนๆ หรือจะชวนคนรักมา Dinner และชมวิวบนนี้ไปด้วย ก็โรแมนติกดีมากเลยนะ
ห้องอาหารเช้าที่ The Brasserie บอกเลยว่ารสชาติและวัตถุดิบที่เขาใช้คือดีมากกกกก เมนูที่ไม่ควรพลาด คือ Truffle Eggเป็น Poached egg ที่ราดด้วยซอสทรัฟเฟิล ท็อปด้วยคาเวียร์ และ Chili Egg เป็น Poached egg ราดด้วยซอสเผ็ด คล้ายกับซอสพริก ทานคู่กับหมูหยองและเบคอนทอดกรอบ นอกจากนี้ก็เป็นอาหารในไลน์ Buffet ทั่วๆ ไป เช่น Cold cut, ติ่มซำ, สลัด, เบเกอรี่ต่างๆ แต่ความต่างคือรสชาติ และวัตถุดิบที่ดีแตกต่างจากที่อื่นๆ
โดยรวมแล้วที่นี่สร้างความประทับใจตลอดการเขาพักให้กับเรา ทั้งความสวยงามของโรงแรม การบริการที่ดีจากพนักงาน และรสชาติของอาหาร ที่เราตั้งใจว่าจะหาโอกาสกลับไปซ้ำแน่นอน และหากใครกำลังมองหาสถานที่ Staycation สวยๆ ในกรุงเทพ หวังว่า Waldorf Astoria Bangkok จะเป็นอีกที่นึงใน List ของคุณนะครับ
มาถึงโรงแรมแล้ว เราก็ขึ้นมา Check-in ที่ Upper Lobby ซึ่งอยู่บนชั้น 14 ของโรงแรม
Peacock Alley ห้องน้ำชาที่สามารถชมวิวราชกรีฑาสโมสร และดื่มด่ำกับ Afternoon tea ยามบ่าย
แค่วิวจากชั้น Lobby ก็สวยมากแล้ว
ต่อไปจะพามาชมห้องพักแบบ Deluxe Park View ที่เราจะมาพักในคืนนี้กันครับ
ห้องตกแต่งสวยงาม ใช้โทนสีที่ Match กันดีมาก ขนาดห้องประมาณ 50 ตร.ม.
ปลายเตียงมีโซฟา โต๊ะนั่งทำงาน และ Smart TV ด้านข้างเป็นกระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นวิวเต็มๆ
แสงช่วงเย็นส่องเข้ามาในห้องกำลังดี มองเห็นวิวราชกรีฑาสโมสร
ภายในห้องน้ำแบ่งสัดส่วนเป็นอย่างดี มี Shower room และห้องสุขาแยกไปคนละฝั่ง
ตรงกลางห้องเป็นอ่างอาบน้ำ และอ่างล้างหน้าแบบ His & Her
Park View สุดอลังการณ์ มองเห็นตึกมหานครอยู่ไกลๆ
ห้องอาหาร Bull & Bear บนชั้น 55 ของโรงแรม
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
เป็นจุดชม City view ยามเย็นที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่งของกรุงเทพ
บรรยากาศภายในห้องอาหาร
ห้องอาหาร The Brasserie เป็นห้องที่เราจะมาทานอาหารเช้ากันวันนี้
เมนูหลากหลาย วัตถุดิบและรสชาติดีงามมาก เป็น Breakfast ในโรงแรมที่อร่อยมาก
บรรยากาศที่สระว่ายน้ำของโรงแรม
บรรยากาศที่สระว่ายน้ำของโรงแรม
CONRAD KOH SAMUI : The best ocean view in Samui
CONRAD KOH SAMUI
หากใครกำลังมองหาที่พัก Pool Villa บนเกาะสมุยที่มองเห็นวิวทะเลแบบ Panorama บอกเลยว่าคงไม่มีที่ไหนตอบโจทย์ได้ดีเท่ากับ CONRAD KOH SAMUI เพราะห้องพักของที่นี่เป็น Pool Villa ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ทุกหลัง และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดอีกแห่งหนึ่งบนเกาะสมุย
ห้องพักของที่นี่จะเริ่มที่ One Bedroom Pool Villa ไต่ระดับตามความสูงมาทั้งหมด 7 ระดับ (มองเห็นวิวแตกต่างกัน) โดยขนาดของวิลล่าจะอยู่ที่ 130 ตร.ม. และมีสระว่ายน้ำ Infinity edge pool ที่กว้างถึง 10 เมตรอยู่ทุกวิลล่า เราได้มีโอกาสมาพักที่นี่เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา และพักวิลล่าแบบ One Bedroom Ocean View Pool Villa ซึ่งเป็นห้องพักที่สูงกว่าห้องเริ่มต้นมา 1 ระดับ ข้อดีของห้องพักแบบนี้คือวิวทะเลจะเคลียร์กว่าแบบแรกที่อาจจะมีต้นไม้บังบ้าง และจุดที่ชอบมาก คือ อยู่ใกล้กับห้องอาหารหลักของโรงแรม ทำให้เดินไปทานอาหารได้สะดวก
ภายในวิลล่าตกแต่งสวยงาม ใช้สีสันและเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มดูแล้วเรียบง่าย แต่ก็มีความหรูหราอยู่ในตัว ห้องพักกว้างขวาง แบ่งออกเป็นโซนห้องนอนและโซนห้องน้ำ มองเห็นวิวทะเลได้จากทั้งสองโซน และมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ที่แช่น้ำไปชมวิวทะเลสวยๆ ไปได้ด้วย ส่วนสระภายในห้องพักก็กว้างมากแถมด้วยวิวทะเลและพระอาทิตย์ตกที่สวยสุดๆ พักผ่อนอยู่แต่ในห้องก็เก็บภาพสวยในแต่ละบรรยากาศในแต่ละช่วงเวลาได้ไม่ซ้ำกันเลย
ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะ ทำให้ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินมาค่อนข้างนาน (แต่ถ้าข้ามเรือมาจากทางสุราษฎร์ ก็ไม่ไกลท่าเรือมากนัก) การเดินทางภายในรีสอร์ทจำเป็นที่จะต้องเรียกรถบัคกี้ เพราะรีสอร์ทตั้งอยู่บนเขา ทางค่อนข้างชัน และแต่ละจุดก็ห่างกันค่อนข้างมาก แต่ถ้าใครอยากเดินออกกำลังกายรับรองว่าได้เบิร์นหลายแคลอรี่แน่นอน
การบริการและความใส่ใจเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เราประทับใจที่นี่มากๆ ตั้งแต่เดินทางมาถึงที่ล็อบบี้ พนักงานที่ห้องอาหาร พนักงานขับรถ ทุกคนน่ารักและมี service mind ที่ดีมาก ใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของแขกที่เข้าพัก
ห้องอาหารหลักของที่นี่และเป็นห้องเดียวที่เราได้มาใช้บริการ คือ ห้องอาหาร Zest ซึ่งเสิร์ฟ all day dining และเป็นที่ที่เราฝากท้องทั้งมื้อเย็นและมื้อเช้า ซึ่งที่นี่เขาเสิร์ฟเป็น International buffet ในมื้อเช้า มีอาหารหลากหลาย ที่ชอบมากคือเค้ามีน้ำมะพร้าวเสิร์ฟมาให้เป็นลูกเลย ส่วนรสชาติอาหารโดยรวมถือว่าโอเค อาจจะไม่ได้มีเมนูไหนที่โดดเด่นมากนัก แต่ความหลากหลายของเมนูถือว่าดีมาก ส่วนห้องอาหารอีกห้องที่น่าสนใจ คือ JAHN ซึ่งเขาเสิร์ฟอาหารไทยแบบ Fine dining และเป็นห้องอาหารที่วิวสวยที่สุดของโรงแรม แต่จะต้องจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนเท่านั้น ถ้าใครได้มีโอกาสไปทานมาแล้วก็ลองมาแชร์กันได้นะครับ
สุดท้ายนี้ หากใครมีแพลนไปเที่ยวเกาะสมุยและยังไม่รู้ว่าจะพักที่ไหนดี CONRAD KOH SAMUI เป็นอีกที่ที่เราแนะนำ และกล้าการันตีได้เลยว่าแค่ได้มานอนชมวิวทะเลที่นี่ ก็คุ้มค่าที่จะมาลองพักสักครั้งในชีวิต และตอนนี้ยังสามารถใช้ส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันในช่วงโค้งสุดท้ายได้ด้วย รีบมาก่อนที่ราคาจะกลับมาปกตินะครับ
หลังจากขับรถขึ้นภูเขาสูงๆ มา นี่คือวิวสวยๆ หน้าจุด drop off ที่คอยต้อนรับพวกเราอยู่
Lobby ขนาดกระทัดรัด แต่วิวสวยชนะเลิศ เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนจุดที่สูงที่สุดของโรงแรม
นั่งดื่ม Welcome drink พร้อมกับชมวิวสวยๆ ไปด้วย
มองลงไปจาก Lobby จะเห็นวิลล่าของโรงแรม ตั้งไล่ระดับทอดยาวลงไปจนถึงด้านล่าง
และนี่คือ One Bedroom Ocean View Pool Villa ห้อง 209 ห้องพักของเราในวันนี้
วิลล่าจะแบ่งออกเป็น 2 โซนหลักๆ โซนแรกจะเป็นเตียงนอนขนาดใหญ่
มีโต๊ะทำงานอยู่ด้านข้าง และมีโซฟาเบดกับทีวีอยู่ริมระเบียง
ปลายเตียงจะเป็นชั้นวางทีวีและ Minibar มองเห็นอีกโซนคือโซนห้องน้ำ
มองเห็นวิวทะเลได้แบบเต็มๆ จากเตียงนอน
แสงช่วงบ่าย - เย็น ส่องเข้าห้องเต็มๆ ถึงจะร้อนไปบ้างแต่ถ่ายรูปเพลินมาก
โซนห้องน้ำจะมีอ่างอาบน้ำทรงกลมขนาดใหญ่ มองเห็นสระว่ายน้ำและวิวทะเลได้
สามารถเดินออกไปที่สระว่ายน้ำจากห้องน้ำได้เลย
และนี่คือสระว่ายน้ำขนาด 10 เมตรในวิลล่าของเรา
นั่งดูวิวทะเลจากที่นี่ แต่ละช่วงเวลาก็ให้ความสวยงามที่แตกต่างกันไป
มองออกไปจากสระน้ำ จะเห็นวิลล่าหลังอื่นๆ เรียงรายไปตามความสูงของภูเขา
วิวมุมสูงจากวิลล่าของเรา
สระว่ายน้ำหลักของโรงแรม
ช่วงเวลา Sunset สวยงามคุ้มค่าที่รอคอย
และนี่ก็คือความประทับใจทั้งหมดที่เรามีต่อ CONRAD KOH SAMUI
ใครชอบที่พักที่วิวสวยๆ ถ่ายรูปได้เพลินๆ แนะนำเลยครับ
Kimpton Kitalay Samui : Luxury Fisherman's style resort at Koh Samui
Kimpton Kitalay Samui
รีสอร์ทห้าดาวสุดหรูบนหาดเชิงมน ที่โดดเด่นในเรื่องการออกแบบ ซึ่งผสานความเป็นธรรมชาติ และวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวประมงได้เป็นอย่างดี จุดเด่นและภาพจำของที่นี่คือสระว่ายน้ำที่ทอดยาวไปจนถึงทะเลและการออกแบบในห้องพักที่สวยงาม และใช้สอยพื้นที่ได้เป็นอย่างดี
