9 Spots for Shooting Eiffel Tower
9 Best Spots for Shooting Eiffel Tower
มาถึงปารีสทั้งที ใครๆ ก็อยากจะมาถ่ายรูปกับ Landmark ของเมืองอย่างหอไอเฟล เราจึงรวบรวมจุดถ่ายรูปหอไอเฟลที่เราได้ไปแวะเวียนถ่ายภาพกลับมาทั้งหมด 9 สถานที่ รับรองว่าได้รูปคู่กับหอไอเฟลสวยๆ แน่นอน และที่สำคัญทุกสถานที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าแต่อย่างใด ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง ตามมาอ่านกันได้เลยครับ
- Trocadéro
- Av. de Camoens
- Pont de Bir Hakeim
- Alma's Bridge
- 228 Rue de l'Université
- L'Hoewa
- Au Canon des Invalides
- Pont Alexandre III
- Champ de Mars
Trocadéro
เริ่มกันที่สถานที่ยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยว และเป็นจุดที่ควรมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง นั่นคือ Trocadéro โดยจุดนี้จะสามารถชมหอไอเฟลได้แบบเต็มตา ไม่มีอะไรกั้น และมองเห็นได้จากมุมสูง จุดที่ถ่ายสวยมีหลายจุด แต่หลักๆ ก็จะเป็นบริเวณกึ่งกลางลาน และบริเวณบันไดทั้งสองฝั่ง แนะนำว่าหากอยากเลี่ยงคนเยอะให้มาถ่ายตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้น
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/swGLkt4kUcf51jYH6
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า (ถ้ามาตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้จะดีมาก เพราะแสงจะสวย)
Tips : ถ้ามาช่วงเช้าเวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง (แต่แลกกับปริมาณคนที่น้อยก็คุ้มอยู่) แนะนำว่าอย่ามาตอนสายๆ เพราะจะถ่ายรูปยาก หากมีเลนส์ Tele จะถ่ายหอไอเฟลได้สวยมากๆ แต่หากไม่มี ระยะเลนส์ประมาณ 28-35 mm กำลังดีสำหรับการเก็บภาพคนและหอไอเฟลแบบเต็มๆ
บริเวณกลางลานด้านบน
วางแบบให้อยู่กึ่งกลางตรงกับหอไอเฟล ถ่ายย้อนแสงจ้าๆ แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ
บริเวณบันไดลงไปที่สวน มีทั้งฝั่งซ้ายและขวา ฝั่งไหนคนน้อยรีบวิ่งไปจับจองที่ได้เลย
(ตอนนี้ไม่สามารถนั่งบนราวบันไดได้แล้วนะครับ)
Av. de Camoens
อีกจุดยอดฮิตที่โด่งดังมาจากซีรีส์ Emily in Paris เป็นจุดถ่ายรูปที่ให้ฟีลปารีเซียงสุดๆ เพราะนอกจากจะได้วิวเป็นหอไอเฟลแบบใกล้ๆ แล้ว ยังได้ตึกสวยๆ ที่มองปุ๊บก็รู้เลยว่าอยู่ปารีสแน่นอนมาเป็น Background ประกอบให้ด้วย สามารถเดินต่อมาได้ไม่ไกลจาก Trocadéro
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/D3SQSzVdYcH1nqsy9
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ทั้งเช้าและบ่าย (แนะนำว่ามาช่วงสายๆ ให้พระอาทิตย์ขึ้นสูงสักหน่อย แสงจะส่องเข้ามาบริเวณตึก)
Tips : ควรมาช่วงเช้าเพราะคนไม่เยอะ ใช้เลนส์ระยะสัก 28-35 mm กำลังดี
เป็นอีกจุดที่สวย และเห็นหอไอเฟลได้ใกล้มาก
Pont de Bir Hakeim
ถ่ายรูปหอไอเฟล คู่กับรางรถไฟเหล็ก เป็นอีกจุดที่หนังเรื่อง Inception มาถ่ายทำ จุดนี้สามารถถ่ายรูปเราคู่กับหอไอเฟล หรือจะถ่ายรูปคู่กับสะพานก็สวย บริเวณใต้รางรถไฟจะเป็นเลนจักรยาน เวลาถ่ายรูปอาจจะต้องระวังนิดนึง
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/87uMGC1YscDpcymv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า ถ่ายรูปบริเวณนี้จะไม่ย้อนแสง
Tips : ถ่ายรูปเสร็จแล้ว แนะนำให้ขึ้นไปถ่ายรูปหอไอเฟลจากบนรถไฟสาย 6 นั่งไป-กลับจากสถานี Passy ไปสถานี Bir Hakeim แต่ระวังโจรกันด้วยนะ
มุมใต้รางรถไฟที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นในหนังเรื่อง Inception
Alma's Bridge
เป็นอีกสะพานในปารีสที่ไม่แมส คนไม่เยอะเท่าที่อื่น แต่วิวหอไอเฟลสวยมาก ซึ่งจากบริเวณนี้สามารถเดินต่อไปยังจุดถ่ายรูปอื่นๆ ได้ไม่ไกล และนอกจากมุมบนสะพานแล้ว แนะนำให้เดินเลียบทางเดินฝั่งขวาของแม่น้ำ (ถ้าหันหน้าเข้าหอไอเฟลนะ) ตลอดทางเดินสามารถเดินถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เลย ไม่มีคนวุ่นวายกวนใจการถ่ายรูปแน่นอน
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gu4zWVCc1bmrAvyv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามาช่วงเช้าจะไม่ย้อนแสง
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง
228 Rue de l'Université
วิวหอไอเฟลจากมุมตึก อีกจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจุดนี้ค่อนข้างถ่ายยาก เพราะหอไอเฟลอยู่ค่อนข้างใกล้ และมีคนมาถ่ายรูปเยอะมาก ทำให้ต้องหามุมหลบคนไปอีก แต่ก็นับว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สวย และน่ามาถ่ายรูป check-in กันสักหน่อย
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uKKUVQP2DzmD63C3A
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน (คนเยอะตลอดทั้งวัน 555)
Tips : ระวังกระเป๋าและทรัพย์สินตลอดเวลา เพราะคนเยอะ และอาจมี Homeless เดินมาประชิดตัวเพื่อขอเงินได้ (เพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ) ส่วนเลนส์ที่แนะนำสำหรับมุมนี้ควรใช้ Wide หรือ Ultrawide ไปเลย เพราะจะสามารถเก็บหอไอเฟลได้ทั้งหมด
L'Hoewa
มุมถ่ายรูปหน้าร้านดอกไม้ L'Hoewa เป็นจุดที่คนชอบมาถ่ายรูป Pre-wedding กัน หากไม่ลำบากเรื่องทุนทรัพย์ก็แวะไปอุดหนุนดอกไม้จากที่ร้านสักช่อ เอามาถือเป็น Prop สำหรับถ่ายรูปก็ดีนะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/btVvPxfyCdsgHnAG7
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า - ช่วงสาย (เพราะแสงจะส่องเข้าหน้าร้านพอดี ไม่ย้อนแสง) น่าเสียดายวันที่เราไปไม่มีแสง
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน ซึ่งตรงนั้นจะมีไฟแดง อาจจะต้องรอจังหวะเวลา เพราะมีคนเดินสัญจรไปมาตลอด
