InterContinental Koh Samui Resort : Two Bedroom Family Ocean View Villa
"Home on the beautiful Cliff"
กลับมาอีกครั้งก็ยังประทับใจเหมือนเดิม กับรีสอร์ทหรูบนเกาะสมุยที่มีวิวสวยงามมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งอย่าง "Intercontinental Koh Samui Resort" ซึ่งเราเคยทำรีวิวแบบเต็มๆ ไว้แล้วหลังจากที่ได้มาเข้าพักเมื่อปีก่อน (หากใครสนใจสามารถตามไปอ่านได้ที่ http://www.porsuke.com/2020/09/04/intercon_samui/ )
ด้วยความประทับใจในการบริการ ห้องพัก และบรรยากาศของรีสอร์ท เราจึงตั้งใจกลับมาพักที่นี่อีกครั้ง โดยครั้งนี้เราได้จองห้องพักแบบ Two Bedroom Family Ocean View Villa ซึ่งเป็นวิลล่า 2 ชั้นที่มองเห็นวิวทะเลแบบเต็มตา และไม่พลาดที่จะพาครอบครัวไปนั่งชมวิวพระอาทิตย์ตก พร้อม Dinner กันที่ Air Bar ซึ่ง New York Times ยกให้เป็น “One of 1,000 Places to Visit in Your Lifetime” รับประกันได้เลยว่าวิวที่นี่ในช่วงพระอาทิตย์ตก คือที่สุดของความสวยงามจริงๆ
Location
รีสอร์ทตั้งอยู่บนเนินเขา บริเวณหาดตลิ่งงาม ซึ่งเป็นทิศตะวันตกของเกาะสมุย ใกล้กับท่าเรือราชาเฟอร์รี่ ถ้ามาจากสนามบินสมุยใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที โดยส่วนตัวเราชอบวิวทะเลฝั่งทิศตะวันตกของเกาะสมุยมากๆ เลยนะ เพราะได้เห็นวิวของเกาะเล็ก เกาะน้อย กระจัดกระจายไปในทะเลที่กว้างใหญ่ ได้ชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นแบบเต็มๆ ตาดีด้วย
Design
การออกแบบของที่นี่จะออกแนวผู้ใหญ่ๆ หน่อย เรียบหรู ดูดี เน้นการใช้สีขาว ครีม ตัดกับน้ำตาล-ดำ ของเฟอร์นิเจอร์ไม้ภายในห้อง อาจจะไม่ได้ดูหวือหวาหรือโมเดิร์นเหมือนโรงแรมใหม่ๆ เท่าไรนัก แต่การ Maintainance ของรีสอร์ทถือว่าทำได้ดีมาก รอบล่าสุดที่เราไปพักทางรีสอร์ทก็กำลังทยอย Renovate ห้องพักต่างๆ อยู่ น่าจะดูสวยงามมากขึ้น
จุดไฮไลท์ที่เราชอบมาก คือ บริเวณ Lobby ของโรงแรม, Air bar และสระว่ายน้ำข้าง Lobby ที่สามารถมองเห็นวิวทะเลได้เต็มๆ ตา ใครชอบถ่ายรูปได้รูปสวยๆ กลับไปเยอะแน่นอน
Villa
มาชมห้องพักของเรากันบ้างครับ รอบนี้เราได้เข้าพักในห้อง Two Bedroom Family Ocean Villa (ห้อง 603) จุดเด่นของห้องพักแบบนี้ คือ จะเป็นบ้าน 1 หลังมี 2 ชั้น 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 1 ห้องนั่งเล่น เหมาะแก่การมาเข้าพักเป็นครอบครัว หรือมากันเป็นกลุ่มเพื่อนก็ดี เพราะสามารถพักได้มากถึง 6 คน มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมดรวม 240 ตร.ม. และสามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากทุกๆ ห้องของวิลล่าเลยด้วย
ภายในวิลล่าจะแบ่งเป็น 2 ชั้น โดยเราต้องขึ้นบันได้มาเข้าบริเวณชั้นบนของวิลล่า ด้านหน้าจะมีห้องสุขาเล็กๆ อยู่เยื้องกับประตูทางเข้า เข้ามาด้านในจะพบกับ Living room ขนาดใหญ่เต็ม Floor แบ่งเป็น 2 ฝั่งโดยมีบันไดกั้นกลาง ฝั่งหนึ่งจะเป็นโซฟาใหญ่ พร้อมโทรทัศน์ และมีมุมโต๊ะทำงาน ส่วนอีกฝั่งจะเป็นโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ พร้อมโซน Minibar ลงบันไดมาที่ชั้นล่างจะมีห้องนอน 2 ห้อง มีห้องน้ำในตัวทั้งคู่ แต่ห้อง Master bedroom จะมีอ่างอาบน้ำ และแยกห้องสุขา กับ Shower room ไว้เป็นสัดส่วน ส่วนห้องนอนอีกห้องจะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง พร้อมห้องน้ำ (แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำ)
โดยส่วนตัวเราชอบห้องนี้มากกว่าห้อง Pool Villa เพราะสามารถมองเห็นวิวทะเลจากมุมสูงได้ ห้องพักขนาดใหญ่และแบ่งเป็นสัดส่วนได้ดี อยู่ไม่ไกลจาก Lobby ทำให้เดินไปทานอาหารได้สะดวก
Air bar + Amber Restaurant
การมานั่งชมวิวพระอาทิตย์ตก จิบค็อกเทลและทานอาหารอร่อยๆ เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งสำหรับการมาเข้าพักที่นี่ (แนะนำให้โทรจองที่นั่งกับทางรีสอร์ทก่อนมาเข้าพัก เพราะที่นั่งดีๆ เต็มไวมาก) น่าเสียดายที่การมาพักครั้งนี้อากาศไม่ดี ท้องฟ้ามีเมฆมากไปหน่อย เลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกสวยๆ (แต่ยังดีที่ฝนไม่ตกนะ)
ส่วน Breakfast ที่ Amber ยังเป็น Buffet ที่จัดหนักจัดเต็มเหมือนเคย เราพาพ่อกับแม่ไปพักทั้งหมด 3 ที่ พ่อแม่ประทับใจอาหารเช้าและการบริการของพนักงานที่ห้อง Amber มากที่สุด อาหารมีความหลากหลาย และแม้จะเป็น Buffet แต่เราไม่ต้องตักเอง แค่เดินไปชี้ๆ พนักงานจะจัดการให้เราทั้งหมด รวมถึงสามารถสั่งกับพนักงานโดยที่ไม่ต้องเดินไปเลือกเองก็ได้ เราไปพักมาหลายที่บนเกาะสมุย แต่ก็ยังไม่เจอบริการของที่ไหนจะดีเท่าที่นี่เลยจริงๆ
สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า มาเถอะ ดีจริงโดยไม่ต้องอวย (แต่รอสถานการณ์ Covid ซาๆ ก่อนนะ ค่อยเดินทางกันมา) เรายังยกให้ที่นี่เป็น Top 3 ของโรงแรม / รีสอร์ทที่เราประทับใจในการบริการ และเป็นรีสอร์ทที่เราแนะนำทุกคนที่มีแพลนมาเที่ยวสมุยให้มาพักที่นี่เสมอ แต่สิบปากว่าก็ไม่เท่าตาเห็น หากมีโอกาสก็ต้อลงลองมาพักดูครับ ยิ่งช่วงสถานการณ์แบบนี้ทางรีสอร์ทมีโปรโมชั่นแรงๆ ดีๆ ออกมาเรื่อยๆ ถ้าสนใจสามารถสอบถามกับทางรีสอร์ทโดยตรงได้เลยครับ
หากสนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ทาง
Facebook : InterContinental Koh Samui Resort
Website : https://samui.intercontinental.com
โทร : 077-429-100
เมื่อก้าวเท้าเข้ามาบริเวณ Lobby เราจะได้เจอกับวิวที่อลังการณ์สุดๆ แบบนี้ครับ
บรรยากาศบริเวณ Club Lounge วิวสวยมาก
หลังจาก Check-in เรียบร้อย พนักงานจะพาเรามาส่งที่ห้องพักครับ
Two Bedroom Family Ocean Villa (ห้อง 603) เป็นห้องที่อยู่ใกล้ Lobby มาก
พอมาถึงแล้วต้องขึ้นบันไดมาที่ชั้นสองของวิลล่ากันก่อน เพราะประตูทางเข้าอยู่ที่ชั้นนี้
บริเวณหน้าห้องมีโถงทางเดินไปด้านขวา มีห้องสุขาอยู่ด้านหน้า(ทางขวาของรูป)
มีห้องแม่บ้านและห้องช่างสำหรับเก็บของ
ห้องสุขาหน้าตาก็จะประมาณนี้
เปิดประตูเข้ามาด้านในห้องพัก จะเจอกับ Living room มองเห็นวิวทะเลเต็มๆ
เป็นวิลล่าหลังคาสูง ให้ความรู้สึกกว้าง และโปร่งสบาย
มีโซฟาขนาดใหญ่อยู่หน้าโทรทัศน์ มุมซ้ายเป็นโต๊ะทำงานเล็กๆ
แอร์เป็นแบบตั้งพื้นมีตู้ไม้ครอบ ทำให้ดูกลมกลืนกับเฟอร์นิเจอร์โดยรอบ
มองมาอีกฝั่งจะเห็นบันไดลงไปชั้นล่าง และโซนโต๊ะรับประทานอาหาร
โต๊ะกว้าง นั่งได้ 6 คนสบายๆ
Minibar มีน้ำดื่ม ชา และกาแฟแคปซูลให้บริการฟรี
มองออกไปด้านนอกเห็นวิวทะเล มีระเบียงและโต๊ะให้นั่งด้านนอก
ออกมาชมบรรยากาศบริเวณระเบียงห้องชั้นบนกันครับ มีโต๊ะ Outdoor ให้ 1 ชุด นั่งชมวิวทะเลได้เพลินๆ
วิวจากระเบียงห้อง
มองเห็นท่าเรือของรีสอร์ทด้วย รอบก่อนมาท่าเรือปิดซ่อมอยู่เลย
อีกฝั่งจะมี Daybed 2 เตียง เหมาะกับคนที่อยากมานอนอาบแดด (เพราะแดดร้อนมาก)
มาชมห้องนอนที่บริเวณชั้นล่างกันบ้างครับ เริ่มจากห้องนอนเล็กกันก่อน
ห้องนี้จะเป็นเตียงเดี่ยว 2 เตียง มีโทรทัศน์ และห้องนำ้ในตัว (แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำ)
บริเวณหัวเตียงมีลำโพง Bluetooth ให้ด้วย
มาต่อกันที่ Master Bedroom ครับ ห้องนี้จะเป็นเตียง King Size นอนนุ่มสบายมาก
ด้านในจะเป็นโต๊ะทำงาน มีปลั๊กไฟให้เสียบใช้ได้เยอะเลย
มองออกไปด้านนอกเห็นวิวทะเลเหมือนกัน แต่โดนวิลล่าด้านหน้าบังวิวไปบ้าง
มี Walk-in closet และตู้เซฟให้ อยู่บริเวณด้านหน้าห้องน้ำ
ห้องน้ำกว้างขวางมาก แบ่งเป็นสัดส่วนดี มีอ่างอาบน้ำใหญ่ ลงไปแช่ 2 คนได้เลย
แบ่งห้องสุขาและ Shower Room แยกเป็นสัดส่วน
ใช้ Amenities ของ HARNN กลิ่นหอมมาก
ระหว่างรอไป Dinner ที่ Air bar เราขอแวะมาถ่ายรูปบริเวณท่าเรือก่อน
แก้มือจากครั้งที่แล้วที่ท่าเรือปิดซ่อม ดูซิว่าวิวจะสวยแค่ไหน
จากบนท่าเรือถ่ายย้อนเข้ามาจะเห็นวิวรีสอร์ทแบบเต็มๆ เลยครับ สวยมาก
อีกมุมหนึ่งของรีสอร์ท ถ่ายจากท่าเรือของรีสอร์ท
มองเห็นวิวป่าเกาะอยู่ไกลๆ แนะนำให้มาถ่ายรูปช่วงเย็นเพราะแสงสวย
แต่ถ้าใครอยากถ่ายวิวป่าเกาะแบบไม่ย้อนแสงแนะนำให้มาถ่ายรูปช่วงเช้าแทนครับ
ถ่ายรูปเสร็จ ก็ถึงเวลาที่เราจองโต๊ะที่ Air bar ไว้แล้วครับ มารอบที่ 2 แล้วแต่ก็ยังว้าวกับวิวที่นี่อยู่ดี
วิวก็ดี มีลมทะเลโชยมา แสงดี ถ่ายรูปเพลินมาก
มีนักร้อง นักดนตรีมาร้องเพลงให้เข้ากับบรรยากาศชิลๆ ริมทะเล
อาหารอร่อยทุกอย่าง ส่วนค็อกเทลรอบนี้พนักงานแนะนำ Rainbow Gin หน้าตาดี ดื่มแล้วสดชื่น
พอพระอาทิตย์กำลังจะตก เมฆก็แห่กันมาจากไหนไม่รู้
ปิดท้ายกันด้วยท้องฟ้าสวยๆ จาก Air bar ครับ
Six Senses Samui : ความหรูหราที่กลมกลืนไปกับธรรมชาติ
Six Senses Samui
เป็นอีกรีสอร์ทหนึ่งที่เราอยากจะมาลองพักดูสักครั้ง ที่นี่อาจจะไม่ได้ดูหรูหราหรือ Modern เหมือน Luxury resort อื่นๆ แต่จุดเด่นของ Six Senses คือ Eco Friendly การออกแบบและวัสดุตกแต่งที่ทางรีสอร์ทเลือกใช้ คือ วัสดุธรรมชาติเป็นหลัก การจัดวาง Layout ของ Villa และอาคารต่างๆ กลมกลืนไปกับบรรยากาศและสภาพแวดล้อมโดยรอบ ของใช้ภายในห้องทุกอย่างต้อง Plastic free แต่ถึงแม้ว่าเขาจะชู Concept รักธรรมชาติแบบนี้ แต่การบริการ และบรรยากาศตลอดการเข้าพัก ที่นี่คือ Luxury resort ที่ดีงามไม่แพ้ที่อื่นเลยทีเดียว
สำหรับ Six Senses ในประเทศไทยตอนนี้ เหลือเพียงแค่ 2 แห่ง คือ ที่เกาะยาวน้อย และเกาะสมุย สำหรับรีวิวนี้ เราจะพาไปชม Six Senses Samui รีสอร์ทอีกแห่งหนึ่งบนเกาะสมุยที่เราประทับใจมากๆ เรียกได้ว่าประสบการณ์การเข้าพักที่นี่เกินความคาดหมายของเรามาก ทั้งความสวยงามของ Pool Villa การบริการของพนักงาน และบรรยากาศที่เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างแท้จริง ดีถึงขนาดที่เราต้องมาทำรีวิวแนะนำให้เพื่อนๆ ได้รู้จักเนี่ยแหละ ส่วนจะน่าสนใจและดีงามขนาดไหน ตามมาอ่านรายละเอียดกันได้เลยครับ
Location
Six Senses Samui ตั้งอยู่บริเวณแหลมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสมุย ห่างจากสนามบินสมุยประมาณ 8 กม. จุดเด่นของทำเลบริเวณนี้ คือ สามารถมองเห็นได้ทั้งพระอาทิตย์ขึ้น และพระอาทิตย์ตก โดย Villa จะกระจัดกระจายไปตามพื้นที่ทั้ง 2 ฝั่ง ดังนั้นเวลาจะจอง อาจจะลอง Request ทิศของห้องพักที่ต้องการกับพนักงานตอนจองได้ แต่บริเวณพื้นที่หลักๆ ส่วนใหญ่จะอยู่ทางทิศตะวันตก เช่น Lobby, ห้องอาหาร Dining on the Hills และ Main Pool เป็นต้น และมีห้องอาหาร Dining on the Rocks ที่เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกยอดนิยมอีกจุดหนึ่งของเกาะสมุย
Design
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าที่นี่เขาเน้นเรื่อง Eco Friendly ดังนั้นวัสดุที่ใช้จะเป็นวัสดุธรรมชาติเช่น ไม้ ไม้ไผ่ โดยมีโครงหลักเป็นปูน การตกแต่งภายในให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้าน ใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้ ผ้าม่านใช้สี Earth tone เป็นหลัก ซึ่งเขาเอามาจัดวางและเลือกรูปแบบมาได้ดูลงตัว และหรูหรา แต่ยังไม่โดดจากบรรยากาศธรรมชาติโดยรอบ เข้ามาใน Villa แล้วรู้สึกผ่อนคลายสบายตาดี
บริเวณส่วนกลางทั้ง Lobby และห้องอาหาร ก็คุม Theme Eco Friendly แบบเดียวกัน เราชอบตรงที่เขาวาง Layout ของอาคารได้ดี สามารถมองเห็นวิวได้อย่างเต็มตา และมีความสวยงามแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา ทุกพื้นที่เป็น Outdoor ทั้งหมด ไม่มีส่วนไหนเลยที่ติดแอร์ (ยกเว้นภายใน Villa และห้อง Spa / Fitness) ทำให้เราได้สัมผัสกับลมทะเล และใกล้ชิดธรรมชาติจริงๆ เราไปพักมาเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน แต่อากาศบริเวณส่วนกลางเราว่าสบายๆ มีลมทะเลโชยมาเรื่อยๆ ไม่ได้ร้อนมากอย่างที่คิดไว้
Villa
ห้องพักของที่นี่ส่วนใหญ่เป็น Pool Villa (ยกเว้น Hideway Villa ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้น จะไม่มีสระว่ายน้ำ) เราจองห้อง Ocean View Pool Villa (Villa 14) ขนาด 160 ตร.ม ซึ่งเป็นห้องพักระดับที่ 3 ของรีสอร์ท และเป็นห้อง Type แรกที่มองเห็นวิวทะเล (แต่วิวก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่ Location) การวาง Layout ห้องพักของที่นี่ จะไล่ระดับจากริมทะเลสุดขึ้นไปตามเนิน ห้องที่เห็นวิวทะเลแบบไม่มีอะไรกั้น คือ Ocean Front Pool Villa Suite และ Ocean Front Pool Villa ซึ่งราคาก็จะแพงขึ้นไปอีก ส่วนห้องของเราจะอยู่ขึ้นมาบนๆ หน่อย ทำให้เห็นวิวทะเลที่มี Villa ด้านล่าง และต้นไม้บางส่วนบดบังวิวไปบ้าง โดยส่วนตัวเราไม่ติดนะ เพราะยังไงก็ยังเห็นทะเลอยู่ แต่ถ้าใครอยากได้วิวทะเลแบบ Infinity view ก็คงต้องยอมจ่ายเพิ่มแหละ
Villa 14 ของเรา มีข้อดี คือ อยู่ติดกับห้องอาหาร Dining on the Hills และ Main Pool ทำให้เดินไม่ไกล ไม่ต้องเรียกรถบัคกี้ก็ได้ ด้านนอก Villa มีรั้วและประตูไม้เพื่อความเป็นส่วนตัว เดินเข้ามาจะเป็นทางเดินเข้าสู่ตัว Villa เข้ามาด้านในทางซ้ายจะเป็นเตียงนอน โต๊ะทำงาน โซฟา และทีวีอยู่ในโซนเดียวกัน มีห้องน้ำอยู่โซนด้านขวา แบ่งพื้นที่เป็น 4 ส่วน คือ อ่างอาบน้ำ, อ่างล้างหน้า His & Her, ห้องสุขา และ Outdoor Shower เปิดประตูออกไปด้านนอกจะเป็นสระว่ายน้ำ และศาลาซึ่งมีโซฟาให้นอนเล่นได้ และยังมี Day bed ริมสระอีก 2 เตียง เรียกได้ว่าเป็น Villa ที่ออกแบบพื้นที่ใช้สอยได้ดี และมีขนาดกว้างขวางมากๆ สำหรับ 2 คน
Dining on the Hills
ห้องอาหารหลักของรีสอร์ท ติดกันจะเป็น Drinks on the Hills สำหรับมาจิบชายามบ่าย หรือไว้ดื่มชมบรรยากาศทะเลสวยๆ ในยามเย็น จุดเด่นของที่นี่คือเป็นห้องอาหารที่วิวสวยมาก มองเห็นวิวทะเลเต็มๆ ตาแทบทุกมุม ยามเช้า ยามบ่าย และยามเย็นให้บรรยากาศและความสวยงามที่แตกต่างกันไป เราได้มาทาน Breakfast ที่นี่ ซึ่งช่วงนี้เขาจะเสิร์ฟเป็น a la carte breakfast โดยจะมีพนักงานรับ order จากเราและนำมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ เพื่อลดการสัมผัส ซึ่งเมนูที่เสิร์ฟก็จะมีทั้งอาหารไทย และ อาหารฝรั่ง โดยภาพรวมเราว่าเมนูอาหารมีให้เลือกน้อยไปหน่อย แต่เราชอบเมนูเครื่องดื่ม ที่จะมีน้ำผลไม้แบบพิเศษๆ ให้ได้สั่ง ส่วนใครอยากทาน Afternoon tea แนะนำว่าต้องจองล่วงหน้าก่อนอย่างน้อย 1 วัน (ถ้าใช้เราเที่ยวด้วยกันสามารถใช้ E Voucher เป็นส่วนลดค่าอาหารและเครื่องดื่มได้)
