Legendary Architecture Tour : 3 days in Barcelona

Explore Gaudí's Masterpiece : 3 Days itinerary in Barcelona

ไม่คาดหวัง...ไม่ผิดหวัง
แต่ที่บาเซโลน่าทำให้เราประทับใจเกินความคาดหวังไปมากเลยครับ

บอกตามตรงว่าการแพลนมาเที่ยวยุโรปในครั้งนี้ นอกจากปารีสและเมืองใกล้เคียงแล้ว บาเซโลน่าไม่ได้อยู่ในแพลนของเราตั้งแต่แรกเลยครับ แต่ด้วยความที่มาในช่วงฤดูหนาว บรรยากาศประเทศฝั่งยุโรปตะวันตกอย่างปารีสที่เราได้ไปมามันก็จะดูอึมครึม อากาศหนาวเย็น ครึ้มฟ้าครึ้มฝนเกินไปหน่อย เลยหาประเทศที่น่าจะพอมีแสงแดดสวยๆ อากาศอบอุ่นขึ้นสักหน่อยให้ได้ถ่ายรูปสวยๆ กันบ้างและก็มาจบที่เมืองบาเซโลน่า ประเทศสเปน ที่เขาว่ากันว่าอากาศดีเหมาะกับการท่องเที่ยวได้ตลอดทั้งปี ค่าครองชีพถูกกว่าฝั่งยุโรปตะวันตก และเป็นเมืองที่มีผลงานสุด Unique ของสถาปนิกในตำนานอย่าง Antoni Gaudí ให้คนชอบเสพงานสถาปัตยกรรมสวยๆ ได้รับชมกันด้วย และนี่ก็เป็นครั้งแรกของเรากับประเทศสเปน ซึ่งเมื่อได้มาสัมผัสบรรยากาศ และสถานที่ท่องเที่ยวในบาเซโลน่าแล้วประทับใจเกินคาดมากๆ จึงอยากจะมาแนะนำทริปของเราไว้เป็นแนวทางสำหรับเพื่อนๆ ที่กำลังสนใจไปเที่ยวบาเซโลน่า ได้ไปตามรอยกันได้ครับ

3 Days 2 Nights : Barcelona Itinerary

Day 1
- Check-in : Kimpton Vividora
- Palau de la Música Catalana
- Nomad Coffee - Lab & Shop
- Sunset at Tibidabo
- Dinner at Casa Lolea Barcelona

Day 2
- Le Pedrera-Casa Milà
- Brunch at LA PAPA
- Bar-Terrassa Sercotel Rosselló
- SYRA Coffee
- La Sagrada Família
- Winter Night at Casa Batlló

Day 3
- Parc Güell
- Zara Plaça de Catalunya

ตั๋วเครื่องบิน

การเดินทางจากประเทศไทย ณ ตอนนี้ (พ.ค.2024) ยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพไปยังบาเซโลน่า จำเป็นจะต้อง Transit ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน Swiss Air, Ethihad Airway, Lufthansa เป็นต้น ส่วนของเรานั้นเดินทางต่อจากปารีส สามารถไปได้ทั้งทางรถไฟ (ใช้เวลาประมาณ 6-7 ชม.) และทางเครื่องบิน ซึ่งเราเลือกการเดินทางด้วยเครื่องบินเพราะประหยัดเวลาและราคาไม่แพง โดยสายการบินที่เราเลือกนั้น คือ Vueling Airline สายการบิน Low cost ของสเปน ในราคาไป-กลับ (รวมกระเป๋าโหลด 20 กก.) คนละ 5,8xx บาท (จองล่วงหน้าประมาณ 4 เดือน) จองผ่านทาง https://atth.me/001jzw00201x  แต่ด้วยความที่เป็นสายการบิน Low cost จึงมีข้อจำกัด และกับดักในการเสียเงินเพิ่มมากมาย โดยเฉพาะค่าน้ำหนักสัมภาระ เพราะน้ำหนักที่เราซื้อเพิ่มมาไม่รวมน้ำหนักสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่อง โดยเฉพาะคนที่มีกระเป๋า Carry-on แนะนำให้ซื้อน้ำหนักสัมภาระที่ถือขึ้นเครื่องเพิ่มเติม (ตั้งแต่ตอนจอง) ด้วยนะครับ เพราะมาซื้อทีหลังหรือตอน check-in จะแพงมาก

ที่พัก

ในส่วนของที่พักนั้น ด้วยความที่เราค่อนข้างกังวลกับเรื่องความปลอดภัย และความสะดวกสบายในการเดินทาง จึงเลือกพักแถว Plaça de Catalunya เพราะมีรถบัสตรงจากสนามบินมาเลย และเดินทางท่องเที่ยวในเมืองสะดวก แต่ก็แลกมากับค่าที่พักที่อาจจะสูงหน่อย (แต่ก็ยังถูกกว่าปารีสนะ) อย่างโรงแรม 4-5 ดาวที่เราสำรวจราคามา ถ้าจองล่วงหน้าสัก 4 เดือนขึ้นไป จะเริ่มต้นที่ประมาณ 4-5 พันบาท/คืน ส่วนโรงแรมที่เราเลือกนั้นคือ Kimpton Vividora เพราะส่วนตัวเป็นสมาชิก IHG และอยากลองพักโรงแรมนี้เนื่องจากชอบดีไซน์และทำเลของโรงแรม แต่ก็แลกด้วยราคาที่อาจจะสูงขึ้นมาอีกหน่อย หากอยากชมรีวิวละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.porsuke.com/2024/05/15/kimpton_vividora/

วีซ่า

ใช้วีซ่าเชงเก้นแบบเดียวกับที่ฝรั่งเศส ซึ่งตอนยื่นขอวีซ่าฝรั่งเศสเราได้แนบแพลนเที่ยวที่บาเซโลน่าไปด้วย เพื่อให้ได้วีซ่าที่คลอบคลุมช่วงเวลาตลอดทริป แต่หากใครจะมาเที่ยวสเปนเป็นหลัก สามารถดูรายละเอียดการทำวีซ่าเพิ่มเติมได้ที่ https://www.lumahealth.com/th/travel-insurance/spain/tourist-visa/

การเดินทาง

ระบบขนส่งสาธารณะในเมืองบาเซโลน่าถือว่าดีและสะดวกต่อนักท่องเที่ยวมาก จากสนามบินสามารถเดินทางได้ด้วย Metro, Aerobús หรือถ้าต้องการความสะดวกรวดเร็วก็เรียก Taxi สนามบินไปได้เลย ส่วนการเดินทางภายในเมืองไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ สามารถใช้ได้ทั้ง Bus และ Metro ขึ้นอยู่กับเส้นทางและสถานที่ปลายทางที่จะไป

สำหรับการเดินทางจากสนามบิน เราเลือกใช้บริการของ Aerobús ซึ่งมีให้บริการจากทั้ง Terminal 1 (สาย A1) และ Terminal 2 (สาย A2) ปลายทางสิ้นสุดที่ Plaça de Catalunya เหมือนกัน ค่าโดยสารเที่ยวเดียว 7.25 Euro และไป-กลับ 12.50 Euro ซึ่งเราแนะนำให้เพื่อนๆ ซื้อตั๋วล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซท์ เพราะราคาถูกกว่า และเมื่อไปถึงสามารถยื่น QR code ให้พนักงานสแกนก่อนขึ้นรถได้เลย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://aerobusbarcelona.es/

ส่วนการเดินทางในเมือง เราแนะนำให้ซื้อตั๋วแบบเหมาการเดินทางที่เรียกว่า Hola Barcelona Travel Card โดยจะมีตั้งแต่ 2 - 5 วัน โดยบัตรนี้จะใช้สำหรับโดยสาร Metro, Bus และคลอบคลุมเส้นทาง Metro ที่ไปสนามบิน โดยไม่จำกัดจำนวนเที่ยว ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 15.75 Euro (2 Days/48 hr Pass) โดยการนับเวลาจะเริ่มนับตั้งแต่เราใช้บัตรครั้งแรก เช่น ถ้าเริ่มใช้เวลา 15.00 น. ของวันที่ 1 มิถุนายน จะหมดอายุเวลา 15.00 น. ของวันที่ 3 มิถุนายน เป็นต้น สามารถซื้อและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.holabarcelona.com/tickets/hola-bcn-barcelona-travel-card