Au Canon des Invalides
มุมถ่ายรูปบริเวณหน้าร้าน Au Canon des Invalides เป็นอีกจุดหนึ่งที่เห็นหอไอเฟลได้ชัดเจน มุมคล้ายกับหน้าร้านดอกไม้ แต่จุดนี้จะเห็นหอไอเฟลอยู่ไกลกว่า โดยส่วนตัวเราว่ามุมนี้ถ่ายง่าย และองค์ประกอบภาพสวยกว่าหน้าร้านดอกไม้นะ ยิ่งถ้ามีเลนส์ Tele สามารถดึงระยะหอไอเฟลให้เข้ามาใกล้ๆ ได้ ยิ่งดูสวยเลยแหละ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JpaeGEngEs5P51Z89
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า - ช่วงสาย
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน อาจจะต้องระวังรถนิดนึงเพราะไม่มีสัญญาณไฟ ใกล้ๆ กันจะมีร้าน Le Recrutement เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน
Pont Alexandre III
มุมถ่ายรูปบนสะพาน Pont Alexandre III เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตก แต่จริงๆ แล้วจุดนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันเหมือนสะพาน Alma แต่ถ้ามาช่วงเย็นรู้สึกว่าบรรยากาศจะโรแมนติกกว่าช่วงอื่นนิดนึง
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/g9x4toS61ctbJwgu8
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่แนะนำมาช่วง Sunset และอยู่ต่อจนเปิดไฟ น่าจะสวยมากๆ
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง
Champ de Mars
จุดสุดท้ายที่น่าจะใกล้ชิดกับหอไอเฟลได้มากที่สุด เป็นอีกจุดที่คนนิยมมานั่งชมหอไอเฟลกันในช่วง Sunset จนถึงช่วงเปิดไฟ น่าเสียดายช่วงที่เราไป ตรงสนามหญ้าที่ปกติสามารถเข้าไปนั่งได้ ตอนนั้นเขากั้นรั้วไว้เพื่อปิดปรับปรุงสถานที่สำหรับกีฬา Olympic แต่การได้มายืนชมหอไอเฟลเปิดไฟตรงบริเวณนี้ก็ไม่ควรพลาดจริงๆ นะ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7kxX28yxkVUDxdea9
แถมให้กับอีก 2 สถานที่ สำหรับใครที่อยากชมวิวหอไอเฟลจากมุมสูง
Galeries Lafayette Rooftop
จุดชมพระอาทิตย์ตก และวิวหอไอเฟลมุมสูง ที่สวย และที่สำคัญคือ ฟรี!
จะมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ นักท่องเที่ยวเยอะมากกกกกกกกกกกก
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/XGLADozXETFjn3AR9
Arc de Triomphe Rooftop
บริเวณ Rooftop ของ Arc de Triomphe เป็นจุดชมวิวเมืองปารีสที่สวยมาก และมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา แนะนำว่ามาช่วงเย็นจนถึงฟ้ามืด และรอจนกระทั่งหอไอเฟลเปิดไฟ น่าจะได้บรรยากาศที่สวยมาก แต่ข้อเสียก็คือ ไม่ฟรี และต้องเดินขึ้นบันได เหนื่อยพอสมควร (สำหรับผู้สูงอายุมีลิฟท์ให้ขึ้นนะ แต่ก็แอบลำบากอยู่ดี)
ค่าเข้าชม 16 Euro (สามารถซื้อตั๋วที่ทางเข้าได้เลย)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gp6JjueCv4Vsx5fWA
teamLab : A Forest Where Gods Live
teamLab : A Forest Where Gods Live
หากจะพูดถึงงาน Digital Art ชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงคงไม่พ้น "teamLab" กลุ่มคนรักศิลปะที่รวมตัวผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพ มาร่วมกันสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบใหม่ และจัดแสดงผลงานในหลายประเทศทั่วโลก และคราวนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชม 1 ในนิทรรศการของ teamLab ที่ต้องบอกว่าเขาเล่นใหญ่มากจริงๆ เพราะงานนี้จัดที่ Mifuneyama Rakuen Park สวนที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1845 ในจังหวัด Saga และมีพื้นที่กว้างถึง 500,000 ตารางเมตร โดย artwotk ทั้งหมด จะกระจายไปตามจุดต่างๆ ทั้งในสวน และภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยรีวิวนี้เราจะพาไปชม artwork ที่ไม่ควรพลาดของงานนี้ และ จุดถ่ายรูปต่างๆ เผื่อใครมีแพลนจะเดินทางมาชมงาน จะได้มีข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเตรียมตัวกันครับ
พื้นที่จัดงานหลักๆ แบ่งเป็นสองส่วน คือ ภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen เป็นบริเวณที่สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ภายในมีร้านชาให้บริการ เปิดตั้งแต่ 11.00 น. (แนะนำว่าถ้าไม่ได้มาพักโรงแรมก็ควรไปอุดหนุนร้านชานะครับ เพราะข้างในถ่ายรูปสวยมาก) อีกส่วนคือภายในสวนซึ่งเป็นพื้นที่กลางแจ้ง จะเปิดไฟในช่วงเย็น (ตามเวลาที่แจ้งไว้ด้านล่าง) แนะนำว่าหากใครแพลนมาชมงาน มาถึงสักช่วงบ่ายๆ เป็นต้นไปก็น่าจะพอดีกับช่วงที่เปิดไฟ สำหรับรายละเอียดของ artwork จุดต่างๆ เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ภายในรีวิวนี้ครับ
การเดินทางมาชมงาน ตั้งต้นจากสถานี Hakata สามารถนั่งรถไฟสาย Relay Kamome หรือ Kasasaki (สายเดียวกับที่ไป Huis Ten Bosch) ใช้เวลาประมาณ 45 - 60 นาที มาลงที่สถานี Takeo-Onsen แนะนำให้ต่อ Taxi มาลงที่โรงแรม Mifuneyama Rakuen (ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ค่ารถประมาณ 1,000-1,200 เยน) หากใครอยากประหยัดก็สามารถนั่งรถบัสมาได้ หรือถ้าเช่ารถขับมา บริเวณหน้างานก็มีลานจอดรถให้บริการเช่นกัน (แถวโรงแรมไม่ค่อยมีร้านอาหาร นอกจากร้านในโรงแรม มีแต่ร้านขายขนมและของฝากทั่วไปตรงบริเวณทางเข้างาน หากใครต้องการเรียก Taxi ให้ทางร้านโทรเรียกได้ แต่ช่วยอุดหนุนของกินเล็กๆ น้อยๆ ภายในร้านกันด้วยนะครับ)
ค่าเข้าชมงาน 12oo เยน
งานจัดตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม - 5 พฤศจิกายน 2023
เวลาเข้าชมงาน (บริเวณภายในสวน)
14 กรกฎาคม - 10 กันยายน : 19.00 - 22.30 น.
11 กันยายน - 8 ตุลาคม : 18.00 - 22.30 น.
9 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน : 17.00 - 22.30 น.