ส่วนห้องอาหารที่เป็นไฮไลท์อย่าง Dining on the Rocks ในสถานการณ์ covid แบบนี้ยังปิดให้บริการแบบไม่มีกำหนด ไว้รอสถานการณ์ดีกว่านี้ เราจะต้องหาโอกาสกลับมาทานอาหารที่นี่ให้ได้เลย
Value
ราคาห้องพักตอนนี้ต้องบอกว่าคุ้มมาก อย่างช่วงที่เราไปพักทางรีสอร์ทจัดโปรเริ่มต้นที่ 4,900 บาท/คืน (ราคาหลังจากหักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน และต้องพักขั้นต่ำ 2 คืน) และได้รับสิทธิ Upgrade Villa อีกด้วย ซึ่งราคาปกติของที่นี่ไม่เคยต่ำกว่า 15,000 บาท/คืนมาก่อน และหลายๆ โปรที่ออกมายังมี Benefit อื่นเพิ่มเติมให้อีก แตกต่างกันไปตามแต่ละโปร หากใครสนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางเพจของรีสอร์ทได้โดยตรงเลยครับ ราคาแบบนี้ถ้าเปิดประเทศแล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้เจออีกเมื่อไร หากสถานการณ์ Covid ดีขึ้น ก็ลองหาโอกาสไปสัมผัสประสบการณ์แบบนี้กันดูสักครั้งนะครับ
และนี่ก็คือภาพรวมของ Six Senses Samui ที่เราได้สัมผัสมา หวังว่าเพื่อนๆ จะได้ไอเดีย และเก็บที่นี่ไว้เป็นอีก 1 ใน List ของรีสอร์ทที่ควรมาสักครั้งกันนะครับ ส่วนใครสนใจรายละเอียดสามารถเข้ามาอ่านได้ในโพสท์เพิ่มเติมได้เลย แล้วรอติดตามชมรีวิวหน้ากันนะครับ ยังมีรีสอร์ทหรูๆ สวยๆ มาให้ได้อ่านกันอีกแน่นอน
บริเวณ Lobby ของรีสอร์ท สามารถขับรถมา drop 0ff บริเวณนี้ได้ จะมีพนักงานนำรถไปจอดให้
แค่วิวตรง Lobby ก็ปังมากแล้ว
Welcome drink เป็นน้ำสัปปะรด ผสมกับขิง มะนาว และน้ำผึ้ง ดื่มแล้วสดชื่นมาก
หลัง check-in เสร็จ พนักงานก็พาเรามาส่งที่ Villa 14 ซึ่งเป็นห้องพักของเราในคืนนี้
เปิดรั้ว Villa เข้ามา จะมีทางเดินเล็กๆ และชานพักก่อนเข้าไปด้านใน
เปิดประตูเข้ามาก็จะเจอกับภาพนี้ เห็นวิวทะเลเต็มๆ จากเตียงนอนเลย
เตียงนอน โต๊ะทำงาน และโซฟา จะอยู่ในโซนเดียวกัน
ถ้าใครมากัน 3 คน พนักงานจะทำเตียงเสริมให้บริเวณโซฟา
มองออกไปจากปลายเตียงจะเห็นสระว่าสระว่ายน้ำ และวิวทะเล
ทางด้านขวาของทางเข้าจะเป็นโซนห้องน้ำ ด้านในห้องน้ำมีโซฟาใหญ่หน้าอ่างล้างหน้าและเป็นที่วางของ
เดินเข้าโซนห้องน้ำมาเราจะเจออ่างอาบน้ำอยู่ทางด้านซ้าย มองเห็นวิวด้านนอกได้
ทางด้านขวาจะเป็นอ่างล้างหน้า โซฟา ตู้เสื้อผ้า ห้องสุขา และ Outdoor Shower
ห้องสุขาแยกมาเป็นสัดส่วน มีสายฉีดให้ด้วย
Outdoor Shower มีทั้งฝักบัวธรรมดาและ Rain Shower ออกมาอาบน้ำช่วงกลางคืนรู้สึกหวิวๆ นิดนึง
Welcome fruits และเอกสารแนะนำรีสอร์ท ที่นี่ใช้กุญแจธรรมดา ไม่ใช่ Keycard
บริเวณโต๊ะทำงานมีเครื่องทำกาแฟแคปซูลให้ด้วย Minibar มีน้ำดื่มใส่ขวดแก้วไว้ให้ สามารถขอเพิ่มได้
มาต่อกันที่สระว่ายน้ำของเราบ้าง กว้างขวางใช้ได้เลย วิวดีมากด้วย
สำหรับเรา ห้องนี้วิวดีเลยนะ แม้จะโดนบังไปบ้างแต่ก็ไม่แย่
ว่ายน้ำไป ชมวิวไป มันดีมากจริงๆ
ชมห้องพักเสร็จแล้ว เราจะพาชมส่วนอื่นๆ ของรีสอร์ทกันต่อครับ
เริ่มที่ Main Pool ยามเย็น มาว่ายน้ำชมพระอาทิตย์ตกที่นี่ได้
เสียดายเมฆเยอะไปหน่อย เลยไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกเต็มๆ
เดินขึ้นมาจาก Main Pool จะเจอที่นั่งวางเรียงรายไว้ เหมาะแก่การมานั่งรับลมชมวิวช่วงเย็น
หรือถ้าเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ น่าจะชอบมาอาบแดดบริเวณนี้กัน
ถัดมาด้านบนสุดจะเป็นห้องอาหาร Dining on the Hills เราจะทาน Breakfast ที่นี่กัน
วิวสวยมาก
มองลงไปจะเห็น Main Pool อยู่ด้านล่าง
โซนเตรียมอาหารช่วง Breakfast ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติน่าจะเป็น Buffet Line ให้มาตักได้เอง
หน้าตาอาหารเช้าบางส่วน
บรรยากาศยามเย็นที่ Dining on the Hills สวยงามไม่แพ้กัน
ติดกับ Dining on the Hills คือ Drinks on the Hills มีเครื่องดื่มและขนมให้บริการ
หรือถ้าใครจะจิบชา Afternoon tea สามารถแจ้งพนักงานได้เลย (แนะนำให้จองก่อน)
ดื่มกาแฟ ทานขนม ชมวิว บรรยากาศดีมากจริงๆ
ส่วนใครอยากเปลี่ยนบรรยากาศ มาเล่นน้ำทะเล หรือนั่งชมวิวริมสระ แวะมาที่ Drift at the Beach ได้
บริเวณนี้จะมี Beach bar ที่มีเครื่องดื่มให้บริการ และมีสระว่ายน้ำอีกสระ จะมาเล่น หรือมานอนพักชิลๆ ก็ได้
มุมนี้เป็นมุม Signature ของรีสอร์ทที่ใครมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูป
แนะนำให้มาถ่ายรูปช่วงเช้า เพราะโซนนี้จะอยู่ทางทิศตะวันออกของรีสอร์ท
บริเวณชายหาด และ Beach bar
จุดสุดท้ายที่เราจะพาไปชมกัน คือ โซน Wellness & Spa ทางลงจะอยู่ใกล้กับ Lobby
ลงบันไดมาเราจะเจอ Reception ของ Spa มีร้านขายของที่ระลึกและผลิตภัณฑ์ Spa ของทางรีสอร์ท
เดินออกมาด้านนอกจะเจอพื้นที่ Outdoor มองเห็นวิวทะเลแบบนี้ มีทางเชื่อมเดินไปยัง Fitness และห้อง Treatment
บรรยากาศโดยรอบ Spa
เดินลงมาด้านล่างจะมีศาลาสำหรับสอนโยคะ ซึ่งสามารถเดินลงไปที่ชายหาดได้
จุดนี้เป็น Hidden place ของที่นี่เลย ใครชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาด
วิวทะเลจาก Spa สวยงามไม่แพ้มุมอื่นๆ เลย
และนี่ก็คือรายละเอียดทั้งหมดของ Six Senses Samui ครับ เราจะมาสรุปความประทับใจของที่นี่ในโพสท์สุดท้ายนี้กันครับ
จุดที่ชอบ
- การออกแบบและบรรยากาศ คือจุดขายของที่นี่ก็ว่าได้ เป็นครั้งแรกที่เราได้มาสัมผัสประสบการณ์ในรีสอร์ทที่เน้นความเป็นธรรมชาติ ดูเหมือนจะไม่ได้หวือหวา แต่ยังให้ความรู้สึกหรูหราไฮโซ สมกับความเป็น Luxury resort จริงๆ
- การบริการและความเอาใจใส่ของพนักงานแทบทุกคน คือ ดีมากๆ โดยเฉพาะ Butler ที่ดูแลเราเต็มที่มากจริงๆ
- พื้นที่ใช้สอยลงตัว และ Layout ภายในห้องพักกว้างขวาง ใช้โทนสีและวัสดุที่ดูดี
- วิวดีมาก โดยเฉพาะที่ส่วนกลางแทบทุกจุด ส่วนวิวจากห้องพัก (ของเรา) ประทับใจนะ แต่ถ้าอยากได้วิวดีกว่านี้ก็ต้องยอมจ่ายแพงเพื่อ Upgrade ห้อง
- ราคาในช่วงนี้คุ้มค่ามากๆ ลดมามากกว่า 50% ควรค่าแก่การมาลองพัก
จุดที่ไม่ชอบ
- อาหารเช้ามีเมนู Main dish ให้เลือกน้อยไปหน่อย และอาหารไม่ได้ทำจานต่อจาน ทำให้บางอย่างเย็นชืด และรสชาติไม่ได้ว้าวเท่าไร (อันนี้เรา comment ไปกับทางโรงแรมแล้ว หวังว่าจะมีการปรับปรุงที่ดีขึ้น)
- คนที่กลัวแมลง และสัตว์ต่างๆ เช่น ตุ๊กแก จิ้งจก อาจไม่ถูกใจที่นี่ เพราะรอบๆ มันคือป่า ทำให้หลีกเลี่ยงสัตว์พวกนี้ไม่ได้จริงๆ
- วิวของห้องพัก อาจจะไม่ได้วิวที่ดีเหมือนๆ กันทุกห้อง แม้จะเป็นห้องระดับเดียวกัน เพราะที่นี่เขาเน้นความกลมกลืนกับธรรมชาติจริงๆ ทำให้ไม่มีการตัดต้นไม้ ทำให้บางห้องอาจจะเจอต้นไม้บังวิว แนะนำว่าให้ลอง Request กับทางรีสอร์ทไปก่อนว่าขอห้องที่วิวชัดๆ วิวสวยๆ และถ้าให้เราแนะนำเราว่าวิวฝั่งตะวันตกดูดีกว่าวิวฝั่งตะวันออก
Banyan Tree Samui : วิวทะเลสุดอลังการณ์ ในวิลล่าสุดหรูบนเนินเขา
Banyan Tree Samui
รีสอร์ทสุดหรูอีกแห่งหนึ่งบนเกาะสมุย ที่เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2553 มีจุดเด่นในเรื่องของการออกแบบ Landscape และวิวทะเลที่สวยงาม ห้องพักของที่นี่เป็นห้องแบบ Pool Villa ทั้งหมด และเป็นห้อง Pool Villa ที่มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่กว่าที่อื่นๆ โดยขนาด Villa ของที่นี่เริ่มต้นที่ 130 ตร.ม. ตั้งกระจัดกระจายอยู่ภายในพื้นที่อันกว้างขวางของรีสอร์ทและบนเนินเขา ทำให้ Villa แต่ละหลัง ได้วิวที่สวยงามแตกต่างกันออกไป เราได้เห็นบรรยากาศของที่นี่ครั้งแรกจากใน Youtube ก็ปักหมุดไว้เลยว่าต้องมาลองพักดูสักรอบ และช่วงเวลาแบบนี้ ราคาห้องพักของที่นี่ก็ถูกลงมาก เหมาะแก่การมาสัมผัสประสบการณ์การเข้าพักในรีสอร์ทที่ถือว่าเป็น Dream Destination ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกดูสักครั้งหนึ่ง และอยากนำความประทับใจมาแชร์ให้เพื่อนๆ ที่สนใจได้อ่านกัน รายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามมาอ่านกันได้เลยครับ
Location
Banyan Tree Samui ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะสมุย อยู่ห่างจากสนามบินสมุยประมาณ 19 กม. ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของสมุยอย่างหาดละไม, หินตา หินยาย และ Overlap Stone ตัวรีสอร์ทตั้งอยู่บนเนินเขา มีวิลล่าทั้งหมด 78 หลังกระจัดกระจายอยู่ตามเนินเขาไล่ลงไปจนถึงชายหาด จากแพ็คเกจที่เราจองมา มีรถรับส่งฟรีจากทางรีสอร์ทมารับถึงสนามบิน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที หรือหากนำรถส่วนตัวมาจะมีลานจอดรถบริเวณทางเข้ารีสอร์ทให้บริการ การเดินทางภายในรีสอร์ทใช้บริการรถบัคกี้เป็นหลัก เพราะแต่ละจุดค่อนข้างอยู่ห้างกัน และเป็นทางชันเลาะไปตามเนินเขา ทางรีสอร์ทมีรถบัคกี้ให้บริการตลอด 24 ชม.
Design
ที่นี่ออกแบบโดย Architrave ซึ่งเป็นทีมสถาปนิกในเครือของ Banyan Tree โดยเฉพาะใครเคยไปพักที่ Banyan Tree Phuket ก็จะรู้สึกได้เลยว่าสองที่นี่มีการออกแบบที่คล้ายคลึงกันมาก ตัว Villa และของประดับหลายชิ้นในห้องใช้สีครีมเป็นหลัก ตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้ และหินอ่อนสีเข้มในบางส่วนของห้อง ภาพรวมจะดูหรูหราสไตล์ผู้ใหญ่ไปหน่อยตามสไตล์ของ Banyan Tree แต่โดยส่วนตัวเราไม่ติดนะ เพราะรีสอร์ทก็สร้างมา 11 ปีแล้ว ถึงดีไซน์จะไม่ได้ดูสดใหม่เหมือนที่อื่น แต่จุดเด่นของที่นี่ คือ พื้นที่ของ Villa ที่กว้างขวางมาก และมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งในภาพรวมเราว่าตอบโจทย์เรื่อง Function การใช้งานได้เป็นอย่างดี มีพื้นที่ใช้สอยแบ่งเป็นสัดส่วน โดย Villa แต่ละ Type จะมีการออกแบบ Layout ที่ไม่ต่างกันมาก มีพื้นที่ใช้สอยที่แตกต่างกันนิดหน่อย แต่จะไปต่างกันตรง Location ของห้องและวิวมากกว่า ยกเว้น Villa แบบ Family และ President ที่จะมี Layout และขนาดที่แตกต่างจาก Villa แบบอื่นไปเลย โดยมีขนาดกว้างถึง 316 ตร.ม. และมีสระว่ายน้ำถึง 2 สระ
Villa
Villa ที่เรามาพัก คือ Ocean View Pool Villa (Villa No. A12) ซึ่งจะมีพื้นที่ 130 - 155 ตร.ม. แล้วแต่หลัง จุดเด่นของ Villa ที่เราพัก คือ เป็น Villa ที่อยู่สูงสุดบนเนินเขา ติดกับ Villa A15 ที่เป็น Horizon Hillcrest Pool Villa ซึ่งเป็น Villa type ยอดนิยมของที่นี่ เพราะได้วิวทะเลมุมสูงที่สวย และไม่มีอะไรบัง (แต่ราคาก็จะสูงกว่าห้องที่เราพักไปอีก 2 ระดับ) จุดที่เราแอบผิดหวังนิดนึง ก็คือ แม้จะเป็น Ocean View แต่จากห้องเราจะมองเห็นวิวทะเลจากหาดละไมแบบไกลๆ และมีต้นไม้บังอยู่ แต่ก็ได้วิววิลล่าบนเนินเขาแบบเดียวกับห้อง A15 มาให้ถ่ายรูปแทน แนะนำว่าใครอยากได้วิวทะเลแบบโล่งๆ กว้างๆ ก็ลงทุนจอง Horizon Hillcrest Pool Villa หรือ Royal Banyan Pool Villa ไปเลย รับรองได้วิวสวยๆ แน่นอน
ภายใน Villa แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนและ Private ดีมาก Villa แต่ละหลังจะมีรั้วรอบขอบชิด เข้ามาจะเจอกับชุดโต๊ะเก้าอี้นั่งเล่นด้านนอก มี Day bed ที่มีรั้วกระจกกั้นให้นอนชมวิว มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ให้ว่ายไปมาได้สบายๆ เข้ามาด้านใน Villa แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ Living area (ถ้าไปพัก 3 คนก็จะเสริมเตียงให้ที่ห้องนี้), Bedroom และด้านในสุดจะเป็นห้องน้ำที่มี Walk-in closet, อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ และด้านในเป็น Shower room ที่มีประตูเปิดออกไปที่สระว่ายน้ำได้ เพดานสูงโปร่งและทาผนังสีครีม ทำให้ภายในห้องดูโปร่งและกว้างขวาง มีโทรทัศน์เป็น Smart TV ให้ 2 เครื่องที่ห้องนอนและห้องนั่งเล่น Minibar มีน้ำเปล่า ชา และกาแฟแคปซูลให้ฟรี หมอนสามารถเลือกได้ว่าอยากได้แบบไหน (แจ้งกับพนักงานตอน check-in) มี Turn down service ให้ในช่วงค่ำ และถ้าอยากได้ In room breakfast หรือ Floating breakfast ก็สามารถแจ้งพนักงานได้ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม) โดยภาพรวมภายในห้องพักสะอาดดี และทางโรงแรมก็ Maintainance อุปกรณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าจะเปิดมานาน 10 ปีแต่ก็ดูไม่เก่าเลย
The EDGE
เรามาทาน Breakfast ที่ The EDGE ซึ่งเป็นห้องอาหารที่อยู่ติดกับ Lobby ของโรงแรม เสิร์ฟ Breakfast ในช่วงเช้าจนถึง 11.00 น. เป็นห้องอาหารที่วิวสวย มองเห็นวิวทะเลและวิลล่าของรีสอร์ทที่กระจายอยู่บนเนินเขา นอกจากที่นี่แล้ว ภายในรีสอร์ทยังมีร้านอาหารอื่นๆ อีก เช่น Sands เสิร์ฟอาหารพวกซีฟู้ด บาร์บีคิว อยู่บริเวณริมชายหาดของรีสอร์ท, Saffron ห้องอาหารไทยที่เปิดให้บริการในช่วงเย็น และยังมี Pool bar, Beach bar ให้บริการที่สระว่ายน้ำและริมชายหาดของรีสอร์ท
Breakfast ของที่นี่ให้บริการเป็นแบบ International Buffet มีทั้งอาหารไทย สลัด เบเกอรี่ และ Egg Station ตามมาตรฐานโรงแรม 5 ดาวทั่วๆ ไป มีพนักงานคอยให้บริการและรับออเดอร์เครื่องดื่มพวกชา กาแฟ รสชาติอาหารโดยรวมพอใช้ เมนูอาหารไทยอาจจะไม่ได้หลากหลายนัก (น่าจะเป็นเพราะแขกที่มาพักส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ) แต่เราชอบเบเกอรี่และโยเกิร์ตที่มีให้เลือกหลายรสชาติ ที่ชอบมากสุด คือ Bread Pudding อร่อยฟินเวอร์
Value