แต่หากใครจะใช้ Aerobús และ Hola Barcelona Travel Card แนะนำให้ซื้อแบบ Bundle ไปเลยจะประหยัดกว่าครับ ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 26.80 Euro (Aerobús + 2 Days/48 hr Pass) สามารถซื้อและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.holabarcelona.com/transport-deals/hola-barcelona-aerobus

***หากซื้อแบบ Bundle ในเมล์จะได้ Link สำหรับ Download ตั๋ว Aerobús ซึ่งสามารถเปิดเพื่อยื่นให้พนักงานสแกนได้เลยตอนขึ้นรถ กับอีก Link สำหรับ Download Voucher ของ Hola Barcelona Travel Card ซึ่งต้องนำไปแลกบัตรตัวจริงที่ตู้อัตโนมัติ ในสถานี Metro สถานีใดก็ได้ครับ การนับวันใช้งานจะเริ่มเมื่อเรานำบัตรเสียบเข้าไปเพื่อผ่านประตู หรือเสียบใช้บนรถบัสครั้งแรก

การใช้จ่าย

ใช้ Travel Card หรือบัตรเครดิตเป็นหลักได้เลยครับ คล้ายกับที่ปารีสเลย แต่แลกเงินสดติดตัวไว้สักหน่อยก็อุ่นใจดีครับ ส่วนแบรนด์ของสเปนที่แนะนำว่าควรตำ (โดยเฉพาะเสื้อผ้า) เช่น ZARA, Pull&Bear (ถูกกว่าไทยมาก), Massimo Dutti, MANGO หรือถ้าเป็น Luxury Brand ก็ต้อง LOEWE เลยครับ (แนะนำสาขาตรง Casa Batlló ช็อปนี้สวยมาก)

การทำ Tax Refund

เนื่องจากเราไม่ได้ออกจากสเปนเป็นประเทศสุดท้าย ดังนั้นการขอ Tax refund จะไม่สามารถขอเป็นเงินสดได้ เวลาแจ้งพนักงานให้ทำ Tax refund จะได้ใบ claim มา ให้เรากรอกข้อมูล Passport , บัตรเครดิตที่จะขอ Tax คืนให้เรียบร้อย และตอนไป declaire Tax Refund ที่สนามบินปลายทาง (ของเราออกจากฝรั่งเศส) จะไม่สามารถสแกนผ่านตู้อัตโนมัติได้ ต้องนำใบ claim ไปให้เจ้าหน้าที่แสตมป์ และใส่กล่องสำหรับขอ Tax Refund (แต่ของเราใช้เวลาไม่นาน ได้ Tax คืนก่อนของที่ซื้อจากปารีสอีก) และแนะนำว่าถ้าใครซื้อ Brandname ที่สเปนได้ Tax refund ประมาณ 12-15% ขึ้นอยู่กับราคาของที่ซื้อ ได้เยอะกว่าที่ฝรั่งเศสนะ

มาเริ่มต้นทริปกันได้เลยครับ

เมื่อมาถึงสนามบิน Barcelona มีป้ายบอกทางชัดเจนสำหรับการเดินทางเข้าเมืองด้วยวิธีต่างๆ ซึ่งเราเลือกที่จะนั่ง Aerobús เข้าเมืองกันครับ เพราะสะดวก ราคาไม่แพง และดูจะปลอดภัยดีสำหรับคนที่มีสัมภาระเยอะ มาถึงจุดขึ้นรถก็พบว่าแถวค่อนข้างยาว แต่ยังดีที่มีรถทุกๆ 10 นาที และมีที่วางกระเป๋าใบใหญ่บนรถด้วย ถ้าซื้อตั๋วมาล่วงหน้าก็แค่เปิดตั๋วให้พนักงานสแกนก่อนขึ้นรถ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีก็ถึง Plaça de Catalunya

บริเวณจุดขึ้นรถ Aerobús

บริเวณจุดขึ้น-ลง Aerobús ที่ปลายทาง Plaça de Catalunya

สิ่งแรกที่เราทำคือการไป check-in ที่โรงแรม Kimpton Vividora กันก่อน จากจุดที่ลงบัสเดินไปประมาณ 400 เมตรก็ถึงโรงแรม

สำหรับรีวิวโรงแรมสามารถตามไปอ่านกันได้ที่ http://www.porsuke.com/2024/05/15/kimpton_vividora/

Palau de la Música Catalana

หากปารีสมีโรงละครที่สวยงามอย่าง Opéra Ganier ที่บาเซโลน่าก็มีโรงละคร Palau de la Música Catalana ที่ออกแบบโดยสถาปนิก Lluís Domènech i Montaner ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้กัน โดยการออกแบบของที่นี่เป็นสไตล์ Modernisme Catalá โดยผลงานของเขาที่โด่งดังอีกแห่งหนึ่งคือ Hospital de Sant Pau ซึ่งทั้งสองสถานที่นี้ได้ถูกจัดให้เป็น UNESCO World Heritage Site ทั้งคู่

โรงละครนี้นอกจากจะเปิดให้คนภายนอกเข้าไปชมงานสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว ยังคงเปิดใช้สำหรับทำการแสดงต่างๆ จนถึงปัจจุบัน แนะนำหากจะมาดเข้าชมควรเช็คผ่านทาง https://www.palaumusica.cat/ca เสียก่อน ว่ามีจัดงานแสดงอะไรในวันที่เราต้องการเข้าชมหรือไม่ จะได้ไม่มาเก้อนะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/RRMcahqVSSn77VUv8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/vRcN3AuV
ค่าเข้าชม 18 Euro

สวยงาม อลังการ ควรค่าแก่การมารับชม

Nomad Coffee - Lab & Shop

ร้านกาแฟและโรงคั่วชื่อดังของบาเซโลน่า ที่แนะนำว่าใครเป็น Coffee lover ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง นอกจากทางร้านจะเสิร์ฟเมนูหลัก ยังมี slow bar และเมล็ดกาแฟหลากหลายชนิดให้ได้ลองและสามารถซื้อกลับบ้านได้ด้วย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YZZBE11ouz2daZm18
เปิดเวลา 8.30 - 18.00 น. (ปิดวันเสาร์-อาทิตย์)

บรรยากาศภายในร้าน

Sunset at Tibidabo

Tibidabo คือ ยอดเขาที่สูงถึง 512 เมตร เป็นจุดชมวิวเมืองบาเซโลน่าจากมุมสูงที่สวยงามอีกแห่งหนึ่ง โดยบนยอดเขา Tibidabo นี้ จะมีทั้งสวนสนุก Tibidabo Amusement Park ซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1910 และมี Temple Expiatori del Sagrat Cor ซึ่งบนยอดโบสถ์จะมีรูปปั้นของพระเยซูยืนเด่นเป็นสง่า แม้ว่าจะเดินทางหลายต่อไปหน่อย แต่แนะนำว่าถ้าอากาศดี ท้องฟ้าปลอดโปร่ง การขึ้นมาชมวิวพระอาทิตย์ตกบน Tibidabo เป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ แนะนำว่าขึ้นมาสักประมาณก่อน 4 โมงเย็นเพื่อเข้าไปชมวิวมุมสูงจากบนโบสถ์จะดีมาก (เรามาถึง 5 โมงเย็น ซึ่งจุดชมวิวบนโบสถ์ปิดไปแล้ว น่าเสียดายมาก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JbH7FAq6dEUV8QdC9

การเดินทาง (ตั้งต้นจาก Plaça de Catalunya)
- นั่ง Metro สาย S2 จากสถานี Plaça de Catalunya ไปลงสถานี Peu del Funicular
- ออกจากสถานี Peu del Funicular เดินต่อไปขึ้นกระเช้า ขึ้นไปจนถึงสถานีสุดท้าย (ใช้เวลาประมาณ 5 นาที)
- ออกจากกระเช้าให้ขึ้นรถบัสสาย 111 ไปลงที่ Tibidabo (รถบัสคนค่อนข้างแน่นในช่วง Sunset)