ห้องพักของที่นี่จะมีทั้งห้องแบบ Essential, Suite และ Villa โดยพื้นที่ใช้สอย และวิวของแต่ละห้องก็จะแตกต่างกันไป ครั้งนี้เราได้มาพักห้อง Essential Sea View เป็นห้องพักที่อยู่บนชั้น 3 ของอาคาร และสามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากห้องพัก มีขนาดพื้นที่ 58 ตร.ม. ภายในห้องจะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน เริ่มจากเข้ามาจะเจอกับห้องน้ำด้านซ้าย มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ อยู่ในพื้นที่เปิดโล่ง blend ไปกับพื้นที่ของห้องส่วนอื่นๆ แต่สามารถใช้บานเลื่อนปิดเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวได้ นอกจากนี้ยังมี Shower room และห้องสุขาแยกออกเป็นอีกสองห้องเล็ก Amenity ใช้ของ HARNN ซึ่งเป็นกลิ่นเฉพาะที่ออกแบบสำหรับที่นี่ ส่วนต่อมาจะเป็นห้องนอน มีเตียงขนาด King size และโซฟาขนาดใหญ่ รวมถึง Smart TV ที่สามารถดู Netflix และ Youtube ได้สบายๆ ส่วนโซนสุดท้ายจะเป็นระเบียงด้านนอก ซึ่งกว้างขวางมาก และมี day bed ให้นอนรับลมชมวิวทะเลได้อีกด้วย
Facility ของที่นี่ก็มีครบ ตั้งแต่สระว่ายน้ำที่จะกระจายอยู่ตามอาคารต่างๆ ซึ่งห้องชั้นล่างจะเป็นห้อง Pool Access ที่สามารถลงเล่นน้ำได้ตลอดทั้งวัน หรือจะเป็นสระว่ายน้ำกลาง ขนาดใหญ่ของทางรีสอร์ท ที่จะได้เล่นน้ำและชมวิวทะเลสวยๆ ไปด้วย รวมถึงสปาของ HARNN , Fitness, Steam & Sauna และ Kid's club ความพิเศษของที่นี่ คือ เป็น Pet-friendly Resort ใครที่อยากพาน้องหมา น้องแมวมาเที่ยวพักผ่อนด้วยกัน ก็สามารถพามาได้สบายเลย ส่วนกิจกรรมพิเศษที่เราชอบมากๆ คือ Social Hour ซึ่งจะจัดในช่วงเวลา 17.00-18.00 น. บริเวณใกล้กับ Lobby ของรีสอร์ท ซึ่งจะเสิร์ฟคานาเป้ และเครื่องดื่มพิเศษ ทานได้ไม่จำกัดตลอด 1 ชม.
ส่วนห้องอาหารของที่นี่ มีห้องอาหารหลักอย่าง BOHO ที่ให้บริการในช่วง Breakfast และ All day dining โดยส่วนตัวประทับใจกับอาหารไทยที่ BOHO มากๆ รสชาติจัดจ้านถูกปากคนไทยสุดๆ ส่วน Breakfast ก็เป็น International Buffet มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มหลากหลายอย่าง ใครที่ตั้งใจมาพัก มาทานของอร่อยๆ ที่นี่ตอบโจทย์มาก นอกจากนี้ยังมีห้องอาหาร Fish House Restaurant & Bar ซึ่งเสิร์ฟซีฟู้ด และอาหารฟิวชั่นในช่วงเย็น และ LANAI bar ที่เสิร์ฟเครื่องดื่มสุดพิเศษ ซึ่งหลายๆ เมนูที่ทางบาร์เทนเดอร์ครีเอทมาจัดว่าเด็ดมาก เรียกได้ว่ามาที่นี่ครบจบทั้งอาหารและเครื่องดื่มดีๆ เลยทีเดียว
บรรยากาศบริเวณ Lobby Check-in ของรีสอร์ท
อาคารตรงส่วน Lobby เป็นอาคารไม้สองชั้น ตกแต่งให้บรรยากาศเหมือนบ้านเก่าสมัยก่อน แต่แฝงความทันสมัยด้วยอุปกรณ์ตกแต่ง สีสัน และ Lighting ที่ทำออกมาได้สวยหรูดูแพง
Welcome drink
มุม Signature ของรีสอร์ท เป็นวิวต้อนรับที่สวยงามมาก
บริเวณด้านล่างคือห้องอาหาร BOHO เป็นห้องอาหารหลักของรีสอร์ท
บรรยากาศทางเดินระหว่างไปห้องพักของเรา
บริเวณทางเข้าห้องพักแบบวิลล่า สวยงามและมีความเป็นส่วนตัวสูง
มาถึงห้องพัก Essential Sea View ของเราแล้วครับ โดยห้อง Type นี้จะอยู่บนชั้น 3 ของอาคาร ซึ่งอาคารของเราอยู่ใกล้กับทะเลมากที่สุด (มีห้องพักแบบวิลล่าคั่นกลาง) ทำให้ห้องนี้สามารถมองเห็นวิวทะเลได้ ถึงแม้จะมีต้นไม้บังอยู่บ้าง เปิดเข้ามาจะเจอกับห้องน้ำเป็นส่วนแรก ต่อมาเป็นห้องนอน และระเบียงด้านนอก
ห้องน้ำแบ่งสัดส่วนได้ดีมาก มีห้องสุขา (ประตูทึบ) ห้อง Shower (กระจกใส) และมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ ถ้าเขินก็มีบานเลื่อนปิดแยกห้องน้ำออกมาเป็นสัดส่วนได้อีก
ตรงข้ามห้องน้ำจะเป็นตู้เสื้อผ้าและชั้นวางของ รวมถึงตู้เซฟ
Interior ของที่นี่ดูเรียบง่าย แต่มีรายละเอียดต่างๆ ที่สวยงาม เลือกใช้สีสันได้ดี
มีเครื่องชงกาแฟแคปซูล และ Minibar
ออกมาด้านนอกจะเป็นระเบียงขนาดใหญ่ มีชุดโต๊ะนั่งเล่น และโซฟาเบดให้นอนรับลมชมวิวได้
มองไปเห็นวิวทะเล ซึ่งมีวิลล่าคั่นอยู่ และมีสระว่ายน้ำอยู่ที่ด้านล่างของอาคาร เราสามารถลงไปใช้สระว่ายน้ำนี้ได้เช่นกัน
มองจากด้านนอกระเบียงเข้ามาในห้อง
ใกล้กับอาคารที่เราพักมีสระเด็กและมีสไลเดอร์ ถูกใจเด็กๆ แน่นอน
ห้องอาหาร Fish House อยู่ติดชายหาด
มาดูไลน์อาหารเช้าที่ห้องอาหาร BOHO กันครับ
สิ่งที่เราชอบมาก คือ มีมุมอาหารไทย ซึ่งมีอาหารเช้าแบบที่เราคุ้นเคยเช่น ข้าวเหนียวหมูปิ้ง น้ำพริก เสิร์ฟให้ด้วย