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.teamlab.art/e/mifuneyamarakuen/
มาชมแผนที่ของงานนี้กันก่อนครับ (แนะนำเซฟรูปนี้เก็บไว้ได้เลย ใช้วางแผนสำหรับการเดินชม) โซนที่เราสามารถชมงานได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน คือ ภายในโรงแรมโซน A และ G (ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ของพื้นที่ แต่เราไม่ได้ไปนะ เพราะเดินค่อนข้างไกล และมีช่วงเวลาจำกัดที่เปิดให้เข้าชม) ส่วนโซนอื่นๆ ต้องชมในช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตกเป็นต้นไป ซึ่งในรีวิวนี้ เราจะพาไปชมโซน A, B, C, D และ E กันครับ
A1 : Forest and Spiral of Resonating Lamps - One Stroke
จุดเริ่มต้นของเราคือ โรงแรม Mifuneyama Rakuen เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับ Lobby และเป็น 1 ใน artwork ของงานนี้ โดยจะเป็นโคมไฟสีต่างๆ กระจายไปทั่งทั้งห้อง เป็น Lobby ของโรงแรมที่พื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ความสวยงามนี่ต้องยกให้เป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว
ถ่ายรูปเพลินมาก แต่ระวังหัวหรือตัวจะไปกระแทกกับโคมไฟนะ
จากรูปจะเห็นว่าโคมไฟห้อยลงมาต่ำ เวลาถ่ายรูปอาจจะเผลอไปกระแทกได้ ระวังกันด้วยนะ
ติดกับ Lobby ของโรงแรมจะเป็นร้านชา "EN TEA HOUSE" ซึ่งร้านชาจะมี 2 จุดนะ อีกจุดจะอยู่ในสวน ซึ่งจะเปิดในช่วงเย็น ส่วนจุดแรกที่อยู่ในโรงแรมเปิดตั้งแต่ 11.00 น. แวะมาถ่ายรูปแล้วก็อุดหนุนชาของโรงแรมกันสักหน่อย
ถ่ายรูปจากร้านชาออกไปก็สวยงามไปอีกแบบ
A2 : Life Survives by the Power of Life II
เดินเข้ามาในห้องติดกับร้านชา จะเจอกับภาพของต้นไม้ต้นหนึ่งที่ความสวยงามจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
A3 : Life Sculpture of Flames
B1 : Universe of Fire Particles in a Decaying Underground Passage
หลังจากเรากลับมา งานนี้ก็ปิดปรับปรุง เป็นการฉายภาพไฟในทางเดินที่คล้ายกับอุโมงมืดๆ มีเพียงแสงไฟจากโคมเล็กๆ ริมทาง
พื้นที่จัดแสดงงานนี้ ไม่เหมาะกับคนที่กลัวความมืดและพื้นที่แคบนะครับ
B2 : Megaliths in the Bath House Ruins
เป็นอีกห้องไฮไลท์ของงานที่เราใช้เวลาถ่ายรูปนานมาก เพราะแท่งไฟในห้องจะมีการเปลี่ยนสีสัน เปลี่ยน Pattern ไปเรื่อยๆ และมีความสวยงามแตกต่างกันไป เป็นจุดที่ควรมาถ่ายทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนเพราะให้บรรยากาศและความสวยงามที่ไม่เหมือนกัน แต่หากใครเวลาจำกัด แวะมาถ่ายรูปช่วงกลางวันแบบเราก็ได้นะ
C1 : Drawing on the Water Surface Created by the Dance of Koi and Boat - Mifuneyama Rakuen Pond
อีกจุดไฮไลท์ที่อยากให้มาใช้เวลาซึมซับกับความสวยงาม และบรรยากาศโดยรอบ ทั้งแสง สี เสียง ที่งดงาม อลังการณ์มากจริงๆ กับการแสดงไฟบนพื้นน้ำ และมีฉากหลังเป็นภูเขา มีเรือพายเล่นกับแสงไฟ พร้อมเสียงดนตรีประกอบ แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 10 นาที
D2 : Life is Continuous Light - Azalea Valley
การจัดแสดงไฟในทุ่งอาซาเลียขนาดใหญ่ภายในสวน เป็นอีกจุดที่สวยงามมากทั้งตอนที่ยังไม่มืดสนิท และหลังจากมืดแล้ว แนะนำให้แวะมาชมทั้งสองช่วง เพราะสวยงามคนละแบบ
D4 : Universe of Water Particles on a Sacred Rock
D5 : Memory of Continuous Life
D6 : Hanamidai (Viewing Spot)
D7 : Flower Bloom in an Infinity Universe inside a Teacup
จุดนี้จะอยู่ที่ร้านชา EN TEA HOUSE ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวน ใกล้กับจุด D2 เป็นการดื่มชา พร้อมกับชมงานศิลปะที่ mapping ลงในถ้วยชาของเรา เวลายกดื่มดอกไม้จะสลายกลีบออก พอตั้งวางเฉยๆ ก็จะรวมเป็นดอกไม้สวยในถ้วยชา
บรรยากาศร้านชา EN TEA HOUSE
E1 : Spatial Calligraphy on the Rock Wall of Five Hundred Arhats, Continuous Life
E2 : Cut Out Continuous Life - Forest Path
CONTAX T3 - Mini Review
ในยุคที่กล้องฟิล์มกลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ราคากล้องฟิล์มและอุปกรณ์ต่างๆ ก็พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จนหลายๆ รุ่นราคานำกล้อง Digital รุ่นใหม่ๆ ไปไกลมากแล้ว โดยเฉพาะพวกกล้องฟิล์ม Compact ที่เป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่ว่าจะเพราะหน้าตากล้องที่ดูน่ารัก ขนาดเล็กเหมาะแก่การพกพา บางรุ่นก็ใช้เลนส์ที่มีคุณภาพดี สามารถปรับตั้งค่าหลายๆ อย่างได้เทียบเท่ากล้องใหญ่หรือที่เรียกกล้องกลุ่มนี้ว่ากล้อง Premium Compact และปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาขึ้นเร็ว เพราะมีดารา นักร้อง หรือ Celebrity หลายๆ คนที่เล่นกล้องฟิล์ม เอามาใช้ถ่ายภาพ หรือถือกล้องเท่ๆ ถ่ายรูปลงใน Social Media ของตัวเอง ก่อให้เกิดกระแสนิยมในกล้องรุ่นต่างๆ มากขึ้น
ครั้งนี้เราจะมาพูดถึงกล้องฟิล์ม Premium Compact ที่จัดว่าเป็นกล้องในฝันของหลายๆ คน และเป็นกล้องฟิล์ม Compact รุ่นที่แพงที่สุดก็ว่าได้ อย่าง CONTAX T3 ที่ราคาค่าตัวเริ่มต้น ณ เวลานี้ (ปี 2019) อยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นกลางๆ สำหรับสีแชมเปญ และ 6 หมื่นบาทขึ้นไปสำหรับสีดำ เพราะอะไรถึงทำให้กล้องรุ่นนี้ราคาพุ่งได้ขนาดนี้ และคุณภาพของภาพที่ได้ จะคุ้มกับราคาค่าตัวหรือไม่ เราจะมารีวิว พร้อมนำรูปที่เราได้ใช้เจ้า CONTAX T3 ตัวเล็กนี้ไปถ่ายในสภาพแสงหลายๆ แบบ มาให้ได้ชมกัน
ใครอยากโดนป้ายยา ตามมาอ่านกันต่อได้เลยครับ...