บริเวณด้านหน้า Temple Expiatori del Sagrat Cor

บรรยากาศภายในโบสถ์

Dinner at Casa Lolea Barcelona

ร้านอาหารที่เราเจอโดยบังเอิญตอนไป Nomad Coffee - Lab & Shop สะดุดตาเพราะร้านตกแต่งน่ารัก และเห็นคนในร้านเยอะมาก เลยตั้งใจว่ามื้อเย็นจะกลับมาทานอาหารที่นี่กัน และก็ไม่ผิดหวังเลยจริงๆ เมนูหลักของทางร้านคือ TAPAS หลากหลายเมนู และมีเครื่องดื่มอย่าง Sangria ให้ได้สั่งมาทานคู่กับ TAPAS อาหารและเครื่องดื่มรสชาติดี (แต่ TAPAS ก็อาจจะเล็กไปนิด คนกินจุอาจจะต้องสั่งเยอะหน่อย 555) บรรยากาศภายในร้าน การบริการของพนักงานให้เต็ม 10 ไปเลย เป็นอีกร้านที่แนะนำครับ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/8MbfATnr4hH3GieL9 
เปิดเวลา 9.00 น. - เที่ยงคืน

TAPAS และเครื่องดื่มที่เราสั่งมาทาน

Casa Milà

เริ่มต้นเช้าวันที่สองกันที่ Casa Milà อพาร์ทเมนต์ส่วนตัวของตระกูล Milà ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1906 และเป็นผลงานสุดท้ายที่ออกแบบโดย Antoni Gaudi ที่นี่ถูกเรียกว่า La Pedrera ที่แปลว่า "เหมืองหิน" เพราะอาคารหลังนี้มีรูปร่างแปลกตา ทั้งโค้งนูน เว้าแหว่ง และมีรูปปั้นหินหน้าตาประหลาดอยู่บนดาดฟ้า ทำให้เมื่ออาคารนี้สร้างเสร็จ จึงดูเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดูล้ำ และแปลกตามาก สำหรับยุคสมัยนั้น

ตัวอาคารมีทั้งหมด 6 ชั้น ครอบครัว Milà อยู่อาศัยเอง 1 ชั้น และปล่อยให้เช่าอีก 4 ชั้น และมีดาดฟ้าอีก 1 ชั้น แม้ว่าปัจจุบันนี้จะเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ แต่ภายในอพาร์ทเมนต์ก็ยังมีผู้อาศัยอยู่จริง โดยจะต้องเป็นผู้เช่าที่อยู่อาศัยมานานมากกว่า 70 ปี การเข้าชม Casa Milà จะมี self-guided tour ให้เราได้เดินสำรวจภายในห้องต่างๆ ซึ่งเป็นห้องพักของตระกูล Milà และมี Exhibition ที่เล่าประวัติ และแนวคิดในการก่อสร้างอาคารหลังนี้

ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือการมาถ่ายรูปบนดาดฟ้าของอาคาร ที่เรียกว่า The Garden of Warriors ที่เต็มไปด้วยรูปปั้นยักษ์ที่ทำจากหินทราย วางเรียงรายอยู่เต็มไปหมด และมีโดมอีกหลายอันที่ทำหน้าที่เป็นส่วนระบายอากาศของอาคาร รวมถึงวิวเมืองบาเซโลน่าแบบ 360 องศาที่สวยงาม และสามารถมองเห็น La Sagrada Família ได้จากบนดาดฟ้านี้ด้วย

พิกัด :  https://maps.app.goo.gl/ypnq2snPabrY8f5K8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/WiXsiZ4j
เปิดเวลา 9.00 - 20.00 น.

Brunch at LA PAPA

เดินมาจาก Casa Milà ไม่ไกล เพื่อมาทาน Brunch กันที่ร้าน LA PAPA คาเฟ่ที่กำลังโด่งดังในบาเซโลน่า ตัวร้านตกแต่งอย่างเรียบง่าย สวยงาม ขนมหน้าตาน่าทานมาก แต่เป้าหมายของเราในการมาทาน Brunch ก็เพื่อมาชิมชูโรส ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของสเปนกัน หรือหากใครอยากแวะมาจิบกาแฟ กินขนมกรุบกริบ ก็แวะมากันได้ (แต่อาจจะต้องต่อแถวรอสักหน่อยนะ เพราะคนค่อนข้างเยอะ)

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YcbCiRXkaLZHvY1g9
เปิดเวลา 8.30 - 18.00 น. (เสาร์-อาทิตย์เปิด 9.00 - 17.00 น.)

บรรยากาศภายในร้าน

หน้าตาอาหารและขนมที่ร้าน ตัวชูโรสที่เราสั่งมาทานคู่กับมะเขือเทศและซอสพริก อร่อยมากกกกก


Bar-Terrassa Sercotel Rosselló

บาร์ที่เห็นวิว La Sagrada Família สวยที่สุดในบาเซโลน่า บาร์นี้ตั้งอยู่บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม Sercotel Rosselló แต่ถึงแม้จะไม่ได้พักที่นี่ ก็สามารถมานั่งดื่ม นั่งทานอาหารที่บาร์นี้ได้ครับ แนะนำว่าต้องจองโต๊ะล่วงหน้า และมามื้อกลางวัน โอกาสได้โต๊ะจะมากกว่ามื้อเย็น-ค่ำครับ (แต่ถ้ามาชมพระอาทิตย์ตกบนนี้ได้บรรยากาศก็น่าจะดี) แต่เตือนไว้ก่อนว่าอาหาร และเครื่องดื่มบนนี้ค่อนข้างธรรมดา (แต่ราคาแรง) อย่าคาดหวังกับอาหารมากนะครับ แต่มาดูวิว ถ่ายรูปบนนี้ก็คุ้มแล้วครับ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/nvZL9b3hEstMZVKP8
แนะนำจองโต๊ะผ่านทาง : https://www.sercotelhoteles.com/en/terrace-sercotel-rosellon

ระบบจะเปิดให้จองล่วงหน้าประมาณ 1 สัปดาห์ แนะนำว่าควรจองตั้งแต่เปิดให้จองเลยนะครับ เพราะเต็มไวมาก
เปิดเวลา 13.30 - 23.00 น.

วิวบนนี้สวยมากจริงๆ

หน้าตาอาหารที่เราสั่งมาทาน


SYRA Coffee

ร้านกาแฟและโรงคั่วชื่อดังอีกร้านหนึ่งของสเปน ร้านนี้เป็นสาขาที่อยู่ใกล้กับ La Sagrada Família เราเลยแวะมาซื้อกาแฟ ก่อนจะไปเข้าชม La Sagrada Família กัน สาขานี้ร้านไม่ใหญ่นัก เน้นขายแบบ Takeaway แต่กาแฟดีมาก แนะนำเลยครับ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/k43sdJxjxpNnQUFV7
เปิดเวลา 8.00 - 20.00 น.