หลายคนคงอยากจะรู้แล้วว่าราคาห้องพักที่นี่แพงไหม ในช่วงเวลาปกติ ห้องพักของที่นี่ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 20,000 บาท ++ (ห้องเริ่มต้นคือ Deluxe Pool Villa) แต่ช่วงที่เราจองทางรีสอร์ทจัดแพ็คเกจไว้ 4 แบบให้เลือก โดยราคาและสิทธิพิเศษของแต่ละแพ็คเกจก็จะแตกต่างกันไป (แต่ตอนนี้โปรโมชั่นนี้หมดเขตจองแล้วนะ) เราเลือกจอง Package "Silver" ราคาเริ่มต้นที่ 9,999 บาท (net) สามารถใช้ส่วนลดเราเที่ยวด้วยกันได้ เหลือ 6,999 บาท เป็นราคาห้องรวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน, ฟรีรถรับ-ส่งสนามบิน และได้สิทธิ Double upgrade จาก Deluxe Pool Villa เป็น Ocean View Pool Villa บอกเลยว่าคุ้มมาก เพราะราคาลดลงมากกว่า 50% จากราคาปกติ และยังได้รถรับส่งสนามบินฟรีอีกด้วย ใครที่สนใจอยากมาลองพักที่นี่ ลองสอบถามโปรโมชั่นกับทางรีสอร์ทได้นะ เพราะอาจจะมีโปรใหม่ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้โปรที่เรามาพักก็ได้
และนี่คือสรุปภาพรวมจากการเข้าพักของเราในครั้งนี้ หากใครอยากอ่านรายละเอียดแบบจัดเต็ม ก็กดรูปเข้าไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยครับ ส่วนรีวิวที่พักในสมุยยังไม่จบ เพราะเรายังมีที่พักที่น่าสนใจและหรูหราไม่แพ้กันมาให้ติดตามอ่านกันได้อีก อย่าลืมกด Like เพจ ThirtyWander ไว้รออ่านกันได้เลยครับ
บริเวณด้านหน้า Lobby ของรีสอร์ท มองเห็นวิวสวยๆ มาแต่ไกล
เข้ามาจะเจอกับเคาน์เตอร์ check-in ทางด้านซ้าย
เดินออกไปจะเจอวิวทะเลสุดอลังการณ์แบบนี้
ทางด้านขวาจะเป็น Lobby Lounge พนักงานจะพาเรามานั่งพักเพื่อรอ check-in ที่นี่
เป็น Lobby Lounge ที่วิวสวยมาก
ระหว่างรอ check-in พนักงานจะเตรียม Welcome drink มาให้
ตอน Check-out ที่นี่เขาก็มี Farewell drink ให้ด้วยนะ น่ารักมาก
Welcome drink เป็นน้ำทับทิมผสมกับขิง มีเนื้อว่านหางจระเข้ใส่มาด้วย ดื่มแล้วสดชื่นดี
ส่วนรูปซ้ายจะมี Map ของรีสอร์ทมาให้พร้อมจดหมายต้อนรับ
และใบ Request ชนิดของหมอนกับกลิ่นของ Essential oil ที่จะใช้ในห้องพักของเรา
วิวสวยๆ อีกมุมจาก Lobby Lounge มองเห็น Villa ของรีสอร์ทที่อยู่ตามเนินเขา
ต่อไปเราจะพาไปชมห้องพักของเรากันครับ จากรูปแผนที่จะเห็นว่า Lobby อยู่ตรงตำแหน่ง A
ส่วน Ocean View Pool Villa ของเราอยู่ที่ A12 (สีชมพู) ด้านขวาล่างของรูป
(Credit photo : Banyan Tree Samui)
นั่งรถบัคกี้จาก Lobby มาประมาณ 5 นาที จะมาถึงบริเวณทางเข้า Villa ครับ
ซึ่ง Villa A12 กับ A15 จะใช้ทางเข้าหลักร่วมกัน แต่จะถึง Villa A12 ก่อน
เปิดประตูเข้ามาก็จะเจอชุดโต๊ะนั่งด้านนอก ทางเข้า Villa จะอยู่ด้านซ้ายมือ
มองเห็นวิวฝั่งเดียวกับที่ Lobby Lounge เลย แต่มุมจะสูงและอยู่ไกลกว่า
มาถ่ายรูปเล่นมุมนี้ได้ เป็นมุมไฮไลท์ของ Villa (แต่แนะนำให้มานั่งช่วงเย็นๆ นะ เพราะแดดร้อนมาก)
มองไปทางด้านซ้ายจะเป็นสระว่ายน้ำของเรา สระลึก 1.30 เมตร มองเห็นวิวทะเลไกลๆ
วิวอีกมุมถ้ามองออกจากสระว่ายน้ำ
เข้ามาด้านใน Villa แอร์เย็นฉ่ำเลย จะเห็นว่าภายในแบ่งเป็น 3 ส่วน
ส่วนแรกที่เข้ามาเจอคือ Living room ส่วนที่สอง คือ ห้องนอน และสุดท้ายคือห้องน้ำ
โซฟาใหญ่ นั่งๆ นอนๆ ได้สบายมาก ทางโรงแรมเตรียม Welcome Fruit ไว้ให้บนโต๊ะด้วย
Minibar ส่วนที่ฟรีมีน้ำดื่ม ชา Twinings และกาแฟแคปซูล
ถัดมาเป็นห้องนอน ภายในมีโต๊ะทำงานอยู่ปลายเตียง
ตื่นนอนมองออกไปด้านนอกเห็นสระว่ายน้ำ และวิวทะเลอยู่ไกลๆ
ห้องนอนมี Smart TV มาให้อีก 1 เครื่อง
เปิดหน้าต่างห้องนอนออกไปลงสระได้เลย
บริเวณหัวเตียงมีโทรศัพท์ และมี Essential Oil กลิ่นที่เราเลือกมาวางไว้ให้
ถัดมาเป็นห้องน้ำที่กว้างมากๆ ภายในห้องน้ำยังแบ่งพื้นที่ออกเป็น 4 ส่วน
เริ่มจากส่วนแรกเข้าไปเราจะเจอกับอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ และอ่างล้างหน้า His & Her
ด้านซ้ายเป็น Walk-in closet ด้านซ้าย (ด้านใน)เป็นห้องสุขา ลึกไปในสุด คือ Shower room
อ่างอาบน้ำใหญ่ ลงไปแช่ 2 คนได้สบายๆ เสียดายไม่ใช่อ่างจากุชชี่
Walk-in closet มีราวแขวนเสื้อพร้อม Bathrobe มีตู้เซฟ และลิ้นชักให้ใส่ของ
บริเวณ Shower ตกแต่งด้วยกระเบื้องโมเสสสีดำตัดกับสีทอง ดูสวยงามหรูหรา
เราชอบ Rain Shower ด้านบนมาก เพราะเป็น Rain Shower สี่เหลี่ยมจตุรัส 4 อันเรียงต่อกัน อาบทีนึงคือฟินมาก
ห้องสุขาเล็กๆ อยู่ด้านในหลบสายตา มีสายฉีดชำระให้ด้วย
บรรยากาศยามเช้า
เสียดายวันที่เราเข้าพักเมฆเยอะไปหน่อย ทะเลเลยสีไม่ค่อยสวยเท่าไร
ถัดมาเราจะพาไปชมห้องอาหาร The EDGE ที่เรามาทาน Breakfast กันครับ
แค่วิวจากภายในห้องอาหารก็กินขาดแล้ว
แม้แขกจะเข้าพักไม่มาก แต่ทางรีสอร์ทก็ยังจัด Line Buffet เต็มๆ อยู่นะ
มุมนี้จะเป็นผลไม้และโยเกิร์ตรสชาติต่างๆ
มุม Bakery แนะนำว่า Bread Pudding คือสิ่งที่ไม่ควรพลาด
Egg station ของที่นี่มีไข่กระทะเสิร์ฟด้วย
ใครอยากรับลมทะเล ก็มานั่งชมวิวสวยๆ ด้านนอกได้
ด้านนอกห้องอาหารจะมีระเบียงยื่นออกไปให้เราชมวิว และถ่ายรูปกันได้สบายๆ
มาแล้วก็ต้องได้รูปกลับไปซะหน่อย
จากจุดนี้เราจะมองเห็นชายหาดของรีสอร์ท และ Main Pool ซึ่งเราจะพาไปชมกันต่อครับ
การมาที่ชายหาดแนะนำให้เรียกรถบัคกี้ลงมา เพราะระยะทางค่อนข้างไกลจาก Lobby
มีเตียงให้นอนอาบแดด รับลมทะเลเยอะแยะเลย
ใครชอบ Activity ทางน้ำ ที่นี่มีให้บริการหลายอย่างนะครับ ทั้งเรือคายัค แพดเดิ้ลบอร์ด
มีพนักงานคอยให้บริการอยู่ สามารถติดต่อสอบถามได้
จุดสุดท้ายที่จะพามาชม คือ Main Pool ครับ จุดนี้ค่อนข้างเงียบเหงาเลย
อาจเป็นเพราะที่นี่มีสระส่วนตัวทุกห้อง คนเลยน่าจะอยู่เล่นที่สระส่วนตัวกันมากกว่า
จาก Main Pool มองลงไปเห็นชายหาดด้านล่าง
ที่จริงแล้วไฮไลท์อีกส่วนหนึ่งของ Banyan Tree Samui ก็คือ สปา ครับ แต่น่าเสียดายที่เรามีเวลาไม่มากในการพักที่นี่ เลยไม่ได้แวะเข้าไปเก็บภาพบรรยากาศในสปามาให้ได้ชมกัน และสุดท้ายนี้เราจะมาสรุปจุดที่ชอบ และไม่ชอบของที่นี่ให้ได้อ่านกันตามเคยครับ
จุดที่ชอบ
- ขนาด Villa ที่ใหญ่มากๆ ตั้งแต่ Villa ระดับเริ่มต้น มีการแบ่งสัดส่วนห้องพักดี สระว่ายน้ำใหญ่ วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในห้องพักยัง Maintainance ได้ดีมาก
- บรรยากาศภายในรีสอร์ทดูหรูหรา อาจจะออกแนวผู้ใหญ่ไปหน่อย แต่โดยส่วนตัวเราไม่ติดนะ จุดที่เราชอบมากที่สุด คือ Lobby Lounge เหมือนเป็นจุดต้อนรับที่ว้าวมากๆ สำหรับแขกที่เพิ่งมาถึงอะ เป็นจุดขายของที่นี่เลยแหละ
- พนักงานบริการดีมาก ตั้งแต่ตอนจองที่พยายามแย่งจองสิทธิเราเที่ยวด้วยกันให้เราได้จนสำเร็จ (ตอนแรกสิทธิหมด เกือบไม่ได้มาแล้ว) หลังจากทำการจองแล้ว Butler ก็โทรมาติดต่อเรา ถามไถ่เรื่องการเดินทางตั้งแต่วันแรกๆ ดูใส่ใจรายละเอียดดีมาก พนักงานในส่วนอื่นๆ ก็ยิ้มแย้มและเต็มใจให้บริการทุกอย่างโดยไม่ต้องร้องขอเลย
- ราคาห้องพัก (ในช่วงนี้) คุ้มค่าคุ้มราคาที่สุด ควรค่าแก่การมาเข้าพักอย่างมาก เพราะถ้าเปิดประเทศแล้ว ก็ไม่รู้จะได้เจอราคาแบบนี้อีกเมื่อไร
จุดที่ไม่ชอบ
- วิวจากห้องพัก อันนี้แอบเสียดายมากๆ ที่แต่ละห้อง แม้เป็น Villa type เดียวกัน แต่ก็จะมีความแตกต่างกันเรื่องวิว ลอง Request กับทางโรงแรมมาก่อนแล้ว (แบบไม่ระบุหมายเลข Villa) แต่ก็ยังได้วิวทะเลแบบไกลๆ อยู่ดี และ Type เริ่มต้นคือไม่เห็นวิวทะเลนะ เป็น Garden view ซึ่งเอาจริงๆ การแก้ปัญหาตรงนี้ คือ ใช้เงินอย่างเดียวเลยอะ 555 แนะนำว่าอย่างน้อยๆ ต้องจอง Horizon Hillcrest Pool Villa ไปเลย ได้วิวสวยๆ ปังๆ แน่นอน
- ปลั๊กไฟในห้องมีน้อยไปหน่อย และอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ค่อย Practical กับการใช้งานนัก
- ด้วยความกว้างใหญ่ของพื้นที่ภายในรีสอร์ท ทำให้การเดินทางต้องอาศัยรถบัคกี้อย่างเดียว ช่วงที่คนเรียกใช้งานเยอะอาจต้องเสียเวลารอนานหน่อย แนะนำว่าถ้าจะไปไหนแพลนและเรียกรถล่วงหน้าไว้เลยก็ดี
Muthi Maya : พักกายใน Pool Villa ที่อยู่ท่ามกลางขุนเขา
Muthi Maya
หากนึกถึงสถานที่เที่ยวที่รายล้อมไปด้วยขุนเขา ให้บรรยากาศเงียบสงบ อากาศบริสุทธิ์ ใกล้ชิดธรรมชาติ เขาใหญ่ คงเป็นสถานที่แรกๆ ที่เรานึกถึง และรีสอร์ทหรูแห่งแรกๆ ในเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่าง Kirimaya ก็เป็นรีสอร์ทที่หลายคนใฝ่ฝันอยากจะมาลองพักดูสักครั้งหนึ่ง รีวิวนี้เราจะพาเพื่อนๆ มาพักผ่อนกันที่ Muthi Maya ซึ่งเป็น 1 ใน 3 รีสอร์ทที่อยู่ภายในอาณาเขตของ Kirimaya กันครับ ลองมาดูกันครับว่าที่นี่จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง
ห้องพักของ Muthi Maya จะเป็นห้องพักแบบ Pool Villa ทั้งหมด โดยมีชื่อเรียกว่า Muthi Maya Forest Pool Villa โดย Concept ของเขาต้องการให้ที่นี่เป็นที่พักที่เราสามารถหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมือง มาพักผ่อนในบรรยากาศที่เงียบสงบ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยยังคงความหรูหราและสะดวกสบายภายในห้องพักของเราอย่างเต็มที่ จุดเด่นของที่นี่นอกจากการออกแบบที่สวยงามแล้ว พื้นที่ใช้สอยภายในวิลล่ายังกว้างขวางมากถึง 164 ตร.ม. แบ่งเป็นห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องครัว ห้องน้ำ 2 ห้อง และพื้นที่ด้านนอกที่มีสระว่ายน้ำ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน มาพักกันสองคนยังรู้สึกว่ากว้างไปด้วยซ้ำ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีครบครัน แถมยังมี Minibar ที่ให้ทานได้ฟรี คุ้มค่าคุ้มราคาสุดๆ
นอกจากนี้ ภายในอาณาเขตของ Kirimaya ยังมีหลายส่วนที่เราสามารถแวะไปถ่ายรูปเล่น หรือจะแวะไปทานอาหารอร่อยๆ ก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารต่างๆ เช่น ห้องอาหารมิธ ห้องอาหารอิตาเลียนที่เปิดให้บริการที่ชั้น 2 ของ Lobby Muthi Maya, ห้องอาหาร Acala ห้องอาหารไทยชื่อดังของ Kirimaya หรือหากชอบทานอาหารญี่ปุ่น ก็มีห้องอาหารทานิ ที่ atta ซึ่งเมนูขึ้นชื่อของเขา คือ เทปันยากิ รวมถึงลานกลางแจ้งของรีสอร์ท ที่มีสวนดอกไม้ มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูป ในช่วงเย็นก็จะมีเซ็ดบาบีคิว ให้เราได้ไปนั่งทานอาหารเย็นในบรรยากาศสบายๆ ได้ เรียกได้ว่ามาที่นี่แล้วไม่ต้องออกไปไหนก็ได้ เพราะมีทุกอย่างครบวงจรให้หมดแล้วจริงๆ
ในส่วนของอาหารเช้า เป็น International Buffet ที่มีอาหารค่อนข้างหลากหลาย ทั้ง American breakfast สลัดผัก ขนมปังและเบเกอรี่ต่างๆ อาหารไทย (กับข้าว) ก๋วยเตี๋ยว ติ่มซำ ให้เลือกทานกันได้ตามสบาย รับรองว่ามาพักที่นี่ทั้งอิ่มท้อง อิ่มใจ ได้ชาร์จพลังงานกลับไปอย่างเต็มที่แน่นอน
หากใครสนใจอยากมาพักที่นี่ เข้าไปดูรายละเอียดและโปรโมชั่นต่างๆ ได้ทาง
http://www.kirimaya.com/th/resorts/muthimaya
ส่วนใครอยากชมบรรยากาศและรีวิวอย่างละเอียด กดเข้าไปอ่านในโพสท์ได้เลยครับ
บริเวณหน้า Lobby ของ Muthi Maya จากทางเข้า Kirimaya ขับรถเข้ามาอีกประมาณ 3 กม.
จะถึง Muthi Maya ซึ่งเป็นรีสอร์ทที่อยู่ด้านในและลึกที่สุดของ Kirimaya มีที่จอดรถอยู่ด้านหน้า Lobby
ภายในรีสอร์ทมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง จะเดินทางไปไหนก็โทรเรียกรถบัคกี้ให้มารับได้
บรรยากาศภายใน Lobby ไม่ได้กว้างมากนัก แต่ตกแต่งได้เรียบหรูดูดีทีเดียว
บริเวณด้านข้างของ Lobby ออกมาแล้วจะเจอกับ Main Pool ขนาดใหญ่
แต่ไม่ค่อยมีใครมาว่ายน้ำที่นี่หรอก เพราะทุกห้องมีสระส่วนตัวอยู่แล้ว
ติดกับ Main Pool เป็นห้องอาหารเช้าของรีสอร์ท
บริเวณริมสระ มีจัดโซนสำหรับ Dinner ให้แขกที่สนใจ ช่วงที่เราไปจะเป็น Set BBQ สำหรับ 2 คน
มาชมห้องพักของเรากันบ้างครับ เราได้พักที่ห้อง 906 ซึ่งเป็นห้องที่อยู่ติดกับห้องอาหารของรีสอร์ทเลย
ข้อดีคือเดินไม่ไกล ไม่ต้องเรียกรถบัคกี้ก็ได้
แสงและเงาช่วงบ่ายที่ส่องลงมาหน้าวิลล่านี่มันดีงามจริงๆ
เข้ามาด้านใน ก็จะเจอกับ Living room และ Sofa bed ขนาดใหญ่
มีผนังและประตูกั้นระหว่างห้องนั่งเล่นกับห้องนอน เป็นสัดส่วนดี
ติดกับห้องนั่งเล่นจะเป็นห้องครัว มีทั้งตู้เย็น ไมโครเวฟ เครื่องทำกาแฟ และ Minibar ที่ให้ฟรีทั้งหมด
ตรงข้ามกับห้องครัวเป็นห้องน้ำใหญ่ มีอ่างอาบน้ำอยู่กลางห้อง และมีตู้เสื้อผ้าอยู่สองฝั่ง
มีห้องสุขา และ Shower room แยกกัน อ่างอาบน้ำใหญ่มากแถมยังเป็นอ่างจากุชชี่ด้วย
ส่วนด้านขวาของรูป บริเวณประตูทางเข้าจะเป็นห้องน้ำเล็กอีกห้อง มีเฉพาะห้องสุขาและ Shower room
ติดกับห้องน้ำ คือ ห้องนอน เป็นเตียง King size
มองออกไปด้านนอกเห็นสระว่ายน้ำและวิวสนามกอล์ฟ
ออกมาด้านนอกเป็นสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มีศาลาพร้อม Day bed อยู่ตรงข้างสระ
มุมนี้เป็นมุม Signature ของวิลล่านี้เลย ใครมาก็ต้องถ่ายรูป
ฝั่งตรงข้ามศาลามีม้านั่งไม้ เป็นอีกมุมที่ถ่ายรูปสวย
มาพัก Pool Villa ทั้งทีก็ต้องลงสระกันหน่อย
อีกจุดหนึ่งที่แนะนำว่าควรแวะมา คือบริเวณลานกลางแจ้งของรีสอร์ทครับ จุดนี้จะอยู่ระหว่างทางจาก Kirimaya ไปที่ Muthi Maya ตอนเย็น (เฉพาะบางวัน) ที่นี่จะจัดเป็นลานสำหรับทาน BBQ และมีทุ่งดอกไม้สวยๆ ให้ถ่ายรูป
จุดไฮไลท์ของบริเวณนี้คือ ประติมากรรมที่เป็นไม้สานขนาดใหญ่ ด้านในมีเซ็ตที่นั่งไว้สำหรับมา Dinner ได้เช่นกัน
แต่ถึงไม่ได้มา Dinner ก็แวะมาถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันนะ
มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก รับรองว่าได้รูปไปลง IG แน่นอน
ปิดท้ายกันที่บรรยากาศของห้องอาหารยามเช้ากันครับ
บอกเลยว่าไลน์อาหารที่นี่จัดเต็ม หลากหลายมากๆ
ปิดท้ายรีวิวนี้ เราจะมาสรุปส่วนที่เราชอบและไม่ชอบของ Muthi Maya เขาใหญ่กันครับ
จุดที่ชอบ
- บรรยากาศ ความเงียบสงบ และเป็นส่วนตัว ถือเป็นจุดเด่นของที่นี่ที่เราชอบมากๆ ยิ่งถ้ามาช่วงอากาศดีๆ ยิ่งเหมาะแก่การมาพักผ่อนจริงๆ
- การออกแบบและขนาดของวิลล่าที่กว้างขวาง และใช้งานได้อย่างเต็มที่แทบทุกจุด เราชอบอ่างจากุชชี่และ Sofa bed ในห้องนั่งเล่นมากๆ
- อาหารเช้าจัดเต็ม หลากหลาย และเป็น Buffet ทั้งๆ ที่ในสถานการณ์แบบนี้หลายๆ โรงแรมเลือกจะปรับเปลี่ยนเป็น A la carte แทน แต่ที่นี่ก็ยังจัดอาหารมาให้แบบเต็มที่ คุ้มค่าสุดๆ