CONTAX T3 / Fuji PRO400H
CONTAX T3 เปิดตัวในปี 2001 เป็นรุ่นที่ต่อยอดมาจาก CONTAX T2 กล้องฟิล์ม Compact ยอดนิยมอีกรุ่น โดยจุดเด่นที่ T3 แตกต่างจาก T 2 มีคร่าวๆ ดังนี้
- ใช้เลนส์ Zeiss Sonnar T* 35 F2.8 เป็นเลนส์รุ่นใหม่ มี Vignette น้อยกว่า ให้ความคม ใส และ Coating ที่ดีกว่า T2 (T2 เป็นเลนส์ระยะ 38 F2.8)
- มีขนาด body ที่เล็กและบางกว่า
- Focus ได้ใกล้ขึ้น ระยะใกล้สุดคือ 35 cm
- Speed Shutter ได้ไวถึง 1/1,200 จากเดิมใน T2 ได้แค่ 1/500 (ยกเว้นถ้าถ่ายที่ F2.8 จะได้เร็วสุดที่ 1/500)
- สามารถเลือกถ่ายที่ F2.8 ได้เลย (ต่างจาก T2 ที่จะสามารถถ่าย F2.8 ได้เฉพาะใน Mode P เท่านั้น)
- Auto Focus แม่นขึ้นและเร็วขึ้นกว่า T2
- กล้องใช้ถ่าน CR2 เพียง 1 ก้อนเท่านั้น (T2 ใช้ถ่าน CR123)
CONTAX T3 / Fuji Superior 200
การใส่ฟิล์ม / กรอฟิล์ม เป็นระบบอัตโนมัติทั้งหมด ค่า ISO อ่านจาก DX code ได้เลย จะชดเชยแสง +/- สามารถตั้งค่าได้จากเมนูในกล้อง
CONTAX T3 / Kodak Colorplus 200
การใช้งานก็ไม่ยากเลย มองไปใน View finder จะมีจุดตรงกลางเป็นจุดโฟกัส กด Shutter ลงครึ่งหนึ่งเพื่อโฟกัส / recompose แล้วกดย้ำลงไปเพื่อถ่ายรูปได้เลย เหมาะแก่การถ่าย snap / street เป็นอย่างยิ่ง กล้องตัวเล็กๆ แบบนี้ยิ่งไม่เป็นที่สนใจของคนทั่วไปเท่าไรด้วย
CONTAX T3 / Kodak Colorplus 200
การใช้งานของเรา ส่วนใหญ่จะตั้งไว้ที่ Mode P เพื่อให้กล้องคิดให้หมดเลย เพราะสะดวกดี และตัวกล้องเองก็วัดแสงได้ฉลาดมาก
รูปที่ได้จากเลนส์ของ T3 คม Contrast จะเยอะหน่อย และเก็บรายละเอียดได้ดี
CONTAX T3 / Lomography F2 / 400
รูปนี้เราตั้งใจถ่ายย้อนแสง ยังโฟกัสแม่น และเก็บรายละเอียดได้ดีมาก
CONTAX T3 / Kodak E100
ถึงแม้จะมีรูรับแสงกว้างแค่ F2.8 แต่การถ่ายภาพ Portrait ก็ทำได้ดี ลักษณะ Bokeh ก็จะออก Smooth นวลเนียนตามสไตล์เลนส์รุ่นใหม่ๆ ต่างจากเลนส์ของ T2 ที่จะเป็นวง ขึ้นขอบชัดตามสไตล์เลนส์เก่า
CONTAX T3 / Kodak Colorplus 200
ด้วยระยะโฟกัสที่ใกล้เพียง 35 cm ทำให้สามารถถ่ายเน้นวัตถุเพื่อละลายฉากหลังได้ดี
CONTAX T3 / Kodak E100
CONTAX T3 / Kodak Colorplus 200
เรื่อง Distortion มีให้เห็นได้บ้าง จะเป็นลักษณะป่องกลาง โดยเฉพาะเวลาถ่ายจ่อใกล้ๆ
แต่ถ้าถ่ายไกลๆ ก็ไม่ค่อยบวมมากนัก ถ่ายตึก / Interior พอได้อยู่
CONTAX T3 / Fuji PRO400H
สิ่งที่เราชอบมากที่สุดของเจ้า T3 คือ Skin tone และการ render ของเลนส์ Sonnar T* ตัวนี้
ให้สีสันจัดจ้าน อมเหลืองหน่อยๆ เหมาะกับคนชอบใช้ฟิล์มสี
ลองไปชมภาพอื่นๆ ที่เราถ่ายจาก CONTAX T3 ด้วยฟิล์มหลากหลายชนิดกันครับ
CONTAX T3 / Fuji PRO400H
CONTAX T3 / Fuji PRO400H
CONTAX T3 / Fuji Superior 200
CONTAX T3 / Fuji Superior 200
CONTAX T3 / Kodak Colorplus 200
CONTAX T3 / Kodak E100
CONTAX T3 / Kodak E100
CONTAX T3 / Kodak E100
CONTAX T3 / Kodak E100
CONTAX T3 / Kodak E100
และนี่ก็เป็น Mini Review จากการใช้งานจริงของเรา อาจจะไม่ได้รีวิวในส่วนของการใช้งานแฟลช เพราะปกติไม่ค่อยได้ถ่ายด้วยแฟลชเท่าไร และก็ไม่ถนัดในการใช้แฟลชด้วย เลยไม่ได้พูดถึงรายละเอียดในส่วนนี้ สำหรับข้อดีหลายๆ อย่างเราได้กล่าวถึงไปแล้ว โดยส่วนตัวเราค่อนข้างชอบภาพที่ได้จากกล้องและเลนส์ตัวนี้ โดยเฉพาะเรื่องสีสันของภาพ ความคม และการ render จากเลนส์ของ T3 ยิ่งใครที่ชอบถ่ายระยะ 35mm และไม่อยากแบกกล้องตัวใหญ่ กล้องตัวนี้ถือว่าตอบโจทย์มาก
ส่วนข้อเสียสำหรับเรา หลักๆ เลยคือเรื่องของราคา ที่ต้องบอกว่ามันค่อนข้าง Overprice ไปมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้ (แต่ถ้าอยากซื้อเพราะความสะดวกในการพกพา และเรื่องของความเท่ ก็จัดไปได้เลย) และเรื่องที่จะต้องคิดให้เยอะกับการใช้กล้อง Compact ฟิล์มก็คือเรื่องการซ่อม เพราะอะไหล่หายาก และบางอาการอาจซ่อมไม่ได้ ใครที่กำลังหาซื้อกันอยู่แนะนำให้หาตัวที่สภาพดีๆ เวลาซื้อก็ Test กันให้ละเอียดในทุกๆ Function เพราะถ้าเสียแล้วอาจกลายเป็นที่ทับกระดาษราคาแพงไปได้เลย
สุดท้ายนี้ก็หวังว่าเพื่อนๆ ที่กำลังอยากได้กล้องตัวนี้ หรือกำลังหาข้อมูลเพื่อเลือกซื้อกล้อง Compact มาใช้งานสักตัว จะได้ข้อมูลจากรีวิวนี้ไปพอสมควรนะครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยครับ :-)
Digital vs Film : ภาพแบบไหนถูกใจกว่ากัน ?