บรรยากาศภายในร้าน

La Sagrada Família

มหาวิหารที่สร้างมา 142 ปี แต่ยังไม่เสร็จสักที ผลงานสุดอลังการงานสร้างของ Antoni Gaudi อย่างมหาวิหาร Sagrada Família ที่มีความหมายว่า ครอบครัวพระเยซู ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1882 มหาวิหารที่สร้างนานที่สุดในโลกแห่งนี้ เป็นอีก 1 สถานที่ที่ต้องมาชมให้เห็นด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต เป็นผลงานที่ Gaudi ใช้ช่วงเวลา 14 ปีสุดท้ายของชีวิต ทุ่มเทให้กับการสร้างมหาวิหารนี้ และแม้จะผ่านสงคราม และกาลเวลามาเนิ่นนาน การก่อสร้างมหาวิหารนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป แม้จะไม่ได้มีแบบแปลนของ Gaudi ที่เขียนลงบนกระดาษไว้เลยสักแผ่น

ภายนอกโดยรอบของวิหาร จะประดับประดาไปด้วยรูปปั้นที่สื่อถึงซาตาน นางฟ้า และเทพเจ้า และหากดูในรายละเอียดให้ดีแล้ว ลักษณะของผลงานในแต่ละด้านของมหาวิหาร ก็มีสไตล์ที่แตกต่างกัน

เมื่อเข้ามาด้านในก็จะพบกับพื้นที่สุดอลังการ รายล้อมไปด้วยเสาปูนรูปร่างเหมือนต้นไม้ สูงชะลูดและแตกกิ่งก้านออกไปบนเพดานสูง มีแสงหลากสีที่เกิดจากแสงแดดธรรมชาติส่องผ่านกระจกหลากสีสันที่ประดับประดาไปโดยรอบของวิหาร ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ และความสวยงามตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากแสงนี้ ก็สวยงามแตกต่างไปตามแต่ละช่วงเวลาที่ได้เข้ามาชม แนะนำว่าช่วงเวลาที่แสงสวยงามจะเป็นช่วงตั้งแต่บ่ายสามโมงเป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราเลือกเข้ามาชมพอดี (แต่หากใครอยากมาช่วงที่คนน้อยหน่อย แนะนำมาตั้งแต่เปิดให้เข้าชมจะดีกว่า)

บรรยากาศของแสงที่ผ่านมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ให้ความสวยงามที่ต่างออกไป

นอกจากชมภายในวิหารแล้ว เรายังซื้อตั๋วเพื่อขึ้นไปชมวิวบนหอคอย (หอคอยจะมี 2 ฝั่ง เราเลือกขึ้นทางฝั่ง Tower on the Nativity facade) ซึ่งการขึ้นมาชมวิวเมืองบาเซโลน่าบน Sagrada Família ในช่วงก่อนพระอาทิตย์ตกก็สวยงามไปอีกแบบ แต่หากมีเวลาจำกัด หรือเป็นคนกลัวที่แคบ หรือไม่อยากเดินขึ้น-ลงบันไดเยอะๆ แนะนำว่าไม่ต้องขึ้นมาก็ได้ เพราะนอกจากขึ้นมาดูวิวมุมสูงแล้ว ก็ไม่ได้มีอะไรให้ชมเป็นพิเศษ และบันไดขึ้นลงก็ค่อนข้างแคบ ไม่เหมาะกับเด็กและผู้สูงอายุ

หากชมเสร็จแล้วอย่าเพิ่งรีบออกมา แนะนำให้เดินไปด้านหลังโบสถ์ บริเวณชั้นใต้ดิน (ทางเดียวกับทางลงไปห้องน้ำ) จะมีห้องจัดแสดงประวัติความเป็นมาของการสร้าง Sagrada Família ตั้งแต่ Concept, Model ของอาคารแบบร่างแรกที่ Gaudi วางแผนไว้ และรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมอีกมากมายที่ไม่ควรพลาดชม

พิกัด :  https://maps.app.goo.gl/yzi1zZdCECw8HjCT8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/BauGWNDL
เปิดเวลา 9.00 - 20.00 น.


Winter Night at Casa Batlló

Casa Batlló อีกหนึ่งผลงานของ Antoni Gaudi ที่เขาได้รับมอบหมายจากครอบครัว Batlló ให้ออกแบบปรับปรุงอาคารหลังนี้เมื่อปี 1904 เพื่อเป็นบ้านพักอาศัยของครอบครัว เป็นอีกผลงานที่โด่งดังและอยู่ในยุคเฟื่องฟูของ Gaudi เลยก็ว่าได้ โดยด้านหน้าของอาคารจะออกแบบเป็นเส้นโค้งเหมือนคลื่น ประดับด้วยกระจกโมเสกสีฟ้าน้ำเงิน เหมือนอยู่ในท้องทะเล มีระเบียงเหล็กดัด ออกแบบคล้ายหน้ากากที่สวมอยู่บนโครงกระดูก หากได้มาชมในตอนกลางวันที่มีแสงส่องผ่านกระจกเข้าไปคงได้ความสวยงามแปลกตา แต่เนื่องจากเวลาที่จำกัด และช่วงที่เรามาตรงกับ Event "Winter Night at Casa Batlló" ซึ่งเป็นการแสดงแสงสีภายนอกและภายในอาคารหลังนี้ จัดเฉพาะในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น

การได้เข้ามาชม Casa Batlló ในช่วงกลางคืนที่ประดับประดาไปด้วยไฟ และเทคนิค lighting ต่างๆ นี้ ทำให้เราตื่นตาตื่นใจมาก ทั้งความสวยงามจากการใช้ไฟที่เข้ากับห้องต่างๆ โดยเฉพาะการทำไฟให้เหมือนน้ำตกบริเวณ The Central Lightwell หรือช่องแสงที่อยู่บริเวณกลางบ้าน และการแสดง Digital Art ในห้องสุดท้าย รวมถึงสถาปัตยกรรมและของตกแต่งภายในบ้านนั้น บอกเลยว่าดีไซน์ล้ำแต่ใช้งานได้จริง เป็นบ้านอีกหลังหนึ่งที่ให้บรรยากาศเหมือนได้มาชมบ้านในเทพนิยายก็ว่าได้

หากใครอยากชมบรรยากาศแสงสีในงาน ลองตามไปดูกันได้ทาง IG ของเราได้ครับ https://www.instagram.com/p/C40gIfYP97j/?utm_source=ig_web_button_share_sheet&igsh=MzRlODBiNWFlZA==

พิกัด :  https://maps.app.goo.gl/iHrTV1RRomnTaPiD8
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/HWVrSG16
เปิดเวลา 9.00 - 22.00 น.

Parc Güell

สวนสาธารณะที่เป็นอีกผลงานของ Antoni Gaudi และยังได้รับการจัดเป็นมรดกโลก ประจำปี 1985 จาก UNESCO เริ่มสร้างตั้งแต่ปี 1900 และใช้เวลาในการก่อสร้างนานถึง 14 ปี โดยสวนแห่งนี้นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวหลักของบาเซโลน่าแล้ว ยังเป็น Public space ที่เปิดให้ชาวบาเซโลน่าเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจกันด้วย และด้วยทำเลของสวนที่ตั้งอยู่บนเขา ทำให้เป็นจุดชมวิวอีกจุดหนึ่งในเมืองบาเซโลน่า โดยเฉพาะช่วงเวลาพระอาทิตย์ตก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/iMxg6QXKa35NEj6G6
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่  https://atth.me/go/YHJMfzAd
เปิดเวลา 9.30 - 19.30 น.

Zara Plaça de Catalunya

ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการแวะมาช็อปกันที่ ZARA แบรนด์แฟชั่นสัญชาติสเปนที่คนไทยรู้จักกันดี สาขาที่เราพามานี้เป็นสาขาที่มีการออกแบบภายในได้สวยงามมาก และมีสินค้าให้เลือกช็อปกันได้ถึง 3 ชั้น ราคาก็น่าซื้อเพราะถูกกว่าที่ไทยพอสมควรเลย ใครมาสเปนแล้วไม่ได้ช็อป ZARA กลับไป น่าเสียดายแย่เลยนะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9EqqZfGmysNVq8zu7


Winter in Paris : 4 Days 4 Nights in a Dream Destination

Winter in Paris : ทริปแรกของปี 2024 และ ปารีสครั้งแรกของเรา!

Bonjour à tous!