- สายถ่ายรูปถูกใจสิ่งนี้ เพราะภายในรีสอร์ทมีพื้นที่กว้างขวาง และมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก
- ราคาห้องพัก เมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับ ถือว่าคุ้มค่ามาก (ช่วงที่เราไปพัก ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน ลดราคาแล้วเหลือเพียง 3,500 บาท/ คืน จากราคาปกติประมาณ 7,000 - 10,000 บาท/คืน)
- พนักงานใส่ใจ ให้บริการดีแทบทุกฝ่าย
จุดที่ไม่ชอบ
- อุปกรณ์ภายในห้องบางอย่างที่ดูเก่า และไม่ค่อย Functional เท่าไร อาจเป็นเพราะที่นี่เปิดมานานแล้ว และไม่ได้มีการรีโนเวท ทำให้บางอย่างดูเก่าไปนิด และหลายๆ อย่างที่ควรอัพเกรด ก็ยังไม่ได้อัพเกรด เช่น โทรทัศน์ยังเป็นรุ่นเก่า มีเครื่อง DVD ในห้อง แต่ไม่มี Chromecast หรือ Smart TV ให้เชื่อมต่อกับโทรศัพท์ได้, ปลั๊กไฟมีน้อยมาก
- ความสะอาดทั้งภายในห้อง และบริเวณสระว่ายน้ำ ที่ยังไม่ค่อยเนี้ยบเท่าไร
- รีสอร์ทอยู่ค่อนข้างลึกจากถนนใหญ่ เวลาขับรถเข้ามาช่วงกลางคืนแอบน่ากลัวไปหน่อย และบรรยากาศรอบๆ คือเงียบสงบมาก ใครไม่ชอบความเปลี่ยวเหงา เคว้งคว้าง หรือเป็นคนขี้กลัว อาจไม่ถูกใจสิ่งนี้
THE PENINSULA BANGKOK : Luxury staycation
THE PENINSULA BANGKOK
รีวิวนี้เราจะพาไป Staycation กันที่ THE PENINSULA BANGKOK โรงแรมหรูริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่เปิดให้บริการมากว่า 20 ปี และเป็น 1 ในไม่กี่โรงแรมของประเทศไทยที่ได้รับ 5 Stars Award จาก Forbes Travel Guide Star Award Winners 2021 ทำให้เราอยากรู้ว่าที่นี่มีดีอะไร ถึงได้เป็นโรงแรมหรูอันดับต้นๆ ที่นักท่องเที่ยวต่างอยากมาพักกันสักครั้ง เราจะพาไปชมบรรยากาศภายในโรงแรม การออกแบบห้องพัก และประสบการณ์ในการพักผ่อนของเราในครั้งนี้ให้ได้อ่านกันครับ
Location
โรงแรมตั้งอยู่บนถนนเจริญนคร ใกล้กับห้าง Iconsiam ตัวโรงแรมหันหน้าออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ห้องพักทุกห้องมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา มีเรือรับ-ส่งฟรี ไปที่ห้าง Iconsiam และท่าเรือสาทร (สะพานตากสิน) หรือหากใครนำรถมาก็มีที่จอดทั้งลานจอด Outdoor และชั้นใต้ดินของโรงแรม (มีช่องจอดสำหรับชาร์จไฟรถ EV ไว้บริการด้วย)
Design
ด้วยความที่โรงแรมเปิดมา 20 กว่าปีแล้ว ทำให้ดีไซน์อาจจะไม่ได้ดูทันสมัยเหมือนโรงแรมใหม่ๆ แต่โดยส่วนตัวเรารู้สึกว่าดีไซน์แบบนี้มันมีความคลาสสิค เรียบร้อย และดูหรูหราไปในตัว และดูกลมกลืนไปกันแทบทุกจุด โดยส่วนตัวเราชอบการออกแบบภายนอกของอาคาร ที่ดูเรียบๆ ไม่ได้มีเส้นสายอะไรเยอะ แต่สวยและดูอลังการณ์ดีเมื่อมองจากด้านล่างขึ้นไป สระว่ายน้ำที่ทอดยาวลงไปจนถึงริมแม่น้ำ ตอบโจทย์ทั้งการใช้งาน และเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยงามมากๆ ในยามเช้า เพราะเราจะได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นส่องแสงสะท้อนแม่น้ำ เป็นภาพที่เห็นแล้วประทับใจดี
Rooms
สำหรับห้องพักที่เรามาพักในครั้งนี้ เป็นห้อง Deluxe Room ซึ่งเป็น Room type เริ่มต้นของโรงแรม ห้องพักกว้าง 45 ตร.ม. และแบ่งสัดส่วนของห้องพักได้ดี การออกแบบภายในดูคลาสสิค เรียบหรู ตามสไตล์ของโรงแรม ตอนแรกเราแอบกังวลว่าห้องจะเก่าหรือเปล่า เพราะโรงแรมก็เปิดมานานแล้ว แต่พอได้มาพักก็ประทับใจมากที่ทางโรงแรมยังคง Maintainance หลายๆ อย่างได้ดี รวมถึง Function การใช้งานของห้อง ที่ยังคงมีความทันสมัยอยู่ เช่น แผง Control แอร์และไฟบริเวณหัวเตียงทั้งสองฝั่ง ม่านเปิด-ปิดด้วยไฟฟ้า มีเครื่องทำกาแฟพร้อมแคปซูล รวมถึงมีการอัพเกรดโทรทัศน์รุ่นใหม่เป็น Smart TV ซึ่งสามารถ Sync กับ Smartphone รุ่นใหม่ๆ ได้ ห้องน้ำกว้างมาก มีอ่างอาบน้ำ และอ่างล้างหน้า His&Her ความสะอาดของห้องทำได้ดี เตียงและหมอน นุ่ม นอนสบายมาก วิวจากห้องพักของเรา (ชั้น 19) สูงกำลังดี วิวดี มองเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวกรุงเทพฯ ฝั่งพระนครได้เต็มๆ ตา แต่มีบางจุดที่เรารู้สึกไม่ค่อยชอบ เช่น ตำแหน่งวางโทรทัศน์ ที่ไม่เหมาะกับการใช้งานจริงเท่าไร และแอร์ที่ปรับได้ละเอียดน้อยไปหน่อย
Restaurants
เราได้ใช้บริการที่ห้องอาหาร 3 ห้องของโรงแรม ได้แก่
- The Lobby : ห้องอาหารนี้เป็นห้องอาหารสำหรับ International All-day Dining รวมถึงเสิร์ฟ Afternoon tea ตั้งแต่ 14.00 - 17.00 น. ในส่วนของ Afternoon tea ของที่นี่ ชื่อว่า "The Peninsula Traditional Afternoon Tea" ใน Set ประกอบด้วย Scone, Sandwich และ Pastry ต่างๆ จัดมาให้อย่างสวยงาม เครื่องดื่มสามารถสั่งได้คนละ 1 อย่าง มีกาแฟ และชาหลากหลายชนิดให้เลือกสั่ง โดยส่วนตัวเราประทับใจ Scone และชา Marco Polo ทานคู่แล้วเข้ากันดีมากๆ แต่ถ้าใครชอบถ่ายรูป และอยากลองอะไรใหม่ๆ Bluefly Tea ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ไม่ควรพลาดเช่นกัน ราคาต่อเซ็ทอยู่ที่ 2,200 บาท (ทานได้ 2 คน)
- Thiptara Restaurant : ร้านอาหารไทยชื่อดังของโรงแรม ที่แนะนำเลยว่าต้องมาลอง เนื่องจากแพ็คเกจที่เราจองมา รวมอาหารเย็นมาให้ด้วย เราจึงเลือกมาทาน Dinner Set ที่ Thiptara ซึ่งในเซ็ตจะได้อาหารทั้งหมด 9 จาน โดยทางร้านจะให้เราเลือกเองจากเมนูที่เขาได้จัดไว้ให้ เมนูที่เราชอบมากๆ และอยากแนะนำ คือ ผัดไทกุ้งสด ยำผักบุ้งกุ้งกรอบ และกล้วยทอดไอศครีมกะทิ บอกเลยว่าไปกันสองคน เจออาหารเซ็ตนี้ถึงกับอิ่มจนจุก
- River Cafe & Terrace : สำหรับอาหารเช้าของโรงแรมจะจัดไว้ที่ห้องอาหารนี้ เป็น International Buffet ที่ไลน์อาหารอลังการณ์สุดๆ มีอาหารให้เลือกหลากหลายมาก ทั้งไทย จีน ฝรั่ง และยังมีอาหารอินเดียให้ได้ลองอีกด้วย จากที่ได้ไป Staycation หลายๆ โรงแรมหรูในกรุงเทพฯ เราขอยกให้ Breakfast ของ The Peninsula Bangkok เป็นที่ที่คุ้มค่าที่สุด
Facilities
ด้วยความที่โรงแรม The Peninsula Bangkok ให้ความสำคัญกับเรื่อง Wellness ทำให้ที่นี่มีคลาสให้แขกที่เข้าพักได้เข้าร่วมหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นโยคะ, Aqua Fit, Breathing class, HIIT รวมถึงมี Fitness, ห้องอบไอน้ำ, ซาวน่า และอ่างกุชชี่ทั้งร้อนและเย็น ให้ได้ใช้บริการกันอย่างเต็มที่ได้ทั้งวัน และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมถูกใจคนรักสุขภาพอย่างแน่นอน
Values
เราจองห้องพักครั้งนี้ด้วยโปรโมชั่น Weekday Recharge เริ่มต้นที่ 2,999 บาท เข้าพักเฉพาะวันจันทร์ - พฤหัสบดีเท่านั้น รวมอาหารเย็น และอาหารเช้าสำหรับสองคน ส่วน Early check-in หรือ Late check-out ขึ้นอยู่กับห้องว่าง (สามารถสอบถามจากพนักงานได้) โดยส่วนตัวเราว่าแค่มาทานอาหารสองมื้อ ก็คุ้มเกินค่าห้องพักไปแล้ว แถมยังได้ใช้ Facility ต่างๆ ของโรงแรมอีก โดยภาพรวมก็ถือว่าเป็นอีกโรงแรมที่เราประทับใจทั้งบรรยากาศ รสชาติของอาหาร และการบริการของพนักงานที่ดีตามมาตรฐาน อาจจะไม่ได้ว้าวเหมือนโรงแรม Luxury ที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ แต่ด้วยราคาและโปรโมชั่นในช่วงนี้ที่คุ้มสุดๆ เป็นโอกาสดีที่จะได้ไปลองพักดูสักครั้ง เพราะถ้าเปิดประเทศแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้เห็นราคาแบบนี้อีกเมื่อไร
ส่วนใครที่อยากอ่านรีวิวแบบละเอียด สามารถกดเข้ามาอ่านต่อได้ภายในโพสท์นี้เลยครับ
ตัวโรงแรมเป็นอาคารสูง 37 ชั้น ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้
หลังจาก check-in เรียบร้อย ก็ได้เวลามาทาน Afternoon tea ที่ห้องอาหาร The Lobby
จากห้องอาหาร มองเห็นวิวแม่นำ้เจ้าพระยาผ่านกระจกบานใหญ่ได้เต็มตา
น่าเสียดายวันที่เราไปฝนตกตลอดทั้งวัน อากาศเลยดูอึมครึมไปหน่อย
หน้าตา Afternoon tea set ของเรา
จิบชาเสร็จแล้ว เราจะพามาชมห้องพักของเรากันบ้างครับ เริ่มที่ห้องแรกกับห้อง Deluxe room (ห้อง 1910) แปลนของห้องนี้มีจุดเด่นอยู่ที่กระจกเข้ามุมด้านหลังโต๊ะทำงาน ที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและวิวเมืองฝั่งพระนครได้อย่างเต็มตา ซึ่งห้องของเราจะอยู่ฝั่งสะพานตากสิน มุมนี้จะเป็นทิศตะวันออก เหมาะแก่การชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า
มุม Signature ของ Deluxe room มองเห็นวิวแม่น้ำและตึกสูงเต็มๆ ตา
วิวพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ก็จะสวยประมาณนี้
มองจากเตียงจะเห็นโทรทัศน์และโซฟาอยู่อีกมุมของห้อง จุดที่เราไม่ชอบ คือ จุดวางโทรทัศน์ ที่ดูไม่ตอบโจทย์การใช้งานเท่าไร ถ้าจะดูต้องนอนอยู่ที่โซฟา หรือนั่งที่โต๊ะทำงานเท่านั้น เตียงนอนมีไว้นอนอย่างเดียวพอ
บริเวณหัวเตียงมีแผงควบคุมไฟ แอร์ และโทรศัพท์อยู่ทั้งสองฝั่ง
มีเครื่องทำกาแฟและแคปซูล (ฟรี) และ Minibar ต่างๆ (มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
ภายในตู้เย็นมีช่องว่างให้แช่น้ำ และเครื่องดื่มอื่นๆ ได้อีก
ออกจากห้องนอนมาจะเป็น Dressing area มีที่วางกระเป๋าและลิ้นชักใส่ของอยู่ทางด้านขวา
ส่วนด้านซ้ายเป็นตู้เสื้อผ้า
ติดกับ Dressing area คือ ห้องน้ำขนาดใหญ่ เข้ามาจะเจออ่างอาบน้ำอยู่ตรงกลาง
มีอ่างล้างหน้า His & Her อยู่คนละฝั่งของห้อง
ด้านขวาจะเป็นห้องสุขา (มีสายฉีดชำระ) และด้านซ้ายจะเป็น Shower room
ถ่ายรูปเล่นในห้องน้ำก็สวยดีนะ
ห้องต่อมาที่เราจะพามาชม เป็นห้อง Deluxe อีกแปลนนึงครับ (ห้อง 1901) เดิมทีตอนที่เราจองห้องพัก ห้องแปลนนี้เป็นห้อง Superior ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นและราคาถูกสุดของโรงแรม แต่พอสอบถามไปทางโรงแรม โรงแรมแจ้งว่านี่คือห้อง Deluxe ตามที่ลูกค้าจองมานั่นแหละ ตอนแรกก็แอบงงอยู่เหมือนกัน แต่พอเข้าไปส่องเว็บของโรงแรมก็พบว่าไม่มีห้อง Superior อีกต่อไป เหลือแต่ห้อง Deluxe เป็นห้องเริ่มต้นเท่านั้นครับ
ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่ได้มีกระจกเข้ามุมให้เห็นวิวเต็มๆ ตาแบบห้องแรก แต่ข้อดีของห้องนี้คือมีกระจกเยอะกว่า ทำให้ห้องดูโปร่ง แต่ตำแหน่งวางโทรทัศน์ของห้องนี้ก็ยังไม่ได้อยู่ดี วิวจากห้องนี้เป็นวิวฝั่ง Iconsiam ให้บรรยากาศที่สวยงามไปอีกแบบ
สายถ่ายรูปก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายอยู่นะ
ชมห้องเสร็จแล้ว มาชม Facility ต่างๆ กันต่อครับ ทั้งหมดจะอยู่ที่บริเวณชั้น G ของโรงแรม
เริ่มที่ Fitness ซึ่งจะใช้ทางเข้าเดียวกับ Spa ของโรงแรม
เข้ามาด้านในจะเจอเคาน์เตอร์และพนักงานคอยให้บริการอยู่ สามารถแจ้งเบอร์ห้องและขอกุญแจสำหรับใช้ล็อคเกอร์ได้เลย
เดินเข้ามมาด้านในจะเจอโถงสวยๆ ตรงนี้ ด้านซ้ายจะเป็นทางเข้าฟิตเนส
ส่วนด้านขวาจะเป็น Locker room แยกชาย-หญิง
ความพิเศษของที่นี่ คือ ใน Locker room ของแต่ละฝั่ง นอกจากห้องน้ำและห้องอาบน้ำแล้ว ยังมีอ่างจากุชชี่ทั้งน้ำร้อนและน้ำเย็นให้บริการอีกด้วย ใครชอบแช่น้ำเพื่อผ่อนคลายมาแช่กันได้
มีห้องสตีมและซาวน่าให้บริการด้วย (แต่ในช่วง Covid ยังปิดให้บริการอยู่)
สระว่ายน้ำของโรงแรม ทอดยาวไปจนถึงริมแม่น้ำเจ้าพระยา
ใครชอบว่ายน้ำ ว่ายได้เพลินแน่นอน เพราะระยะของสระค่อนข้างยาวเหมาะกับการว่ายออกกำลังกาย
ด้านหลังของสระว่ายน้ำ คือ Spa ของโรงแรมครับ
ใครอยากดื่มอะไรเพิ่มเติม มี Pool bar คอยให้บริการอยู่
ใกล้กับสระว่ายน้ำ คือ ห้องอาหาร Thiptara ที่เราจะมาทานมื้อเย็นกันครับ
ที่นั่งส่วนใหญ่อยู่ติดริมแม่น้ำ และอยู่กลางแจ้ง ทำให้เหมาะแก่การมานั่งชิล ทานอาหารอร่อยในช่วงเย็น
บรรยากาศในร้าน ตกแต่งด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ ให้บรรยากาศไทยๆ ถูกใจนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ส่วนหนึ่งของ Dinner Set ที่เราสั่งมาทาน ผัดไทกุ้งสดและยำผักบุ้งกุ้งกรอบ เป็นเมนูที่เราแนะนำ
ติดกับห้องอาหาร Thiptara คือห้องอาหาร River Cafe & Terrace ที่เราจะมาทานอาหารเช้ากันครับ
Buffet Line ด้านนอก อาหารหลากหลายมาก มีทั้ง Station ก๋วยเตี๋ยว ติ่มซำ ไข่ต่างๆ และมีอาหารให้เดินตักอีกหลายเมนู
ป๊อบสุดน่าจะเป็นโซนติ่มซำ มีทั้งขนมจีบ ฮะเก๋า ซาลาเปา คนต่อคิวสั่งกันตลอดเวลา
ด้านในห้องแอร์จะเป็นสลัด Bakery และเครื่องดื่มต่างๆ
หน้าตาอาหารเช้าบางส่วน
สุดท้ายนี้เราจะมาสรุปสิ่งที่เราชอบจากการมา Staycation ที่ The Peninsula Bangkok กันครับ
จุดที่ชอบ
- วิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่มองเห็นได้จากห้องพักทุกห้องของโรงแรม ถึงแม้จะเป็นห้องเริ่มต้นก็ยังได้วิวที่สวยงาม
- พื้นที่ภายในห้องพักแบ่งเป็นสัดส่วนดี เตียงนอน และหมอน นุ่ม นอนสบายมาก
- Facility โดยเฉพาะโซน Fitness และสระว่ายน้ำ ดีงามมาก
- อาหารเช้าหลากหลายและรสชาติดี
- ความคุ้มค่าคุ้มราคา จากโปรโมชั่นของโรงแรมในช่วงนี้
จุดที่ไม่ชอบ
- การจัดวาง และ Function บางอย่างในห้องพักที่ไม่ค่อยตอบโจทย์เรื่องการใช้งาน
- ภายในห้อง (ก่อนเราจะ check-out) มีกลิ่นเหมือนกลิ่นสีออกมาจากช่องแอร์ น่าจะเป็นเพราะมีห้องข้างเคียงอาจจะ Renovate อยู่ทำให้มีกลิ่นลอยเข้ามา
- ดีไซน์ของห้องที่บางคนอาจจะรู้สึกว่ามันเชยและดูเก่า ในข้อนี้เราไม่ค่อยติดเท่าไร เพราะโดยภาพรวมถือว่ายังดูดี
- การบริการ (ตรงบริเวณ Lobby) อาจเป็นเพราะเราคาดหวังการการบริการที่นี่มากพอสมควร จุดที่รู้สึกไม่โอเคมากที่สุดน่าจะเป็นตอน check-in ที่ดูวุ่นวาย และเราต้องยืนต่อคิว + โดนแซงคิวไปด้วย ไม่มีพนักงานดูแลจัดการ หรืออำนวยความสะดวกตรงจุดนี้ แถมพอ check-in ได้ keycard เสร็จ ก็คือจบ ไม่มีการพาไปที่ห้อง หรือพาไปแนะนำการใช้งานต่างๆ ในห้องเลย ซึ่งจุดนี้ไม่น่าเกิดขึ้นกับโรงแรมระดับนี้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การบริการในส่วนอื่นๆ ทั้งในห้องอาหาร Fitness สระว่ายน้ำ ทุกที่โอเคหมดเลย
ANDARA Resort & Villas : Hidden gems in Phuket
พักผ่อนห้อง Pool Suite วิวทะเลในราคาคนละไม่ถึง 2,000 บาท!
