Phra Singh Village : ที่พักสวยสไตล์ล้านนา ใจกลางเมืองเชียงใหม่
เข้าสู่ช่วงฤดูหนาวแบบนี้ เพื่อนๆ หลายคนคงมีแผนที่จะขึ้นเหนือไปท่องเที่ยวสัมผัสลมหนาวกัน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวมาอย่างยาวนาน และหากใครกำลังมองหาที่พักใจกลางเมืองเชียงใหม่ เราขอแนะนำ Boutique Hotel ที่โดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ และทำเลดีสุดๆ อย่าง “Phra Singh Village”
Phra Singh Village ตั้งอยู่ในซอยราชมรรคา 8 ใกล้กับวัดพระสิงห์ และอยู่ไม่ไกลจากถนนคนเดินท่าแพ (เดินจากโรงแรมไปประมาณ 5 นาที) การออกแบบโรงแรมได้รับแรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมของอาณาจักรล้านนาและล้านช้าง ผสมผสานออกมาได้อย่างสวยงามลงตัว ใครชอบถ่ายรูปรับรองว่ามีมุมสวยๆ ให้ได้ถ่ายรูปแน่นอน ภายในโรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 43 ห้อง แบ่งออกเป็น 4 Room type
ห้องสำหรับพัก 2 คน
- Superior Twin Bed (34 ตร.ม.) ห้องเตียงเดี่ยว 2 เตียง ไม่มีระเบียง
- Deluxe with Balcony (46 ตร.ม.) ห้องเตียงใหญ่ 1 เตียง มีระเบียง (เป็นห้องที่เรามาพักในครั้งนี้)
และห้องสำหรับพัก 4 คน
- Grand Family Superior (42 ตร.ม.) ห้องครอบครัว มีเตียงใหญ่ 2 เตียง ไม่มีระเบียง
- Grand Family Suite (64 ตร.ม.) ห้องครอบครัว มีเตียงใหญ่ 2 เตียง มีระเบียงและอ่างจากุชชี่
ความพิเศษของห้องพักที่นี่ คือ ทุกห้องมีเครื่องทำกาแฟแคปซูล และฟรี Minibar อีกด้วย
นอกจากห้องพักที่สวยงามและกว้างขวางแล้ว ทางโรงแรมยังมี Facilities อีกหลายอย่าง และที่สำคัญ คือ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น
- รถรับ-ส่งสนามบิน (ให้บริการฟรี เฉพาะลูกค้าที่จองห้องพักผ่านโครงการเราเที่ยวด้วยกัน)
- นวดฟรี 15 นาที (นวดหัว บ่า ไหล่) ตั้งแต่ 12.30 - 17.30 น. บริเวณ Lobby ของโรงแรม
- Afternoon tea ตั้งแต่เวลา 14.00 - 15.30 น. มีชา น้ำผลไม้ รวมถึงขนมต่างๆ ให้ทานได้ไม่อั้น
- Fitness และสระว่ายน้ำ
- จักรยาน ปั่นฟรีไม่จำกัดเวลา
- มีผ้าถุง สำหรับสาวๆ ไว้ใส่ถ่ายรูป หรือจะใส่ไปไหว้พระที่วัดก็ได้
ความดีงามอีกอย่างของที่นี่ คือ Makkha Health & Spa ซึ่งมีถึง 2 สาขาตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรม โดยมีสไตล์การออกแบบที่แตกต่างกันไป Treatment ของ Spa มีหลายแบบให้เลือก ทั้งนวดไทย นวดน้ำมันอโรม่า นวดลูกประคบ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์ที่ทาง Spa เลือกใช้ คือ แบรนด์ “WAN WAAN” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ทางโรงแรมผลิตเอง หากใครยังไม่จุใจกับนวดฟรีที่โรงแรมจัดให้ เดินแวะมาเลือก Treatment ที่ Spa กันได้เลย ค่าบริการเริ่มต้นที่ 500 บาท/ชั่วโมง และสามารถใช้ E-Voucher จากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เป็นส่วนลดได้อีก 40%
หากใครสนใจมาเข้าพักที่ Phra Singh Village ช่วงนี้ทางโรงแรมมีโปรโมชั่นพิเศษ หากเข้าพักในวันจันทร์ - พฤหัสบดี เริ่มต้นที่ 2,900 บาท/คืน (หักส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เหลือเพียง 1,740 บาท/คืน) และ วันศุกร์ - อาทิตย์ (รวมวันหยุดนักขัตฤกษ์) เริ่มต้นที่ 3,400 บาท/คืน (หักส่วนลดจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เหลือเพียง 2,040 บาท/คืน) บอกเลยว่าราคาดีแบบนี้ไม่ได้มีกันบ่อยๆ ลองมาสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนที่นี่สักครั้ง รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอนครับ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสำรองห้องพักได้ทาง
หรือโทร 097-920-9006
E-mail : info@phrasinghvillage.com
บริเวณด้านหน้าโรงแรม สวยงามตั้งแต่หน้าประตูเลยทีเดียว
บรรยากาศบริเวณ Lobby ของโรงแรม มีพนักงานคอยดูแลต้อนรับเป็นอย่างดี
ทางโรงแรมต้อนรับเราด้วยน้ำอัญชันมะนาว ดื่มแล้วสดชื่น
มาถึงแล้วก็เริ่มใช้ Complimentary ของทางโรงแรมเลยครับ กับการนวดคอ บ่า ไหล่ ฟรี 15 นาที
สามารถมาใช้บริการได้จนถึง 17.30 น. มีพี่ๆ พนักงานคอยให้บริการอยู่ตรง Lobby
Check - in เรียบร้อยแล้ว จะพามาชมห้องพักของเรากันครับ ห้องที่เราพักเป็นห้อง Deluxe with Balcony ซึ่งข้อดีของห้องนี้ คือ มีระเบียงให้นั่งเล่นด้านนอกได้ด้วย และมีพื้นที่กว้างถึง 46 ตร.ม. เปิดประตูเข้าห้องมาก็จะเจอบรรยากาศแบบนี้
ห้อง Type นี้จะได้เตียงขนาด King size เตียงและหมอนนุ่ม ดูดวิญญาณมาก
บริเวณด้านซ้ายของห้องจะเป็น Walk - in Closet อยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ
ห้องน้ำกว้างขวาง และมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย ส่วน Amenities จะใช้แบรนด์ “WAN WAAN” ซึ่งทางโรงแรมผลิตเอง และใช้กลิ่น Jasmine ซึ่งเป็นกลิ่น Signature ของแบรนด์มาให้แขกที่เข้าพักได้ใช้
บรรยากาศบริเวณระเบียงห้อง ไว้นั่งจิบกาแฟ อ่านหนังสือชิลๆ
ทุกห้องพักของที่นี่จะมีเครื่องทำกาแฟ และแคปซูลกาแฟมาให้ด้วย
Minibar ที่โรงแรมจัดให้ ทานได้ทุกอย่าง ฟรี!
อีกมุมที่เราชอบมาก คือ มุม Sofa bed ซึ่งอยู่ใกล้กับเตียงนอน
เผื่อใครกลัวนั่งตรงระเบียงแล้วจะร้อน มานอนเล่นที่ Sofa bed ด้านในห้องได้
เราจะพาไปชมห้องพักอีก 2 แบบของทางโรงแรมกันครับ เริ่มกันที่ห้อง Superior Twin Bed ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นของทางโรงแรม ห้องนี้จะมีขนาด 34 ตร.ม. และไม่มีระเบียงเหมือนห้อง Deluxe และจะมีเฉพาะเตียงคู่เท่านั้น
มีโต๊ะนั่งทานข้าว และมีเครื่องทำกาแฟเหมือนห้อง Deluxe ที่เราพักเลย
อีกอย่างหนึ่งที่เราชอบก็คือทีวี เพราะที่นี่ใช้ Smart TV สามารถดู Netflix หรือ Youtube ได้สบายๆ
อีกห้องที่เราจะพามาชม คือ ห้อง Grand Family Suite ซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่สุดของโรงแรม และสามารถเข้าพักได้ 4 คน จุดเด่นของห้องนี้นอกจากขนาดที่กว้างถึง 64 ตร.ม. แล้ว แต่ยังมีวิวดอยสุเทพที่สามารถมองเห็นได้จากระเบียงห้อง
นั่งเล่นตรงระเบียง ชมวิวดอยสุเทพได้ด้วย
มี Walk - in Closet อยู่บริเวณด้านหน้าทางเข้าห้องน้ำ
ห้องน้ำกว้างขวาง และมีความพิเศษตรงที่มีอ่างจากุชชี่ให้แช่ด้วย
ชมห้องพักแบบต่างๆ เสร็จแล้ว เราจะพามาชม Facility อื่นๆ ของทางโรงแรมกันบ้างครับ
เริ่มที่ห้อง Fitness มีอุปกรณ์หลากหลายแบบให้ได้ใช้
สระว่ายน้ำสีดำ ตัดกับร่มสีแดง เป็นมุมที่แขกทุกคนต้องแวะมาถ่ายรูป
Lan Chang Restaurant ห้องอาหารหลักของทางโรงแรม ที่เราจะมาทานอาหารเช้า และ Afternoon tea
14.00 -15.30 น. เป็นช่วงเวลา Afternoon tea แวะมาดื่มชา ทานเค้กกันได้ไม่อั้นครับ
มีทั้งชาร้อน น้ำผลไม้ น้ำดื่ม และของว่างทั้งคาวหวานให้เลือกทานหลายเมนู
ขนมต่างๆ มีพนักงานคอยเติมให้ตลอด มาพักที่นี่ไม่ต้องออกไปคาเฟ่ที่ไหนก็ได้ เพราะขนมอร่อยมาก
ใครอยากได้รูปกับเซ็ทขนมสวยๆ อาจจะต้องใช้ความสามารถในการจัดจานกันหน่อย
แต่เราไม่มีความสามารถ เลยต้องรบกวนพนักงานให้ช่วยจัดให้
ในส่วนของ Breakfast ก็มาทานที่ห้องอาหาร Lan Chang Restaurant เช่นเดียวกัน โดยทางโรงแรมจะจัดเป็น Buffet เน้นไปที่อาหารไทย ส่วนชา กาแฟ น้ำผลไม้และ Bakery ต่างๆ ก็มีให้ครบเหมือนโรงแรมใหญ่ๆ เลย น่าเสียดายวันที่เราไปพักแขกของโรงแรมเยอะมาก เลยไม่สามารถถ่ายรูปบรรยากาศของห้องอาหารด้านใน และไลน์ Buffet มาให้ชมกันได้