ยุคนี้มีกล้อง Digital ดีๆ ตั้งหลายยี่ห้อ ทำไมยังต้องใช้กล้องฟิล์มอีก?
กล้องฟิล์มบางรุ่น เลนส์บางยี่ห้อ ก็แพ้งแพง แล้วมันดีสมราคาจริงหรือเปล่า?
กล้องฟิล์มถ่ายยาก กะแสง กะ Compose ไม่ถูก ทำไมยังชอบรูปจากฟิล์ม?
ฟิล์มดีกว่า Digital ยังไง?
นี่คือคำถามส่วนหนึ่งที่คนใช้กล้องฟิล์มคงได้ประสบพบเจอมาบ้าง
รีวิวนี้เราจึงทำการทดลองเล่นๆ โดยใช้กล้องฟิล์ม และกล้อง Digital ติดเลนส์ระยะ 50 mm
ยืนถ่ายที่จุดเดียวกัน ณ เวลาเดียวกัน Compose รูปใกล้ๆ กัน
มาให้ได้ลองเปรียบเทียบดูว่าชอบแบบไหนมากกว่า
และให้ลองทายกันเล่นๆ ว่ารูปไหนถ่ายจากกล้องฟิล์มบ้าง (เฉลยตอนท้ายนะ)
และเราจะปิดท้ายด้วย Comment ในมุมมองของเราเล็กๆ น้อยๆ จากการทดลองครั้งนี้ให้อ่านกันด้วย
อุปกรณ์ที่ใช้ในรีวิวครั้งนี้
Digital : Sony a7III / Leica Summilux 50 ASPH (เปิดที่ F1.4 ทุกรูป)
Film : Nikon F80 / Nikkor 50 F1.8D (เปิดที่ F1.8 ทุกรูป) / Lomo 100
Model Instagram : @cookies_milkshake , @gunnkws
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
เป็นยังไงบ้างครับกับรูปทั้งหมดที่ได้ชมกันไป
ความเห็นส่วนตัว ผมคิดว่ายังไงโทนแบบฟิล์มมันก็เป็นอะไรที่ Unique มาก ยากจะหาอะไรมาแทนได้
แม้ว่าเรื่องของความคม หรือดีเทล ที่เครื่องแสกนของทางร้านอาจจะทำได้ไม่ดีเท่ากับเซนเซอร์ดีๆ ในกล้อง Digital รุ่นใหม่ๆ
แต่โทนสี มิติ และ Mood ของฟิล์ม ก็มีความสวยงามในแบบของฟิล์มอยู่
รีวิวนี้อาจจะไม่ได้คุมปัจจัยหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเลนส์หรือ Preset ที่ใช้ก็ไม่ได้เป็น Preset สีแบบเดียวกับฟิล์ม
แต่ก็หวังว่าจะพอทำให้ได้เห็นความแตกต่างของผลลัพธ์ที่ได้ ว่าแบบไหนคือแบบที่ชอบ และเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะกับสไตล์ของเรานะครับ
ไว้ถ้ามีโอกาสทดลองถ่ายรูปอะไรสนุกๆ แบบนี้อีก จะเอามาแชร์ให้ได้อ่านกันครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับผม
เฉลยรูป
1 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
2 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
3 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
4 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
5 : : ซ้าย = Digital ขวา = Film
6 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
7 : บน = Film ล่าง = Digital
8 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
9 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
10 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
11 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
12 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
13 : บน = Digital ล่าง = Film
14 : ซ้าย = Digital ขวา = Film
15 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
16 : ซ้าย = Film ขวา = Digital
17 : บน = Digital ล่าง = Film
10 Places in Singapore which you 'MUST' Check-in.
ไปสิงคโปร์ เที่ยวไหนดี?
นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาตอนจัดทริปนี้
อาจเพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 ของเรา สำหรับการไปเที่ยวสิงคโปร์ จึงหมดความตื่นเต้นกับการไปถ่ายรูปคู่ Merlion และอยากหลีกหนีความวุ่นวายใน Universal Singapore
แล้วถ้าไม่ไปที่เหล่านั้น จะเหลืออะไรในสิงคโปร์ให้เที่ยวล่ะ?
สำหรับคนชอบถ่ายรูป และเบื่อความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวอย่างเรา ทริปนี้จึงเป็นการไปเที่ยวตามสถานที่ที่น่าไปถ่ายรูปไว้ Check in อวดเพื่อน หรือถ้าจะถ่ายรูปจริงจังกว่านั้น โดยเฉพาะสาย Cityscape ก็ไปตามรอยได้ด้วยเหมือนกัน วันนี้จึงคัดมา 10 สถานที่ ที่ไหนๆ ก็จะไปสิงคโปร์อยู่แล้ว ก็ควรแวะไปถ่ายรูปฮิปๆ ซะหน่อย จะมีที่ไหนบ้าง ตามไปชมกันได้เลยครับ
1. Marina Barrage
Marina Barrage คือ เขื่อนกักเก็บน้ำขนาดยักษ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Garden by the bay และ Marina bay sands ถือว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยว และชาวสิงคโปร์นิยมมาพักผ่อ
Tips : ถ้ามาช่วงเย็น ถ่ายไปทางฝั่ง Marina bay จะย้อนแสงเต็มๆ หากจะมาถ่าย Portrait ควรพก reflex หรือแฟลชติดตัวมาด้วย
การเดินทาง : จาก MRT Bayfront สามารถเดินทะลุ Garden by the bay มาที่ Marina Barrage ได้ ระยะทางประมาณ 1.5 กม. หรือถ้าไม่อยากเดิน ให้ลงที่ MRT Marina Bay แล้วต่อรถบัสสาย 400 ไปลงที่หน้า Marina Barrage ได้เลย
2. Fort Canning Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่อีกแห่งห
Tips : แนะนำให้ไปแต่เช้า เพราะคนจะได้ไม่เยอะ และถ้าพกเลนส์ wide angle ไปได้ จะทำให้ได้รูปดีๆ มากกว่านี้ (เราพกไปแต่ฟิกระยะ 35 mm พยายามแล้วได้แค่นี้ T_T)
การเดินทาง : MRT Dobhy Ghaut ออกทาง Exit A เดินข้ามถนนไปจะเจออุโมงค์เ
3. MICA building
MICA = the Ministry of Information, Communications and the Arts.