วันนี้เราจะพามาทำความรู้จักกับ "ANDARA Resort & Villas " High-end Luxury Resort ใกล้หาดกมลา ซึ่งเป็นรีสอร์ทยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ต้องการความเป็นส่วนตัว หรูหรา เงียบสงบเหมาะแก่การพักผ่อน และมีวิวทะเลที่สวยงามอลังการณ์ บอกตามตรงว่าก่อนหน้านี้เราไม่เคยรู้จัก ANDARA มาก่อน แต่ระหว่างที่เรากำลังมองหาที่พักสวยๆ และราคาไม่แพงในภูเก็ต เราก็สะดุดตากับที่นี่พอดี และจัดการจองห้องพักเพื่อมาพิสูจน์กันสักหน่อยว่าจะดีงามอย่างไรบ้าง
Location
รีสอร์ทอยู่ใกล้กับหาดกมลา (ไม่ไกลจากหาดป่าตอง หาดยอดนิยมของนักท่องเที่ยว) ตัวรีสอร์ทและห้องพักต่างๆ ตั้งอยู่บนเนินเขา ทำให้ห้องพักส่วนใหญ่ของที่นี่จะ take view ทะเลจากมุมสูง มองเห็นหาดกมลาซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขา และสามารถชมพระอาทิตย์ตกได้จากรีสอร์ท ถ้าขับรถเข้าไปในเมืองใช้เวลาประมาณ 30-40 นาทีได้ครับ
Design
การออกแบบของ ANDARA เป็นการออกแบบร่วมสมัย มีเส้นสายและของตกแต่งหลายๆ ชิ้นที่สะท้อนถึงความเป็นไทย ถึงแม้จะไม่ได้ Modern หรือ Cozy ตามสมัยนี้ที่เขานิยมกัน แต่ก็ไม่ได้ดูเชย หรือโบราณจนเกินไป โดยภาพรวมเราว่าเป็นการออกแบบที่มีความคลาสสิค ดูได้ไม่เบื่อ และห้องพักของที่นี่เขาเน้นไปที่ความ Grand ห้องพักกว้างขวางมาก ให้ความรู้สึกเหมือนมานอนพักที่บ้านตากอากาศดีๆ มากกว่ามานอนตามโรงแรมหรือรีสอร์ทเสียอีก วัสดุ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ที่เลือกมาใช้ก็เป็นของดีๆ แพงๆ ทั้งนั้น และการดูแลรักษาภายในรีสอร์ท และห้องพัก ถือว่าทำได้ดีมากๆ
Rooms
ห้องพักของที่นี่แบบออกเป็น 2 แบบหลักๆ คือ ห้อง Suite และ Villa เริ่มกันที่ห้อง Suite ซึ่งมีหลาย Room type ได้แก่ Terrace Suite, Pool Suite และ Penthouse Suite เริ่มตั้งแต่ 1 -4 ห้องนอน ขนาดห้องเริ่มต้นที่ 153 ตร.ม. ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับโรงแรมอื่นๆ และห้อง Suite จะอยู่ไม่ไกลจาก Lobby ของโรงแรม และได้วิวจากห้องพักที่ไม่ได้สูงมากนัก ส่วน Villa มีสระว่ายน้ำและมองเห็นวิวทะเลแบบ Panorama ได้จากทุกห้อง ขนาดของ Villa เริ่มต้นที่ 1,160 ตร.ม. มี 3 - 7 ห้องนอน / วิลล่า พักได้สูงสุดถึง 14 คน ใครที่มาเที่ยวกันเป็นครอบครัวใหญ่ หรือมากันเป็นกลุ่มเพื่อน Villa น่าจะตอบโจทย์ได้ดีมาก
ส่วนห้องที่เรามาพัก คือ ห้อง 3 Bedrooms Pool Suite พักได้ทั้งหมด 6 คน สิ่งที่ประทับใจเป็นอันดับแรกเลย คือ ขนาดห้องพักที่กว้างขวางมาก มีทั้งส่วน Living room ที่มีโซฟาและทีวีขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องเสียง, โต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ และห้องครัวที่เป็นครัวแบบจริงจังมาก มีอุปกรณ์ทำครัวให้ครบครัน ตู้เย็นหลังใหญ่ (ใหญ่กว่าที่บ้านเราอีก) เหมาะแก่การซื้อของกินจากข้างนอกมานั่งปาร์ตี้ที่ห้อง ห้องนอน 3 ห้องนอนมีห้องน้ำในตัวทั้ง 3 ห้อง และยังมีห้องน้ำใน Living room อีกห้อง สระว่ายน้ำอยู่ด้านนอก มี Day bed วางไว้ริมสระอีก 4 เตียง สระลึกประมาณ 1.5 เมตร เห็นวิวทะเลและภูเขาจากมุมสูง จากที่ดูรูปห้องพักดีไซน์และ Lay out จะคล้ายกัน ต่างกันที่จำนวนห้องนอน และวิวที่ได้ (ถ้าใครอยากได้วิวแบบห้องเรา ลอง request ห้อง 512 ดูนะ) เราพาครอบครัวไปพักที่นี่มา 1 คืน ทุกคนประทับใจห้องพักมาก เพราะเขารู้สึกว่าเหมือนอยู่บ้าน มากกว่ามาอยู่โรงแรม สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน จนทำให้เราอยู่ที่นี่อย่างเดียวเพราะอยากใช้เวลาพักผ่อนที่รีสอร์ทอย่างเต็มที่
หลายๆ คนอาจจะอยากรู้แล้วว่าราคาห้องพักของที่นี่แพงไหม ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติ ก็ต้องบอกว่าที่นี่ราคาค่อนข้างสูงแหละ เพราะเขาเป็น High-end Luxury Resort และแขกที่มาก็จะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติซะส่วนใหญ่ ราคาปกติของห้อง Suite เริ่มต้นที่ 13,450 บาท/คืน และแบบ Villa เริ่มต้นที่ 45,750 บาท/คืน แต่ช่วงนี้เขาลดราคาลงมาแรงมากกกกกกกก ทำให้นักท่องเที่ยวงบน้อยอย่างเราเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ช่วงที่เราจองมีการันตี Upgrade ให้ เช่น จองห้อง Terrace Suite จะได้เป็นห้อง Pool Suite ราคาเริ่มต้นที่ 5,900 บาท/คืน ส่วน Villa ราคาเริ่มต้นที่ 22,500 บาท/คืน(ราคานี้ยังไม่หักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน) และมีสิทธิพิเศษอื่นๆ อีก เช่น ฟรีนวดที่ Spa 60 นาที, Free Late Check Out, ส่วนลด 15% ที่ห้องอาหาร SILK เป็นต้น ทำให้การไปพักห้อง 3 Bedrooms Pool Suite ของเราในครั้งนี้ จ่ายเงินไปเพียง 6,900 บาท/ห้อง/คืน (หักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกันแล้ว) เฉลี่ยแล้วคนละ 1,150 บาท/ คืนเท่านั้น! ได้ทั้งห้องพักแบบอลังๆ แล้วยังได้นวดฟรีด้วยทุกคน คุ้มโคตรๆ
SILK Restaurant
ห้องอาหารหลักของโรงแรม ช่วงที่เราไปพักมีโปรโมชั่นสำหรับ Dinner Sultry Southern Style ราคา 800 บาท/คน (ไม่รวมเครื่องดื่ม) ในเซ็ตเริ่มที่ Appetizer ได้แก่ ยำส้มโอ, หมูสะเต๊ะ, เต้าหู้ทอดแบบภูเก็ต ส่วนอาหารจานหลักมีหมูคั่วเกลือ หมี่หุ้นแกงปู น้ำพริกกุ้งเสียบ และ ต้มข่าไก่ ปิดท้ายด้วยขนมหวานอย่างข้าวเหนียวมะม่วง รสชาติอร่อยมาก ส่วน Breakfast จะเสิร์ฟเป็น A la carte ยกเว้นพวกสลัด และเบเกอรี่ จะมีไลน์ Buffet ให้เดินตักได้อยู่ เมนูจานหลักที่ให้สั่งมีทั้งอาหารไทยอย่างข้าวผัดกะเพราะ และ American Breakfast สามารถสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆ ถ้าไม่อิ่ม (แต่จานใหญ่อยู่นะ สำหรับเราจานเดียวก็อิ่มแล้ว)
สำหรับใครที่กำลังมองหาโรงแรมสวยๆ ในภูเก็ต ที่เหมาะแก่การมาพักผ่อน ANDARA เป็นอีกรีสอร์ทที่เราอยากแนะนำให้มาลองพักดู เพราะช่วงนี้รีสอร์ทเขาทำราคาออกมาได้ดีมาก และยิ่งคุ้มค่าเมื่อมาพักกันหลายๆ คน น่าจะตอบโจทย์ได้ดีสำหรับคนที่อยากหาห้องพักใหญ่ๆ ที่สามารถอยู่รวมกันได้ มีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางเยอะ มีสระว่ายน้ำและมองเห็นวิวทะเลสวยๆ ความเห็นส่วนตัวของเรา คือ เกินคาดและคุ้มราคามากๆ หากใครสนใจเข้าไปสอบถามโปรโมชั่นที่เพจของโรงแรมโดยตรงได้เลย ส่วนใครอยากอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถกดเข้าไปอ่านในโพสท์ได้เลยครับ
บริเวณ Lobby ของโรงแรม เรียบหรู และกว้างขวาง
บรรยากาศบริเวณ Lobby
ถัดจาก Lobby ก่อนขึ้นลิฟท์ เราจะเจอกับ Fitness
ด้านในมีเครื่องออกกำลังกายครบครัน มีห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ด้านใน
ขึ้นลิฟท์จาก Lobby มาจะเจอกับห้องอาหาร SILK
บรรยากาศภายในห้องอาหาร SILK
มองออกไปด้านนอก จะเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรม
มองเห็นวิวทะเลและภูเขาอยู่ไกลๆ
ด้านในสุดของห้องอาหาร SILK เป็นบาร์ สำหรับเสิร์ฟเครื่องดื่มต่างๆ
สระว่ายน้ำของโรงแรม กว้างใหญ่ใช้ได้เลย
เราชอบการออกแบบที่มีการปลูกต้นมะพร้าวขนานไปกับสระ มองเห็นทะเลอยู่ไกลๆ ด้านหลัง
ต้นมะพร้าวตัดกับท้องฟ้า มองเท่าไรก็ไม่เบื่อ
เราชอบเงาสะท้อนในสระว่ายน้ำ ต้นมะพร้าวตัดกับกระเบื้องสีดำของสระว่ายน้ำที่ดูเคร่งขรึม น่าค้นหา
ใครชอบถ่ายรูปเพลินแน่นอน มีมุมสวยๆ ตรงสระว่ายน้ำให้ถ่ายรูปเยอะมาก
มองเห็นวิวทะเลด้านหลังด้วย
มองย้อนกลับไปจะเจอห้องพักแบบ Suites ไต่ระดับตามเนินเขาขึ้นไปด้านบน
Spa ของโรงแรม อยู่ตรงข้ามกับห้องอาหาร SILK
ห้องรับรองด้านใน Spa ในโปรโมชั่นห้องพักที่เราจองมาได้ฟรี Spa 60 นาที สามารถเลือกได้ว่าจะนวดน้ำมัน หรือนวดไทย ภายในห้องนวดใหญ่และสวยมาก (แต่ถ่ายรูปมาให้ดูไม่ได้นะ) ส่วนพนักงานนวด นวดดีมาก ระหว่างที่นวดได้คุยกับพนักงานไปด้วย เขาเล่าให้ฟังว่าหลังจาก covid แขกที่มาพักน้อยลงมาก บางวันแทบไม่มีแขกเข้าพักเลย รายได้ก็น้อยลง ฟังแล้วก็รู้สึกเศร้านะ กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ แล้วก็หวังว่าการท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นฟูได้ในเร็ววันนี้ อย่างน้อยการที่เรามีกำลังพอที่จะไปเที่ยว ไปอุดหนุนเขาได้ ก็ถือเป็นกำลังใจหนึ่งให้กิจการและพนักงานสามารถเดินหน้าต่อได้
พามาชมห้องพักของเรากันบ้างครับ ห้อง Pool Suite ของเราอยู่ที่ Residence 5 ห้อง 512 อยู่ไม่ไกลจาก Lobby มากนัก (แต่ก็ต้องให้รถบัคกี้ขึ้นมาส่ง เพราะทางขึ้นชันมาก)
เปิดประตูห้องเข้ามา จะเจอกับ Living room กว้างขวางแบบนี้ มองเห็นวิวทะเลด้วยนะ
โซฟาและเก้าอี้เยอะมาก อยู่กันสัก 10 คนก็มีที่นั่งได้ครบ
มีครัวและเคาน์เตอร์แบบจัดเต็มมาก ประกอบอาหาร จัดปาร์ตี้กันได้สบายๆ
เครื่องชงกาแฟและ Minibar
เดินออกมาชมสระว่ายน้ำของเราบ้าง เห็นวิวทะเล และสระว่ายน้ำหลักของโรงแรม
มี Day bed แบบนี้ให้ถึง 4 เตียง ใครนอนห้อง Master bedroom มีประตูเดินออกจากห้องมาสระว่ายน้ำได้เลย
พามาชมห้องนอนแรก กับห้อง Master Bedroom ครับ ห้องนี้เป็นห้องที่กว้างที่สุด และมองเห็นวิวทะเลได้จากห้องนอน
เตียง King size สำหรับ Master Bedroom
ห้องน้ำกว้างมาก มีอ่างอาบน้ำให้ด้วย (แต่มีเฉพาะห้องนี้ห้องเดียวนะ)
อ่างล้างหน้า His & Her
เดินออกมาที่ Living room จะเจอห้องน้ำส่วนกลาง (ไม่มี Shower)
อันนี้เป็นห้องนอนที่ 2 ที่เรานอน จะเป็นเตียง Queen Size ส่วนห้องที่ 3 จะเป็นเตียง Twin มีห้องน้ำในตัวแต่ไม่มีอ่างอาบน้ำแบบ Master Bedroom
ห้องน้ำในห้องนอนที่ 2 จะเห็นว่ามีทั้งตู้เสื้อผ้า และทีวีในห้องให้ด้วย (สรุปทั้งห้องมีทีวี 4 เครื่อง)
บรรยากาศยามเช้าจากห้อง Pool Suite ของเรา
กลับมาชมอาหาร 2 มื้อที่เราได้ทานที่ SILK กันครับ
เริ่มจาก Dinner Sultry Southern Style รวมเซ็ตอาหารใต้ ซึ่งรสชาติอร่อยมาก และจัดจานมาได้สวยงาม
เมนูจะเป็นอาหารพื้นเมืองของภูเก็ตเกือบทั้งหมด แต่รสชาติถูกปากคนกรุงเทพฯ ครับ
ปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวมะม่วง
ใครชอบดื่ม Cocktail สามารถ Request กับบาร์เทนเดอร์ได้เลยนะครับ ว่าต้องการรสชาติแบบไหน
หรือถ้าคิดไม่ออกก็ให้เขาช่วยคิดให้ อย่างแก้วนี้ ชื่อ Andara Royal Mojito ดื่มแล้วสดชื่น ได้รสเปรี้ยวอมหวานจากเสาวรส
ส่วน Breakfast จะมีโซนสลัด และเครื่องดื่ม ที่ให้เราลุกไปตักเอง
ส่วน Main dish ต้องสั่งกับพนักงาน (สามารถสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆ) มีทั้งอาหารไทยอย่างข้าวผัดกะเพราะ และ American breakfast รวมถึงเมนูไข่ต่างๆ แล้วแต่เราจะสั่ง
หน้าตา American breakfast
และนี่ก็คือบรรยากาศทั้งหมดของ ANDARA ครับ ที่จริงแล้วห้องที่เป็นไฮไลท์ของรีสอร์ท คือ ห้องพักแบบ Villa ซึ่งอลังการณ์งานสร้างทั้งขนาดของ Villa และวิวทะเลแบบ Panorama แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด เราเลยได้มาพักในส่วนของห้อง Suite แทน ซึ่งก็ถือว่าเป็นห้องที่กว้าง และราคาช่วงนี้ก็คุ้มค่ามากๆ เช่นกัน ถูกกว่าโรงแรมชื่อดังหลายๆ โรงแรมในภูเก็ต แต่ได้ความเป็นส่วนตัวและขนาดห้องที่กว้างกว่ามาก เป็นอีกโรงแรมที่อยากแนะนำให้ได้มาลองพักกันครับ
จุดที่ชอบ
- ห้องพักสวย คลาสสิค และกว้างขวางมาก เหมาะกับการมาพักรวมกันหลายๆ คน โดยไม่ต้องแยกห้องกันอยู่
- ราคาในช่วงนี้ คุ้มค่ามาก เพราะนอกจากห้องจะราคาถูกลงมากกว่า 50% แล้ว ยังได้สิทธิ Upgrade และได้นวดฟรีอีกคนละ 1 ชม. ถ้าพักมากกว่า 1 คืนก็มีสิทธิพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติมอีก
- อาหารที่ห้องอาหาร SILK รสชาติดี พนักงานในห้องอาหารบริการดี ใส่ใจ และคอยช่วยเหลือดีมาก
- Spa ดีงาม ราคาไม่แพง พนักงานนวดดี
- ใครต้องการความสงบ เป็นส่วนตัว คนไม่พลุกพล่าน ที่นี่ตอบโจทย์มาก
จุดที่ไม่ชอบ
- ด้วยความที่ห้องพักอยู่ตามเนินเขา อาจจะไม่สะดวกกับผู้สูงอายุเท่าไรนัก (แต่ก็แก้ปัญหาได้ด้วยการเรียกรถบัคกี้มารับ อาจจะต้องรอหากมีแขกใช้บริการเยอะในช่วงนั้นๆ)
- ห้อง Suite บางห้องอาจจะโดนบังวิวจากต้นไม้ และวิวทะเลจะอยู่ไกลๆ หน่อย แต่สำหรับห้องพักที่เราอยู่ เราโอเคกับวิวมากๆ เลยนะ ตอนจองอาจจะต้อง request กับพนักงานก่อนว่าขอห้องที่เห็นวิวทะเลชัดๆ หน่อย
- อาหารเช้ามีเมนูหลักในเลือกน้อยไปหน่อย แต่ก็พอเข้าใจได้เพราะแขกเข้าพักไม่เยอะ ทางโรงแรมเลยต้องทำแบบนี้
- โรงแรมไม่ได้อยู่ติดชายหาด ใครชอบเล่นน้ำทะเลอาจจะไม่ตอบโจทย์ (แต่ถ้าอยากไปชายหาดทางโรงแรมก็มีรถรับส่งให้ สามารถแจ้งกับพนักงานได้)
VALA Hua Hin : Minimalist by the sea
"Find yourself like never before"
เราจะพาไปชมโรงแรมหรูเปิดใหม่ไม่ไกลจากเมืองหัวหินและกำลังมาแรงสุดๆ ในช่วงนี้อย่าง "VALA HUA HIN NU CHAPTER HOTELS" โรงแรมน้องใหม่ในกลุ่ม Small Luxury Hotels Of the World ที่โดดเด่นด้วยการออกแบบและบริการระดับ 5 ดาว ขับรถเพียง 2 ชม. จากกรุงเทพฯ ก็สามารถมานอนพักผ่อน รับประสบการณ์ดีๆ ที่นี่ได้ไม่ยากเลย
ด้วยความที่เราเป็นคนชอบถ่ายรูปและดูรีวิวโรงแรมสวยๆ เพื่อหาที่พักไว้เปลี่ยนบรรยากาศในวันหยุด พอเราได้เห็นภาพของที่นี่ก็ถูกใจมาก ด้วยดีไซน์ของโรงแรมที่มีความ Minimal, Cozy และวิวทะเลที่ดูสวยงาม ทำให้เราตัดสินใจมาพักที่นี่ แม้ว่าจะมีรีวิวจากหลายที่ให้ได้อ่านกันแล้ว แต่รีวิวของเราครั้งนี้ จะเจาะลึกไปในส่วนอื่นๆ ของโรงแรม รวมถึงอาหารเช้า ซึ่งไม่ค่อยได้เห็นจากรีวิวอื่นๆ เท่าไรนัก มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านประกอบการตัดสินใจกันด้วยครับ ส่วนรายละเอียดของโรงแรมจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามมาอ่านกันได้เลยครับ
Location
แม้ว่าชื่อของโรงแรมดูแล้วเหมือนจะตั้งอยู่ที่หัวหิน แต่จริงๆ แล้วโรงแรมตั้งอยู่ใน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ห่างจากตัวเมืองหัวหินประมาณ 20 กม. โรงแรมตั้งอยู่ติดกับ The Regent Cha-Am Beach Resort เดินทางโดยใช้รถส่วนตัวสะดวกที่สุดครับ บริเวณหน้าโรงแรมมีลานจอดรถสามารถจอดได้ประมาณ 30-40 คัน รองรับแขกที่เข้าพักจำนวนมากได้ดี
หลังจากจอดรถเสร็จแล้ว เข้ามาในโรงแรมส่วนแรกที่เราจะได้เจอ คือ Lobby ครับ โดยอาคาร Lobby ของที่นี่ออกแบบเป็นอาคารวงกลมล้อมไปด้วยกระจก ตรงกลางเว้น Space ไว้สำหรับต้นไม้ และเปิดหลังคาให้แสงส่องลงมา จัดแบ่ง Space ต่างๆ ได้อย่างเหมาะเจาะ ดูไม่รกรุงรัง และสวยงาม Minimal ตาม concept ของโรงแรม
Welcome drink เป็นน้ำตะไคร้ หอมและมีรสหวานอ่อนๆ ดื่มแล้วสดชื่น