อิ่มท้องแล้ว ได้เวลามานวดผ่อนคลายกันที่ Makkha Health & Spa กันครับ โดยจะมี Spa ถึง 2 สาขาที่ตั้งอยู่ใกล้กับโรงแรม เราจะพามาชมกันที่สาขาแรกก่อน Makkha Health & Spa Colonial Gardens สาขานี้การออกแบบจะเป็นสไตล์ Colonial มีจุดเด่นคือสระน้ำใหญ่ตรงกลาง Spa เป็นอีกมุมที่ถ่ายรูปสวยมาก
เข้ามาด้านในจะเจอ Lobby ของ Spa มองเห็นสระน้ำด้านหลัง
มีผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของทาง Spa ให้ได้ทดลอง และซื้อกลับไปใช้ที่บ้านได้
ก่อนเริ่ม Treatment พนักงานจะนำ Tester มาให้เราเลือก ว่าเราอยากใช้กลิ่นน้ำมันแบบไหน
โดยกลิ่น Signature คือกลิ่น Jasmine
สระน้ำตรงกลาง Spa ใช้ว่ายน้ำเล่นไม่ได้ แต่ถ่ายรูปสวยสุด
บรรยากาศภายในห้อง Treatment ด้านในมี Shower Box สำหรับ 2 คน
มาชมอีกสาขาของ Makkha Health & Spa กันครับ สาขานี้ คือ Makkha Health & Spa (Ancient House) เป็นเรือนไม้เก่าๆ ให้บรรยากาศไทยๆ สไตล์นี้นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะชอบกัน
บริเวณด้านข้างมีบ่อน้ำ เลี้ยงปลาคาร์ฟและจัดสวนดูร่มรื่นสบายตา
การตกแต่งด้านในก็สวยงามไม่แพ้กัน มีหลายมุมน่าถ่ายรูปเชียวแหละ
บรรยากาศและการตกแต่งภายใน Spa
เดินชมสถานที่เสร็จแล้ว ก็ถึงเวลานวดของเราแล้ว เราเลือกนวดน้ำมันอโรม่าไป 1 ชั่วโมง ก่อนนวดพนักงานจะมีแบบสอบถามให้กรอก ว่าเราต้องการนวดบริเวณส่วนไหนเป็นพิเศษ เลือกความหนักเบาในการนวดได้ เพื่อให้เหมาะสมกับความชอบของแต่ละคน บอกเลยว่าหลังจากนวดเสร็จ เบาตัวขึ้นเยอะเลย ที่สำคัญราคา Treatment ของที่นี่ไม่แพง และสามารถใช้ E-Voucher จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันมาเป็นส่วนลดได้ด้วย
นวดเสร็จแล้ว พนักงานจะเตรียมชาร้อนกับข้าวแต๋นให้ทานปิดท้าย
และนี่ก็เป็นประสบการณ์ทั้งหมดที่เราได้ไปเข้าพักที่ Phra Singh Village โดยส่วนตัวแล้วเราประทับใจกับการดีไซน์ และการจัดสรรพื้นที่ภายในโรงแรม ที่แม้จะมีพื้นที่ไม่ใหญ่นัก แต่สามารถทำให้ Space ทุกจุดภายในโรงแรมได้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า ห้องพักที่กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน และมีกลิ่นหอมจาก Diffuser ที่ทางโรงแรมใส่ไว้ในห้องพักทุกห้อง Facility ต่างๆ ที่ยังไม่เคยเจอโรงแรมไหนจะให้มากเท่านี้ และที่สำคัญคือการบริการของพนักงานทุกคน ที่ให้บริการเป็นอย่างดีตั้งแต่เราก้าวเข้ามาในโรงแรม เราหวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาที่พักดีๆ ในเชียงใหม่ และฝาก Phra Singh Village ไว้ให้มาลองพักกันดูสักครั้ง รับรองว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีและความประทับใจ กลับไปแน่นอนครับ
Island Escape by Burasari : Luxury Resort หนึ่งเดียวบนเกาะมะพร้าว
ภูเก็ต เป็นอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งเป็น Dream destination ของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เพราะมีชายหาดที่สวยงาม และมีเกาะเล็ก เกาะน้อย ที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะหลักให้นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือไปเที่ยวชมหรือไปพักผ่อนในบรรยากาศที่ได้ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น "เกาะมะพร้าว" เป็นอีกเกาะหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลจากเกาะภูเก็ต มีความเงียบสงบ รายล้อมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม และเพิ่งมี Luxury Resort แห่งแรกอย่าง "Island Escape by Burasari" ที่เพิ่ง Soft-opening ไปเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และเป็นจุดหมายหนึ่งของการมาเที่ยวภูเก็ตครั้งนี้ของเราด้วย
ภาพมุมสูง มองเห็นท่าเรือของโรงแรม (บริเวณด้านบนของภาพ)
ด้านขวามือเป็นสระว่ายน้ำดีไซน์เป็นรูปเปลือกหอย สวยงามมาก
ส่วนซ้ายมือที่เป็นอาคารใหญ่นั้น คือ It's Everything Reastaurant ร้านอาหาร All day dining ของโรงแรม
การเดินทางไปที่ Island Escape by Burasari เราต้องไปขึ้นเรือของโรงแรมที่ท่าเรือแหลมหิน ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีเพื่อไปยังรีสอร์ท ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะมะพร้าวแห่งนี้ โดยจะมีจุดจอดรถบริเวณใกล้กับท่าเรือให้บริการ และพนักงานจะนัดแนะเวลากับเราล่วงหน้าเพื่อมาต้อนรับเราถึงบริเวณท่าเรือ ซึ่งในอนาคตบริเวณท่าเรือแหลมหินนี้ จะมี Lobby ของโรงแรมตั้งอยู่ เพื่อใช้ต้อนรับแขกที่มาพัก และจะมีการจัดสรรเรือเพื่อเดินทางไปยังที่พักเป็นรอบๆ ให้ แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วง Soft-opening และที่พักยังเปิดให้บริการเฉพาะ Pool Villa ทางโรงแรมจึงจัดเรือหางยาว (หรืออาจเป็น Speed boat ในบางรอบหากมีแขกมาพร้อมกันหลายท่าน) เพื่อพาพวกเราเดินทางไปยังรีสอร์ท
บรรยากาศบริเวณท่าเรือ
บรรยากาศระหว่างอยู่บนเรือ เห็นเกาะมะพร้าวอยู่ไม่ไกล
ภาพมุมสูงของ Two Bedroom และ Three Bedroom Ocean View Pool Villa
ด้านล่าง คือ Eat Restaurant ห้องอาหารริมชายหาดของโรงแรม
ในส่วนของที่พัก ทางรีสอร์ทแบ่งออกเป็น 4 โซน ประกอบไปด้วย
1. Ocean เป็นโซน Private Pool Villa ซึ่งเป็นส่วนแรกของโรงแรมที่สร้างเสร็จและ Soft-opening ในช่วงนี้ เป็นส่วนที่อยู่ติดกับทะเลมากที่สุด ประกอบไปด้วย Pool Villa ทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ One Bedroom Pool Villa, One Bedroom Reserve Pool Villa, Two Bedroom Ocean View Pool Villa, Three Bedroom Ocean View Pool Villa และ Four Bedroom Ocean View Pool Villa ซึ่งเป็น Pool Villa ที่แพงที่สุดของโรงแรมและมีอยู่เพียงหลังเดียว ที่ดีงามมากก็คือ แขกที่พัก Pool Villa ทุกแบบจะมี Butler ส่วนตัว และสามารถ Request Breakfast at Villa ได้ด้วยครับ จะมีเชฟมาเตรียมอาหารเช้าให้ทานกันถึง Villa เลย
2. Swim เป็นที่พักในโซนรีสอร์ท ประกอบไปด้วยห้องพักแบบ Deluxe room ซึ่งชั้นล่างของอาคารจะเป็นห้องที่สามารถลงสระว่ายน้ำจากห้องพักได้เลย และยังมีห้อง One bedroom และ Two bedroom villa จุดเด่นของโซนนี้ คือ มีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่อยู่รายล้อมไปด้วยห้องพักแบบต่างๆ ครับ แต่ช่วงที่เราไปพักส่วนนี้ยังไม่เปิดให้บริการ
3. Play เป็นที่พักในโซนรีสอร์ทเช่นเดียวกัน โซนนี้มีห้อง Deluxe, One bedroom และ Two bedroom villa เช่นเดียวกับโซน Swim แต่จะได้วิวสวนแทน
4. Lagoon เป็นที่พักส่วนสุดท้ายของโซนรีสอร์ทครับ มีห้อง Deluxe และ One bedroom Villa รวมถึงสปาของโรงแรม ซึ่งห้องพักโซนนี้จะได้วิว Lagoon ครับ ดูจากรูป Render ใน website ของทางโรงแรม น่าจะเป็นอีกโซนที่สวยงามมากๆ
Three Bedroom Ocean View Pool Villa ห้องพักของเราในคืนนี้
ขอเล่าสักนิดเกี่ยวกับการจองที่พักของเรา ช่วงที่เราจะจองห้องพัก ทางโรงแรมมีโปรโมชั่น Soft-opening สำหรับห้อง One Bedroom Pool Villa ราคา 10,000 บาท/คืน และห้อง Two Bedroom Ocean View Pool Villa ราคา 17,000 บาท/คืน ตอนแรกเราตั้งใจว่าจะจองห้อง Two Bedroom ไปห้องเดียวเลย เพราะไปกัน 5 คน จะได้นอนพักในหลังเดียวกัน และห้องที่มองเห็นวิวทะเลจะเริ่มต้นที่ห้อง Two Bedroom ขึ้นไป แต่เนื่องจากทางโรงแรมแจ้งว่าห้อง Two Bedroom พักได้มากสุด 4 คน ไม่สามารถเสริมเตียงได้ เราเลยต้องเปลี่ยนแผนใหม่ไปจองห้อง One Bedroom 1 ห้อง และ 2 Bedroom อีก 1 ห้องแทน เพราะห้องแบบ Three Bedroom ราคาจะโดดไปถึง 50,000 บาท แล้วก็แบ่งกลุ่มเพื่อนที่จะไปด้วยกันแยกเป็น 2 Villa กะว่าถ้าจะมาเล่นน้ำ กินข้าว ค่อยมาจอยกันที่ห้องใหญ่ก็ได้ แต่ด้วยความโชคดีของเราและความใจดีของทางรีสอร์ท วันที่เราเข้าพักห้อง Three Bedroom Ocean View Pool Villa ว่างพอดี ทางโรงแรมจึงเสนอที่จะ Upgrade ห้องพัก 2 ห้องที่เราจองตอนแรก เป็นห้อง 3 ห้องนอนให้เลย