ความสำคัญของตึกนี้ เราไม่รู้จริงๆ T_T
แต่ความดีงามคือสีสันภายนอก
Tips : การถ่ายรูปมุมนี้ต้องถ่ายจา
***ควรพกเลนส์ wide ไป เพื่อความสวยงามของภาพ
การเดินทาง : MRT Clarke Quay ตึกอยู่หัวมุมถนน ใกล้ๆ กับ Clarke Quay
4. Rocher Center
ตึกหลากสี สภาพคล้ายแฟลตตำรวจบ้านเรา
เป็นที่อยู่อาศัยของชาวสิงค
สามารถไปถ่ายรูปได้สบายๆ ไม่ต้องเสียเงิน (แต่ก็ควรเคารพ Privacy ของคนที่อยู่อาศัยในตึกด้วย
มุมในภาพเป็นมุมยอดนิยม คือเห็นตึกฟ้า ชมพู เหลือง พร้อมกัน ถ่ายออกมาดูเท่ดี
Tips : พกเลนส์ wide ไปเถอะ ชีวิตจะดี
การจะถ่ายมุมนี้ ถึงตึกแล้วต้องเดินต่อขึ้นม
การเดินทาง : MRT Bugis
5. Wheeler's Yard
คาเฟ่สำหรับคนรักจักรยาน ซึ่งนอกจากจะเป็นที่ชุมนุมข
ตัวร้านตั้งอยู่ในโกดังซึ่ง
Tips : ควรมาตั้งแต่ร้านเปิด เพราะคนไม่เยอะ ถ่ายรูปสะดวก มีโต๊ะนั่งสบาย
การเดินทาง : MRT Novena Exit B (ออกมาทางที่มีป้ายเขียนว่า
6. Haji Lane
Haji Lane เป็นซอยของฮิปสเตอร์ก็ว่าได้
มีความเก๋ของร้านค้า ทั้งสีสันของตึก การจัดวางสินค้า
และไฮไลท์ของที่นี่คือ street art เท่ๆ ที่มีให้เดินถ่ายรูปเล่นได้
แต่ที่เราชอบ Haji Lane มากเป็นพิเศษ เพราะมี Cafe น่ารักๆ ชื่อ Shop Wonderland ให้เราไปนั่งจิบชาเขียวอร่อ
การเดินทาง : MRT Bugis เดินไปประมาณ 500 เมตร
7. National Gallery
พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลป
เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อปลา
Tips : เสียค่าเข้า 20 SGD ในพิพิธภัณฑ์ งานส่วนใหญ่สามารถถ่ายรูปได
การเดินทาง : MRT City Hall
8. ION Sky
จุดชมวิวมุมสูงของสิงคโปร์ ขึ่งตั้งอยู่บนชั้น 55 ของห้าง ION Orchard นอกจากความดีงามในเรื่องของ
Tips : มีการจำกัดเวลาขึ้น เฉพาะ 15.00 - 18.00 น. เท่านั้น และบางวันถ้ามีการจัด Event ก็จะปิดไม่ให้ขึ้นไป สามารถ Check วันได้จาก official website ของ ION sky ได้เลย
การเดินทาง : MRT Orchard เข้ามาที่ห้าง ION ให้ขึ้นไปที่ชั้น 4 เพื่อต่อลิฟท์ไปยัง ION Sky
9. Henderson wave bridge
สะพานรูปเกลียวที่เป็นแหล่ง
Tips : อย่ามาตอนเย็น เพราะคนเยอะ ถ่ายรูปไม่ได้เลย
อยากมาถ่ายรูปแบบเป็นส่วนตั
การเดินทาง : MRT Harbourfront ขึ้นรถบัสสาย 145 จากหน้าห้าง Vivocity ประมาณ 15 นาที เจอสะพานปุ๊บ ให้ลงป้ายรถเมล์ตรงสะพานได้
10. Garden by the bay
หลายคนอาจจะรู้สึกว่า "หูย ที่นี่ก็ป๊อบนี่" ใช่! ที่นี่เป็นที่ที่ mass มาก แต่เราก็อยากให้มา โดยเฉพาะการถ่ายรูป supertree ในช่วงยามเย็นถึงค่ำนี่แหละ
ส่วนสวนใน dome ทั้ง Cloud forest และ Flower dome ถ้าคิดว่าไม่ได้มีโอกาสมาบ่
Tips : พกเลนส์ wide มาเถอะ ชีวิตจะดีมาก
ส่วนที่เสียเงิน จะเสียเฉพาะ Cloud forest และ Flower dome ถ้าซื้อตั๋วหน้างาน ราคา 28 SGD แต่ถ้ามีแพลนไปเที่ยว Chinatown แวะไปซื้อตั๋วที่ร้าน Sea Wheel Travel จะเหลือราคา 18 SGD เท่านั้น
ส่วน Supertree เดินเข้าออกได้ตามสบาย มากี่รอบกี่วันก็ได้เพราะฟรีตลอด
การเดินทาง : MRT Bayfront
ไปถ่ายรูปที่ไปรษณีย์กลางกันเถอะ!
สืบเนื่องจากกระทู้นี้...
ไปรษณีย์กลางเนี่ยนะ !!!! มันมีอะไรให้ถ่ายหรอพี่
http://pantip.com/topic/33987240
ผมจึงไม่รอช้า ชวนน้องที่ชอบถ่ายรูปเหมือนกัน ไปลองถ่ายรูปเล่นกันที่ "ไปรษณีย์กลางบางรัก"
การเดินทางไปก็ไม่ยาก นั่ง BTS มาลงสถานีสะพานตากสิน แล้วเดินต่อประมาณ 15 นาที
(ถ้าขี้เกียจก็นั่งพี่วิน หรือจะโบก Taxi มาก็ได้นะ) เดินมาทางโรบินสันบางรัก
ตรงมาเรื่อยๆ ทางโรงเรียนอัสสัมชัญ เดินเลยอัสสัมฯ มาซักพัก
จะเห็นตึกสีน้ำตาลสูงใหญ่อยู่ทางด้านซ้าย นั่นแหละที่หมายของเราในวันนี้
ผมผ่านตึกไปรษณีย์กลางมาหลายครั้ง
แต่ก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าไปถ่ายรูปด้านใน เพราะคิดว่าเขาคงไม่ให้เข้า
และด้านในตึก ก็คงมีแต่ห้องทำงาน ไม่มีอะไรน่าสนใจ
ที่ไหนได้...คิดผิดอย่างมาก
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือเปล่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับแสตมป์
ไปรษณีย์กลางจึงเปิดทำการในวันอาทิตย์ (ถ้าไม่มีงานก็น่าจะเปิดนะครับ ต้องลองเช็คเวลาทำการอีกที)
แต่ก็น่าเสียดายที่โถงด้านล่างไม่สามารถถ่ายรูปได้เหมือนในกระทู้ข้างต้น
พอผ่านประตูทางเข้าด้านหน้า ตรงมาจะเจอประตูเพื่อออกไปเข้าห้องน้ำชาย
ให้ผ่านประตูเข้ามา จะเจอกับโถงบันไดตามภาพนี้ครับ