หลังจัดการเรื่อง Check-in เสร็จแล้ว พนักงานจะพาเราเดินไปส่งที่ห้องพัก ระหว่างทางเดินไปห้องพักซึ่งเป็นอาคาร 3 ชั้น ทอดยาวจากบริเวณล็อบบี้ลึกเข้าไปจนถึงบริเวณริมชายหาด เราชอบแสง เงา และการใช้เส้นสายของตึก การจัดวางต้นไม้ต่างๆ มันดูสวยงามและลงตัวมาก แสงในเวลาที่ต่างกันก็ทำให้ความสวยงามในแต่ละมุมแตกต่างกันไปด้วย ดูแล้วเพลินตาดี
ถัดมาจาก Lobby ส่วนแรกที่เราจะเจอ คือ Fitness ของโรงแรม มีเครื่องเล่นไม่มากนัก
และวันที่เรามาพักส่วนนี้ยังปิดบริการอยู่ (ด้วยสถานการณ์ Covid-19)
Beachfront คือ โซนห้องพักของเรา เป็นบริเวณที่อยู่ติดกับชายหาดและสามารถมองเห็นวิวทะเลได้เต็มตาที่สุด แต่ข้อเสียก็คือ เป็นโซนที่อยู่ไกลจาก Lobby มากที่สุด (แลกกับวิวดีๆ ก็คุ้มอยู่นะ) โดยห้องพักจะมีทั้งหมด 3 แบบ ได้แก่ Mini Suite Beach Front (ห้องใหญ่ 60 ตร.ม. อยู่บริเวณชั้นล่างสุด ), Deluxe Beach Front (เป็นห้องที่ป๊อบสุด จองเต็มเร็วมาก อยู่บริเวณชั้น 2 ขนาดห้อง 50 ตร.ม.) และ Sky Beachfront (ขนาด 46 ตร.ม. อยู่ชั้น 3 เป็นห้องที่แพงสุด ไม่มีระเบียง แต่ได้วิวทะเลผ่านกระจกบานใหญ่เต็มตาสุดๆ) ซึ่งเราจองห้องพักแบบ Sky Beach Front มา ในห้องจะเป็นยังไงบ้างตามมาชมกันครับ
Sky Beachfront Room
ห้องพักที่เราจองมาในครั้งนี้ คือ ห้อง Sky Beachfront Room ขนาดห้อง 46 ตร.ม. ห้องพัก Type นี้ไม่ใช่ห้องที่แพงที่สุดของโรงแรม (เพราะ Type ที่แพงกว่านี้ คือ Pool villa) จริงๆ เราอยากจองห้อง Deluxe Beach Front (ชั้น 2) ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นห้องที่ได้วิวทะเล มีระเบียงและมีอ่างอาบน้ำอยู่นอกห้อง และราคาถูกกว่าห้องชั้น 1 และชั้น 3 แต่อย่างที่บอกว่าห้องชั้น 2 เนี่ย เต็มเร็วมาก ทำให้เราต้องเปลี่ยนใจมาจองห้องชั้น 3 แทน ส่วนสาเหตุที่ไม่จองห้องชั้น 1 ทั้งที่ราคาเท่ากับห้องชั้น 3 แต่ขนาดห้องใหญ่กว่า เป็นห้อง Suite และอยู่ติดหาด สามารถเดินลงทะเลได้เลย ก็เพราะว่าชั้น 1 มันดูไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไร มีคนเดินผ่านไปมาหน้าห้องเต็มไปหมด และชั้น 3 อย่างน้อยก็ได้เห็นวิวทะเลจากมุมสูง น่าจะสวยและอลังการณ์กว่ามองจากชั้น 1 เราก็เลยตัดสินใจเลือกพักที่ห้องชั้น 3 นี่แหละ
สำหรับราคาห้อง Sky Beach Front Room ราคาปกติอยู่ที่ห้องละ 8,500 บาท/คืน (พักวันธรรมดานะ ถ้าวันเสาร์จะแพงกว่านี้) แต่ในช่วงที่เรามาพักมีโปรโมชั่น + ใช้ส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน เหลือเพียง 5,204 บาท/คืน รวมอาหารเช้า + ได้เครดิตรีสอร์ทอีก 500 บาทไว้ใช้จ่ายในโรงแรม ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่
เข้าห้องมา จุดนำสายตาสุดๆ ก็ต้องวิวทะเลจากกระจกบานใหญ่ด้านในสุดของห้องนี่แหละ
มุมนี้ถ่ายรูปกันได้ทั้งวัน แสงแต่ละช่วงเวลาก็ทำให้มุมนี้สวยงามแตกต่างกันไป
นอนแช่น้ำไป ดูวิวทะเลไป ฟินมาก แต่ก็ต้องระวังโป๊นะ เพราะคนข้างล่างสามารถมองเห็นเราได้
ภายในห้องตัว Layout จะเป็นห้องหน้าแคบ ลึกยาวไปถึงชายหาด แบ่งห้องออกเป็น 3 ส่วน ส่วนในสุด มีอ่างอาบน้ำ โซฟา และตู้ Minibar ส่วนที่สองจะเป็นเตียงนอน ส่วนที่สามบริเวณหน้าห้องจะเป็นห้องน้ำและ Walk-in closet
จากบริเวณห้องนอน จะมีกระจกมองเห็นส่วน Shower ได้ (ถ้าไปกับเพื่อนก็มีม่านให้ปิดนะ ไม่ต้องกลัวโป๊)
ถัดจากห้องนอน จะมีโต๊ะทำงานที่ Built in ติดผนัง และอีกฝั่งจะเป็นอ่างล้างหน้า
Walk-in Closet มีกระเป๋าสานของโรงแรมให้ใส่ของลงไปนั่งริมหาด รวมถึงรองเท้าแตะและ Slipper
Amenities ใช้ของ Panpuri รับประกันความหอม
จุดหนึ่งที่เราชอบมาก ก็คือ ห้องสุขา และ Shower แยกออกจากกัน แถมยังมีสายชำระด้วย
ในห้อง Shower มี Rain Shower ให้ด้วย น้ำแรงสะใจดี
อย่าลืมตื่นมาดูแสงพระอาทิตย์ยามเช้าด้วยนะ แสงเข้าห้องมาสวยมาก
ชมห้องพักกันแล้ว เราจะพามาชมส่วนอื่นๆ ของโรงแรมกันบ้างครับ เริ่มกันที่ไฮไลท์อีกจุดของโรงแรม คือ สระว่ายน้ำ มีทั้งสระผู้ใหญ่และสระเด็ก แยกกัน คนมักจะมาเล่นน้ำกันช่วงเย็น ใครอยากมาถ่ายรูปแนะนำให้ตื่นเช้าหน่อย จะได้ไม่ติดคนครับ
แสงเย็นบริเวณโซนที่นั่งใกล้กับสระว่ายน้ำ ก็เป็นจุดที่ถ่ายรูปสวยเหมือนกัน
บริเวณ Pool bar เป็นอีกมุมที่คนชอบมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้น
มาพักที่นี่หลายๆ คนพร้อมใจกันตื่นมาชมพระอาทิตย์ขึ้น สวยสมกับการอดนอนต่อเลยแหละ
น้ำทะเลบริเวณชายหาดของโรงแรม ช่วงนี้น้ำใส หาดทรายละเอียด น่าเล่นมากๆ
ใครชอบกิจกรรมทางน้ำ สามารถติดต่อพนักงานได้
ฝั่งหนึ่งของสระว่ายน้ำ จะเป็นห้องพัก Deluxe room (ยกเว้นชั้น 1 จะเป็นห้อง Mini Suite Pool Access) มองเห็นวิวสระว่ายน้ำและทะเล (บางห้อง) ซึ่งห้องโซนนี้จะไม่มีอ่างอาบน้ำบริเวณระเบียงเหมือนห้องโซน Beachfront
เราชอบต้นไม้ที่เขาปลูกอยู่บริเวณด้านหน้าห้องพักชั้น 1 น่ารักดี
ห้อง Mini Suite Pool Access เดินออกจากห้องลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำได้เลย
ห้องพักอีกโซนที่แยกออกไปจากอาคารหลัก จะเป็นส่วนของ Pool Villa
ห้อง Pool Villa Beach Front อยู่ติดชายหาด
Restaurant
เราจะพาไปชมห้องอาหารหลักของโรงแรมกันครับ นั่นคือ "WOODS KITCHEN & BAR" เป็นห้องอาหาร All day dining ที่เราจะมาทาน Breakfast กันครับ
ห้องอาหารจะอยู่ใกล้กับสระว่ายน้ำ
บรรยากาศภายในห้องอาหาร ผนังตกแต่งเป็นลายวงปีของต้นไม้ เข้ากับชื่อของร้าน
มี Bar บริเวณด้านหน้าร้านอาหาร แสงช่วงเย็นส่องเข้าหน้าบาร์ สวยงามมาก
Breakfast ของโรงแรมจัดให้เป็น Buffet ครับ แม้ว่าสถานการณ์ Covid อาจจะทำให้หลายๆ โรงแรมต้องเสิร์ฟอาหารเช้าแบบ A la carte กันเป็นส่วนใหญ่ แต่อย่างที่บอกว่าที่นี่กำลังเนื้อหอมสุดๆ มีแขกเข้าพักเยอะแม้ว่าจะเป็นวันธรรมดา ทางโรงแรมเลยจัดไลน์ Buffet มาให้กันเต็มที่เลย
ครัวซองต์และเบเกอรี่ต่างๆ
เราปลามปลื้มกับ Station น้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋มาก นานๆ จะเจอโรงแรมที่เสิร์ฟแบบนี้
มีข้าวต้มและกับข้าว รวมถึงก๋วยเตี๋ยวให้สั่งได้ด้วย
Cold Cuts ก็มี
เมนูไข่สามารถสั่งกับพนักงานได้เลย มาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ
และนี่ก็คือบรรยากาศทั้งหมดของ VALA HUA HIN ครับ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นที่ถูกใจของนักท่องเที่ยว เพราะภายในโรงแรม และห้องพัก ออกแบบได้สวยหรู ดูมีสไตล์ มีมุมให้ถ่ายรูปได้เยอะมาก ถ่ายรูปกันได้ทั้งวัน แม้ว่าราคาห้องพักของที่นี่จะค่อนข้างสูง (เมื่อเทียบกับโรงแรมตัวเลือกอื่นๆ ในหัวหิน) แต่ก็ยังมีแขกมาเข้าพัก และจองห้องสวยๆ แพงๆ กันตลอด (ยิ่งวันเสาร์นี่ห้องฮิตๆ เต็มเร็วมาก) และตามธรรมเนียม เราก็จะมาสรุปภาพรวมของโรงแรมในมุมมองของเรา ให้เพื่อนๆ ได้อ่านประกอบการตัดสินใจ ก่อนจะกดจองห้องพักกันนะครับ
จุดที่ชอบ
- ดีไซน์ของโรงแรม สวยมาก สวยทุกมุม สวยตั้งแต่ Lobby จนมาถึงในห้อง หันกล้องไปทางไหนก็ได้รูป แสงเช้า แสงเย็น ก็สวยคนละแบบ ใครชอบถ่ายรูป พกชุด พกพร็อบมาจัดเต็มกันได้เลย
- การจัดสรรพื้นที่ภายในห้องพักทำได้ดี เป็นสัดส่วน โดยเฉพาะการแยกห้อง Shower และห้องสุขาออกจากกัน ปลื้มมาก
- พนักงานบริการดีมาก โดยเฉพาะพนักงานในห้องอาหารที่คอยมาเดินดูที่โต๊ะ คอยเก็บจาน และคอยสอบถามความต้องการอยู่เรื่อยๆ
- ราคาอาหารและเครื่องดื่มอยู่ในระดับที่รับได้ ไม่แพงจนเกินไป และสามารถใช้ E-Voucher จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันได้ด้วย
จุดที่ไม่ชอบ
- ทำเลของโรงแรมอยู่ค่อนข้างไกลจากตัวเมืองหัวหิน และทางเข้าจากถนนเพชรเกษมมาถึงโรงแรมค่อนข้างลึก ต้องมาด้วยรถส่วนตัวเท่านั้นถึงจะสะดวก
- ห้องพักโซน Beachfront และ Pool villa ที่ติดชายหาด ดูไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไร คนนอกสามารถมองเข้ามาในห้องพักเราได้
- ราคาปกติค่อนข้างสูง หากเทียบกับความสะดวกในการเดินทาง และ Facility ต่างๆ แล้ว มีตัวเลือกที่น่าสนใจและราคาถูกกว่าอีกหลายโรงแรม แต่ถ้าใครชอบดีไซน์ก็ต้องยอมจ่ายเพื่อมาพักที่นี่จริงๆ
- สระว่ายน้ำสวยแต่คนพลุกพล่าน และไม่ค่อย Function เท่าไร เหมาะมาแช่เล่นๆ กับเพื่อน แต่ว่ายจริงจังไม่ค่อยเหมาะ
- อ่างอาบน้ำภายในห้อง ถ้าเป็นจากุชชี่จะดีงามมากเลย
Rosewood Bangkok : Rosewood Getaway
หากจะพูดถึงโรงแรมระดับ Ultra Luxury ในกรุงเทพฯ ที่มีการออกแบบภายในห้องพักได้สวยงาม เราขอยกให้ Rosewood Bangkok เป็นอันดับ 1 ในใจตอนนี้เลย เพราะครั้งแรกที่เราได้เห็นรูปภาพห้องพักของที่นี่ เราก็ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะไปลองพักดูสักครั้ง และด้วยโปรโมชั่น Rosewood Getaway ทำให้เราได้ไป Staycation ที่ Rosewood Bangkok ในราคา 3,900 บาทเท่านั้น (หักส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้ว) ซึ่งราคานี้ประกอบไปด้วยห้องพักแบบ Deluxe รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 ท่าน + Early check-in ได้ตั้งแต่ 9.00 น. และ Late check-out ได้ถึง 18.00 น. + Set Dinner สำหรับ 2 ท่าน บอกเลยว่าราคานี้คุ้มค่ามากๆ เพราะปกติแล้วราคาห้องพักที่นี่อย่างเดียวก็เกือบจะหลักหมื่นแล้วด้วยซ้ำ ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามมาอ่านกันต่อในรีวิวนี้ได้เลยครับ
Location
Rosewood Bangkok ตั้งอยู่ติดกับ BTS เพลินจิต ตรงข้ามกับอาคาร Mahatun Plaza และติดกับคอนโด Noble เพลินจิต ซึ่ง Location นี้เป็น Prime area ของกรุงเทพฯ ก็ว่าได้ มีโรงแรมชื่อดังมากมายที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้ๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น Park Hyatt ที่ตั้งอยู่ที่เดียวกับห้าง Central Embassy, The Okura Prestige โรงแรมหรูสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเราได้เคยรีวิวไว้แล้ว (สามารถตามไปอ่านรีวิวได้ที่ http://www.porsuke.com/2020/12/14/okuraprestige_bkk/ ) การเดินทางสะดวกสบายมาก ถ้าหากนำรถส่วนตัวมาทางโรงแรมก็มีที่จอดรถบริเวณชั้นใต้ดินของโรงแรมให้บริการด้วย
หากเดินทางด้วย BTS ลงสถานีเพลินจิต มีทางเชื่อมจาก BTS เข้าไปที่ชั้น 3 ของโรงแรมได้เลย
ขึ้นลิฟท์มา Check-in กันที่ Lobby ซึ่งอยู่บริเวณชั้น 7 ของโรงแรม
บรรยากาศบริเวณ Lobby พื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก พนักงานต้อนรับและให้คำแนะนำเป็นอย่างดี
จาก Lobby เดินเข้ามาด้านในสุดจะเจอลิฟท์สำหรับแขกที่มาเข้าพักครับ โดยลิฟท์ด้านหลังนี้จะสามารถไปส่วนกลางที่ชั้น 9 และห้องอาหาร Nan Bei ที่ชั้น 19 ได้ โดยห้องพักของเราจะอยู่ที่ชั้น 27 ครับ
ออกจากลิฟท์มาจะเจอของประดับตกแต่งอยู่ตามชั้น
โถงทางเดินไปยังห้องพัก
Room
ห้องพักของเราเป็นห้อง Deluxe ซึ่งเป็นห้องระดับเริ่มต้นของทางโรงแรมครับ โปรโมชั่นเริ่มต้น (วันที่เราเข้าพัก คือ 3 มกราคม 2564) ราคา 6,500 บาท (หักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน เหลือ 3,900 บาท) ตอนจะมาเข้าพัก Request ห้องที่อยู่ชั้นสูง และขอห้องที่วิวสวยๆ ไว้ครับ ซึ่งทางโรงแรมจัดห้องฝั่งที่ติดกับคอนโด Noble เพลินจิตไว้ ซึ่งข้อดีก็คือ วิวฝั่งนี้มองเห็นตึกฝั่งถนนวิทยุและสุขุมวิท แสงเข้าช่วงบ่ายๆ เย็นๆ สวยมาก แต่ข้อเสียก็คือ ห้องถูก Block วิวบางส่วนจากคอนโด และอาจจะดูไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไรเพราะอยู่ค่อนข้างชิดกับคอนโดเลย
การตกแต่งภายในห้องพัก อย่างที่บอกไว้ข้างต้นว่าที่นี่ออกแบบได้ดีมาก การเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ และสีสันต่างๆ ดูสวยงามลงตัว และดูหรูหรา ส่วนที่สวยที่สุดยกให้ห้องน้ำ โดยเฉพาะอ่างอาบน้ำสีขาวตัดขอบทองที่เป็นเอกลักษณ์ของ Rosewood การจัดสรรพื้นที่ภายในห้องน้ำ แม้จะไม่กว้างมาก แต่ก็ไม่อึดอัด และใช้ประโยชน์จากพื้นที่ได้อย่างเต็มที่ ถือว่าเป็นห้องพักระดับเริ่มต้นที่สวยมากๆ
เข้ามาในห้องพัก จะมีพื้นที่วางโซฟาเล็กๆ สำหรับนั่งใส่รองเท้า มีกระจกเงาบานใหญ่ และรูปตกแต่งอยู่ที่ผนัง
บริเวณ Living area มีโต๊ะหินอ่อนและเก้าอี้ พร้อม Welcome Fruit
บริเวณ Living area ถ่ายจากอีกมุมหนึ่งครับ
ด้านซ้ายถัดจาก Living area เป็น Walk-in closet มี Bathrobe 2 ไซส์แขวนให้เลือกใช้
และมีช่องเก็บของเล็กๆ น้อยๆ ในชั้นตามรูป
มีเครื่องทำกาแฟและแคปซูล รวมอยู่ใน Minibar (ส่วนนี้ไม่เสียค่าใช้จ่าย)
ถัดจาก Living area จะมี Partion กั้นกับส่วนของเตียงนอน บริเวณหัวเตียงมีแผงควบคุมไฟทั้งสองฝั่ง
มีลำโพง Bluetooth และกล้องสำหรับเก็บของกระจุกกระจิก
บริเวณหัวเตียงมีโคมไฟประดับ มีโทรศัพท์และแผงควบคุมไฟในห้อง
Keycard ออกแบบสวยมาก สะท้อนความเป็นไทยได้ดี
ถัดมาที่ส่วนสุดท้าย คือ ห้องน้ำ ซึ่งเป็นส่วนที่เราชอบมากที่สุด เพราะออกแบบได้สวยงามมาก
แช่น้ำไปก็มองเห็น City view ฝั่งถนนวิทยุและราชประสงค์ไปด้วย
วิวจากห้องน้ำ มองเห็นตึก Park Venture, Central Embassy และ BTS ยาวไปถึงราชประสงค์
แสงยามบ่ายส่องเข้ามาในห้อง สวยมากๆ
ไดร์เป่าผมใช้ของยี่ห้อ Dyson ส่วน Amenities ต่างๆ เป็นแบรนด์ของ Rosewood
ห้อง Shower และห้องสุขาแยกออกจากกัน ภายในห้อง Shower มีที่นั่ง รวมถึง Rain Shower น้ำแรงดีมาก
เราชอบดีไซน์ขวดน้ำดื่มของโรงแรม สวยดูดี
Facility
สระว่ายน้ำและฟิตเนสอยู่ที่ชั้น 9 ของโรงแรม เป็นสระว่ายน้ำ Indoor ขนาดใหญ่ และมีสระจากุชชี่อยู่บริเวณริมสุดของตึก มองเห็นวิวตึก Mahatun Plaza ช่วงที่เราไปเปิดให้ใช้บริการสระว่ายน้ำเป็นรอบ รอบละ 1 ชั่วโมง (ต้องจองก่อน) เพื่อจำกัดจำนวนคนที่มาใช้บริการ ส่วนของฟิตเนสปิดให้บริการเพราะเป็นช่วงที่ Covid กลับมาระบาดรอบใหม่ สระว่ายน้ำที่นี่ลึก 1.2 เมตร และยาวพอสำหรับการว่ายออกกำลังกายได้เลย
ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แสงดีมาก ด้านหลังคือส่วนของฟิตเนสที่ปิดให้บริการอยู่
มีส่วน Shower สำหรับล้างตัวก่อนลงสระ ซ่อนอยู่ด้านในหลัง Day bed
อ่างจากุชชี่อยู่ด้านริมสุดของตึก แช่ไปชมวิวไปได้ด้วย
วิวจากสระว่ายน้ำสวยมากไม่แพ้วิวจากห้องพักเลย มาถ่ายรูป BTS วิ่งสวนกันได้แบบใกล้ๆ เลยแหละ
บริเวณด้านหน้าห้องอาหาร Nan Bei
Dinner Set at Nan Bei