เริ่มต้นทักทายแบบนี้ ไม่ต้องแปลกใจกันนะ เพราะเราจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว "ปารีส"​ เมืองหลวงสุดโรแมนติกที่หลายๆ คนใฝ่ฝัน โดยครั้งนี้เราได้ไปเที่ยวปารีสในช่วงฤดูหนาว (28-31 Jan 2024) ซึ่งเป็นช่วง Low Season ของที่นี่ ซึ่งก็มีข้อดีหลายอย่างในการมาเที่ยวปารีสช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นค่าตั๋วเครื่องบิน ค่าที่พักที่ราคาถูกกว่าช่วงอื่น , นักท่องเที่ยวไม่หนาแน่นเท่าช่วงฤดูร้อน อากาศหนาวก็ทำให้เราได้แต่งตัวกันจัดเต็ม และที่สำคัญ ในช่วงกลางเดือน ม.ค. จนถึงต้นเดือน ก.พ. ของทุกปี เป็นช่วง Winter Sales  ลดราคากันทุกร้าน ทุกห้าง รับรองว่าถูกใจขาช็อปกันอย่างแน่นอน

เนื่องจากทริปนี้เป็นการมาเที่ยวปารีสครั้งแรกของเรา แพลนเที่ยวเลยอาจจะดูมีแต่สถานที่ Tourist ไปหน่อย เหมาะกับเพื่อนๆ ที่กำลังแพลนมาเที่ยวปารีสครั้งแรกเหมือนกัน และไม่รู้ว่าจะจัดแผนอย่างไรดี ลองเอาแพลนของเราเป็น reference คร่าวๆ กันได้ครับ

Day 1
- Check-in : Intercontinental Paris Le Grand
- Lunch : La Plume Rive Droite
- Bourse de Commerce - Pinault Collection
- BNF Richelieu Site
- Sunset at Galeries Lafayette Rooftop
- Shopping : Printemps Haussmann

Day 2
- Breakfast : Cafe de la Paix
- Trocadero
- Avenue de Camoens
- Pont de Bir Hakeim
- Lunch : Zen
- Louvre Museum
- Cafe Kitsune Louvre
- Tuileries Garden
- Sunset at Pont Alexandre III

Day 3
- Pyramid du Louvre
- Domaine National du Palais-Royal
- Musee d'Orsay
- Lunch : Kong
- Check-in : Hotel Splendid Etoile
- Champs-Elysees

Day 4
- Arc de Triomphe
- Cafe Nuances
- Pont de l'Alma
- 228 Rue de l'Universite
- L'Howea
- Check-in : Hotel La Comtesse Tour Eiffel
- Sunset at Montmarte
- Champ de Mars

สำหรับรายละเอียด และ Tips ในการท่องเที่ยวปารีสจะเป็นอย่างไรบ้างนั้น เพื่อนๆ ตามมาอ่านรายละเอียดกันได้ในรูปของโพสท์นี้ หรือจะเข้าไปชมรีวิวแบบเต็มได้ทางเว็บไซท์ของเราที่จะแปะลิงค์ไว้ให้ในคอมเมนท์นะครับ

 

ตั๋วเครื่องบิน

สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากไปเที่ยวยุโรปและอยากควบคุม Budget ไม่ให้บานปลายมากนัก สิ่งแรกที่ต้องเตรียม คือ การจองตั๋วเครื่องบิน แนะนำว่าให้จองล่วงหน้าอย่างน้อย 6 เดือน หรือบางสายการบินอาจมีโปรล่วงหน้านานกว่านั้น ทริปนี้เราได้ตั๋วของสายการบิน Singapore Airline ในราคาไป-กลับอยู่ที่ 22,xxx บาท แม้จะบินอ้อมและเสียเวลาต่อเครื่องบ้าง แต่ก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคามาก อย่างขาไปเราเสียเวลา Transit ประมาณ 2 ชม.กว่าๆ ส่วนขากลับเกือบ 6 ชม. แต่ข้อดีก็คือเราสามารถออกไปเดินเล่นที่ Jewel ได้ระหว่างรอ และสนามบินสิงคโปร์ก็มี lounge ดีๆ ให้เข้า (สำหรับคนที่มี Priority Pass หรือบัตรเครดิตที่สามารถเข้า Lounge ได้) ก็ทำให้ความน่าเบื่อระหว่างรอลดลงไปได้ครับ

ที่พัก

ในส่วนของที่พัก บอกเลยว่าโรงแรมในปารีสราคาค่อนข้างแพง ถึง แพงมาก โดยเฉพาะในช่วง High Season แนวทางการเลือกที่พักของเราหลักๆ เลยดูจาก Location , ความปลอดภัย และ ความสวยงามของโรงแรม (หรือวิวจากห้องพัก) เริ่มกันที่ทำเลกันก่อน ในปารีสเนี่ย เขาจะแบ่งเป็นเขต สำหรับเขตที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวหลัก คือ เขต 1 , 2 (แถว Louvre) , 6 (แถว Notre Dame) , 8 (Champ-Elysee) , 9 (Opera) ส่วนเขตที่ใกล้กับหอไอเฟล คือ 7, 15 และ 16 ซึ่งแต่ละเขตก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป เราได้พักที่เขต 7, 8 และ 9 โดยส่วนตัวเราชอบ 9 มากสุดเพราะโซน Opera น่าจะเหมาะกับนักท่องเที่ยว มีห้าง ร้านอาหาร ร้านค้ามากมาย อยู่ในระยะเดินไปถนน St.Honore ได้ และไป-กลับจากสนามบินได้ด้วยรถบัส สะดวกมาก ส่วนใครไม่ชอบความพลุกพล่านนัก มีคาเฟ่ ร้านค้า ร้านแบรนด์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่นอกห้าง เขต 6 น่าจะตอบโจทย์มากๆ ส่วนถ้าใครอยากได้โรงแรมราคาไม่แพง แนะนำเขต 12, 13, 14, 15 แต่อาจต้องแลกกับการเดินทางไกลเล็กน้อย โซนที่ควรเลี่ยง คือ 9, 10 เพราะย่านนั้นค่อนข้างอันตราย

 

วีซ่า

การทำวีซ่าเชงเก้นของฝรั่งเศสมี 2 ขั้นตอน คือ กรอกแบบฟอร์มขอวีซ่าทางออนไลน์ก่อน กรอกเสร็จแล้วจึงทำนัดหมายเพื่อไปเก็บลายนิ้วมือผ่านทาง TLS contact ซึ่งอยู่ที่ชั้น 12 อาคาร Sathon City Tower  ทำตามขั้นตอนและเตรียมเอกสารตามที่ในเว็บแนะนำ ไม่ยุ่งยากเลยครับ ของเราใช้เวลารออนุมัติเพียง 3 วันหลังจากยื่นที่ TLS ถือว่าไวมากๆ เราได้ทำรีวิวการขอวีซ่าไว้ ลองเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ทาง Link ด้านล่างนี้ครับ

https://www.facebook.com/100063503291354/posts/pfbid07TPF92T4totsgFiJH9s5c2VbVy7gYLDRNgX95V5EDUPu75Y9RjrW6Qt1wyT57SThl

 

การเดินทาง

การเดินทางด้วยรถสาธารณะในปารีส มีทั้ง Metro, RER (รถไฟด่วน) และ Bus โดยสามารถใช้บัตรโดยสารที่เรียกว่า Navigo Easy ซึ่งเราแนะนำให้ซื้ออันนี้เพราะมันสะดวกมาก ไม่ต้องใช้เงินสดซื้อตั๋วบนบัส สามารถซื้อ  ticket t+ ที่ใช้ขึ้นรถได้ทุกประเภทผ่าน app ในมือถือของเราได้เลย (คล้ายกับการซื้อเที่ยวเดินทางในบัตร rabbit) แนะนำว่าให้ซื้อเป็น bundle ticket t+ 10 เที่ยวไปเลย เพราะจะได้ราคาถูกลงกว่าซื้อทีละเที่ยว
บัตร Navigo Easy สามารถซื้อได้ที่ห้องพนักงานขายตั๋วที่สถานี Metro ทุกสถานี ราคา 2 ยูโร (กลับมาแล้วเก็บไว้เอาไปใช้ใหม่ได้ หรือจะส่งต่อให้คนอื่นก็ได้) ตอนซื้อสามารถให้พนักงานเติมเที่ยวเดินทางให้ได้เลยนะ จะได้ไม่ต้องไปเติมเอง ตลอด 4 วันที่ผ่านมาเราเดินทางด้วย Bus เป็นหลัก เพราะปลอดภัยกว่า Metro และมีรถบริการหลากหลายเส้นทาง แม้จะไม่ไวเท่า Metro แต่ก็สะดวกดี