ด้านในตกแต่งด้วยบันไดหินอ่อน สีน้ำตาล ตัดกับผนังสีขาว
ดูเรียบง่าย แต่สวยงาม มีแสงสว่างจากด้านนอกลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา
ใครชอบถ่ายภาพแนว Minimalism ขาวๆ คลีนๆ หรือถ่าย Architecture น่าจะถูกจริตมากๆ
เดินผ่านโถงบันไดขึ้นมาที่ชั้นสอง
จะเจอกับห้องโถง พื้นปูด้วยกระเบื้องสีขาว มีหน้าต่างกระจกให้แสงภายนอกส่องผ่านเข้ามา
นอกจากห้องโถงกว้างตรงกลางแล้ว
ยังมีห้องทางปีกด้านซ้าย ที่สามารถเดินเข้าไปถ่ายรูปได้ครับ
ลักษณะห้องก็จะคล้ายกับห้องโถงนี่แหละ แต่แคบกว่า
โดยส่วนตัวชอบห้องเล็กมากกว่าห้องโถงนะ เพราะหน้าต่างวาง Layout ได้สวยงามกว่า
ช่วงเวลาที่ผมไป เป็นตอนสายๆ ประมาณ 10 - 11 โมง
คนที่มาถ่ายรูปเริ่มมีมากขึ้น แต่ยังไม่เยอะเท่าที่สถานีดับเพลิงบางรัก
มีตากล้องพาแบบมาถ่ายรับปริญญาก็มี หรือจะเป็นกลุ่มเพื่อนมาถ่ายรูปเล่นกันก็มี
อาจจะเป็นเพราะว่าที่นี่เพิ่งเริ่มเป็นที่รู้จัก แต่ต่อไปคนอาจจะเยอะมากกว่านี้
จากชั้น 2 ให้เดินมาขึ้นลิฟท์เพื่อมาชั้นดาดฟ้า
ดาดฟ้าที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง
ฝั่งแรกเป็นฝั่งวิวเมือง จะเห็นตึกทางฝั่งสาทรเป็น Background
น่าเสียดายที่วันที่ผมไปฟ้าไม่เปิด เลยได้ท้องฟ้าไม่ค่อยสวยเท่าไร
แต่ถ้าจะมาถ่ายก็เลือกช่วงเวลาดีๆ นะครับ จะได้ได้ฟ้าสวยๆ แสงสวยๆ
และที่สำคัญ จะได้ไม่ร้อนด้วย
ส่วนอีกฝั่งจะเป็นฝั่งวิวแม่น้ำเจ้าพระยา แต่น่าเสียดายที่ตึกใกล้ๆ บังวิวซะหมด
บนดาดฟ้าอีก ก็มี Background เรียบๆ สวยๆ ให้ได้พอถ่ายรูปกันบ้างครับ
สรุป
โดยภาพรวมแล้ว ไปรษณีย์กลางบางรัก ก็เป็นสถานที่ที่น่ามาถ่ายรูปอีกที่หนึ่ง
เพราะตัวอาคารมีความสวยงาม เป็นเอกลักษณ์ และสามารถเข้ามาถ่ายรูปได้โดยไม่ต้องเสียเงิน
ตอนนี้ยังไม่ได้มีเจ้าหน้าที่มาเข้มงวดกับการเข้ามาถ่ายภาพมากนัก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยากจะฝากเพื่อนๆ ที่จะเข้ามาถ่ายรูป ให้ช่วยกันรักษาความสะอาด ไม่ส่งเสียงดัง
และถ่ายรูปเฉพาะบริเวณที่ถ่ายได้เท่านั้น ไม่ควรเข้าไปในส่วนที่มีป้ายเตือน หรือห้ามไว้
โดยเฉพาะบริเวณดาดฟ้า ที่จะมีบันไดเวียนให้ขึ้นไปได้อีก (แต่ตอนนี้ปิดป้ายห้ามขึ้นแล้ว)
ถึงจะอยากได้ภาพสวยๆ วิวดีๆ แต่ก็ควรปฏิบัติตามกฎระเบียบของสถานที่ด้วยนะครับ
แล้วจะรอชมภาพไปรษณีย์กลางบางรัก ในมุมมองของเพื่อนๆ บ้างนะ :-)
อุปกรณ์ถ่ายภาพ
Camera : Sony A7
Lens : FE ZEISS 24-70mm F4, FE ZEISS 55mm F1.8
Process : Lightroom 2015 with VSCOfilm
1st Roll with Leica Minilux
เพิ่งได้กล้อง Compact Film ตัวใหม่มาครับ
ผมใช้กล้องฟิล์มมาเกือบปีแล้ว ผ่านกล้องฟิล์มมาหลายตัวเหมือนกัน ทั้งกล้องฟิล์ม 135 และ 120
แต่กล้องฟิล์ม 135 ที่ใช้กันมายาวนานที่สุด ก็ต้องยกให้ CONTAX Aria ตัวโปรดของผม
หลังจากพกกล้องฟิล์ม ไปเที่ยวมาหลายๆ ทริป ก็เริ่มรู้สึกถวิลหากล้องฟิล์มที่น้ำหนักเบาและขนาดเล็กกว่ากล้องฟิล์ม SLR บ้าง
เพื่อจะได้ลดภาระการแบก เพราะเวลาไปเที่ยว ก็แบกกล้องดิจิตอลไปด้วย พะรุงพะรังเต็มไปหมด
ที่พีคที่สุดคือทริปญี่ปุ่นเมื่อปลายปีที่แล้ว ที่พกไปทั้งกระเป๋า รวมน้ำหนักน่าจะประมาณ 4 กก. ได้
ไหล่แทบหลุด T_T
ผมเลยเริ่มมองหากล้อง compact ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ด้วยความที่เป็นสาวก CONTAX และเลนส์ Carl Zeiss
กล้องที่อยากได้ ก็ไม่พ้น CONTAX T2 และ T3
แต่งบไม่ถึง...
เลยไปจัด CONTAX TVS ซึ่งเป็น compact เลนส์ซูม มาใช้แก้ขัดไปก่อน
พอได้มาลองใช้ ถ่ายไปม้วนนึงขายทิ้งเลย (ยังไม่ทันได้เห็นรูปด้วยนะ)
ที่รู้สึกไม่ชอบ เพราะมันต้องใช้จินตนาการสูงมาก เพราะการมองผ่านช่องมองนั้น
ไม่ได้สะท้อนให้เห็นเลยว่าภาพจะออกมาเป็นอย่างไร
ตรงนี้เป็นข้อด้อย เมื่อเทียบกับ SLR ผมเลยตัดสินใจขายทิ้งไป และคิดว่าจะทนแบกหนักๆ ต่อไปก่อน
ต่อมาก็มีเหตุบังเอิญ ทำให้ได้กล้อง CONTAX T2 มาในราคาที่ไม่แพง
เอามาใช้ก็ชอบมาก ชอบกว่า TVS อีก
อาจจะเป็นเพราะว่าชอบเลนส์ฟิก และตัวกล้องก็ถือแล้วดูดีมากกกกกกกกกกก
แต่สุดท้าย มีปัญหานิดหน่อย + อยากได้ T3 เลยปล่อยไปก่อน
หลังขาย T2 ไป ก็ตั้งใจว่า ไว้เงินเดือนจากที่ทำงานใหม่ออก จะไปถอย T3 มาใช้
แต่สำรวจราคา T3 ใน ebay แล้ว ก็ตัดใจซื้อไม่ได้ซักที เพราะราคาตัวที่สภาพสวยๆ
ก็ปาไป 25,000 ++
มานั่งคิดนอนคิดว่ามันจะคุ้มไหมวะ กับการทุ่มเงินขนาดนี้ เพื่อซื้อกล้อง compact
แถมเป็นกล้องฟิล์มด้วยนะ...