ส่วนนี้จะเป็นเมนู A la Carte ที่ต้องสั่งกับพนักงาน มีเมนูน่าสนใจหลายเมนูเลย
อาหารเช้าของเรา
เมนูที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือ ชาวสมุย Benedict เป็นไข่ Benedict ราดด้วยแกงกะทิแบบแกงใต้
และมีปูนิ่มทอดกรอบให้ทานคู่กันด้วย
ส่วนเซ็ตนี้เป็นมื้อกลางวันของเราครับ เนื่องจากโปรที่จองมาได้เครดิต 1,000 บาท
เลยถือโอกาสมาลองมื้อกลางวันที่ BOHO ก่อนกลับ กทม. ซะหน่อย อร่อยทุกอย่างเลย
ปิดท้ายกันด้วยเครื่องดื่มอร่อยๆ และหน้าตาสวยที่ LANAI
สำหรับการมาเข้าพักที่ Kimpton Kitalay ครั้งนี้ เราได้จองมาด้วยโปรโมชั่น Imdulgance by the beach ราคาห้องพัก Essential Resort View 8,828.68 บาท (ใช้เราเที่ยวด้วยกันลดเหลือ 5,828.68 บาท) สิทธิพิเศษเพิ่มเติมที่ได้ คือ
- อาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน
- Complimentary upgrade เป็นห้อง Pool Access หรือ Sea View
- Resort credit 1,000 บาท
- 2 Signature Cocktail at LANAI
- Complimentary Social Hour ช่วงเวลา 17.00-18.00 น.
สุดท้ายนี้เราจะมาสรุปสิ่งที่ชอบและไม่ชอบกันนะครับ
จุดที่ชอบ
- การออกแบบของรีสอร์ทและห้องพักสวยงาม
- ห้องพักกว้างขวางตั้งแต่ Type เริ่มต้น การจัดสรรพื้นที่ในห้องพักทำได้ดี
- อาหารที่ห้องอาหาร BOHO รสชาติดี ราคาไม่แพงจนเกินไป
- มีเซอร์ไพรส์เป็นไวน์ 1 ขวดและขนม 1 เซ็ตให้มาทานช่วงก่อนนอน (อันนี้ไม่แน่ใจว่าได้ทุกห้องไหม)
จุดที่ไม่ชอบ
- สิ่งที่ผิดคาดมากที่สุด คือ ที่นี่กลายเป็น Family hotel ไปแล้ว โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดที่จะมีครอบครัวและเด็กเข้ามาพักผ่อนเป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศค่อนข้างวุ่นวายและเสียงดัง ไม่เหมาะแก่การมาพักผ่อนหรือหาความสงบ
- การบริการยังไม่ค่อยเข้าที่เข้าทาง พนักงานบางจุดน้อยและให้บริการไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะช่วงอาหารเช้า
- ราคาค่อนข้างสูง และเมื่อเทียบกับบรรยากาศแล้ว สามารถไปพักที่อื่นที่ตอบโจทย์เรื่องความสงบในการพักผ่อนได้มากกว่านี้
P A R E S A : Heaven of All Heavens



วิวพระอาทิตย์ตกจากห้องอาหารหลักของรีสอร์ท




จากนั้นพนักงานก็จะเปิดประตูไม้บานใหญ่ออก และนี่คือวิวที่รอต้อนรับพวกเราอยู่


เป็นช่องลมที่อยู่ระหว่างห้องนอนทั้งสองห้อง มองไปเห็นสระว่ายน้ำและวิวทะเลเหมือนเป็นกรอบรูปขนาดใหญ่



มีมุมนั่งทำงาน Minibar และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน


ดีไซน์จะ Sexy นิดนึง ถ้ามากับเพื่อนคือต้องนัดเวลากันเข้ามาอาบน้ำดีๆ

ระเบียงของอีกห้อง เดินมาลงสระว่ายน้ำได้ มีชุดโต๊ะทานข้าว และ day bed อยู่ริมระเบียง
















และนี่ก็คือรีวิวทั้งหมดของ PARESA ครับ เป็นอีกที่ที่เราประทับใจ และรู้สึกคุ้มค่ากับการมาพัก โดยเฉพาะราคาในช่วงนี้ที่รีสอร์ทจัดโปรโมชั่นได้เร้าใจมาก อย่างห้องที่เรามาพัก 5 คน ราคารวมประมาณ 20,000 นิดๆ เรียกได้ว่าถ้ามาในช่วงปกติไม่มีทางได้ราคานี้แน่นอน และสุดท้ายนี้เราจะมาสรุปจุดที่ชอบและไม่ชอบกันนะครับ
จุดเด่น
- วิวของที่นี่คือที่สุดจริงๆ ใครชอบห้องพักที่เห็นวิวสวยๆ โดยเฉพาะช่วงพระอาทิตย์ตก ที่นี่คือ Top List ของภูเก็ตเลย
- ห้องพักกว้างขวาง และสะดวกสบาย เตียงนอนดูดวิญญาณมาก สระกว้าง เล่นกัน 5 คนสบายมาก วิวจากห้องพักคือปังสุด
- การบริการของพนักงานทุกคน ดีมากๆ น่ารักและมี Service mind ที่ดีกันทุกคน
- อาหารเช้า คุณภาพดีและอร่อยมาก เราชอบแบบนี้มากกว่าบุฟเฟต์ที่ให้เดินไปตักเองนะ รู้สึกปลอดภัยมากกว่าด้วยในช่วงโควิดแบบนี้ และที่สำคัญคือเค้าจัดจานมาสวย ดีกว่าเราไปตักเอง
จุดด้อย
- Location อยู่บนเนินเขาสูง ห่างไกลเมืองและผู้คนพอสมควร จะออกไปทานอาหารที่้ร้านนอกรีสอร์ทคือระหว่างทางเปลี่ยวและน่ากลัวโดยเฉพาะกลางคืน แนะนำว่าทานอาหารในรีสอร์ทไปเลยดีกว่าสำหรับมื้อเย็น
- ที่จอดรถน้อยไปนิด หากแขกเข้าพักมากกว่านี้อาจไม่เพียงพอ
Six Senses Yao Noi : Paradise on Earth
Six Senses Yao Noi