ส่วนการเดินทางจากสนามบิน CDG สามารถมาได้ทั้ง Taxi (ราคา Fix ขึ้นอยู่กับปลายทางที่ไป) , RER (ไม่แนะนำ เพราะน่ากลัวไปหน่อย) และถ้าพักแถว Opera สามารถนั่ง Roissy Bus ซึ่งจะมีรถให้บริการทุก 15 นาที มาจอดตรงหน้า Opera Ganier เลย ราคาตั๋ว 16.6 Euro ต่อเที่ยว ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้นลงสถานี และปลอดภัยจากโจรได้ระดับหนึ่ง

App ที่เราใช้สำหรับการเดินทาง คือ Google map เพราะบอกละเอียดทั้งเส้นทาง สายรถไฟทั้งหมด หมายเลข Bus ที่ต้องขึ้น เพียงพอต่อการเดินทางด้วยตัวเองในปารีสครับ

การใช้จ่ายในปารีส

แนะนำให้ใช้บัตรเครดิตเป็นหลัก (หรือ Travel card) ปลอดภัย และสะดวกกว่าการพกเงินสดมากๆ ครับ แทบทุกร้าน ทุกสถานที่ในปารีสตอนนี้รับบัตรเครดิตทั้งนั้น ไม่มีขั้นต่ำด้วย ตลอด 4 วันที่ผ่านมาเราจ่ายเงินสดไปครั้งเดียว ที่ร้านอาหารของคนจีน เพราะทางร้านไม่รับบัตรเครดิต ดังนั้นใครจะแลกเงินสดไป แนะนำพกติดตัวไปสัก 50-100 Euro ก็เพียงพอครับ

การทำ Tax Refund

มาเที่ยวปารีสทั้งที ถ้าไม่ช็อปปิ้งก็จะยังไงๆ อยู่ สำหรับขาช็อปที่ตั้งใจมาช็อปที่นี่ แนะนำว่าถ้าจะทำ Tax refund ตอนขอคืนรับเป็นเงินสดจะเร็ว และดีกว่าครับ (ส่วนตัวนี่พลาดไปแล้ว ขอคืนผ่านทางบัตรเครดิตผ่านมา 1 เดือนยังไม่ได้คืนเลย) ยิ่งถ้าบางห้าง (เช่น Printemps) สามารถขอเป็นเงินสดคืนที่ห้างได้เลย แม้จะได้ % ที่ต่างกันนิดหน่อย แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลารอนานครับ (ถ้ารับ refund ผ่านบัตรเครดิต ได้คืน 12% เงินสด ได้คืน 10% ยอดขั้นต่ำในการซื้อ 100 Euro ขึ้นไป)

การยื่นขอคืน tax ที่สนามบินก็ไม่ยุ่งยากครับ แต่ละ Terminal จะมีจุดทำ tax refund ซึ่งจะเป็นเครื่องอัตโนมัติ ให้เราเอาเอกสาร tax refund ที่ได้จากร้านค้า และจะมี barcode อยู่บนเอกสารนั้น ไปแสกนกับตู้อัตโนมัติ หากไฟที่ตู้ขึ้นสีเขียว ไม่ต้องสำแดงของที่ซื้อมา แต่ถ้าขึ้นสีแดง ต้องไปต่อแถวเพื่อสำแดงของกับเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ดังนั้น แนะนำให้ทำก่อนนำกระเป๋าเดินทางไป check-in นะครับ

 

มาเริ่มต้นทริปของเรากันดีกว่า!

เราเดินทางกับสายการบิน Singapore Airline ซึ่งมาลงจอดที่ Terminal 1 ของสนามบิน Charles-de-Gualle เนื่องจากไฟล์ทของเรามาถึงประมาณ 7 โมงเช้า จึงใช้เวลาไม่ถึง 30 นาทีในการผ่าน ตม. และรอรับกระเป๋า จากนั้นเราจะเดินทางเข้าเมืองด้วยการนั่งรถ RoissyBus ไปลงที่ Opera กัน โดยจุดขึ้นรถ RoissyBus ที่ Terminal 1 จะอยู่ตรงทางออก 32a

เห็นป้าย RoissyBus อยู่ตรงทางออก 32a

เดินข้ามถนนมาจะมีที่นั่งรอรถ ภายในจะมีตู้สำหรับกดซื้อตั๋ว

วิธีการซื้อตั๋วก็ไม่ยาก เพราะมีภาษาอังกฤษและจ่ายด้วยบัตรเครดิตหรือ Travel card ได้เลย ราคาตั๋วเที่ยวละ 16.6 Euro
ความสะดวกของการนั่ง RoissyBus คือ ไม่ต้องแบกกระเป๋าขึ้น-ลงสถานีรถไฟ และราคาถูกกว่าการนั่ง Taxi (แต่ถ้ามากันมากกว่า 2 คน นั่ง Taxi จะคุ้มกว่านะ)

ใช้เวลานั่งรถจาก Terminal 1 มาถึง Opera ประมาณ 50 นาที
จุดจอดรถรับ-ส่งที่ Opera จะเป็นจุดเดียวกัน ใกล้กับโรงแรม Intercontinental Paris Le Grand ที่เรามาพักคืนนี้มากๆ
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/3dvfcPhjKah97MuW9

ก่อนมา เราได้ Request กับทางโรงแรมไว้ว่าขอ Early Check-in ตอนประมาณ 10 โมงเช้า เผื่อจะได้อาบน้ำ พักผ่อนก่อนออกไปเที่ยว แต่พอไปถึงโรงแรม ห้องยังไม่พร้อม พนักงานเลยให้ไปนั่งรอที่ Lounge เพื่อทานอาหารเช้าระหว่างรอห้องพัก

ที่เราสามารถมาเข้า Lounge ได้ เพราะห้องพักที่เราจองมาจะรวมสิทธิ Lounge Access มาด้วย (ในราคาที่แพงกว่าจองห้องอย่างเดียวประมาณ 100 Euro) ซึ่งความคุ้มค่าของการเข้า Lounge ก็คือ เราจะมีทั้งอาหารเช้า, Afternoon tea และ Evening Cocktail เรียกได้ว่าพักผ่อนในโรงแรมกันได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียเงินออกไปหาอาหารข้างนอกทานเลย

บรรยากาศภายใน Lounge

หลังจากทานอาหารเช้ากันเรียบร้อย ห้องพักของเราก็พร้อมพอดี เราจะพักที่ Intercontinental Paris Le Grand กันทั้งหมด 2 คืน โดยเราได้จองห้อง " 1 Queen Cosy " ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นของโรงแรมมา แต่ด้วย Status IHG Platinum ของเรา ทางโรงแรมจึง upgrade ให้เป็นห้อง " 1 King Premium Balcony " ซึ่งจะมีขนาดห้องที่กว้างขึ้น เตียงที่ใหญ่ขึ้น และมีระเบียงออกไปด้านนอก แต่น่าเสียดายที่วิวจากห้องพักของเราไม่ได้วิว Opera ซึ่งเป็นวิวไฮไลท์ของโรงแรม ราคาห้องพักเริ่มต้นประมาณ 400 Euro / คืน

บรรยากาศภายในห้องพัก

ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำ แยกกับ Shower Room ส่วนห้องสุขาจะแยกไปอีกห้อง อยู่บริเวณทางเข้าห้อง

มีระเบียงออกจากห้องน้ำได้ด้วย

อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ได้เวลาออกไปเที่ยวตามแพลนวันแรกของเรากันครับ เริ่มต้นด้วยการไปทานอาหารกลางวันกันที่ห้องอาหาร "La Plume Rive Droite" ซึ่งเป็นห้องอาหารของ Hôtel Madame Rêve โรงแรมที่ออกแบบสวย และน่าพักมากๆ อีกแห่งหนึ่งในปารีส (แต่ราคาก็แรงมากเช่นกัน) แนะนำว่าหากอยากได้ที่นั่งมุมถ่ายรูปสวยๆ ควรจองโต๊ะก่อนล่วงหน้าครับ (ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการจอง) หรือหากยังแพลนไม่แน่นอน จะ walk in มาก็ได้เช่นกันครับ คนไม่เยอะมาก