แต่อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาฟ้าลิขิต
จู่ๆ ก็มีคนปล่อย Leica Minilux สภาพ Mint ในราคา 12,000 บาท
หลังจากครุ่นคิดอยู่ประมาณ 5 นาที ก็ Line ไปคุยรายละเอียดกับคนขาย
ไปๆ มาๆ กล้องก็มาอยู่ในมือผมแล้ว...
ก่อนหน้าที่จะได้ T2 มา ผมเคยหาข้อมูลของ Minilux มาเปรียบเทียบด้วยครับ
และสเปคของ Minilux ก็แพ้ CONTAX T2 แทบจะทุกด้าน
ที่จะเหนือกว่า CONTAX T2 ก็คงจะมีเพียง 2 เรื่อง คือ
1. เลนส์สว่างกว่า (F2.4)
2. เพราะมันคือ Leica
หลังจากนั้น ผมก็ไม่เคยเหลียวแลมันอีกเลย
สุดท้าย ก็ไปซื้อมันมาแบบงงๆ
มาเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ (ออกทะเลไปไกลมากแล้ว 555)
Leica Minilux เป็นกล้องฟิล์ม compact ที่ทาง Leica ผลิตมา และขายในราคาที่พอจะจับต้องได้
(ราคาเปิดตัวประมาณ 20,000 บาท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว)
เรียกว่าเป็น Poor man's Leica ก็ได้ครับ เพราะไม่ต้องมีเงินเยอะมาก ก็ใช้ Leica ได้
แต่ราคามันก็แพงกว่ากล้อง compact ตัวอื่นๆ ในตลาด ณ เวลานั้นอยู่ดี
สเปก (คร่าวๆ)
- เลนส์ Leica Summarit 40mm F2.8
- Speed shutter สูงสุด 1/400
- autofocus ได้ ใกล้สุดที่ระยะ 70 cm
- ใช้ถ่าน CR123 (หาซื้อได้ง่ายๆ ใน 7-11) จำนวน 1 ก้อน
- วัสดุทำจาก Titanium (เหมือน CONTAX T2)
- ใช้ self timer ได้ด้วยนะ
- สามารถใช้ P-mode หรือจะใช้ A-mode (ปรับรูรับแสง) ก็ได้
หลังได้กล้องมา ผมก็รีบเอาไปเทสเลยครับ
โดยส่วนตัว ชอบถ่าย F กว้างๆ เพื่อให้ได้ dof บางๆ (ละลายหลังเยอะๆ)
แต่ข้อจำกัดแรกของกล้องตัวนี้ ก็คือ speed shutter ที่ได้เพียง 1/400 นี่แหละครับ
ผมเลยเลือกฟิล์ม Kodak colorplus 200 ไปลองเทสดูก่อน ด้วยเหตุผลหลักๆ คือ
iso 200 น่าจะกลางๆ ดี ถ่ายได้ทุกสภาพแสง และราคามันถูกสุด ณ เวลานี้ (ฟิล์มขึ้นราคากันน่ากลัวมาก)
ม้วนแรกได้เอาไปเทสที่ The Jam Factory กับที่ Millennium Hilton ในวันที่ไปถ่ายรีวิวร้านกาแฟ
ส่วนฟิล์มครึ่งม้วนหลัง ไปเดินถ่าย street ที่ถนนข้าวสาร กับท่ามหาราชมา
สภาพแสงวันที่ไปถ่ายค่อนข้างดี แดดแรงมาก และก็เป็นอย่างที่คิดคือ ถ่าย Mode A ตั้ง F กว้างๆ ไม่ได้เลย
เพราะ speed shutter ไปไม่ถึง สุดท้ายเลยต้องใช้ Mode P กดอย่างเดียว ให้กล้องคิดแทน
และนี่คือผลงานบางส่วนที่ถ่ายมาครับ
ความคม มิติ และ skin tone สวยดีทีเดียวครับ
โดยรวมประทับใจมากกับผลงานที่ได้จากการเทสม้วนแรกนะครับ
ต่อไปนี้จะสรุปข้อดี-ข้อเสีย ที่ได้จากการลองเทสให้ฟังครับ
(ส่วนใหญ่จะเปรียบเทียบกับ T2 ที่เคยใช้มานะครับ)
ข้อดี
1. เลนส์ดีมาก (ประทับใจกว่าเลนส์ CZ 38 f2.8 ของ T2 ซะอีก) การไล่โทนสี แสง เงา และ dof สวย
ภาพที่โฟกัสเข้า คมดีมาก เข้าใจแล้วว่ากล้อง Leica ที่เค้าว่าดีมันดียังไง
และที่สำคัญคือ ที่ F2.4 ก็ยังคม และไม่มีขอบมืดเหมือน F2.8 ของ T2
2. Autofocus แม่นดีมากครับ ถึงจะไม่เร็วปรู๊ดปร๊าด แต่ก็ไม่ช้า และชัวร์กว่า CONTAX T2
3. Mode P ฉลาดมากครับ ภาพที่ได้ไม่มีแสง under หรือ over เลย (ยกเว้นรูปที่ตั้งใจปรับเอง)
4. กล้องจับถือถนัดมือดี
5. คุณภาพ เทียบกับราคา ถือว่าคุ้มมากๆ ครับ
ข้อเสีย
1. speed shutter 1/400 เป็นปัญหาระดับชาติ ยิ่งคนที่ชอบถ่ายในที่แสงจ้าแบบเรา คงต้องหาฟิล์ม iso 100 มาใส่แทน
2. Viewfinder เล็กไปหน่อย และไม่มีเลข speed shutter ในมองในจอ เหมือนของ T2 ทำให้เราต้องวัดแสง
โดยดูเลขจากจอบนกล้องก่อน แล้วค่อยส่องไปใน view เพื่อจัด compose ภาพ
3. ไฟโฟกัสไม่อยู่ใน viewfinder แต่อันนี้ไม่ใช่ประเด็นอะไรมาก เพราะอยู่ข้างนอก แต่แสงก็ส่องเข้าตาได้อยู่
4. กล้องใหญ่ไปหน่อย ยัดใส่กระเป๋ากางเกงไม่ได้ ใครอยากได้แบบยัดใส่กระเป๋าเล็กๆ มองข้ามตัวนี้ไปได้เลย
สรุปแล้ว เราชอบข้อดีของมันมากๆ จนทำให้หลับหูหลับตามองข้ามข้อเสียของมันไป
เป็นกล้องที่ถ่ายสนุก หน้าตาเป็นมิตร เหมาะแก่การเอาไปถ่ายสตรีทเพราะไม่มีใครสนใจเท่าไร
และอย่างรูปเด็กน้อย พอหนูน้อยเห็นกล้องปุ๊บ ยิ้มแฉ่งเลย เพราะกล้องหน้าตาเป็นมิตรมากๆ
สุดท้ายนี้ คิดว่าจะยังอยู่กับ Leica ไปก่อน ความอยากได้ T3 น้อยลงมากๆ
และถ้าถ่ายไปซักพัก ตกผลึกกับการใช้งานมันได้ อาจจะมารีวิวตัวกล้องอย่างละเอียดให้ได้อ่านกันอีกที
ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่านนะครับ :-)