เคยมีสถานที่ใดสักแห่งหนึ่งไหมครับ ที่ได้เห็นภาพแล้ว ก็ได้แต่ฝันว่า สักวันหนึ่งอยากจะพาตัวเองไปอยู่ในภาพนั้นบ้าง
สำหรับเราแล้ว Six Senses Yao Noi คือสถานที่แห่งนั้นครับ และที่นี่ก็เป็นหนึ่งใน Bucket List ของนักท่องเที่ยวหลายทั่วโลกที่อยากจะมาสัมผัสบรรยากาศการพักผ่อนที่รีสอร์ทในฝันแห่งนี้กันสักครั้ง และเราก็ได้มีโอกาสนั้นแล้ว จึงอยากจะนำประสบการณ์ 3 วัน 2 คืนอันแสนประทับใจ มาถ่ายทอดให้ได้อ่านและตามไปอิ่มเอมกับบรรยากาศของรีสอร์ทนี้ด้วยกันครับ
Six Senses Yao Noi รีสอร์ทหรูแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา การเดินทางจากกรุงเทพฯ ที่สะดวกที่สุดคือนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินภูเก็ต จากนั้นสามารถเลือกเดินทางได้ 2 แบบ คือ
- ใช้บริการรับ-ส่ง ของรีสอร์ท โดยจะมีรถมารับถึงสนามบิน และต่อเรือ Speedboat ไปลงที่ท่าเรือของรีสอร์ท มีทั้งแบบส่วนตัวและแบบ Share กับคนอื่น ค่าบริการเริ่มที่ 1,600 บาท / คน / เที่ยว
- ใช้บริการรถแท็กซี่จากสนามบิน มาลงที่ท่าเทียบเรือบางโรง (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) และใช้บริการเรือสาธารณะจากท่าเทียบเรือบางโรง (สามารถเช็คเวลารอบเรือกับทางรีสอร์ทได้ก่อนเดินทาง) ค่าเรือ 200 บาท / คน / เที่ยว บริเวณท่าเรือมีร้านขายของและห้องน้ำให้บริการ จากท่าเทียบเรือบางโรงใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ก็จะเดินทางไปถึงเกาะยาวน้อย โดยแพ็คเกจที่เราจองมาจะมีบริการรถสองแถวรับส่งฟรีจากรีสอร์ทมารอรับที่ท่าเรือ
จากท่าเรือใช้เวลาประมาณ 15 นาที เราก็จะเดินทางมาถึงบริเวณหน้ารีสอร์ท มี GEM (Guest Experience Maker) ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือน Butler ดูแลเราตลอดการเข้าพักมารอต้อนรับและพา Resort tour เพื่อแนะนำบริเวณต่างๆ ของรีสอร์ท และพาเข้าไป check-in ที่ห้องพักของเรา แม้ว่าทางรีสอร์ทจะยังไม่ได้เปิดให้บริการห้องพักทุกห้องเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด แต่ในช่วงที่เราเข้าพัก (มีนาคม 2565) ห้องพักทุกห้องที่เปิดก็ถูกจองมาเต็มหมดแล้ว เห็นสถานการ์แบบนี้ก็รู้สึกดีใจกับรีสอร์ทและการท่องเที่ยวที่น่าจะกลับมาดีขึ้นในเร็ววันนี้นะครับ
Hideaway Pool Villa (Villa No.32) ห้องพักระดับเริ่มต้นของรีสอร์ท โดยห้องพักของที่นี่จะเป็น Pool Villa ทั้งหมด จุดเด่นของ Hideaway Pool Villa คือ มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบสูงมาก สมกับชื่อ Hideaway พื้นที่ห้องพักกว้างขวางถึง 154 ตร.ม. แบ่งออกเป็นโซนสระว่ายน้ำด้านนอก มีศาลาและ day bed ให้นอนอาบแดดได้ ส่วนภายในจะแบ่งออกเป็นพื้นที่ของห้องนอน และห้องน้ำซึ่งกว้างพอๆ กัน มีทั้ง Indoor และ Outdoor Shower การออกแบบยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ Six Senses ที่จะใช้ไม้เป็นส่วนประกอบหลักของ Villa เพื่อให้กลมกลืนกับบรรยากาศธรรมชาติโดยรอบ การใช้โทนสีของตกแต่งเน้นสีเหลืองเป็นหลัก แต่ถึงแม้จะใช้ไม้และวัสดุธรรมชาติในการตกแต่ง แต่ก็ดูหรูหรา และอุปกรณ์ภายในห้องพักก็ครบครันและสะดวกสบาย สามารถเลือกหมอน และ กลิ่นเครื่องหอมภายในห้องได้ด้วย ส่วน Amenities ก็เป็นกลิ่นเฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับรีสอร์ทเครือ Six Senses เท่านั้น สิ่งที่เราชอบมากๆ ของรีสอร์ทในเครือ Six Senses คือการใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ และแทบไม่เห็นการใช้ Plastic เลย นำ้เปล่าและ Sparkling ก็บรรจุมาในขวดแก้ว มีแม่บ้านเข้ามาเติมให้เรื่อยๆ ทั้งตอนกลางวันและตอน Turn down หรือหากขาดเหลืออะไรก็สามารถต่อสายตรงหา GEM ได้จากโทรศัพท์ภายในห้องพักเลย