สำรองที่นั่งได้ทาง https://laplumerivedroite.com/en/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/V9KXiNygyzn6pgVJ7

บรรยากาศภายในห้องอาหาร

เราเลือกมาทาน Lunch Set ซึ่งจะมี 2 ราคา คือ 45 Euro (Main dish + appetizer or dessert) และ 55 Euro (appetizer + main dish + dessert) ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่ม (และ Tips ตอนจ่ายเงิน) อาหารของร้านนี้จะเป็นอาหารญี่ปุ่น Fusion เมนูน่าทานหลายอย่างมากๆ เราเลือกทาน Set 45 Euro  เพราะตอนบ่ายจะกลับไปทาน afternoon tea ที่โรงแรมอยู่แล้ว เมนูที่เราเลือก คือ กุ้งเทมปุระทานคู่กับซอสครีม และปลาย่างทานคู่กับซอสมิโสะ และข้าวญี่ปุ่น อร่อยมากๆ ครับ เป็นอีกร้านที่แนะนำเลย

อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลามาเดินย่อยกันที่ Bourse de Commerce - Pinault Collection อาคารนี้เคยเป็นตลาดหลักทรัพย์ของฝรั่งเศส และได้ renovate ใหม่ให้เป็น Art Museum  จัดแสดงงานศิลปะร่วมสมัยหมุนเวียนไปตลอดทั้งปี ความพิเศษที่เราตั้งใจมาชมก็คือ การออกแบบภายในที่ได้สถาปนิกชื่อดัง อย่าง Tadao Ando เจ้าของผลงาน "Church of Light" และอีกหลายสถานที่ในญี่ปุ่น มาเป็นผู้ออกแบบอาคารของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ และล่าสุดแบรนด์หรูอย่าง YSL ก็เพิ่งจัดแฟชั่นโชว์ Collection Fall Winter 2024 ภายในอาคารนี้ไปด้วย

ค่าเข้าชม : 14 Euro
เปิดเวลา 11.00 - 19.00 น. (ปิดทุกวันอังคาร)
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/VmLwoDvr
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QW2qkbYszBvFjuU27

บรรยากาศภายในอาคาร

ช่วงที่เรามามีจัดงานแสดงของ MIKE KELLEY : Ghost and Spirit โดยมีไฮไลท์ของงาน คือ "Kandor Full Set" จัดเป็นเมืองเรซิน มีโถแก้ว และ Digital art อยู่ภายในโถงมืดตรงกลาง Museum ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ในโลกอนาคต แถมยังถ่ายรูปสวยอีกด้วย

ร้านขายของที่ระลึกของพิพิธภัณฑ์

BNF Richelieu Site ห้องสมุดที่มีการออกแบบตัวอาคาร และ Interior ได้สวยงามมาก โดยบริเวณชั้นล่าง (ชั้น 0) ของอาคาร จะเป็นส่วนของห้องสมุด สามารถเข้าไปเดินชม , ถ่ายรูปได้ (แต่ต้องงดใช้เสียงนะ เพราะเป็นห้องสมุดที่มีคนเข้ามาใช้บริการจริงๆ ) ส่วนบริเวณชั้นบน จะเป็นส่วนของ Museum ซึ่งส่วนนี้ต้องซื้อตั๋วเข้าไป แนะนำว่าถ้ามาแถวนี้ก็แวะเข้ามาถ่ายรูป ชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่นี่ก็เพียงพอแล้วครับ

เปิดเวลา 10.00 - 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/KanxocPv5kMN5tGb7

Galeries Lafayette ห้างเก่าแก่ชื่อดังของปารีส เป็นห้างที่นักท่องเที่ยวมักจะมาแวะซื้อของ และมาถ่ายรูปกันที่นี่ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่จะมีการจัด display สวยๆ บริเวณโถงตรงกลางห้าง บริเวณชั้น 3 จะมีสะพานแก้วยื่นออกมาให้มาถ่ายรูปได้ด้วย

แต่จุดประสงค์ของเราคือการมาชมวิวหอไอเฟลในช่วงพระอาทิตย์ตก บนดาดฟ้าของห้างครับ ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดชมวิวหอไอเฟลอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง (ทั้งสวย และเข้าชมฟรี) โดยดาดฟ้านี้จะอยู่ในตึก Homme ขึ้นบันไดเลื่อนมาเรื่อยๆ ประมาณ 7 ชั้น ก็จะเจอกับทางขึ้นดาดฟ้าของห้างครับ

บรรยากาศบนดาดฟ้า

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Qk1YztLPC8GiLQvT9

Cafe de la Paix

เริ่มต้นวันที่ 2 กันด้วย Breakfast ที่ Cafe de la Paix ห้องอาหารหลักของโรงแรม Intercontinental Paris Le Grand บอกเลยว่าถ้าใครมาพักที่นี่ แนะนำให้จองห้องพักที่รวมอาหารเช้ามาด้วย เพราะอาหารที่นี่เป็นไลน์ Buffet ที่มีอาหารหลากหลาย ใช้วัตถุดิบคุณภาพดี รสชาติดี และมีอาหารเอเชียอย่างปาท่องโก๋ ข้าวต้ม อาหารญี่ปุ่น ให้เราได้เลือกทานด้วย เป็นมื้อเริ่มต้นวันที่ดีสำหรับการเพิ่มพลังก่อนออกไปเที่ยวกันในวันนี้ครับ

บรรยากาศภายในห้องอาหาร

Trocadero

แพลนของวันที่ 2 ในช่วงเช้า เราตั้งใจไปเก็บภาพหอไอเฟลในมุมต่างๆ โดยตั้งใจว่าจะเลือกมุมที่ไปให้อยู่ในโซนใกล้เคียงกัน เพื่อความสะดวกและไม่เสียเวลาในการเดินทาง เริ่มต้นกันที่ Trocadero สถานที่ที่ถือว่าเป็น Landmark ในการมาถ่ายภาพหอไอเฟล ที่ใครมาปารีสแล้วไม่ได้มาแวะถ่ายภาพคงน่าเสียดายแย่ ที่เริ่มจุดนี้เป็นที่แรกของวันเพราะเราอยากเลี่ยงคนเยอะๆ จะได้ถ่ายรูปสบายหน่อย แต่แนะนำว่าให้มาเช้าๆ ตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นไปเลย เพราะจุดนี้เวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/swGLkt4kUcf51jYH6

Avenue de Camoens

อีกจุดยอดฮิตที่โด่งดังมาจากซีรีส์ Emily in Paris เป็นจุดถ่ายรูปที่ให้ฟีลปารีเซียงสุดๆ เพราะนอกจากจะได้วิวเป็นหอไอเฟลแบบใกล้ๆ แล้ว ยังได้ตึกสวยๆ ที่มองปุ๊บก็รู้เลยว่าอยู่ปารีสแน่นอนมาเป็น Background ประกอบให้ด้วย สามารถเดินต่อมาได้ไม่ไกลจาก Trocadéro

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/D3SQSzVdYcH1nqsy9

Pont de Bir Hakeim

ถ่ายรูปหอไอเฟล คู่กับรางรถไฟเหล็ก เป็นอีกจุดที่หนังเรื่อง Inception มาถ่ายทำ จุดนี้สามารถถ่ายรูปเราคู่กับหอไอเฟล หรือจะถ่ายรูปคู่กับสะพานก็สวย บริเวณใต้รางรถไฟจะเป็นเลนจักรยาน เวลาถ่ายรูปอาจจะต้องระวังนิดนึง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/87uMGC1YscDpcymv5

Zen

ร้านอาหารญี่ปุ่นที่ได้รับการแนะนำจาก MICHELIN Guide เราแวะมาทานมื้อกลางวันที่นี่เพราะอยู่ใกล้กับ Louvre ที่เรามีแพลนจะเข้าชมในช่วงบ่าย และมื้อกลางวันไม่ต้องจองโต๊ะล่วงหน้า (แต่แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิด เพราะถ้ามาช้าก็ต้องรอคิวยาวอยู่นะ) ที่สำคัญเลยคือ มื้อกลางวันเขามีขายเป็น Lunch Set คนละ 26 Euro ราคานี้อิ่ม อร่อย คุ้มค่าสุด เป็นอีกร้านที่อยากแนะนำให้มาลอง