ต่อไปเราจะพามาชม Three Bedroom Ocean View Pool Villa ห้องพักของเราในคืนนี้กันนะครับ สำหรับ Villa type นี้จะมีทั้งหมด 2 หลัง หลังที่เราพัก คือ Villa 1002 ซึ่งอยู่ใกล้กับ Four Bedroom Ocean View Pool Villa ซึ่งเป็นห้อง Top สุดของโรงแรม และเดินถัดไปอีกหน่อยจะเป็น Wedding Pavillion ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยมากๆ ของโรงแรมอีกจุดหนึ่ง ข้อดีของ Villa หลังนี้ คือ เห็นวิวทะเลค่อนข้างชัด เพราะมีต้นไม้บังไม่เยอะ ได้วิวทะเลที่ค่อนข้าง Grand และใกล้เคียงกับวิวของห้องแพงสุดอย่าง Four Bedroom Ocean View Pool Villa
เปิดประตูไม้เข้ามา จะเจอทางเดินที่ขนาบไปด้วยสวนสวยๆ ทั้งสองข้าง
Three Bedroom Ocean View Pool Villa นี้มีขนาดกว้างถึง 516 ตารางเมตร มีห้องนอน Master bedroom ด้านในเป็น King bed พร้อมอ่างอาบน้ำจำนวน 2 ห้อง (จากในภาพ คือ หลังแรกด้านซ้ายล่าง และ อีกหลังด้านขวา) และมีห้องนอนเล็ก (ในภาพ คือ หลังเล็กด้านซ้ายบน) มีเตียง Twin bed และห้องน้ำในตัว (แต่ไม่มีอ่างอาบน้ำ) มุมมองจาก Top view เดินเข้ามาจะเจอกับศาลาตรงกลาง ตรงนั้นจะเป็น Open air living room มีทั้งโต๊ะอาหาร, โต๊ะ Pool, เคาน์เตอร์บาร์สำหรับประกอบอาหาร และโซฟา เรียกได้ว่าตรงนี้เป็นส่วนกลางที่ทุกคนสามารถมาทำกิจกรรมร่วมกันได้ ถัดออกมาจะเป็นส่วนของ Day bed และสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มองเห็นวิวทะเล ด้านข้างสระว่ายน้ำมีบันไดลงไปชายหาด ซึ่งบันไดของ Villa หลังนี้ ลงไปแล้วจะเจอกับ Drink Bar (ยังไม่เปิดทำการ) และ Eat Restaurant ร้านอาหารริมชายหาดของโรงแรม
บรรยากาศบริเวณ Drink bar
บรรยากาศด้านหน้าของ Villa
Welcome Fruit และข้อความต้อนรับจากโรงแรม
บริเวณ Living area ของ Villa
อีกฝั่งหนึ่งของ Living area เป็น Counter bar สำหรับเตรียมอาหารและนั่ง Drink
มีเครื่องทำกาแฟและแคปซูลกาแฟเตรียมไว้ให้ด้วย
รวมถึง Minibar ที่อยู่บริเวณส่วนกลางและในห้องพัก ทานได้ฟรี
วิวทะเลจาก Villa ของเรา
ต่อไปเราจะพาไปชมในส่วนของห้องพักกันครับ ห้องแรกที่จะพาไปชม คือ ห้อง Master bedroom ซึ่ง Layout ของห้องโดยภาพรวมแล้วจะไม่ได้แตกต่างกับ Master bedroom ของ Villa อื่นๆ สักเท่าไร ยกเว้นห้องแบบ One Bedroom Pool Villa ซึ่งจะมีโซฟาอยู่บริเวณปลายเตียงด้วย (เดี๋ยวจะพาไปชม) ในภาพด้านบนนี้ คือ Master bedroom ใน Villa ของเรา ภายในห้องจะมีเตียง Super King Size อยู่ตรงกลาง ด้านหลังเตียงจะมีอ่างอาบน้ำ มองเข้าไปด้านในสุดจะเป็นห้องน้ำ แยกโซน Shower ด้านขวา และห้องน้ำอยู่ด้านซ้าย ใครมากับเพื่อนก็ไม่ต้องอาย เพราะมีบานเลื่อนไม้ไว้เลื่อนปิดห้องน้ำได้ ส่วนด้านข้างสองฝั่งจะเป็นราวแขวนเสื้อ และชั้นเก็บของ มีตู้เย็นซ่อนอยู่บริเวณชั้นด้านล่าง
ปุ่มเปิด-ปิด ไฟ ผ้าม่าน และแอร์ อยู่ในส่วน Control บริเวณประตูทางเข้า
มองออกไปด้านนอกมี Day bed ให้นอนชมวิวทะเลได้
สามารถมองเห็นวิวทะเลสวยๆ แบบนี้ได้จากเตียงนอน
อ่างอาบน้ำซ่อนอยู่ด้านหลังเตียง (ภาพนี้ถ่ายจากห้อง One Bedroom Pool Villa)
ภายในห้องน้ำของ Master bedroom
ห้องน้ำมีสายฉีดชำระ ส่วน Shower มี Rain Shower มาให้ด้วย
Amenities ที่ใช้เป็นแบรนด์ของโรงแรม
ห้องต่อมาเป็นห้องนอนเล็กของ Villa ครับ มีเตียงเดี่ยว 2 เตียง
และห้องน้ำแบ่งเป็น 2 ฝั่งเหมือน Master Bedroom แต่จะไม่มีอ่างอาบน้ำและไม่เห็นวิวทะเล
ชม Villa ของเราเสร็จแล้ว จะพาไปชม Villa แบบอื่นๆ บ้างครับ เริ่มกันที่ Four Bedroom Ocean View Pool Villa ซึ่งเป็นห้องที่แพงที่สุดของรีสอร์ท Villa หลังนี้มีพื้นที่กว้างถึง 900 ตร.ม. โถงทางเข้าจะขนาบไปด้วยสระบัว และศาลาตรง Living area ของ Villa นี้จะเป็นห้องแอร์และมีพื้นที่กว้างมากๆ มีห้องนอน Master Bedroom ที่มองเห็นวิวทะเล 2 ห้อง และห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง มีศาลาข้างสระว่ายน้ำสำหรับนั่งชิลๆ เรียกได้ว่าสามารถจัดปาร์ตี้ย่อมๆ ได้ใน Villa หลังนี้เลย
สระบัวบริเวณทางเข้า Villa
Villa สุดท้ายที่เราจะพาไปชมกัน คือ One Bedroom Pool Villa ซึ่งเป็น Villa เริ่มต้นและราคาถูกที่สุดของรีสอร์ทในช่วงนี้ครับ มีขนาดพื้นที่ 125 ตร.ม. Layout ของห้องนอนก็จะคล้ายกับห้อง Master Bedroom ของ Villa ที่เราพัก แต่จะมีจุดต่างตรงที่มีโซฟาใหญ่บริเวณปลายเตียง และถัดออกมาด้านนอกจะเป็น Day bed และสระว่ายน้ำของ Villa ซึ่ง Villa แบบ 1 ห้องนอนทุกหลังจะเป็นวิวสวน ส่วนห้องพักแบบ One Bedroom Reserve Pool Villa จะต่างจากห้องนี้ตรงที่มี Open-air Living area คล้ายกับ Villa ใหญ่เพิ่มเข้ามา และมีสระว่ายน้ำที่กว้างกว่า ทำให้พื้นที่ของ Villa โดยรวมดูกว้างขวาง และมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มมากขึ้น
บรรยากาศภายในห้องพัก One Bedroom Pool Villa
เดินต่อจาก Four Bedroom Ocean View Pool Villa จะเจอกับ Sunrise ส่วนนี้จะเป็น Pavillion ที่ใช้สำหรับจัดงานแต่งงาน งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือจะจัด Private Dinner แบบโรแมนติกก็สามารถ Request กับทางโรงแรมได้ บอกเลยว่าใครมาที่นี่แล้วไม่ได้มาถ่ายรูปที่ Sunrise ถือว่ายังมาไม่ถึง เพราะช่วงกลางคืนจะมีลูกบอลไฟสีต่างๆ ที่เราสามารถเลือกสีและปรับเปลี่ยนได้ตามใจ และเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยมาก แนะนำให้มาช่วงพระอาทิตย์ตกและอยู่ต่อจนฟ้ามืด จะได้บรรยากาศที่สวยงามแตกต่างกันไป
บรรยากาศ Sunrise ก่อนพระอาทิตย์จะลาลับขอบฟ้า
แสงจากไฟ สะท้อนกับพื้นน้ำที่อยู่รอบ Pavillion สวยงามมากๆ
ไม่ได้รูปมุมนี้กลับไป ถือว่าพลาดอย่างแรง
มาเกาะทั้งทีก็ต้องหากิจกรรม Outdoor ทำกันสักหน่อย
ซึ่งทางโรงแรมมี Paddle board ให้เรายืมใช้งานได้ฟรีครับ สามารถแจ้งกับทาง Butler ได้เลย
ข้อเสียอย่างเดียวของหาดนี้ คือ หิน เยอะมากครับ เวลาเดินเท้าเปล่าอาจจะต้องระวัง
เสียดายช่วงที่เราไปพายุเข้าพอดี เลยไม่ได้เห็นแสงแดดหรือท้องฟ้าสวยๆ เลย
วิวมุมสูงจากรีสอร์ท
มาติดเกาะแบบนี้ ไม่มีร้านอาหารหรือร้านค้าที่เราสามารถเดินออกไปได้ เลยต้องฝากท้องไว้กับห้องอาหารของโรงแรมซะหน่อย Eat Restaurant เป็นห้องอาหารห้องเดียวของโรงแรมที่เปิดให้บริการในตอนนี้ ตัวร้านจะตั้งอยู่ติดกับชายหาด มีที่นั่งทั้งในร่มและกลางแจ้ง เป็นห้องอาหารแบบ Open air แนะนำให้มานั่งรับลมช่วงเย็นจะดีมาก ช่วงนี้เมนูจะเป็นอาหารไทยเป็นหลัก และมีให้เลือกเยอะอยู่ Seafood ก็มีให้สั่ง (ราคาพอๆ กับไปกินร้านอาหารซีฟู้ดในห้าง) Butler แนะนำให้สั่งอาหารก่อนเวลาที่เราจะทานประมาณสัก 1 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เพื่อให้เชฟเช็คว่าเมนูที่เราสั่งมีวัตถุดิบพร้อมไหม
บรรยากาศภายใน Eat Restaurant
บอกเชฟว่าอยากได้รูปตอนที่ไฟลุกโชน เชฟก็จัดมาให้จ้า