พื้นที่ส่วนกลางเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของ Six Senses Yao Noi โดยเฉพาะ Hilltop ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นห้องพักที่แพงและหรูที่สุดของรีสอร์ท แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็น Main Pool , Hilltop bar และในช่วงเย็นจะกลายเป็นห้องอาหารสำหรับ Dinner ที่วิวดีและโรแมนติกที่สุดเท่าที่เคยไปมา โดยส่วนตัวเราชอบวิวที่ Hilltop มาก และรู้สึกถึงความพิเศษของที่นี่ เพราะในแต่ละช่วงเวลาที่ได้ขึ้นมา วิวและความสวยงามของ Hilltop จะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง สิ่งที่ห้ามพลาดในการมาเข้าพัก คือการมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักการถ่ายรูปจริงๆ
ตลอด 3 วัน 2 คืน เราทานอาหารทุกมื้อในรีสอร์ท มื้อที่ประทับใจที่สุด คือ Breakfast ที่ห้องอาหาร Living Room ซึ่งเขาจัดเป็น Buffet มีอาหารหลากหลายมาก ทั้งอาหารไทย ฝรั่ง ติ่มซำ และก๋วยเตี๋ยว โซนเบเกอรี่ก็ดีงาม โดยเฉพาะ Homemade Jam หลากหลายรสชาติที่ทางรีสอร์ททำเอง เมนูไข่ที่ไม่ควรพลาดอย่าง Farm Egg Pad Kaprao และ Spicy Thai Omelette เป็นอาหารเช้าที่รสชาติเหมาะกับคนไทยสุดๆ ส่วน Dinner ที่ Hilltop แนะนำให้จองโต๊ะไว้แต่เนิ่นๆ เพราะจะได้นั่งในจุดที่วิวดีที่สุด ส่วนใครที่กังวลว่าค่าอาหารจะแพงหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่แพงอย่างที่คิด เพราะนอกจากจะได้ส่วนลด 30% จากแพ็คเกจที่เราจองมา ยังสามารถใช้ Voucher จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันมาใช้จ่ายที่ห้องอาหารของรีสอร์ทได้ด้วย และที่เราเลิฟมาก คือ Homemade ice cream ที่สามารถแวะมาสั่งได้ตลอดตั้งแต่ช่วง 11.00-20.00 น. โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมนะ ถูกใจคนรักของหวานอย่างเราเป็นที่สุด
โดยภาพรวมแล้ว แม้ก่อนมาเราจะคาดหวังกับ Six Senses Yao Noi มาแล้วในระดับหนึ่ง แต่หลังจากได้มาเข้าพัก สิ่งที่เราได้รับกลับประทับใจมากเกินกว่าที่คาดไว้เสียอีก ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงเวลาปกติที่นี่จะถูกจองเต็มจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมาโดยตลอด นอกจากบรรยากาศ สถานที่ ความสวยงามของรีสอร์ทและความเป็นธรรมชาติบนเกาะยาวน้อยแล้ว Service Mind ของพนักงานทุกคน คือสิ่งที่ทำให้ที่นี่ Beyond Expectation มากขึ้นไปอีก และสามารถพูดได้เต็มปากว่าเราอยากแนะนำให้ทุกคนได้มาลองสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนในรีสอร์ทที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย รับรองได้ว่าจะได้รับความประทับใจแบบที่เราได้รับกลับไปแน่นอน...
จุดแรกที่ GEM พามา คือ The Den และ Library เป็นอีกจุดที่วิวสวยมาก
ด้านซ้าย คือ Library เป็นจุดที่เราจะมา check-in และสแกน QR จากการจองโดยใช้เราเที่ยวด้วยกัน
Hideaway Pool Villa ห้องพักของเราในครั้งนี้ครับ
เข้ามาด้านในจะเจอกับเตียง และมีมุ้งขนาดใหญ่อยู่ด้านบนครับ
ด้วยความที่ห้องพักของเราอยู่กลางป่า ช่วงกลางคืนยุงจะเยอะนิดนึง
ช่วง Turn down แม่บ้านจะมาดูแลเรื่องกางมุ้งให้เราด้วย
ทางรีสอร์ทต้อนรับเราด้วยไวน์แดง มีตู้แช่ไวน์ และเครื่องทำกาแฟในโซน Minibar (ไวน์ในตู้แช่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
แคปซูลกาแฟดื่มได้ฟรี มีเติมให้เรื่อยๆ เช่นเดียวกับน้ำเปล่า (ทั้ง Still และ Sparkling) แม่บ้านจะมาเติมให้เรื่อยๆ
ภายในห้องน้ำ กว้างมากพอๆ กับส่วนของห้องนอน มีอ่างอาบน้ำมองเห็นวิวป่าด้านนอก
มีห้องสุขาแยกกับ Shower รวมถึงมี Outdoor Shower ให้ด้วยครับ
ซึ่งโดยส่วนตัวเราชอบ Outdoor Shower มาก โดยเฉพาะในช่วงกลางวันที่อากาศร้อนๆ ออกไปอาบน้ำข้างนอกนี่มันดีจริงๆ
ต่อไปเราจะพาไปชมส่วนต่างๆ ของรีสอร์ทกันครับ เริ่มจาก Hilltop ซึ่งเป็นไฮไลท์และเป็นจุดที่เราชอบมากที่สุดของที่นี่เลย
โดยแต่ละช่วงเวลาของ Hilltop ก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันไป และมีกิจกรรมที่แตกต่างกันไปด้วย
Hilltop bar เป็นบาร์ที่วิวสวยที่สุดอีกที่หนึ่งที่เราเคยไปมา ที่นี่จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 11.00-22.00 น. ของทุกวัน
บรรยากาศดีมาก
บรรยากาศบริเวณ Hilltop Bar
ช่วงกลางวันหากใครอยากมาว่ายน้ำในสระที่วิวสวยๆ ก็แวะมาที่ Hilltop ได้ตั้งแต่ 9.00-17.00 น.
ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สีน้ำทะเลสะท้อนกับแสงแดดสวยงามมาก
ส่วนช่วงเย็น Hilltop จะกลายเป็นห้องอาหาร Dinner ที่วิวสวยและโรแมนติกที่สุด
ได้ทานอาหารอร่อยๆ พร้อมกับชมวิวสวยๆ แบบนี้ คุ้มแล้วที่ได้มา
Dinner & Welcome drink from Hilltop Bar
ส่วนกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง คือ การมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Hilltop ครับ
สามารถแจ้งกับ GEM ของเราเพื่อนัดหมายให้รถ Bucky มารับที่ห้องได้เลย
แนะนำให้นัดก่อนเวลาพระอาทิตย์ขึ้นสัก 10-15 นาทีครับ
จะได้ไปเก็บภาพรอ เพราะช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยงามไม่แพ้กัน
แต่ก็ต้องพกดวงไปเยอะๆ ด้วยนะครับ ภาวนาให้ฟ้าโปร่งๆ เพราะเราไปสามวัน ท้องฟ้าแต่ละวันที่ได้ก็ไม่เหมือนกันเลย
ท้องฟ้าของเช้าวันที่ 2 มีเมฆพอสมควร ยังดีที่เมฆแหวกทางให้พระอาทิตย์ออกมาโชว์ตัวให้เราได้เห็น
ถ่ายรูปยังไงก็ออกมาไม่สวยเท่ากับที่ได้เห็นด้วยตาจริงๆ
ส่วนนี่คือท้องฟ้าของเช้าวันที่ 3 วันนี้ฟ้าใสไร้เมฆ
สีท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นคือสวยมาก
หลังดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราก็ไปทำกิจกรรมของทางรีสอร์ตกันครับ
โดยเขาจะมีให้กิจกรรมให้เลือก เช่น การพายเรือคายัคไปชมป่าโกงกาง, การเพ้นท์ผ้า หรือ การทำน้ำหอม
ถามว่าเราเลือกอะไร ก็ต้องพายเรือคายัคสิ แต่เตือนล่วงหน้าว่าหากใครไม่ได้ออกกำลังกายประจำ
หรือเมาเรือง่าย อย่าหาทำนะ เพราะมันเหนื่อยมาก
บริเวณชายหาดโซนนี้สามารถบินโดรนได้ ก็ลองบินเก็บวิวสวยๆ ดูซะหน่อย (แต่ในเขตรีสอร์ทห้ามบินนะครับ)
มองกลับไปจะเห็นวิลล่าของโรงแรมเรียงรายขึ้นไปบนเนินเขา น้ำทะเลที่หาดใสมาก
วิวป่าเกาะกลางทะเลจากการพายเรือคายัค (แบบทุลักทุเล) ของเรา
พายเรือจนหมดแรง ก็กลับมาเติมพลังกันด้วย Breakfast ที่ห้องอาหาร Living room
อาหารเช้าของเรา อร่อยทุกอย่างเลยนะ แต่ที่แนะนำสุดๆ คือ Farm Egg Pad Kaprao และต้องสั่งเผ็ดแบบคนไทยนะ
นั่งทานอาหารไป ก็ชมวิวสวยๆ ไปด้วย ตรงบริเวณนี้บางคืนจะกลายเป็นที่ฉายหนังด้วย ซึ่งช่วงนี้จะมีเฉพาะคืนวันพุธและเสาร์
และนี่คือสวรรค์ของคนรักไอติม กับ Homemade ice-cream ที่แวะมากินฟรีได้ตลอดทั้งวันตั้งแต่ 11.30 - 22.00 น.