ร้านอาหารจีนชื่อดังของ Rosewood Bangkok ที่หลายๆ คนรับประกันว่ารสชาติอาหารจีนของที่นี่อร่อย และเป็นโอกาสดีมากที่การมาพักที่ Rosewood ของเราในครั้งนี้รวม Dinner Set ที่ห้องอาหาร Nan Bei มาให้ด้วย (แนะนำให้โทรมาจองล่วงหน้าก่อน เพราะ Dinner Set จะมีให้เลือกที่ 2 ห้องอาหาร คือ Nan Bei และ Lakorn European Brasserie) โดยร้าน Nan Bei ตั้งอยู่ที่ชั้น 19 ของโรงแรม ตอนแรกเราเข้าใจว่า Dinner Set คงมีอาหารมาให้สัก 3-4 อย่างต่อ Set ที่ไหนได้ทางร้านจัดมาให้ 8 อย่าง รวมของหวานไปด้วย เหมือนมากินโต๊ะจีนย่อมๆ กันเลย ซึ่งแต่ละอย่างที่ให้มา Portion ใหญ่ จัดเต็ม คือถ้าเสียเงินมาทานเองรับรองว่ามื้อนี้อย่างน้อยๆ ราคาต้อง 2,000+++ แน่นอน เมนูที่เสิร์ฟ เริ่มที่ Appetizer ประกอบไปด้วย Cucumber Salad, Pork Knuckle 5 spices และ Poached Chicken (อันนี้อร่อยมาก) ตามมาด้วยซุปมะเขือเทศใส่ไข่ "Ge Da Tang" และ Main course อีก 4 จาน ได้แก่ Kurobuta Pork Knuckle Black Truffle & Leek, กุ้งผัดไข่เค็ม, Wok Fried Rice และคะน้าผัดน้ำมัน ปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง Chilled Mango Sago บอกเลยว่ามื้อนี้ทั้งอร่อย และอิ่มจนจุกไปเลย เป็นร้านอาหารจีนอีกร้านที่เราอยากแนะนำให้ได้มาลองกันครับ
บรรยากาศโต๊ะที่เราจองไว้
ภาพรวมอาหารทั้งหมดของ Dinner Set
Appetizer : Pork Knuckle 5 spices
ซ้าย : Kurobuta Pork Knuckle Black Truffle & Leek
ขวา : Ge Da Tang
ซ้าย : กุ้งผัดไข่เค็ม ขวา : Chilled Mango Sago
อีกจุดหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ของห้องอาหาร Nan Bei คือบริเวณ Outdoor ริมระเบียงของร้าน
มองเห็น The Okura Prestige และวิวกรุงเทพยามค่ำคืน
ถ่ายรูปสวยๆ ได้ตรงมุมระเบียง
Breakfast at Lakorn European Brasserie
มื้อเช้าของโรงแรมช่วงนี้เสิร์ฟเป็น a la carte มีอาหารจานหลักให้เลือกทั้งอาหารไทย เช่น ข้าวไข่เจียวหมูสับ ข้าวเหนียวหมูย่าง หรือจะ Inter หน่อยอย่าง Egg Benedict และเมนูไข่อื่นๆ เสิร์ฟพร้อมเบคอนหรือแฮมตามแต่จะเลือก ซึ่งเราสามารถเลือก Main dish ได้คนละ 2 จาน ส่วนพวกขนมปัง หรือเครื่องดื่มต่างๆ สามารถสั่งได้เรื่อยๆ โดยภาพรวมของอาหารเช้า เราว่าค่อนข้างธรรมดาและตัวเลือกน้อยไปหน่อย อาจจะเป็นเพราะสถานการณ์ช่วงนี้ที่มีแขกเข้าพักน้อย และราคาของโรงแรมที่ปรับลงมา คงเป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้อาหารเช้าดูไม่ได้จัดหนักจัดเต็มอย่างที่ควรจะเป็นสักเท่าไร
ส่วนบรรยากาศในห้องอาหาร Lakorn ตกแต่งด้วยโทนสีขาว ครีม น้ำตาล เป็นหลัก ดูเรียบหรูเหมือนผู้หญิงหวานๆ เรียบร้อย ซึ่งห้องอาหารนี้จะใช้เสิร์ฟ Afternoon tea ด้วย (แต่เรายังไม่ได้ลอง)
บรรยากาศภายในห้องอาหาร Lakorn European Brasserie
ภาพรวมอาหารเช้าที่เราสั่งมาทาน
Rosewood Bangkok ในความคิดเห็นของเรา สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของโรงแรม คือ การออกแบบ และ Detail ต่างๆ โดยเฉพาะในห้องพัก ซึ่งแม้ว่าจะเป็นห้องพักระดับเริ่มต้น แต่ทางโรงแรมก็จัดสรรทุกอย่างมาให้อย่างจัดเต็ม และมีส่วนกลางของโรงแรม ทั้งสระว่ายน้ำและห้องอาหารต่างๆ ที่ออกแบบได้อย่างสวยงาม หรูหรา สมราคาโรงแรมระดับ Ultra Luxury ใจกลางกรุงเทพฯ ทำให้เราอยากไปลองสัมผัสบรรยากาศของ Rosewood สาขาอื่นๆ โดยเฉพาะในต่างประเทศดูบ้าง สุดท้ายนี้เราจะมาสรุปส่วนที่เราชอบ และจุดที่อยากให้ทางโรงแรมปรับปรุง ดังต่อไปนี้
ข้อดี
- การออกแบบห้องพักของที่นี่ สวยงาม หรูหรา เลือกใช้เฟอร์นิเจอร์และสีสันต่างๆ ได้อย่างมีสไตล์ ไม่ได้หรูจนดูแก่ หรือดูรกรุงรังจนเกินไป และเป็นดีไซน์ที่รับรองว่าในอนาคตก็ยังดูไม่เชย
- การบริการของพนักงานในทุกส่วนดูใส่ใจกับแขกที่มาเข้าพักเป็นอย่างดี
- ทำเลใจกลางเมือง และความสะดวกสบายในการเดินทาง เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่อยากใช้ชีวิตใจกลางเมือง เดินช็อปปิ้งได้เพลินๆ ตั้งแต่เพลินจิตยาวไปจนถึงสยามได้เลย
- ห้องอาหาร Nan Bei เป็นห้องอาหารจีนที่นอกจากจะออกแบบได้สวยแล้ว รสชาติอาหารก็อร่อยมากๆ แนะนำว่าถึงจะยังไม่ได้มาพักที่นี่ แต่มาลองทานอาหารจีนที่ Nan Bei ดูสักครั้ง ก็น่าจะประทับใจได้ไม่ยาก
- ราคาห้องพักในช่วงนี้ จัดว่าคุ้มมากๆ โรงแรมลดแลกแจกแถมสุดๆ แนะนำให้ลองดูโปรโมชั่นทางเพจของโรงแรมได้โดยตรง เพราะโปรโมชั่นเปลี่ยนไปทุกเดือน ล่าสุด (ของเดือนกุมภาพันธ์) เหมือนจะมีโปรเริ่มที่ 3,900 บาทเหมือนที่เราไปพัก แต่ได้ทานอาหารเช้า 2 มื้อ + upgrade ห้องพักให้ด้วย ถ้าไม่ไปพักช่วงนี้ หมด Covid ไปแล้วก็ไม่รู้จะได้ราคาถูกแบบนี้อีกเมื่อไรนะ
ข้อเสีย
- วิวจากห้อง Deluxe ฝั่งคอนโด Noble จะโดนบังวิวไปเลยอย่างน้อยครึ่งนึง ตอนไปพักถ้าอยากได้วิวโล่งๆ อาจจะต้อง Request กับทางโรงแรมดู
- Line อาหารเช้าที่มีให้เลือกน้อยไปหน่อย และเมนูก็ดูไม่ค่อยสมกับเป็นโรงแรมระดับ Ultra Luxury สักเท่าไร
- ราคาอาหารและเครื่องดื่มค่อนข้างแพง (มาก) อย่าง Dinner Set ที่ทางโรงแรมแถมมาใน Package จะไม่รวมค่าเครื่องดื่ม ซึ่งเราสั่งเครื่องดื่มเป็นชาจีนเย็น (Refill) โดนชาร์จไปแก้วละ 200++ บาท ยังดีที่สามารถใช้ E-Voucher ที่ได้คืนจากเราเที่ยวด้วยกัน ทุ่นไปได้ส่วนหนึ่ง
- Amenities ที่ใช้ในห้องพักไม่ค่อยหอมเลย ปกติเราไปนอนโรงแรมถ้าเจอ Amenities ที่ใช้ดีๆ กลิ่นหอมๆ จะชอบขนกลับมาใช้ต่อที่บ้าน แต่ที่นี่รู้สึกเฉยๆ มาก ทั้งที่ Packaging ดูดีมากเลยนะ
Mandarin Oriental Bangkok : Experience the Legend
ประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิต กับโรงแรมที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ "Mandarin Oriental Bangkok" โรงแรมหรูแห่งแรกของประเทศไทย ที่เปิดดำเนินการมากว่า 140 ปี รีวิวนี้เราจะพาไปชมและบอกเล่าประสบการณ์การไปเข้าพักในโรงแรมแห่งนี้ ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงอยู่ในใจของนักท่องเที่ยวทั่วโลก และดีงามสมกับการเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ
Mandarin Oriental Bangkok ตั้งอยู่ในซอยเจริญกรุง 40 โรงแรมอยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม Peninsula Bangkok โรงแรมหรูอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ มีท่าเรือส่วนตัวของโรงแรมและมีเรือให้บริการสำหรับข้ามไปใช้บริการ Spa และ Fitness ที่อยู่ในอาคารฝั่งตรงข้าม รวมถึงมีเรือให้บริการสำหรับไป Iconsiam ฟรีด้วย (สามารถเช็คตารางเวลาการเดินเรือได้ที่ท่าเรือของโรงแรม)
Mandarin Oriental Bangkok ประกอบไปด้วย 3 อาคารหลัก ได้แก่
- River Wing อาคารสูงและใหม่ที่สุดของโรงแรม (ห้องพักของเราอยู่บนอาคารนี้)
- Authors’ Wing อาคารที่ตกแต่งสไตล์ Colonial มี Authors’ Lounge สำหรับทาน Afternoon Tea หรือไว้สำหรับจัดงานเลี้ยง งานแต่งงาน
- Garden Wing อาคารที่อยู่ด้านหลัง Author’s Wing
Authors' Wing เป็นอาคารสีขาว เป็นอาคารเก่าแก่ของโรงแรม
ทำให้การออกแบบดูคลาสสิค และสะท้อนเอกลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี
เราเดินทางมาที่โรงแรมด้วยรถส่วนตัวครับ พอนำรถเข้ามาจอดตรงทางเข้า Lobby ก็จะมีพนักงานเดินเข้ามาสอบถามและให้บริการ พอเราแจ้งว่ามา check-in ทางโรงแรมก็มีบริการ Parking Valet ให้ด้วย โดยจะนำรถของเราไปจอดที่อาคารจอดรถของโรงแรมซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Lobby
บรรยากาศ Lobby ของโรงแรม เป็นอีกโรงแรมที่ออกแบบ Lobby และเลือกใช้สีสันได้สวยงามลงตัวมากๆ
บริเวณ Lobby นี้จะมี Mandarin Oriental Shop สำหรับขายเครื่องดื่มพวกกาแฟ ชา และ Macaron ซึ่งเป็นขนมขึ้นชื่อของทางโรงแรม เผื่อว่ามานั่งรอเพื่อนก็มีกาแฟและขนมให้นั่งดื่มท่ามกลางบรรยากาศสบายๆ บริเวณ Lobby ได้
พนักงานจะพาเรามา check-in ที่บริเวณเคาน์เตอร์ด้านในสุดของ Lobby ต้องบอกว่าช่วงสถานการณ์ Covid-19 แบบนี้ ทำให้ราคาห้องพักของทางโรงแรมจัดโปรโมชั่นออกมาดีมาก อย่างโปรโมชั่นที่เราจองมา คือ "Experience the Legend" ห้องพัก Deluxe Premier Room ราคา 9,999 บาท++ (ราคารวมสุทธิ 11,768 บาทต่อคืน) รวมอาหารเช้า 2 ท่านที่ห้องอาหาร The Verandah + Spa 60 นาที สำหรับ 2 ท่าน + check-in ได้ตั้งแต่ 8.00 น. check-out late ได้ถึง 20.00 น. และถ้าสมัครสมาชิก Fans of M.O. จะได้รับเครดิตอีก 3,000 บาท สำหรับใช้จ่ายในห้องอาหารและ Spa ของโรงแรม แต่เรทราคานี้จะใช้ได้เฉพาะการเข้าพักในวันอาทิตย์ - พฤหัสบดี เท่านั้น และยังเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกันอีก ทำให้เราจ่ายค่าห้องพักในครั้งนี้ไปเพียง 8,768 บาท บอกเลยว่าราคานี้คุ้มมาก และโรงแรมก็ไม่น่าจะขายราคาถูกขนาดนี้มาก่อน
หลังจาก check-in เรียบร้อยแล้ว พนักงานก็จะพาเรามาส่งที่ห้องพัก ห้องพักของเราอยู่ใน River Wing ซึ่งเป็นตึกเดียวกับ Lobby ครับ สามารถขึ้นลิฟท์ตรงบริเวณ Lobby มาได้เลย และนี่ก็เป็นบรรยากาศบริเวณโถงทางเดินไปห้องพัก ด้วยความที่เป็นโรงแรมเก่า สังเกตได้ว่าเพดานจะไม่ค่อยสูงเหมือนโรงแรมใหม่ๆ แต่ในเรื่องของการตกแต่งภายใน และการ Maintainance บอกเลยว่าที่นี่ทำได้ดีมากครับ ไม่รู้สึกว่าตัวโรงแรมเก่าเลย (อาจจะเป็นเพราะว่าในช่วง Covid ที่ผ่านมาทางโรงแรมได้ทำการ Renovate ภายในห้องพักไปด้วย)
ห้องพักของเราอยู่ชั้น 14 ก่อนเข้าห้องจะมีกระดาษแปะไว้ตรงประตูแบบนี้
เพื่อเป็นการรับรองกับเราว่าห้องนี้ผ่านการทำความสะอาดมาเป็นอย่างดีแล้วนะ
เปิดประตูห้องเข้ามาจะเจอกับทางเดิน ด้านซ้าย คือ ห้องน้ำ ส่วนด้านขวา คือ ตู้เสื้อผ้า
และนี่ก็คือหน้าตาของห้อง Deluxe Premior Room ที่เรามาพักกันในคืนนี้ครับ เข้ามาแล้วก็ตะลึงกับการออกแบบภายในห้องที่ดูดีมีเทสมากๆ และวิวจากห้องก็เป็นวิวแม่น้ำที่อลังการณ์สุดๆ โดยส่วนตัวเราชอบห้องที่ได้วิวแม่น้ำฝั่ง Iconsiam มากกว่าห้องพักฝั่งที่เห็นวิวสะพานตากสิน เพราะว่าฝั่งนี้สามารถมองเห็นโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา และเห็นไฟสวยๆ จาก Iconsiam ในยามค่ำคืนได้ด้วย
ห้องที่เราจองมาเป็นห้อง King bed เตียงนอนนุ่ม ดูดวิญญาณมากๆ
ด้านขวาริมกระจกเป็นชั้นเก็บของและตู้เย็นสำหรับ Minibar
ปลายเตียงมี LED TV ขนาดใหญ่ นอนดูกันได้เพลินๆ
แม้จะเปิดมาเป็นร้อยปีแล้ว แต่ทางโรงแรมก็มีการปรับปรุงห้องพักอยู่ตลอด
ดูสิว่าช่อง USB สำหรับชาร์จอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีให้แล้ว
Welcome drinks & Fruit และ Macarons พร้อมจดหมายต้อนรับจากทางโรงแรม
บริเวณชั้นวาง Minibar มีเครื่องชงกาแฟและแคปซูลฟรี / กาน้ำร้อน และน้ำดื่มฟรี
Minibar ในตู้เย็นที่ออกแบบให้เข้ากับชั้นวาง (ส่วนนี้เสียเงินนะ)
วิวแม่น้ำเจ้าพระยาจากห้องพักของเรา มองเห็น Iconsiam และตึก CAT
มาชมห้องน้ำกันบ้างดีกว่า เข้ามาก็จะเจอกับอ่างอาบน้ำ และอ่างล้างหน้า His & Her ผนังบุด้วยกระจกเงาบานใหญ่ ทำให้ภายในห้องน้ำดูกว้างมากขึ้น ส่วน Amenities ต่างๆ เป็นแบรนด์ของโรงแรม
ทางด้านขวาของห้องน้ำจะมีห้อง Shower และโถสุขภัณฑ์อยู่ด้านใน ไฮโซสุดๆ เพราะเป็นโถเปิดปิดอัตโนมัติ และมีปุ่มควบคุมกันทำงานเหมือนห้องน้ำที่ญี่ปุ่นเลย ด้านในห้องน้ำมีลำโพงซึ่งเชื่อมต่อกับทีวี เปิดละคร ฟังข่าว พร้อมกับอาบน้ำไปด้วยได้สบายๆ
ห้อง Shower มี Rain Shower น้ำแรงดีมาก
วิวจากห้องพักในยามค่ำคืน
ช่วงที่เราไปกำลังจะเข้าช่วงคริสต์มาสพอดี เห็นไฟจาก Iconsiam สวยงามมาก
ก่อนเข้านอนพนักงานจะมา Turn down ให้ ประทับใจมากๆ เพราะนอกจากการจัดเตียงและบริเวณรอบๆ เตียงให้พร้อมต่อการนอนแล้ว พวกสายชาร์จมือถือ สายชาร์จกล้อง หรือของที่วางระเกะระกะในห้อง พนักงานก็มาจัดระเบียบให้ เอาผ้ามารัดเก็บสายให้ทุกอัน ทำให้เรารู้สึกว่าเขาใส่ใจในการบริการทุกจุดจริงๆ แม้แต่เรื่องเล็กน้อย โดยที่เราไม่ต้องร้องขอเลย
ชมห้องพักกันเสร็จแล้ว เราจะพาไปชมส่วนอื่นๆ ของโรงแรมกันบ้างครับ เริ่มกันที่ห้องอาหาร The Verandah ซึ่งเป็นห้องอาหาร All day dining และเราก็จะมาทานอาหารเช้ากันที่นี่ด้วย
ห้องอาหารนี้จะมีที่นั่งทั้ง Indoor และ Outdoor
แต่ไหนๆ เราได้มานั่งทานอาหารเช้าริมแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งที ก็ขอนั่ง Outdoor ซะหน่อย
ที่นั่ง Outdoor จัดไว้ค่อนข้างเยอะและมีหลายมุม ถ้ามานั่งชมพระอาทิตย์ตกช่วงเย็นก็น่าจะโรแมนติกดีนะ
สำหรับ Breakfast ของโรงแรมช่วงนี้จะเสิร์ฟเป็น a la carte buffet มีทั้งอาหารไทยอย่างข้าวต้ม ข้าวไข่เจียว และอาหารฝรั่ง เมนูมาตรฐานเหมือน Breakfast ตามโรงแรมทั่วไป แต่ที่แนะนำให้ลองสั่ง คือ Egg Benedict และโยเกิร์ต จัดว่าเด็ดและไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง แต่ละจานที่จัดมาเสิร์ฟจัดจานสวยงาม ดูแพง และใช้วัตถุดิบดีมาก รวมถึงชาและกาแฟที่เสิร์ฟให้ด้วย
Portion แต่ละจานไม่ใหญ่ จะได้สั่งมาลองได้หลายอย่าง
โยเกิร์ตอร่อยมาก แนะนำว่าต้องสั่งมาลอง
มาต่อที่สระว่ายน้ำของโรงแรมกันครับ โรงแรมจะมีสระ 2 สระ โดยสระแรกจะเป็น Main Pool ขนาดใหญ่ และน้ำในนี้ค่อนข้างลึกและไล่ระดับความลึกลงมาเรื่อยๆ ก่อนเข้าใช้บริการแจ้งพนักงานด้านหน้าทางเข้า พนักงานจะมาปูเตียงพร้อมนำผ้าเช็ดตัวและน้ำเย็นมาเสิร์ฟให้ถึงที่ พร้อมแนะนำการใช้สระและห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่อยู่ใกล้ๆ ให้ด้วย
จากสระว่ายน้ำสามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและโรงแรม Peninsula ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
Day bed สวยๆ อยู่รายล้อมสระว่ายน้ำ ด้านหลังคือ Lobby ของโรงแรม
ด้านหลังบริเวณที่มีกำแพงจะเป็นทางลงไปห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน ห้องน้ำติดแอร์และสะอาดมาก
เดินถัดมาด้านข้างจะเป็นสระว่ายน้ำเด็ก อยู่ติดกับทางเดินไปห้องอาหาร The Verandah
อีกมุมของสระว่ายน้ำเด็ก
นั่งเรือข้ามฝั่งมานวดที่ The Oriental Spa กันครับ เนื่องจากโปรโมชั่นของเรามี Spa แถมมาให้ด้วย คนละ 60 นาที เลยได้มีโอกาสมาลอง Spa เพียงแห่งเดียวในประเทศไทยที่ได้รับการการันตีให้เป็น Spa ระดับ 5 ดาว จาก Forbes Travel Guide 2020 แนะนำว่าควรโทรมาจองคิวนวดก่อนเข้าพักนะครับ (จองเร็วได้เท่าไรยิ่งดี เพราะคนมาใช้บริการเยอะมาก)
บรรยากาศด้านนอกของ Spa
เข้ามาด้านในจะเจอกับโถงต้อนรับ มีเก้าอี้ให้นั่งรอคิวเรียกเข้าห้อง Spa
ระหว่างรอมีเครื่องดื่มและผ้าเย็นเสิร์ฟให้แขกทุกท่าน
ห้อง Treatment ที่ทาง Spa จัดไว้ให้ (เราไปกับเพื่อนเขาเลยจัดให้เข้าพร้อมกัน ห้องเดียวกันเลย) ภายในห้องจะมีห้องอาบน้ำและห้องน้ำให้บริการ เราก็เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนรอ Therapist ได้เลย โดยโปรแกรมนวดที่ทางโรงแรม Offer มาให้ มีทั้งนวดไทยและนวดอโรมา เราเลือกนวดอโรมาไปเพราะอยากผ่อนคลายๆ สบายๆ มากกว่า โดยก่อนนวดทาง Therapist จะเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับโรคประจำตัว จุดประสงค์หรือปัญหาที่เราต้องการให้เขาช่วยนวด ตำแน่งที่อยากให้นวดเน้นเป็นพิเศษ หลังจากกรอกข้อมูลเสร็จแล้วก็เริ่มนวดกันเลย บอกเลยว่า 60 นาทีมันผ่านไปเร็วมาก ทั้งๆ ที่นี่ก็เป็นการนวดครั้งแรกของเรา ไม่เจ็บ ไม่จั๊กจี้ แต่รู้สึกผ่อนคลาย สบายสุดๆ ส่วนเพื่อนที่ไปด้วยกันให้ความเห็นว่าที่นี่นวดดี สมรางวัลที่เขาได้จริงๆ