และนี่คือเมนูทั้งหมดที่เราสั่งมาสำหรับมื้อเย็น
หากใครไม่สะดวกมาทานที่ร้าน สามารถ Request ให้ไปเสิร์ฟที่ Villa ได้เลย
ข้าวเหนียวมะม่วงจัดจานมาสวยมากจนไม่กล้ากิน 555
ส่วนอาหารโดยรวมรสชาติดี แต่เราว่าถ้ารสจัดกว่านี้ได้อีกจะ Perfect มาก
ในส่วนของ Breakfast ทาง Butler จะให้เราเลือกเมนูอาหารเช้าจากเมนูของทางโรงแรมตั้งแต่วันแรกที่เข้าพัก ซึ่งเราสามารถสั่งมาทานได้ไม่อั้น เมนูอาหารมีทั้ง American Breakfast, เมนูไข่ต่างๆ, ขนมปังและ Bakery, Cold cut และน้ำผลไม้ต่างๆ โดยจะมีพนักงานมาจัดเตรียมอาหารเช้าให้เราถึง Villa เลย รวมถึงเรายังได้ Floating Breakfast เอาไว้ถ่ายรูปในสระน้ำเก๋ๆ อีกด้วยนะ
เมนูต่างๆ ที่สั่งไปจัดจานมาอย่างสวยงาม พร้อมเสิร์ฟถึงโต๊ะ
พัก Pool Villa ทั้งที ถ้าไม่มี Floating breakfast ก็ดูเหมือนจะขาดอะไรไป
โพสท์ถ่ายรูปกันได้เพลินๆ
มาปิดท้ายกันที่โซนสุดท้ายของรีสอร์ทกันครับ นั่นคือ สระว่ายน้ำ และ It's Everything restaurant ซึ่งยังไม่เปิดให้บริการในช่วงที่เราไป แต่ก่อนกลับได้ขอให้ Butler พาแวะไปชมสถานที่ดูสักหน่อย เพราะจากที่เห็นการออกแบบโดยเฉพาะสระว่ายน้ำคือสวย และวิวจากสระก็ดีงามมากๆ เช่นกัน ถ้าเปิดเต็มรูปแบบแล้วคงเป็นอีกจุดถ่ายรูปที่แขกต้องชอบแน่นอน
บริเวณนี้ในอนาคตจะกลายเป็น Pool bar มองเห็นวิวทะเลสวยๆ
สระว่ายน้ำกว้าง และดูเป็น Infinity edge pool ที่ blend ไปกับท้องทะเล
ถ่ายรูปกับสระไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย หวังว่าจะได้กลับมาอีกตอนที่เปิดเต็มรูปแบบแล้ว
และนี่ก็เป็นประสบการณ์ที่เราได้ไปพักที่ Island Escape by Burasari นับเป็นเวลา 2 วัน 1 คืนที่น่าประทับใจ จนอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ดีๆ ที่เราได้จากที่นี่ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ สุดท้ายนี้เราจะมาสรุปข้อดี - ข้อเสียของที่นี่กัน เพื่อประกอบการตัดสินใจของเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจจะมาลองพักผ่อนที่นี่กัน
ข้อดี
- รีสอร์ทถูกออกแบบอย่างสวยงาม มีมุมถ่ายรูปสวยๆ ทั้งภายใน Villa ของเรา และส่วนกลาง (บางส่วน) ที่เปิดให้บริการ สายถ่ายรูปรับรองว่าถูกใจแน่นอน
- การบริการของพนักงานทุกคน ทุกแผนกที่พบเจอคือดีมาก โดยเฉพาะ Butler ของ Villa เรา (คุณอลิซ) ไม่ว่าจะ Request อะไรไปก็สามารถจัดการให้เราได้เป็นอย่างดี (บางที Offer อะไรที่เราคาดไม่ถึงด้วยซ้ำ ประทับใจในความใส่ใจมากๆ)
- เนื่องจากรีสอร์ทเปิดบริการแค่โซน Pool Villa และแขกที่เข้าพักยังไม่เยอะมากนัก ทำให้มีความเป็นส่วนตัวสูง เหมือนมาเที่ยวเกาะส่วนตัวก็ว่าได้ ใครชอบความสงบเป็นส่วนตัว ที่นี่ตอบโจทย์มาก
- การเดินทางไปที่เกาะใช้เวลาไม่นาน และค่าเดินทางก็ Include อยู่ในค่าห้องพักแล้วด้วย
- อาหารการกินจัดเต็มสุดๆ ราคาโดยส่วนตัวเราว่ากลางๆ ไม่ได้สูงจนเวอร์ไป กินอิ่มในราคาที่รับได้ ส่วนอาหารเช้าซึ่งรวมมากับค่าที่พักแล้ว ถือว่าจัดเต็มมากๆ รวมถึง Minibar ในห้องพักที่กินฟรีได้ตลอด
ข้อเสีย
- จะพูดว่าเป็นข้อเสียก็ไม่เชิงนะ เพราะว่าเราไปในช่วงที่รีสอร์ทยังไม่ได้เปิดบริการเต็มรูปแบบ ทำให้ไม่ได้ใช้ Facility ต่างๆ ของโรงแรมเลย (เพราะมันยังไม่เปิดให้บริการ)
- ไม่มีร้านค้าหรือร้านสะดวกซื้ออื่นๆ ที่อยู่ในระยะเดินได้ (หรือว่ามีแต่เราไม่รู้ 555) ดังนั้นถ้าจะกินอะไรก็เตรียมกันมาให้พร้อม เพราะจะมาซื้อเพิ่มที่นี่น่าจะลำบากพอสมควร (หรือไม่ก็อาจจะราคาแพงกว่าปกติ
หวังว่ารีวิวนี้จะพอเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาที่พักสวยๆ เปิดใหม่ในจังหวัดภูเก็ตกันนะครับ รับรองว่าที่นี่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน และรีวิวครั้งหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก อย่าลืมกด Like กด ติดตามเพจ ThirtyWander ของเราไว้ด้วยนะครับ
K Maison Boutique Hotel : Minimal style hotel in Chiang Mai
K Maison Boutique Hotel
Minimal style Boutique Hotel ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ที่ถูกตาต้องใจเรามากตั้งแต่ได้เห็นรูปของโรงแรมใน Instagram จนอดใจไม่ได้เลยต้องมาพักดูสักครั้ง โรงแรมตั้งอยู่ในซอยวัดเกตุ ใกล้กับถนนแก้วนวรัฐ ไม่ไกลจากแม่น้ำปิงเท่าไรนัก ด้านนอกโรงแรมล้อมรอบไปด้วยรั้วสีขาว และมีต้นไม้ที่ปลูกไว้ภายในรั้วคอยเป็นแนวปิดบังสายตาจากคนภายนอก ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวดีมาก (จนเพื่อนเราที่เชียงใหม่หลายๆ คนยังไม่รู้เลยว่ามีโรงแรมอยู่ตรงนี้) ภายในโรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 19 ห้อง มีหลากหลาย Room type ให้เลือกสรรตามความชอบและงบประมาณ
ด้านหน้าทางเข้าโรงแรม มีบันไดเดินลงไปด้านล่าง
รอบบันไดรายล้อมไปด้วยต้นไม้ ให้บรรยากาศที่สดชื่น ใกล้ชิดธรรมชาติ
ลงมาด้านล่างจะเจอกับ Lobby ที่ยังคง Minimal Concept กันตั้งแต่ต้อนรับเลย
ผนังฝั่งซ้ายด้านในสุดจะเป็นประตูเลื่อนอัตโนมัติเพื่อเข้าไปยังส่วนห้องอาหารของโรงแรม
เดินถัดเข้ามาจาก Lobby จะเป็นส่วนของคาเฟ่และห้องอาหารของโรงแรม
รวมถึงสระว่ายน้ำ ซึ่งเป็นมุม Signature ของโรงแรมอีกด้วย
มองออกไปจากสระว่ายน้ำจะเจอสวนเล็กๆ มองเห็นแล้วสบายตา
สระว่ายน้ำขนาดไม่ใหญ่นัก เอาไว้ถ่ายรูปสวยๆ พอ ข้างสระว่ายน้ำมี Day bed และผ้าเช็ดตัววางบริการไว้ให้
บรรยากาศช่วงกลางคืนก็สวยไปอีกแบบ
ข้างๆ สระว่ายน้ำมีบาร์ซึ่งให้บริการทั้งชา กาแฟ และเครื่องดื่มอื่นๆ
โถงทางเดินไปยังห้องพัก
พาไปชมห้องพักของเรากันดีกว่าครับ ตัวห้องพักจะตั้งอยู่ภายในตึกประมาณ 4 ชั้น (มีลิฟท์ให้บริการ) ห้องพักของเราอยู่ที่ชั้น 3 เป็นห้องพักแบบ Classic Corner ราคาช่วงที่เราไปพัก คือ 1,766 บาท/คืน รวมอาหารเช้า (ราคานี้หักส่วนลดเราเที่ยวด้วยกันแล้ว)
ขนาดห้องประมาณ 23 ตร.ม. ตกแต่งห้องด้วยโทนสีขาว / ดำ ตัดกับสีของไม้และสีเบจของผ้าม่าน / ผ้าปูต่างๆ แม้ขนาดห้องจะไม่ได้ใหญ่มากนักแต่ก็ให้ความรู้สึกโปร่ง สบายดี จุดที่เก๋ของการออกแบบห้องนี้ก็คือต้นไม้ที่อยู่ในห้องกั้นด้วยกระจก ทำให้บรรยากาศในห้องมีความผ่อนคลายมากขึ้นจากสีเขียวของต้นไม้
ด้านในคือส่วนของห้องน้ำ ผนังเป็นสีขาวตัดกับขอบสีดำ เรียบหรูดูแพงดี
ขนาดห้องน้ำไม่ใหญ่นัก แต่แบ่งเป็นสัดส่วนแยกส่วนแห้งและส่วนเปียกออกจากกัน
บริเวณข้างเตียงมีช่องสำหรับแขวนเสื้อผ้า, Safe box, Minibar และเครื่องฟอกอากาศ
มองออกไปด้านหน้าประตูห้อง มี Smart TV ติดผนัง
สามารถดู Youtube, Netflix ได้เพลินๆ เลย สมกับที่เป็นโรงแรมใหม่
สำหรับ Breakfast ในช่วงเช้าจะเสิร์ฟเป็นเซ็ทน่ารักๆ แบบนี้ ให้คนละ 1 เซ็ท
ภายในเซ็ทเราสามารถสั่งอาหารจานหลักได้ 1 เมนู มีครัวซองต์ เนย แยม และน้ำผลไม้เสิร์ฟมาให้ด้วย
ข้อดี
- โรงแรมออกแบบทั้งภายนอกและภายในห้องพักสวยงาม จัดสรรพื้นที่การใช้งานได้ดี ถูกใจสายถ่ายรูปแน่นอน
- ห้องพักไม่เยอะ ทำให้ไม่จอแจ มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบดี เหมาะแก่การมาพักผ่อน
- ทำเลอยู่ใกล้กับแม่น้ำปิง และสะพานนวรัฐ มีร้านอาหารและคาเฟ่ดังๆ อยู่ในระยะเดินได้หลายร้าน
- ราคาห้องพักในช่วงนี้ + ใช้โปรเราเที่ยวด้วยกัน ถือว่าคุ้มมาก เพราะราคาในช่วงเวลาปกติค่อนข้างสูง
ข้อเสีย
- บริเวณห้องอาหารเป็นกึ่ง Outdoor ทำให้ไม่มีแอร์ ในวันที่อากาศชื้นหรืออบอ้าว อาจจะรู้สึกอึดอัดไปหน่อย