อยากจะกินกี่รส กี่ถ้วย สั่งได้ตามสะดวก มาได้ตลอดทั้งวัน แต่รสที่ห้ามพลาดคือ Banana กินกับรสอะไรก็อร่อย
The Den บาร์หลักของรีสอร์ทที่ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้เปิดเต็มรูปแบบนัก แต่ก็มีเครื่องดื่มให้บริการในช่วงเย็นของทุกวัน
ตั้งแต่ 17.00 - 20.oo น. โดยตีมหลักของเครื่องดื่มในแต่ละวันก็จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป
เป็นบาร์ที่วิวดี และบรรยากาศเหมาะแก่การมานั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ ในยามเย็น
บรรยากาศภายในรีสอร์ทร่มรื่น ถ้ามีเวลาและมีแรงพอจะเดินทัวร์รีสอร์ทเองโดยไม่ต้องเรียกรถก็ได้
หรือถ้าใครอยากปั่นจักรยานเล่นทั้งภายในรีสอร์ทและด้านนอก ก็มีจุดยืมจักรยานอยู่ด้านหน้ารีสอร์ทเลย
สามารถยืมได้จนถึง 6 โมงเย็นนะ
สุดท้ายเราจะพาไปชม Spa ของรีสอร์ทกันครับ
ห้องทรีตเมนต์ที่ถือเป็นไฮไลท์ของ Six Senses Spa คือห้องนี้เลยครับ
มีวิวสระบัว และมีศาลาพักผ่อนในตัวด้วย สวยงามมากๆ
ก่อน check-out ทาง GEM ที่ดูแลเราตลอดการเข้าพักก็นำของที่ระลึกมาให้
เป็น Tag กระเป๋าไม้ ที่สลักชื่อของเราและชื่อรีสอร์ทไว้ เป็นกิมมิคน่ารักๆ ที่สร้างความประทับใจมากเลยครับ
สุดท้ายนี้เราจะมาสรุปจุดที่ชอบและจุดที่ไม่ชอบจากการได้เข้าพักที่ Six Senses Yao Noi กันครับ
จุดที่ชอบ
- การออกแบบ บรรยากาศ และพื้นที่ต่างๆ ภายในรีสอร์ท คือ จุดเด่นของที่นี่ที่จะหาที่ไหนมาแทนได้ยากมากครับ โดยเฉพาะ Hilltop ซึ่งเป็นจุดขาย และถ่ายรูปยังไงก็สวยจริงๆ
- วิลล่าพื้นที่กว้างขวาง สระว่ายน้ำใหญ่ และจัดสรรพื้นที่ต่างๆ ภายในวิลล่าได้อย่างลงตัว อุปกรณ์ภายในห้องพักครบครัน
- บรรยากาศโดยรวมของที่นี่ เหมาะแก่การปลีกวิเวกมาพักผ่อนอย่างแท้จริง เวลา 3 วัน 2 คืนยังรู้สึกน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เราใช้เวลาทั้งหมดอยู่แต่ในรีสอร์ท แต่ก็ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ ถ้าใครจะมาแนะนำว่าอย่างน้อยต้อง 3 วัน 2 คืนอะ ถึงจะดื่มด่ำบรรยากาศได้อย่างเต็มที่จริงๆ
- การบริการของพนักงานในทุกๆ ส่วนคือที่สุด ขอชื่นชมมากเป็นพิเศษ คือ GEM และแม่บ้าน ที่คอยเข้ามาดูแลห้องพักอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่รู้สึกขาดเหลืออะไรเลย เป็นการบริการที่ไม่ต้องร้องขออะไรเลย เพราะเค้าเตรียมให้เราหมดแล้ว
- อาหารอร่อย ซึ่งแปลกใจมากที่ Head chef เป็นคนอินเดีย แต่อาหารไทยอร่อยมาก และรสชาติแบบไทยๆ ก็รีเควสได้เลย อาหารเช้าก็มีตัวเลือกหลากหลาย ขนาดกิน 2 วันติดยังรู้สึกไม่เบื่อ และยังลองได้ไม่ครบด้วยซ้ำ
จุดที่ไม่ชอบ
- การเดินทางอาจจะดูลำบากและหลายต่อไปหน่อย และค่าเดินทางของทางรีสอร์ทค่อนข้างสูงไปนิด แต่ถ้าวางแผนเวลาดีๆ ก็ไม่เหนื่อยมากนะ
- การเดินทางบนเกาะยาวน้อย ซึ่งถ้าจะออกไปทานอาหารข้างนอกต้องเรียกรถ ของรีสอร์ทมีบริการขาละ 500 บาท ซึ่งราคาค่อนข้างสูง ทำให้เราเลือกที่จะทานอาหารและทำทุกอย่างในรีสอร์ททั้งหมด เลยเสียโอกาสในการไปชมบรรยากาศบนเกาะยาวน้อย (แต่เสียเงินมาพักรีสอร์ทแพงๆ แล้วก็ควรใช้เวลาในรีสอร์ทให้เต็มที่นะ)
- Hideaway Pool Villa อยู่กลางป่า ใครที่กลัวป่า หรือไม่ชอบสัตว์ป่า (เช่น ตุ๊กแก จิ้งจก) อาจจะไม่ชอบได้ เพราะกลางคืนคือเงียบจริงจนวังเวง (แอบไม่กล้ามองออกไปข้างนอกช่วงกลางคืนเลย) แต่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยเงิน 555 คือ จองห้องวิวทะเลไปเลย ก็จะตัดปัญหาตรงนี้ได้ส่วนหนึ่ง
- อาหารกลางวันและเย็น ราคาสูงไปนิด และมีตัวเลือกไม่มากนัก อาจเป็นเพราะช่วงโควิดแบบนี้ทำให้รีสอร์ทไม่ได้ Full Operate ด้วยแหละ แต่ยังดีที่มีส่วนลดและใช้ Voucher เราเที่ยวด้วยกันได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ส่วนหนึ่ง
- ราคาห้องพัก (โดยเฉพาะราคาปกติ) ที่ค่อนข้างสูงมาก ทำให้เข้าถึงยากนิดนึง แต่ช่วงนี้ทางรีสอร์ทก็จัดโปรโมชั่นมาดีมาก และค่อนข้างคุ้มค่าที่จะไปพักนะ
และนี่ก็คือรีวิวทั้งหมดของ Six Senses Yao Noi นะครับ เป็นอีกที่ที่เราชอบมาก และให้ติด Top 3 ของโรงแรมและรีสอร์ทที่ชอบมากตั้งแต่เคยได้ไปพักมาเลย การทำรีวิวนี้จึงค่อนข้างยากมากสำหรับเราในการถ่ายทอดความรู้สึกและความประทับใจที่มีต่อที่นี่มาเป็นตัวหนังสือให้ได้อ่านกัน แต่แนะนำจริงๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ราคาห้องพักถูกกว่าปกติ (มาก) เป็นโอกาสดีที่จะได้สัมผัสความรู้สึกในการเข้าพักรีสอร์ทระดับ World class แบบนี้สักครั้งในชีวิตครับ