มากันที่ส่วนสุดท้ายของโรงแรมที่เราจะพาไปชมกันครับ นั่นคือ Authors’ Lounge ซึ่งที่นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราอยากมา Staycation ที่ Mandarin Oriental Bangkok ครับ เพราะการออกแบบและตกแต่งภายใน Authors’ Lounge นี้ สวยงาม สะอาดตามากๆ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนถึงชอบมาจัดงานแต่งงานที่นี่
ดูสิว่ามันสวยงาม อลังการณ์ขนาดไหน
บรรยากาศภายใน Authors’ Lounge
มา Authors’ Lounge ทั้งที เราก็ต้องมาลอง Afternoon tea ของที่นี่กันหน่อย โดยเราจะใช้ Hotel credit ที่ได้จากโรงแรม 3,000 บาท มาใช้บริการที่นี่ Afternoon tea set จะมีให้เลือก 3 แบบ ได้แก่ The Oriental Afternoon Tea Set (เสิร์ฟขนมไทย), Vegan and Gluten-Free Afternoon Tea Set และ Western Afternoon Tea Set ที่เราได้สั่งมาลองชิม โดยใน 1 set จะประกอบไปด้วยขนมต่างๆ (ซึ่งจะผลัดเปลี่ยนไปแล้วแต่ช่วง) เสิร์ฟพร้อมกับชาร้อน 1 กา สามารถทานได้ 2 คน ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท++ ต่อเซ็ต ความพิเศษของที่นี่ก็คือ เขาจะมีชา Mandarin Oriental Bangkok Tea ซึ่งเป็นชาที่ผลิตมาสำหรับโรงแรมโดยเฉพาะให้ได้ลิ้มลองรสชาติด้วย
มีไอศครีมซอร์เบทมาให้ทานก่อน Afternoon Tea Set จะมาเสิร์ฟ
ชา Mandarin Oriental Bangkok Tea เสิร์ฟมาในกาหน้าตาสวยงาม
ลืมบอกไปว่าถึงไม่ได้มาพักที่นี่ ก็สามารถมาดื่ม Afternoon tea ได้นะ แนะนำให้จองมาก่อนเพราะจะได้มีที่นั่ง
จากการที่เราได้ไป Staycation ที่ Mandarin Oriental Bangkok มาเป็นเวลา 2 วัน 1 คืน บอกเลยว่านี่เป็นโรงแรมในฝันที่เราอยากจะมาพักดูสักครั้ง ให้รู้กันไปเลยว่าที่เขาได้อันดับหนึ่ง และยืนหนึ่งเป็นเป็นเวลาร้อยกว่าปี โรงแรมนี้มีดีอะไร ก่อนมาก็ว่าคาดหวังมาเยอะมากแล้ว แต่พอได้มาพัก บอกเลยว่าเกินจากที่คาดหวังไปอีก และไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนที่เคยมาพักที่นี่ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันดีมาก แต่เพื่อไม่ให้ดูอวยจนเกินไป ตามธรรมเนียมเราก็จะมาสรุปข้อดี - ข้อเสียจากการมาเข้าพักที่นี่กันครับ
ข้อดี
- การบริการของพนักงานทุกคน คือสิ่งที่ดีที่สุดในโรงแรมนี้ ประทับใจมากๆ กับความใส่ใจของพนักงาน เป็นการบริการที่ Offer ให้โดยเราไม่ต้องร้องขอ ไม่แปลกใจเลยกับโรงแรมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นระดับ Ultra luxury และยืนหนึ่งมานานขนาดนี้
- การตกแต่งภายในโรงแรม และห้องพัก ถึงแม้โรงแรมจะเปิดมานานแล้ว แต่การตกแต่งหลายๆ อย่างก็ยังสวยงาม ดูแพง และไม่เชยเลย
- วิวจากห้องพัก สวยมาก สวยแบบไม่มีอะไรกั้น เพราะห้องติดกระจกบานใหญ่ให้เรา Take view ได้แบบเต็มตา วิวจากห้องอาหารของโรงแรมก็ดี
- ราคาและ Offer ที่โรงแรมจัดมาในช่วงสถานการณ์ Covid แบบนี้ คุ้มมาก แม้ราคาจะดูสูงกว่าโรงแรมอื่นๆ แต่นี่ก็ถือว่าถูกและมีอะไรแถมมาเยอะมากแล้ว เมื่อเทียบกับราคาปกติ ใครที่อยากมาสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่นี่สักครั้งในชีวิต ไม่มาช่วงนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีราคาดีๆ แบบนี้มาอีกเมื่อไร
- อีกส่วนหนึ่งที่เราไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู แต่ประทับใจมาก คือ Fitness มีอุปกรณ์หลากหลาย และที่สำคัญคือมีซาวน่าและสตีมให้ใช้ฟรี มีบ่อจากุชชี่ให้แช่หลังจากออกกำลังกายเสร็จด้วย
ข้อเสีย
- โดยส่วนตัวเรารู้สึกว่าราคาอาหารค่อนข้างแรง เมื่อเทียบกับ Portion และรสชาติอาหารที่ดี แต่ไม่ได้ว้าวเท่าไร (อันนี้เราได้ทานมื้อกลางวันที่ห้องอาหาร The Verandah ด้วยนะ ไม่ได้หมายถึง Breakfast) แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ไปลองร้านอาหารอื่นๆ ภายในโรงแรมเพราะเวลาจำกัด และบางร้านไม่เปิดในวันที่เราไปพัก ไว้โอกาสหน้าจะไปลองร้านดังร้านอื่นๆ ดูบ้าง
- ช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ แขกภายนอกของโรงแรมค่อนข้างเยอะ เพราะมีงานจัดเลี้ยงภายในโรงแรม เมื่อเทียบกับพื้นที่ของโรงแรมแล้ว ทำให้ดูจอแจไปหน่อย ไม่ค่อยเป็นส่วนตัวเท่าไร โดยเฉพาะเวลาเดินจากห้องพักลงไปสระว่ายน้ำ เพราะต้องผ่าน Lobby ที่มีแขกภายนอกเข้ามานั่งมากมาย
The Okura Prestige Bangkok : Staycation ที่ให้บรรยากาศเหมือนมาเที่ยวญี่ปุ่น
ปกติแล้วในทุกๆ ปี เราจะต้องไปเที่ยวญี่ปุ่นอย่างน้อย 1 ครั้ง แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันทำให้ปีนี้เป็นปีแรกที่เราไม่ได้ออกนอกประเทศเลย ด้วยความคิดถึงญี่ปุ่น และด้วยโปรโมชั่นที่ร้อนแรงสุดๆ เราจึงใช้ช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา ไป Staycation กันที่ The Okura Prestige Bangkok โรงแรม 5 ดาวสัญชาติญี่ปุ่น ที่บรรยากาศภายในโรงแรมพอจะทำให้หายคิดถึงญี่ปุ่นขึ้นมาได้บ้างสักหน่อย และจากการไปพักครั้งนี้ เราก็อยากจะนำประสบการณ์ที่ได้รับ มาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน เผื่อว่าใครสนใจอยากเปลี่ยนบรรยากาศมาพักผ่อนสบายๆ ทานอาหารญี่ปุ่นอร่อยๆ ที่นี่ก็เป็นอีกโรงแรมหนึ่งที่น่าสนใจมากทีเดียวครับ
The Okura Prestige Bangkok ถือเป็น Okura Prestige ที่แรกของโลก ซึ่ง Position ของแบรนด์ Okura Prestige ก็จะสูงกว่าโรงแรม 5 ดาวทั่วๆ ไป โดยเฉพาะด้านการบริการ และประสบการณ์ที่แขกจะได้รับตลอดการเข้าพัก ซึ่งปกติแล้วราคาห้องพักเริ่มต้นของที่นี่จะอยู่ที่ 6,600++ บาทต่อคืน แต่ในช่วงนี้ทางโรงแรมก็จัดโปรโมชั่นมาแรงมากๆ อย่างโปรโมชั่นที่เราได้ในช่วง 10.10 ห้องพักเริ่มต้นที่ 1,800++ บาทต่อคืน ซึ่งลดไปมากถึง 70% จากราคาปกติเลยทีเดียว ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะได้มาลองสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่นี่ดูสักครั้ง
Location : โรงแรมตั้งอยู่ในตึก PARK VENTURES ซึ่งตั้งอยู่บนถนนวิทยุ ใกล้กับสถานี BTS เพลินจิต ซึ่งบริเวณนี้ถือเป็น Prime area ของกรุงเทพฯ เลยก็ว่าได้ มีโรงแรมระดับ Ultra Luxury อยู่หลายโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม Rosewood, Park Hyatt ซึ่งสามารถมองเห็นได้จากสระว่ายน้ำของโรงแรม และห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Central Embassy และ Central ชิดลม ทำให้ The Okura Prestige เป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการการเดินทางที่สะดวกสบายและอยู่ใจกลางเมือง (หากมีรถยนต์ส่วนตัวมา สามารถจอดรถได้ที่อาคารจอดรถชั้นใต้ดินของตึก PARK VENTURES)
Main lobby ของโรงแรม ตั้งอยู่บนชั้น 24 ของตึก PARK VENTURES โดยจะมีทางเข้าโรงแรมอยู่ที่บริเวณชั้นล่างของตึก และมีลิฟท์เฉพาะของโรงแรมที่จะ Direct มาที่ชั้น 24 ได้เลย การตกแต่งของโรงแรมเน้นที่ความเรียบหรู เราชอบบริเวณ Lobby ที่ออกแบบให้ Space มีความสูงโปร่ง ทำให้บรรยากาศดูโล่งสบาย และมีกระจกบานใหญ่อยู่ด้านหลัง ทำให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาด้านใน ยิ่งช่วงบ่ายๆ ตอนไป Check-in เราว่าเป็นช่วงที่แสงส่องเข้ามากำลังสวยดี พนักงานให้คำแนะนำและต้อนรับเป็นอย่างดี ตามมาตรฐานของโรงแรม 5 ดาว
ด้านหลัง Lobby มีระเบียง สามารถเดินออกไปชมวิวได้
วิวจากระเบียงด้านหลัง Lobby มองเห็นสวนสวยๆ และถนนวิทยุ
บริเวณใกล้ๆ กันมีโรงแรมชื่อดังอีก 2 โรงแรม คือ The Athenee Hotel ของเครือ Marriott
และ Hotel Indigo Bangkok ของเครือ IHG
มาพักช่วงเดือนธันวาคมแบบนี้ ทางโรงแรมก็จะตกแต่ง Lobby ด้วยต้นคริสต์มาส ให้เข้ากับบรรยากาศ Festive ในช่วงนี้
ออกจากลิฟท์มาจะเจอโถงทางเดินไปห้องพักหน้าตาแบบนี้
check-in เรียบร้อย พนักงานก็จะพาเรามาส่งที่ห้องพัก เราได้พักที่ชั้น 31 ห้องพักที่จองมาคือห้อง Deluxe ซึ่งเป็น Type เริ่มต้นของโรงแรม เรามาเข้าพักในช่วงวันหยุดยาว (วันรัฐธรรมนูญ) ราคาอยู่ที่ 2,860 บาท (รวมอาหารเช้า) ถ้ามาพักวันธรรมดา ราคาจะถูกลงไปกว่านี้ (และถ้าไม่รับอาหารเช้า ก็จะถูกลงไปอีก) แต่ราคาโปรโมชั่นในแต่ละช่วงแนะนำให้ติดตามทางเพจของโรงแรมจะดีกว่า เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือมีโปรพิเศษเพิ่มเติมมาได้ตลอด
มองจากบริเวณทางเดินหน้าห้องพัก จะเจอกับบันได้บริเวณ Lobby
เปิดประตูห้องเข้ามา จะเจอ Partition และของตกแต่งแบบนี้ก่อน เพิ่มความ Private ให้แขกที่อยู่ในห้องพัก
ด้านหลัง Partition นี้จะเป็น Walk-in closet ที่มีราวแขวนเสื้อ ตู้เซฟ และที่วางกระเป๋า
ด้านข้างประตูจะเป็นห้องน้ำ ภายในห้องน้ำมีอ่างล้างมือเล็กๆ เหมือนโรงแรมที่ญี่ปุ่นเลย
โถสุขภัณฑ์เป็นโถอัตโนมัติเหมือนโรงแรมในญี่ปุ่น นั่งแล้วอุ่นก้น มีให้กดน้ำชำระล้าง สะดวกสบาย
ถัดมาจะเป็นส่วนของเตียงและโต๊ะนั่งทำงาน ห้องของเรามองเห็น City view ฝั่งถนนวิทยุ เราชอบวิวฝั่งนี้มากๆ
การออกแบบภายในห้องพักเรียบหรู เราชอบพรมในห้องที่เป็นลายใบไม้แดง และไม้ระแนงบริเวณหัวเตียงและปลายเตียง
ที่ทำให้บรรยากาศในห้องมีเอกลักษณ์ ดูแล้วรู้เลยว่าเป็นโรงแรมสัญชาติญี่ปุ่น
เตียง King size และหมอนที่นุ่มสบาย ดูดวิญญาณสุดๆ
บริเวณหัวเตียงมี Control panel สำหรับเปิด-ปิด ไฟและแอร์ภายในห้อง มีช่อง USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์มือถือได้
ปลายเตียงจะมี Smart TV และโต๊ะทำงาน มีช่องโทรทัศน์ของญี่ปุ่นให้ดูเยอะมาก
ภายในห้องน้ำใหญ่ แบ่งโซนอ่างล้างมือ / Shower และอ่างอาบน้ำ ตรงนี้อาจจะดูทึบๆ ไปหน่อย แต่ก็มีพื้นที่กว้างพอสมควร ไม่ได้เล็กเหมือน Business Hotel ในญี่ปุ่น อ่างใหญ่ลงไปแช่ 2 คนได้อยู่
Amenities ให้มาครบ มีน้ำเปล่าให้รวมแล้วประมาณ 6 ขวดได้
Minibar ภายในห้อง มีชา-กาแฟ ที่ให้ฟรี ส่วนอย่างอื่นเสียเงินนะ
ความพิเศษอีกอย่างของที่นี่ คือ มีชุดยูกาตะ และชาเขียวให้ชงดื่มฟรี
ให้บรรยากาศเหมือนไปพักโรงแรมในญี่ปุ่นสุดๆ
จิบชาพร้อมกับชม City view ในยามเย็น บรรยากาศดีมาก
ช่วงก่อนนอนจะมีพนักงานเข้ามา Turn down พร้อม Night Gift เป็นโอริกามิเซ็ตนี้
ชมห้องพักกันไปแล้ว เราจะพาไปชม Facility ของโรงแรมกันต่อครับ ซึ่ง Facility และ Spa จะอยู่ที่ชั้น 25 ของโรงแรม ติดกับชั้น Main Lobby โดย Hilight ที่เราชอบมาก คือ วิวของสระว่ายน้ำของโรงแรมครับ
จากสระว่ายน้ำสามารถมองเห็น City view สวยๆ และโรงแรม Rosewood และ Park Hyatt ได้อย่างใกล้ชิด
ไว้จะมารีวิว Rosewood ให้ได้ชมกันเร็วๆ นี้นะครับ ตอนนี้ชมวิวโรงแรมไปก่อน
สระว่ายน้ำที่นี่วิวสวยทั้งช่วงเย็นและช่วงเช้า แนะนำให้มาตั้งแต่สระเปิดเพื่อชมพระอาทิตย์ขึ้น คนจะได้ไม่เยอะมาก
น่าเสียดายท่ีท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจ ไม่งั้นคงได้รูปสวยกว่านี้
ติดกับสระว่ายน้ำเป็น Fitness ของโรงแรม เปิดตลอด 24 ชม.
มีห้องน้ำแยกชาย-หญิง ด้านในมีห้อง Sauna และ Steam ให้บริการด้วยครับ
ปิดท้ายกันที่ Breakfast ครับ ความพิเศษของที่นี่คือจะมีห้องอาหารให้เราเลือกทาน Breakfast ได้ 2 ที่ คือ ห้องอาหาร Up & Above จะเสิร์ฟเป็น International set breakfast ส่วนอีกที่คือห้องอาหารญี่ปุ่น Yamazato เสิร์ฟ Japanese set breakfast ทั้งสองร้านอยู่บริเวณชั้น 24 ใกล้กับ Main lobby
ได้มานอนโรงแรมญี่ปุ่นแบบนี้ทั้งที เราก็ต้องเลือกทานมื้อเช้าแบบญี่ปุ่นที่ Yamazato สิครับ แต่ก่อนจะพาไปชมว่าในเซ็ตอาหารเช้าจะได้อะไรมาทานบ้าง เราจะพาไปชมบรรยากาศห้องอาหาร Up & Above กันสักหน่อย
การออกแบบภายในห้องอาหารค่อนข้างเรียบๆ ข้อดีของห้องอาหารนี้คือวิวตรงระเบียงด้านนอกสวยมาก เห็นวิวเมืองอย่าง Central Embassy และ Park Hyatt ตอนกลางคืนน่าจะวิวแกรนด์อยู่ แต่เราไม่ได้ถ่ายภาพจุดนั้นมาให้ชมเพราะมีแขกนั่งทานอาหารกันอยู่ ซึ่งนอกจากที่นี่จะเสิร์ฟ Breakfast แล้ว หากใครมาทาน Afternoon tea ก็จะเสิร์ฟที่ห้องนี้เช่นกันครับ
ส่วนห้องอาหาร Yamazato ที่เราจะมาทานมื้อเช้า อยู่ทางด้านซ้ายมือของ Main Lobby
บรรยากาศภายในห้องอาหาร Yamazato มุมริมกระจกช่วงเช้าแสงดีมาก (แต่ก็จะร้อนๆ หน่อย)
สำหรับ Japanese set breakfast จะมี Main dish ให้เลือก 3 อย่าง คือ แซลมอน ซาบะ และไก่ เครื่องเคียงจะมีไข่ม้วน กับไข่ออนเซ็น ส่วนข้าวจะมีข้าวอบกับข้าวญี่ปุ่นให้เลือกครับ ตอนเสิร์ฟก็จะมาในเซ็ตแบบนี้ (สั่งได้ครั้งเดียว เติมไม่ได้นะ) หลังทานอาหารจานหลักเซ็ต จะมีผลไม้ใส่จานมาเสิร์ฟ และมีชา กาแฟ ให้เลือกสั่งปิดท้ายมื้ออาหารครับ อาหารญี่ปุ่นรสชาติดี เครื่องเคียงอร่อยทุกอย่างเลย น่าเสียดายตรงที่มีชอยส์ให้เลือกน้อยไปหน่อย กับเติมไม่ได้นี่แหละ ใครทานเยอะอาจจะไม่อิ่ม
และนี่ก็เป็นประสบการณ์ 2 วัน 1 คืน ที่เราได้ไปพักในโรงแรมสัญชาติญี่ปุ่น ที่ให้ความรู้สึกหรูหรา พรีเมี่ยม ซึ่งก็ต้องบอกว่านี่เป็นครั้งแรกของเราเหมือนกันที่ได้นอนโรงแรมหรูของญี่ปุ่นแบบนี้ (เพราะไปเที่ยวญี่ปุ่นทีไรก็เน้นนอนถูกไว้ก่อน เพราะส่วนใหญ่ออกไปเที่ยวมากกว่าอยู่ในโรงแรม) ทีนี้ก็จะมาสรุปความประทับใจที่เรามี ดังนี้
ข้อดี
- ทำเลดีมาก อยู่ใจกลางเพลินจิต ติดสถานีรถไฟฟ้า ใกล้ห้างใหญ่ ไปไหนมาไหนสะดวก
- ภายในห้องพักแม้จะเป็นห้องเริ่มต้น แต่ Facility ทุกอย่างครบครัน จัดสรรพื้นที่ใช้สอยในห้องพักได้ดี เป็นสัดส่วน ดีไซน์ในห้องแม้จะไม่ได้หวือหวา แต่ก็ดูหรูหราไฮโซ ที่สำคัญคือเตียงนุ่มมาก อยากรู้เลยว่าเตียงยี่ห้ออะไร
- วิวจากห้องพัก (ฝั่งถนนวิทยุ) และวิวที่สระว่ายน้ำ สวยและ Grand มากๆ ถ่ายรูปออกมายังไงก็สวย
- ราคาห้องพัก (ในช่วงนี้) คุ้มค่าแก่การไปลองพักดูสักครั้ง ถ้าได้ Upgrade เป็นห้องใหญ่กว่านี้น่าจะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปได้อีก
- การบริการของพนักงาน และความใส่ใจ ให้ความรู้สึกแบบ Japanese Service บรรยากาศแทบทุกอย่างในโรงแรม คือนึกว่าอยู่ที่ญี่ปุ่น ทำให้คลายความคิดถึงญี่ปุ่นลงได้บ้าง
ข้อเสีย
- ไม่รู้จะเรียกว่าข้อเสียได้ไหม แต่สระว่ายน้ำช่วงเวลาพีคๆ เช่น ช่วงเย็น หรือตอนสายๆ คนจะเยอะมาก ทำให้ดูวุ่นวายไปหน่อย เพราะพื้นที่ตรงบริเวณสระก็ไม่ได้กว้างมากนัก
- อาหารเช้าที่ห้องอาหาร Yamazato มีตัวเลือกน้อยไปนิด และไม่ใช่ Buffet ทำให้อาจจะดูไม่คุ้มเมื่อเทียบกับการไปทานอาหารเช้าที่ Up & Above