- สระว่ายน้ำเล็ก และอยู่ตรงห้องอาหารพอดี อาจจะเขินๆ ได้ถ้ามาว่ายน้ำแล้วเจอผู้คนเดินผ่านไปมา
- อาหารเช้ามีตัวเลือกให้น้อยไปหน่อย รสชาติกลางๆ
และนี่ก็เป็นประสบการณ์จากที่เราได้ไปพักมา ถือว่าเป็นอีกโรงแรมในเชียงใหม่ที่มีการออกแบบที่โดดเด่น และแตกต่างจากที่อื่นๆ ใครที่ชอบหาที่พักสวยๆ และไม่ได้ซีเรียสว่าต้องเป็นโรงแรมใหญ่ ที่นี่ถือว่าตอบโจทย์ได้ดีครับ ก็หวังว่ารีวิวนี้จะพอเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังจะมาเที่ยวเชียงใหม่และมองหาที่พักกันอยู่ ลองมาพักที่โรงแรมนี้ดูนะครับ
RAYA HERITAGE : โรงแรมสไตล์ล้านนาริมแม่น้ำปิง ที่มีดีมากกว่าดีไซน์
"เงียบสงบ สวยงาม บริการประทับใจ"
ที่กล่าวมา คือ ความรู้สึกหลังของเราหลังจากได้มาพักที่ "RAYA HERITAGE" โรงแรมสไตล์ล้านนาที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง ในเขตตำบลดอนแก้ว ซึ่งอยู่ระหว่างอำเภอเมืองเชียงใหม่กับอำเภอแม่ริม นอกจากการออกแบบของโรงแรมที่สวยงามและสะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นได้เป็นอย่างดีแล้ว การบริการที่ดีเยี่ยมและการเลือกใช้งานหัตถกรรมพื้นบ้านมาเป็นของตกแต่ง ภายในโรงแรม ก็เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจและอยากแนะนำที่นี่ให้ทุกคนได้มาลองพักดูสักครั้ง ส่วนรายละเอียดและความดีงามของ "RAYA HERITAGE" จะเป็นอย่างไรบ้าง ตามมาอ่านกันต่อได้เลยครับ
บริเวณทางเข้า Lobby
RAYA HERITAGE เป็นโรงแรมในเครือบริษัทพรีเมียร์ รีสอร์ทส์ แอนด์ โฮเทลส์ จำกัด เจ้าของเดียวกับ รายาวดี โรงแรมหรูชื่อดังบนหาดไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ และ แทมมาริน วิลเลจ โรงแรมบูทีคแห่งแรกในเมืองเชียงใหม่ เมื่อดูจากผลงานที่ผ่านมาจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในทุกรายละเอียดของ RAYA HERITAGE ถึงได้ดีงามขนาดนี้
ขับรถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 20 นาที เราก็มาถึงโรงแรม RAYA HERITAGE บรรยากาศตั้งแต่บริเวณทางเข้าของโรงแรมรายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ ให้ความรู้สึกร่มรื่นและเงียบสงบ เหมาะแก่การมาพักผ่อนอย่างมาก
เดินเข้ามาบริเวณ Lobby จะพบกับต้นไม้ใหญ่ทั้งยืนต้นสูงตระหง่านคอยต้อนรับแขกที่มาเข้าพัก
ด้านหลังของต้นไม้เป็นสนามหญ้าที่ทอดลงไปสู่บริเวณแม่น้ำปิงด้านหลัง
โซฟาบริเวณ Lobby เป็นมุมที่ใครมาถึงก็ต้องถ่ายรูปกันทุกคน
ด้านหลังที่นั่งฝั่งนี้จะเป็นห้องอาหารคุข้าว ซึ่งเป็นห้องอาหารหลักของที่นี่ และมีลิฟท์สำหรับขึ้นไปยังห้องพักชั้น 2
บรรยากาศบริเวณ Lobby
ระหว่างรอ Check-in พนักงานจะนำ Welcome drink พร้อมผ้าเย็นมาต้อนรับ
จัดการเรื่อง Check-in เรียบร้อยแล้ว ได้เวลาไปชมห้องพักของเรากันบ้างครับ สำหรับห้องพักของที่นี่ตั้งอยู่บนอาคาร 3 ชั้น มีห้องพักทั้งหมด 33 ห้อง โดยห้องพักทุกห้องจะมองเห็นวิวของแม่น้ำปิงได้ แบ่งออกเป็น 3 Room type ได้แก่
1. Rin Terrace Suite เป็นห้องเริ่มต้นของที่นี่ อยู่ชั้น 2
2. Huen Bon Suite เป็นห้องที่เราเลือกพัก อยู่บนชั้น 3
3. Kraam Pool Suite เป็นห้อง Pool Villa ตั้งอยู่บริเวณชั้นล่าง เป็นห้องที่มีพื้นที่มากสุดและราคาแพงที่สุด
แต่ละห้องจะมีการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ และผ้าที่มีสีสันแตกต่างกันไป ในรีวิวนี้เราจะรีวิวเฉพาะห้อง Huen Bon Suite ซึ่งเป็น Room type ที่เราพักเท่านั้น (เพราะมีเงินมาพักแค่ห้องเดียวจ้า 555 ใครสนใจห้องแบบอื่นลองไปหารีวิวดูนะ)
ทางเดินระหว่างไปห้องพัก
พนักงานพาเราขึ้นลิฟท์มาที่ชั้น 2 เพื่อเดินไปยังห้อง 309 ซึ่งเป็นห้องพักของเราในคืนนี้ สาเหตุที่ต้องขึ้นมาที่ชั้น 2 ก่อนเพราะว่าห้องพักชั้น 3 แต่ละห้อง จะมีบันไดแยกขึ้นไป และไม่ได้เชื่อมต่อกันยาวเหมือนบริเวณห้องพักชั้น 2 ทำให้มีความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
Postcard ต้อนรับจาก GM ของโรงแรม
เปิดประตูห้องพักเข้ามาจะเจอกับระเบียงห้อง
ซึ่งจัด Day bed ไว้ให้นอนชมวิวแม่น้ำปิง พร้อม Welcome Fruit ที่ตั้งไว้ต้อนรับ
ด้านขวามือจะเป็นเคาน์เตอร์ ด้านล่างมีตู้เย็นและอุปกรณ์สำหรับชงชา / Drip Coffee และ Minibar
(มีชา กาแฟ และน้ำดื่มฟรี 2 ขวด)
ที่เราชอบมาก คือ ทางโรงแรมจะจัดชาสมุนไพรไว้ให้ในกล่องไม้ พร้อมใบแนะนำสรรพคุณของชาแต่ละแบบให้เราได้เลือกชงเลือกชิมได้ตามใจชอบ ส่วนใครชอบดื่มกาแฟก็มีอุปกรณ์สำหรับ Drip Coffee ไว้ให้ด้วย เอามาเป็นพร็อบถ่ายรูปเก๋ๆ ก็ได้นะ
นอนชมวิวแม่น้ำปิงจากระเบียงห้องได้เลย
บรรยากาศภายในห้องพักแบบ Huen Bon Suite
เข้ามาชมด้านในห้องพักของเรากันบ้าง เหตุผลที่เราเลือกห้องพัก Type นี้ เพราะว่าเป็นห้องที่อยู่ชั้นบนสุดของโรงแรม ทำให้ได้เพดานสูงส่งผลให้ห้องดูกว้างและโปร่งมากขึ้นเมื่อเทียบกับห้องที่อยู่ชั้นสอง รวมถึงได้ Take view แม่น้ำปิงจากริมระเบียงได้ชัดเจนกว่า และสีที่ใช้ในการตกแต่งห้องนี้คุมโทนด้วยสีขาว ครีม น้ำตาล ซึ่งเป็นโทนสีที่เราชอบมากกว่าสีน้ำเงินครามที่ใช้ในห้อง Pool Villa ชั้นล่าง ส่วนห้อง Pool Villa แม้ว่าจะมีขนาดห้องใหญ่สุด แต่เพื่อความ Private ของแขกที่เข้าพักจึงมีรั้วล้อมรอบบริเวณห้องพักทั้งหมด ทำให้ไม่เห็นวิวอะไร เราเลยตัดสินใจจองห้องนี้
ด้านหลังเตียงนอนจะเป็นส่วนของห้องน้ำและ Walk-in Closet เตียงและหมอนนุ่มระดับ 10 ดูดวิญญาณสุด
จุดที่เราชอบมาก คือ บริเวณหัวเตียงทั้ง 2 ฝั่งมีแผงสวิตช์ไฟ ซึ่งจะมีคู่มือแนะนำว่าแต่ละอันเป็นไฟจุดไหนบ้าง
ส่วนแรกจะเป็นบริเวณอ่างล้างหน้า และ อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ เป็น Open Space
แต่ถ้ามากับเพื่อนก็สามารถปิดบานเลื่อนระหว่างห้องนอนกับห้องน้ำได้
ถัดมาด้านในจะเป็นห้อง Shower และห้องสุขาแยกกัน มีสายชำระให้ด้วย
Amenities ที่ทางโรงแรมให้มีความออแกนิค และมีกลิ่นหอม ที่เราชอบมากๆ คือแชมพูและ Body Lotion
Walk-in Closet ทางโรงแรมมีกระเป๋าผ้าและหมวกสานให้ใช้ระหว่างเข้าพักด้วย
มุมห้องมีชุดเก้าอี้ไม้และโต๊ะเล็กๆ สำหรับไว้นั่งพักผ่อน
ช่วงเย็นพนักงานจะเข้ามา Turn down พร้อมขนมหวานมาให้คนละชิ้น
ลักษณะคล้ายกับขนมกล้วยแต่ทำจากมันม่วง
เก็บของไว้ที่ห้องเรียบร้อยแล้ว ก็ได้เวลาเดินชมบริเวณรอบๆ โรงแรมกันครับ จุดแรกที่เราจะพาไป คือ สระว่ายน้ำ ซึ่งอยู่บริเวณริมแม่น้ำปิง จะมีบันไดที่สามารถเดินลงมาจากห้องพักได้เลย การตกแต่งรอบๆ ทางเดินใช้วัสดุจากธรรมชาติ และมีความกลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมรอบๆ เห็นใบไม้เขียวๆ ในวันฝนพรำแบบนี้สดชื่นดีครับ
สระว่ายนี้ที่นี่เป็นสระน้ำเกลือ ตกแต่งอย่างเรียบง่าย น้ำลึกประมาณ 1.2 เมตร
เดินจากสระว่ายน้ำย้อนมาทาง Lobby จะเจอกับห้องอาหารคุข้าว ซึ่งเราจะมาทานอาหารเช้ากันที่นี่ครับ
บรรยากาศภายในห้องอาหารคุข้าว
เราชอบการเลือกใช้วัสดุและงานหัตถกรรมของท้องถิ่นมาใช้เป็นหัวใจหลักของการตกแต่ง
Breakfast สำหรับแขกที่เข้าพักจะมีให้สั่งเป็น A la carte แต่สามารถสั่งเพิ่มได้เรื่อยๆ โดยอาหารจานหลักจะมีให้สั่งทั้งอาหารไทยและ American Breakfast อย่างเมนูที่เราสั่งมา คือ ข้าวมันไก่, Mango & Coconut Yoghurt Bowel และเซ็ตข้าวต้มกุ๊ยพร้อมกับข้าว 4 อย่าง ส่วนเครื่องดื่มก็มีชาหลากหลายชนิด และกาแฟทั้งร้อนและเย็น
เมนูของหวานที่แนะนำให้สั่งมาลองชิมคือ Signature Pancake ครับ หน้าตาดีแถมยังอร่อยด้วย
นอกจากห้องอาหารคุข้าวแล้ว ในช่วงเย็นสามารถมารับประทานอาหารเย็นได้ที่บาร์ "บ้านท่า" บาร์สีดำดีไซน์เท่ แต่ยังคงความเป็นล้านนา อยู่บริเวณชั้น 1 ใกล้กับ Lobby ของโรงแรม ช่วงที่เราไปมีโปรโมชั่นเครื่องดื่ม 1 แถม 1 และสามารถใช้ส่วนลดจาก E-Voucher ของโครงการเราเท่ียวด้วยกันได้อีก คุ้มสุดๆ
ซ้าย : Baan Ta Ginto ขวา : Baan Ta เมนู Signature Cocktail ชื่อเดียวกับบาร์
ใช้โปร 1 แถม 1 ได้ลองชิมทั้งสองแก้วไปเลย คุ้มมาก
ต่อไปเราจะพาไปชมห้องอาหารอีกห้องหนึ่งที่บริเวณชั้น 2 ของโรงแรมกันครับ
บริเวณนี้ คือ "ลานชา tea room" ห้องอาหารที่อยู่บนชั้นสองของโรงแรม เสิร์ฟ Afternoon tea สำหรับแขกที่เข้าพักและแขกภายนอกที่อยากเข้ามาจิบชา ชมวิวแม่น้ำปิง ก็สามารถมาใช้บริการได้เช่นกัน โดยจะเริ่มเสิร์ฟตั้งแต่ 11.00 น.ถึง 16.00 น. และที่สำคัญในช่วงนี้ทางโรงแรมมีโปรโมชั่น Afternoon tea set สำหรับ 2 คน ราคา 690 บาท net และยังสามารถใช้ E-Voucher จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันมาเป็นส่วนลดได้อีก 40% ถึงไม่ได้มาเข้าพักที่โรงแรม ก็สามารถแวะมาจิบชา ถ่ายรูปสวยๆ กันได้
เมนูขนมและของทานเล่นสำหรับ Afternoon tea set สามารถสั่งเครื่องดื่มได้คนละ 1 แก้ว และขนม 6 เมนู (ได้เมนูละ 2 ชิ้น)
หน้าตา Afternoo tea set ของเรา เสิร์ฟมาแบบไทยๆ
ดื่มชา กาแฟ พร้อมชมวิวไปด้วย บรรยากาศดีสุดๆ
ติดกับลานชา คือ "ไอว่านสปา" สปาของโรงแรมซึ่งมีคอร์สสำหรับสปาหลายแบบให้เลือก
แต่เนื่องจากเรากลับมาโรงแรมตอนที่สปาปิดไปแล้ว เลยไม่ได้พาเข้าไปชม
เดินต่อมาใกล้กับลิฟท์ที่ชั้น 2 เป็น Fitness ของทางโรงแรม พื้นที่ไม่ใหญ่นักแต่อุปกรณ์ครบครัน
สามารถมองลงไปเห็นวิวบริเวณลานจอดรถและร้านขายของที่ระลึกด้านล่าง
ปิดท้ายกันที่ร้านขายของที่ระลึก "ฮิมกอง" ซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้าของโรงแรม ใกล้กับลานจอดรถ ที่นี่มีของที่ระลึกต่างๆ ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านและเป็นงานหัตถกรรมท้องถิ่นให้คนที่สนใจอยากหาซื้อสินค้าที่เป็นงาน Craft ดีๆ กลับไปใช้หรือฝากคนที่คุณรักได้ ตัวร้านจัด Display ได้สวยมาก และยังคุมโทนได้เข้ากับโรงแรมอีกด้วย
สำหรับใครที่สนใจอยากมาเข้าพักที่ RAYA HERITAGE ในช่วงนี้ต้องบอกว่าราคาดีมากๆ เพราะนอกจากโรงแรมจะลดราคาลงมาถูกกว่าปกติแล้ว ภายใน 31 ต.ค. นี้เรายังสามารถใช้ส่วนลดของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อลดราคา on top ไปได้อีก
ราคาห้องพัก รวมอาหารเช้า 2 ท่าน (เข้าพักก่อน 31 ต.ค.63 ยังไม่รวมส่วนลดเราเที่ยวด้วยกัน)
Rin Terrace Suite ราคา 5,500 บาท
Huen Bon Suite ราคา 6,400 บาท
Kraam Pool Suite ราคา 6,400 บาท
อย่างที่เราเลือกเข้าพักห้อง Huen Bon Suite และใช้สิทธิเราเที่ยวด้วยกัน (ต้องโทรไปจองกับโรงแรมโดยตรง) หักส่วนลดแล้วเหลือราคา 3,840 บาท/คืน แถมยังได้ E-Voucher ไว้ใช้จ่ายภายในโรงแรมได้อีก 600 บาท คุ้มมากจนไม่รู้ว่าจะได้พักราคานี้อีกไหม ใครสนใจอยากไปลองพักที่นี่แนะนำให้ไปช่วงนี้กันนะครับ เพราะราคาดีมากจริงๆ
และจากประสบการณ์ที่ได้ไปเข้าพักมา 2 วัน 1 คืน และได้ใช้บริการในส่วนต่างๆ ของโรงแรม จึงอยากจะมาสรุปข้อดี-ข้อเสีย ดังต่อไปนี้ครับ
ข้อดี
- โรงแรมดีไซน์สวยถูกใจเรามากๆ ทั้งบริเวณส่วนกลางของโรงแรมตั้งแต่ Lobby ห้องอาหารต่างๆ รวมถึงในห้องพักของเราก็มีมุมสวยๆ เยอะแยะเต็มไปหมด ใครชอบถ่ายรูปรับรองว่าหามุมถ่ายรูปกันได้เพลินๆ ทั้งวัน
- บริการดีมากกกกกกกกกกกกก แม้จะไม่ได้บริหารด้วย Chain โรงแรมต่างชาติใหญ่โต แต่จากประสบการณ์ที่เคยไปพักโรงแรม 5 ดาวที่บริหารโดยบริษัทของไทย ก็ยังไม่เคยเจอที่ไหนที่เทรนพนักงานได้ดีมากขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นพนักงานระดับใดก็ตาม แค่คุณเดินผ่าน พนักงานก็จะยกมือไหว้ ยิ้มแย้มทักทายให้เสมอ พนักงานที่ Front สามารถจำชื่อ และห้องพักของเราได้ ซึ่งก็ต้องบอกว่าเหนือความคาดหมายมากที่ได้รับบริการที่ดีขนาดนี้
- ของใช้ภายในห้อง และ Minibar ต่างๆ ที่โรงแรมจัดมาให้ (ส่วนที่ใช้ฟรี) เป็นของคุณภาพดี สมราคามากๆ
- บรรยากาศของโรงแรมเหมาะแก่การมาพักผ่อน แม้ช่วงที่เรามาพักจะเป็นวันหยุด มีแขกเข้าพักเยอะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าบรรยากาศจะวุ่นวายจอแจ ยิ่งในห้องพักยิ่งเงียบสงบสุด เหมาะแก่การมาพักกายพักใจ
ข้อเสีย
- การเดินทางสำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัวค่อนข้างลำบาก บริเวณรอบๆ โรงแรมไม่ได้มีร้านค้าหรือร้านอาหารที่อยู่ในระยะเดินไปได้ และอยู่ไกลจากตัวเมืองพอสมควร แต่ก็ทดแทนด้วยห้องอาหารและบาร์ภายในโรงแรม คือ ถ้าไม่ได้มีรถมา การมาพักที่นี่ก็คือการมาพักผ่อนภายในโรงแรมอย่างเต็มที่จริงๆ
- ราคาปกติที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับโรงแรม 5 ดาวที่อื่นๆ ในเชียงใหม่ แต่สำหรับเราแล้วการบริการและการคัดสรรสิ่งต่างๆ ที่ให้กับแขกก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาจริงๆ
และนี่ก็คือประสบการณ์ประทับใจที่เราได้มาพักที่ RAYA HERITAGE ก็หวังว่าข้อมูลที่เรานำมาแชร์จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ที่สนใจอยากจะมาลองพักที่โรงแรมนี้บ้าง ขอบคุณที่เข้ามาติดตามอ่านกันนะครับ แล้วคราวหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหน อย่าลืมกด Like กดติดตามเพจ ThirtyWander กันไว้ด้วยนะครับ
InterContinental Koh Samui Resort : Best place to stay in Koh Samui
"เกาะสมุย" เกาะที่ได้รับขนานนามว่า "สวรรค์กลางอ่าวไทย" และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของชาวต่างชาติ ซึ่งโดดเด่นในเรื่องความสวยงามของท้องทะเล และความเป็นธรรมชาติบนเกาะ ที่สำคัญก็คือ มีโรงแรมสวยๆ บนเกาะสมุยมากมาย ให้นักท่องเที่ยวได้เลือกมาพักผ่อน
ก่อนจะมาเที่ยวสมุย เราได้หาข้อมูลเกี่ยวกับโรงแรมและรีสอร์ทหลายๆ ที่ เพื่อหาที่ที่น่าจะตอบโจทย์สำหรับการไปพักผ่อนที่เกาะสมุยของเรามากที่สุด และ InterContinental Koh Samui Resort ก็เป็นหนึ่งในโรงแรมที่เราเลือกมาพักในทริปนี้ เพราะจุดเด่นของที่นี่ คือ วิวทะเลสุดอลังการจน New York Times ยกให้เป็น "One of 1,000 Places to Visit in Your Lifetime" และที่สร้างความประทับใจเกินความคาดหมายของเรามากๆ คือ การบริการจากพนักงานตลอดการเข้าพัก 2 วัน 1 คืนของเราที่นี่ จนเราอยากจะนำประสบการณ์และบรรยากาศของ InterContinental Koh Samui Resort มาแชร์ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน และด้วยสถานการณ์ในช่วงนี้ทำให้ราคาโรงแรมถูกลงมาก เรียกได้ว่าคุ้มสุดๆ แล้วที่จะมาลองสัมผัสบรรยากาศที่นี่ดูสักครั้ง รับรองเลยว่าจะได้รับความประทับใจกลับไปอย่างที่เราได้รับมาแน่นอน
ใครสนใจจะมาพักที่นี่ ลองเข้าไปดูรายละเอียดได้จาก Facebook : InterContinental Koh Samui Resort
ส่วนรายละเอียดของ InterContinental Koh Samui Resort จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น ตามเข้ามาอ่านกันได้เลยครับ
บรรยากาศบริเวณ Lobby
InterContinental Koh Samui Resort ตั้งอยู่บริเวณหาดตลิ่งงาม ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเกาะสมุย หากเดินทางมาด้วยเรือ Ferry จากท่าเรือดอนสัก จ.สุราษฎร์ธานี แนะนำให้เดินทางด้วยเรือของบริษัท ราชาเฟอร์รี่ เพราะท่าเรือตั้งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม (ประมาณ 3 ก.ม. จากท่าเรือ) แต่หากเดินทางมาด้วยเครื่องบินลงที่สนามบินสมุย จะใช้เวลาเดินทางประมาณ 50 นาที เพราะโรงแรมตั้งอยู่คนละฝั่งกับสนามบิน บริเวณใกล้โรงแรมไม่มีร้านสะดวกซื้อ หากใครกังวลเรื่องราคาอาหาร/เครื่องดื่มภายในโรงแรม แนะนำให้เตรียมมาให้พร้อมก่อนจะข้ามเรือมาที่เกาะสมุยครับ
เนื่องจาก Lobby และห้องพักส่วนใหญ่ของโรงแรมจะตั้งอยู่บนเนินเขา เมื่อขับรถมาถึงบริเวณทางเข้าโรงแรมจะมีจุดจอดรถให้ แล้วจะมีรถบัคกี้รับส่งภายในโรงแรมมารับเราไปที่ Lobby เพื่อ check-in พอเข้ามาภายใน Lobby ก็จะเจอวิวทะเลสุดอลังการรอต้อนรับพวกเราอยู่
Welcome drink ของโรงแรมเป็นน้ำมะพร้าวผสมตะไคร้ รสชาติหวานหอม ดื่มแล้วสดชื่นมาก
ห้องพักที่เราจองมา คือห้อง Club King Ocean View Room ซึ่งเป็น Room type แรกที่สามารถใช้ Club Benefits ได้ ราคาห้องพักในช่วงนี้ (เดือนสิงหาคม 2020) คือ 8,800 บาท/คืน และเรายังสามารถใช้ส่วนลดอีก 40% จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันของรัฐบาล (ลดสูงสุด 3,000 บาท/ห้อง/คืน) ทำให้เราคาห้องพักที่เราจองมานั้น เหลือเพียง 5,800 บาท/คืน เท่านั้น
ส่วนใครที่งบน้อยแต่อยากมาพักที่นี่ ห้องเริ่มต้นของโรงแรม คือ Resort Classic Room ราคาหักส่วนลดแล้ว เหลือเพียง 2,520 บาท/คืน เท่านั้น แต่ถ้างบถึงเราแนะนำให้จองห้อง Club ไปเลย เพราะ Club Benefits ที่เราได้คุ้มค่ามากๆ เริ่มกันที่การเข้าใช้ Club Lounge ซึ่งอยู่ตรง Lobby นี่แหละ ที่เราสามารถสั่งเครื่องดื่มชา กาแฟ และ Soft drink ต่างๆ มาดื่มได้ไม่อั้น และมีวิวทะเลแบบ Panorama ให้ได้นั่งชมกันทั้งวันด้วย
วิวจาก Lobby มองเห็นชายหาด และห้องพักแบบวิลล่าบริเวณด้านล่างของโรงแรม
ก่อนจะพาไปชมบริเวณรอบๆ และ Facility ต่างๆ ของโรงแรม เรามาชมห้องพักที่เราจองมากันก่อนดีกว่าครับ ห้องพักที่เราจองมา คือ ห้อง Club King Ocean View Room โดยห้องพัก Room type นี้จะอยู่ชั้นบนสุดของอาคารที่อยู่ติดกับ Lobby ของโรงแรม ทำให้ไม่ต้องเดินไกล ห้องที่เราได้คือห้อง 106 ซึ่งข้อดีของห้อง Room type นี้ คือ วิวทะเลแบบเต็มๆ ไม่มีอะไรกั้น เพดานห้องสูงทำให้บรรยากาศภายในห้องดูโปร่ง และสามารถมองเห็นวิวทะเลได้จากที่นอนเลย
บริเวณปลายเตียงมีโซฟาให้นั่งชมวิวทะเล ด้านหลังเป็นห้องน้ำ แยกห้องสุขาและโซนอาบน้ำเป็นสัดส่วนดี ภายในห้องตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้สีดำ ตัดกับผนังและบานหน้าต่างสีขาวดูคลาสสิคดี
มี Postcard ต้อนรับ รายละเอียดการใช้สิทธิ Club benefits และ Welcome Fruits กับ Macaron มาต้อนรับ Soft drinks ที่อยู่ในตู้เย็นนอกจากน้ำเปล่าแล้ว สามารถดื่มได้ฟรี ยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขนม
Amenities ภายในห้อง Club ใช้แบรนด์ HARNN ซึ่งเป็นแบรนด์หลักของสปาที่นี่ด้วย
ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำและ Bubble bath ให้ได้นอนแช่น้ำฟินๆ
ด้านนอกระเบียงมี Sofa bed และโต๊ะให้นั่งจิบกาแฟ พร้อมชมวิวพระอาทิตย์ตกริมทะเลกันได้สบายๆ
เอาสัมภาระไปเก็บในห้องพักเรียบร้อยแล้ว ได้เวลามาใช้สิทธิ์ที่ Club Lounge กันครับ โดยเริ่มตั้งแต่ 14.00 - 16.00 น. เราจะมานั่งจิบชายามบ่าย โดยจะได้รับ Afternoon tea 1 เซ็ท และเครื่องดื่มที่สามารถสั่งเพิ่มเติมได้ตลอดจนถึงช่วงเย็น
เมนูขนมในเซ็ท Afternoon tea ก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แล้วแต่วัน ส่วนเครื่องดื่มมีทั้งชา กาแฟ น้ำผลไม้ ให้ได้เลือกสั่ง เราได้สั่งชาร้อนมา 1 กา และกาแฟเย็นมา 1 แก้ว ทานคู่กับเซ็ท Afternoon tea ทานหมดเซ็ทนี้ก็อิ่มจนถึงมื้อเย็นกันเลยแหละ
จิบชาไป ชมวิว รับลมทะเลไปด้วย มันดีอย่างนี้นี่เอง
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจโรงแรมกันครับ โดยบริเวณติดกับ Lobby จะเป็นสระว่ายน้ำ สระนี้เป็น 1 ใน 6 สระ และเป็นมุม Signature ของโรงแรมก็ว่าได้ เพราะเป็น infinity pool ที่มองเห็นวิวทะเลและวิวสวนมะพร้าวที่อยู่ด้านล่างด้วย โดยจุดนี้แนะนำให้มาถ่ายรูปในช่วงเช้า เพราะพระอาทิตย์จะขึ้นมาด้านหลังภูเขา สวยงามสุดๆ ครับ
Instagramable spot ใครมาแล้วไม่ได้ถ่ายรูปมุมนี้ถือว่ามาไม่ถึงนะ
วิวท้องทะเลและสวนมะพร้าวในยามเช้า
พระอาทิตย์โผล่พ้นทิวเขาขึ้นมา เป็นภาพที่สวยงามมากๆ
ก่อนจะพาไปชมไฮไลท์ช่วงพระอาทิตย์ตก เราจะพาไปทัวร์รอบๆ โรงแรมกันก่อนครับ
ด้วยเนื้อที่ที่กว้างมากของโรงแรม และการตั้งของวิลล่าและห้องพักต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ตามเนินเขา ไล่ลงมาจนถึงบริเวณริมหาด ทำให้เราไม่สามารถเดินชมด้วยตัวเองได้ทั้งหมด วิธีการเดินชมโรงแรมของเราจึงต้องเรียกรถบัคกี้ให้พาไปที่จุดสูงสุดของโรงแรมก่อน นั่นก็คือบริเวณ Spa ซึ่งการจะมาใช้บริการ Spa ของที่นี่แนะนำให้โทรจองล่วงหน้าตั้งแต่ก่อนมาเข้าพัก เพราะเต็มเร็วมาก โดยเฉพาะวันหยุด
บริเวณทางเข้า BAAN THAI SPA by HARNN
บริเวณด้านในของ Spa อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างดี
(ไม่ได้เข้าไปถ่ายรูปด้านในให้ชม เพราะวันนั้นมีแขกเข้าใช้บริการเต็มทุกห้อง)
บรรยากาศทางเดินระหว่างเดินลงจาก Spa
เดินลงมาจาก Spa จะเจอสระว่ายน้ำ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าในโรงแรมมีสระว่ายน้ำทั้งหมด 6 สระด้วยกัน โดยสระแรกอยู่ที่บริเวณ Lobby ส่วนอีก 5 สระที่เหลือจะอยู่กระจัดกระจายไปในบริเวณต่างๆ ของโรงแรม เพื่ออำนวยความสะดวกให้แขกที่เข้าพัก จะได้ไม่ต้องเดินมาที่สระบริเวณ Lobby และจะได้ไม่แอดอัดกันจนเกินไป โดยสระแรกที่เราแวะมาคือ Tawan Pool หรือ Yellow Pool
เดินตามทางมาอีกหน่อย จะเจอสระที่สอง คือ Chantra Pool หรือ Orange Pool
สระที่ 3 คือ Dara Pool หรือ Blue Pool เป็นสระที่เราชอบรองจากสระที่ Lobby เลย
เพราะว่าอยู่ในมุมที่ค่อนข้าง Private และได้เห็นวิวทะเลจากมุมสูงด้วย
วิวทะเลจาก Blue Pool
สระที่ 4 Sonthaya Pool หรือ Red Pool
จากโซนที่พักบนเนินเขาหากมีแรงมากพอ สามารถเดินลงบันไดไปที่ชายหาดด้านล่างได้
ระหว่างทางเดิน ก็แวะถ่ายรูปวิวทะเลสวยๆ ได้
มองลงไปจะเจอส่วนของที่พักที่ติดกับชายหาด และสระว่ายน้ำอีกสระที่เราจะลงไปชมกัน
สระว่ายน้ำสระสุดท้าย คือ Beach Pool อยู่ติดกับชายหาด สระนี้จะมีสระสำหรับเด็ก
มองออกไปจาก Pool bed จะเห็นสระว่ายน้ำ Blend ไปกับหาดทรายและท้องทะเล
มองย้อนขึ้นไปจาก Beach Pool ก็จะเห็นห้องพักที่อยู่บนเนินเขาและ Lobby ด้านบน
ด้านขวาของสระว่ายน้ำ เป็นร้านอาหาร "Flames" ร้านนี้จะเป็นอาหาร International นะครับ ถ้าจะสั่งอาหารไทยแนะนำร้านอาหาร "Amber" ซึ่งอยู่ใกล้กับ Lobby ไว้จะพาไปชมในภายหลังครับ
เดินถัดจาก Beach Pool ไปจะเจอกับ Private Pier เป็นสะพานไม้ทอดยาวออกไปในทะเล น่าเสียดายช่วงที่เราไปกำลังปิดปรับปรุงอยู่ เลยไม่ได้ขึ้นไปเก็บภาพมาให้ชมกัน
ตรงข้ามกับ Private Pier จะเป็น Fitness Center ครับ มีเครื่องเล่นครบครัน ที่เด็ดกว่านั้นคือวิวจาก Fitness ครับ
ออกกำลังกายไป ชมวิวทะเลไปด้วย
นอกจากกิจกรรมใน Fitness แล้ว ยังสามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อทำกิจกรรมอื่นๆ ได้ด้วย เช่น Paddle Board หรือพายเรือคายัค โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำการใช้งานให้ด้วย และที่สำคัญ ฟรีทุกกิจกรรมครับ
ชมบริเวณรอบๆ โรงแรมเสร็จแล้ว เราจะพากลับไปชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน
ซึ่งถือเป็นไฮไลท์ของที่นี่กันครับ โดยระหว่างทางกลับจะเดินผ่านสะพานแขวนนี้ อย่าลืมแวะถ่ายรูปด้วยนะ
"Air bar" ขอยกให้ที่นี่เป็นบาร์ที่วิวพระอาทิตย์ตกดีงามที่สุด นอกจากแขกที่เข้าพักจะมานั่งดื่มที่นี่ได้ แขกภายนอกก็สามารถเข้ามาใช้บริการได้เช่นกัน ดังนั้น ควรโทรจองที่นั่งก่อนมาพักนะ ไม่งั้นจะพลาดได้ที่นั่งดีๆ แบบเรา
บรรยากาศดีแค่ไหนให้ภาพบรรยายแล้วกัน
เนื่องจากที่นั่งตรง Air bar โดนจองเต็มหมดแล้ว เราเลยมานั่งทานมื้อเย็นที่ห้องอาหาร Amber ซึ่งอยู่ติดกัน ห้องอาหารนี้จะเสิร์ฟอาหารไทย และเป็นห้องอาหารที่เราจะมาทานมื้อเช้าที่นี่ด้วย
มื้อเย็นของเรา ระหว่างรอไปดื่ม Digestif Cocktails ที่ Air bar
20.30 - 22.30 เป็นเวลาที่เราสามารถใช้ Club benefits ที่ Air bar เพื่อสั่ง Digestif cocktails
และเซ็ทขนม + canapes มาทานแกล้มได้ฟรี สั่งกี่แก้วก็ได้ ดื่มกันให้คุ้มไปเลย
Signature Cocktails
ช่วงเช้า เราจะลงมาทานมื้อเช้าแบบ Buffet กันที่ห้องอาหาร Amber นะครับ โดยจะมีพนักงานมารอรับ Order อาหารและเครื่องดื่มพวกชา - กาแฟ และมีไลน์ Buffet ให้เราเดินเข้าไปสั่ง (ไม่ต้องตักเองนะ) ซึ่งถือว่าทางโรงแรมจัดการรักษาความสะอาดได้เป็นอย่างดี และทุกคนที่มาต้องใส่ Mask ก่อนเข้ามาด้านในด้วยนะ
ไลน์ Buffet มีพนักงานคอยรับ Order และตักให้เรา สะดวกสบายมาก
วันที่เราไปพักมื้อเช้ามีก๋วยเตี๋ยวด้วยนะ อยากใส่อะไรจัดเต็มแค่ไหน แจ้งพนักงานได้เลย
มื้อเช้าของเรา
จากประสบการณ์ที่เราได้ไปเข้าพักมา จะขอสรุปข้อดี - ข้อเสียของโรงแรม ดังนี้
ข้อดี
- วิวสวยมาก แค่เห็นวิวก็คุ้มค่าคุ้มราคาแล้ว
- การบริการและมารยาทของพนักงานทุกคนดีมาก มีความใส่ใจแขกที่เข้าพักดี ยิ้มแย้มแจ่มใสทุกคน
- ราคาตอนนี้คือคุ้มมากๆ รีบมากันเถอะก่อนที่ราคาจะกลับไปเป็นปกติ
- Club Benefits คือสิ่งที่คุ้มมาก หากยังไม่จองแนะนำให้จองห้อง Club แล้วใช้เวลาอยู่ในโรงแรมให้เต็มที่
- การตกแต่งโดยรวมสวยงาม คลาสสิค ดูดีมีชาติตระกูล
- มีความเป็นส่วนตัวสูง เหมาะแก่การมาพักผ่อน
ข้อเสีย
- การเดินทางภายในโรงแรมต้องเดินขึ้นลงเยอะ ผู้สูงอายุอาจเหนื่อยหน่อย แต่ยังดีที่มีรถบัคกี้ให้เรียกได้ตลอด
- บริเวณรอบๆ และใกล้เคียงโรงแรมมีความเป็นชนบท ไม่มีร้านสะดวกซื้อหรือร้านอาหารในละแวกนั้น ต้องขับรถออกมาพอสมควร
- อาหารในโรงแรมราคาค่อนข้างสูง
และนี่ก็คือภาพรวมทั้งหมดของ InterContinental Koh Samui Resort ซึ่งเรายกให้เป็น 1 ใน Top 10 โรงแรมที่เราชอบมากๆ อีกโรงแรมหนึ่ง หากมีโอกาส แนะนำว่าต้องลองไปพักสักครั้งนะครับ แล้วจะรู้ว่าการได้รับบริการที่ดีระดับ 5 ดาวนั้น เป็นอย่างไร แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและติดตามกันเสมอมาครับ
Srinaman - พักกาย พักใจ กับที่พักกลางทุ่งนาที่เมืองน่าน
ถ้าจะให้แนะนำจังหวัดที่น่าเที่ยวในช่วงฤดูฝนแบบนี้ "น่าน" เป็น 1 ในตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่เราอยากแนะนำให้มา เพื่อจะได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์บนยอดดอย วิถีชีวิตที่สงบ เนิบช้า ผู้คนใจดี และที่สำคัญช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุ่งนาเขียวขจี เหมาะแก่การมาถ่ายรูปมากที่สุด
ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้มาเที่ยวจังหวัดน่าน ก่อนไปเราจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับที่พักที่น่าสนใจในจังหวัด และเราก็มาสะดุดตากับ "ศรีนาม่าน" ที่พักที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนาในอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ที่ใครมาพักก็ต้องได้รูปสวยๆ กลับไปอวดเพื่อนอย่างแน่นอน
แต่ที่นี่ไม่ได้สวยแค่รูป เพราะสิ่งที่เราสัมผัสได้ตั้งแต่มาถึงและตลอดการเข้าพัก คือ ความใส่ใจของเจ้าของและพนักงาน การบริการที่เรียกว่า "เกินคาด" และชอบที่เขา "คิด" มาแล้วในทุกๆ รายละเอียดว่าทำอย่างไรให้แขกที่มาพักกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกประทับใจและทำให้อยากกลับมาพักที่นี่อีก เราจึงอยากมาแนะนำ "ศรีนาม่าน" ให้ได้รู้จัก และหาโอกาสไปสัมผัสความน่ารักของที่นี่สักครั้ง
ถ้าอยากรู้ว่าที่นี่มีดียังไงบ้าง...ตามไปอ่านกันได้เลยครับ
ความประทับใจแรกตั้งแต่มาถึ
มีพนักงานไปรอต้อนรับตั้งแต่ที่รถ เดินมาที่ Lobby ก็มี welcome drink เป็นน้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาวโ
นอกจากนี้ยังมี Amenities Set ที่พิเศษมากๆ เพราะที่นี่เขาทำ Amenities เอง แต่ละ Set ประกอบไปด้วยสบู่ แชมพู โลชั่น และ Gel bath ที่เอาไว้ใส่อ่างอาบน้ำ มีให้เลือกทั้งหมด 4 กลิ่น และมี Tester ให้ได้ลองเพื่อเลือกกลิ่นที่ช
เช็คอินเรียบร้อย พี่พรก็พาเราเดินเข้าไปที่ห้องพักของเรา จุดที่สองที่เราจะผ่านเข้าม
ด้านล่างของส่วน Rastaurant นี้ จะเป็นที่เตรียมอาหารของพนั
และมีชุดชาวเหนือให้แขกที่ม
ขึ้นมาบนชั้น 2 ของ Restaurant จะเป็นส่วนที่ให้แขกที่เข้า
จิบไปชมวิวสวยๆ แบบนี้ไป มันดีมาก
ทางเดินภายในที่พักจะเป็นไม้ไผ่มาสานกันแบบนี้ ได้ฟีลที่ดีกลมกลืนไปกับธรร
ส่วนนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ และช่วงอาหารเย็นแขกที่เข้า
เดินมาถึงบริเวณหน้าห้องพักของเรา มีเจ้าถิ่นเดินมาส่งด้วย
และนี่คือห้องฮันนีมูน พูลสวีท 1 ที่เราจะพักในคืนนี้
ด้านนอกมีสระว่ายน้ำ ด้านขวาเป็นเถียงนาที่เขาจะ
บรรยากาศด้านในห้องพัก
ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำที่เปิดหน้าต่างมองออกไปเห็นวิวทุ่งนาเขียวๆ
สามารถแจ้งพนักงานให้มาช่วย
เดินมาที่เถียงนา ชั้นล่างมีชิงช้าให้ไกวเล่น
ขึ้นมาบนชั้นสอง จุดนี้เอาไว้นอนเล่น ถ่ายรูป พลางจิบชาไปด้วย วิวดีมาก ถ่ายรูปกันรัวๆ
อีกฝั่งของเพียงนาชั้น 2 เอาไว้นั่งทานข้าว ชมพระอาทิตย์ตก โรแมนติกมาก
เซ็ท Afternoon Tea ของเรา เสิร์ฟมาในกรงนก น่ารักเชียว
ปล.อันนี้ไม่ต้องจ่ายเพิ่มนะ รวมอยู่ในราคาห้องพักแล้ว
จิบชา พักขาจนหายเมื่อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปถ่ายรูปกัน
มุมถ่ายรูปเยอะมาก ถ่ายไว้เอามาลง Instagram ได้เป็นเดือนๆ
มาช่วงฤดูฝน ก็จะได้วิวทุ่งนาเขียวๆ แบบนี้ เห็นแล้วสดชื่น
Costume เมืองเหนือไม่ได้มีแต่ของผู้หญิง ชุดผู้ชายก็มีให้ยืมนะ หนุ่มๆ ไม่ต้องน้อยใจ
เจ้าถิ่นอีกตัวมานั่งเล่นกั
ได้เวลามื้อเย็น พนักงานก็นำเซ็ทอาหารเหนือที่เราสั่งไว้มาเสิร์ฟที่เถี
แถมจัด Prop มาให้ได้ถ่ายรูปเต็มที่ รสชาติอร่อย ที่สำคัญคือเติมได้ไม่อั้น
อิ่มแล้วได้เวลามาแช่น้ำ ก่อนแช่ก็เรียกพนักงานให้มา
แล้วโพสท่าจิบไวน์ถ่ายรูปอวดเพื่อนเก๋
ตื่นเช้าออกมาถ่ายรูปกับทุ่
ปิดท้ายก่อนกลับด้วยอาหารเช้า ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะ
ตอนเช็คอินเขาจะให้เราเลือก
และนี่ก็คือความประทับใจที่เรามีต่อ "ศรีนาม่าน" หากเพื่อนๆ ไปเที่ยวน่าน ลองหาโอกาสไปพักกันดูสักครั้งนะครับ
แนะนำให้จองที่พักตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจำนวนห้องมีไม่มาก สามารถจองโดยตรงกับทาง Facebook Page ของที่พักได้เลย
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามอ่านรีวิวกันนะครับ แล้วไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า ...