ร้านเปิดเวลา 12.00 - 14.30 น. และ 19.00 - 22.00 น. (มื้อค่ำต้องจองล่วงหน้า)
ปิดทุกวันอาทิตย์

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/sQrhV2BJdT6ttv5j9

บรรยากาศภายในร้าน

หน้าตา Lunch set 26 Euro ภายใน Set จะมี appetizer และ Main ให้เลือกได้ 3-4 อย่าง

Louvre Museum

พิพิธภัณฑ์ชื่อดัง และมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก บอกตามตรงว่าตอน plan เที่ยวปารีส การจัดสรรวัน และเวลาเข้า Louvre เป็นสิ่งที่เราลังเลอยู่หลายวันมาก เพราะจากหลายๆ รีวิวจะแนะนำให้เข้า louvre ตั้งแต่เปิด เพราะคนจะได้ไม่เยอะ บางรีวิวก็บอกให้เข้าไปตอนบ่ายๆ เย็นๆ เพราะคนจะไม่เยอะเช่นกัน แต่สุดท้ายเราตัดสินใจมาเข้า Louvre ช่วงบ่าย ด้วยเหตุผล คือ เราอยากเก็บช่วงเช้า และเย็น ไว้ไปถ่ายวิวหรือสถานที่ท่องเที่ยวด้านนอก เพื่อเก็บแสงสวยๆ ยามเช้า หรือบรรยากาศช่วงพระอาทิตย์ตกดีกว่า เพราะยังไงการเข้า Louvre คงไม่ได้เน้นเรื่องการถ่ายรูปมากนัก (เพราะถ่ายยังไงก็ติดคนเยอะๆ อยู่ดี) ซึ่งโดยส่วนตัวหลังจากได้เข้าไป Louvre ช่วงบ่าย ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ คนเยอะ (แต่ก็คิดว่ามันน่าจะคนเยอะแบบนี้ทั้งวันแหละ) สำหรับคนที่ไม่ได้อินกับศิลปะ (อย่างลึกซึ้ง) และมีเวลาจำกัดแบบเรา วางแผนไว้ว่าจะใช้เวลาภายใน Louvre ประมาณ 2-3 ชม. เท่านั้น เลยจะมาแนะนำ Tips สำหรับคนที่มีเวลาน้อย เพื่อไปตามเก็บงาน Highlight แบบคร่าวๆ ใน Louvre กันครับ

ก่อนอื่นเลยแนะนำว่าควรซื้อบัตรเข้าชมล่วงหน้าครับ สามารถจองได้ผ่านทาง Website ของ Louvre โดยตรง หรือหากใครเดินทางท่องเที่ยวบ่อยๆ น่าจะรู้จักกับ Klook ซึ่งเป็นศูนย์รวมในการซื้อบัตรเข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่มักจะมีโปรราคาพิเศษให้ได้ซื้อกัน และที่สำคัญคือมีภาษาไทย เข้าใจง่าย ไปถึงก็ไม่ต้องต่อคิวยาวๆ เพื่อรอซื้อบัตรกันด้วย สำหรับช่องทางการจองก็ตามไปได้ที่ลิงค์นี้เลย

ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่  https://atth.me/go/FVQ0qvpW
เวลาเปิด : 9.00 - 18.00 น. (ยกเว้นวันศุกร์ เปิดถึง 21.45 น.) ปิดทุกวันอังคาร

สำหรับทางเข้า Louvre เพื่อเลี่ยงการต่อคิวยาวๆ ตรงทางเข้าหน้าปิรามิด มีแนะนำอยู่ 2 ช่องทางครับ

ทางแรกที่คนส่วนใหญ่แนะนำ คือ บริเวณประตูชัย (ขนาดเล็ก) หน้าสวน Jardin du Carrousel ซึ่งเป็นฝั่งตรงข้ามถนนกับ Pyramid Louvre ให้เดินไปบริเวณประตูชัย จะเห็นเป็นบันไดสำหรับเดินลงไปด้านล่าง อันนั้นแหละคือทางไปเข้า Louvre แต่ช่วงที่เราไปมันปิดพอดี (ตามรูปเลย)

ส่วนอีกทางซึ่งเป็นทางที่เราเข้า Louvre ก็สะดวกไม่ต้องต่อคิวเช่นกัน นั่นคือ เข้าทางอาคารของห้าง Carrousel du Louvre ตามพิกัดนี้
https://maps.app.goo.gl/JERCPowKUHYcFC678 จะเป็นบันไดเลื่อนลงไปชั้นใต้ดิน ซึ่งเดินต่อไปทางเข้า Louvre ได้เลย

สำหรับเส้นทางการเดินชม Louvre ในแบบของเรา ให้เก็บไฮไลท์ได้ภายใน 2 ชม. ให้เริ่มต้นด้วยการเข้าชมทาง RICHELIEU WING ผ่านทางเข้ามาแล้วเดินตรงไป The Vaulted Hall เลี้ยวขวาเพื่อไป Room 105 : the Cour Puget จะพบกับห้องในรูปด้านบน

เสร็จจากการชมในห้องแรก ให้เราเดินกลับทางเดิมตรงทางเข้า Museum ครับ จากนั้นให้เข้าทาง SULLY WING เดินเข้าไปแล้วขึ้นบันไดไปที่ชั้น 1 จากนั้นเลี้ยวขวา ผ่านประตูไม้เข้าไป จะพบ Room 348 Caryatids ตามรูป

เดินเข้าไปสุดห้อง มุมด้านซ้ายจะเจอ Sleeping Hermaphrodite

เสร็จแล้วให้เดินออกจากห้องทางขวา ตรง Monument of Fireplace เดินตรงไปตามทางระหว่างเสาหินอ่อนสีแดง จะเจอจุดที่สอง Room 346 Venus de Milo

หันหลังกลับ แล้วเดินผ่านเสาสีแดงเสาแรก จากนั้นเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปผ่านหอกแล้วเดินขึ้นบันได Denon Wing : Room 703 The Winged Victory of Samothrace

เห็นปีกตรงหน้าแล้ว ไปห้องฝั่งซ้าย ขึ้นบันไดไปจะเจอห้องทรงกลม (Room 704) สามารถมองผ่านหน้าต่างออกไปเห็นปิรามิดได้

จุดชมวิว Louvre จากห้อง 704

เดินต่อไปยังห้อง Room 705 The Apollo Gallery ห้องนี้จะมีมงกุฎของราชวงศ์ให้ชม

ภายในห้องตกแต่งสวยงาม มีมุมสวยๆ ให้เดินถ่ายรูปได้ เดินไปจนสุดห้อง และเลี้ยวขวาไปห้องถัดไป

Room 708 Salon Carré : Grand Galerie ห้องนี้รวบรวมผลงานต่างๆ ของ Da Vinci ก่อนที่เราจะได้เข้าไปชมผลงานไฮไลท์ของเขา

Room 711 Mona Lisa ผู้คนจากทั่วโลกต่างมา Louvre เพื่อที่จะได้มาเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเองสักครั้ง เป็นห้องที่คนเยอะมาก โปรดระวังทรัพย์สินด้วยนะ
การเข้าชมในห้องนี้จะเป็น One way  ชม Mona Lisa เสร็จแล้ว จะเดินออกไปทางห้อง 701 (มีร้านขายของที่ระลึก) ให้เลี้ยวขวาไปทางห้องต่อไป

Room 702 Napoleon’s Consecration ภาพแขวนขนาดใหญ่อยู่ทางซ้ายของห้อง
ชมเสร็จแล้วให้เดินกลับมาทางห้อง 701 เพื่อไปยังห้องต่อไป

Napoleon’s Consecration

ห้องต่อมา คือ Room 700 The Raft of the Medusa ในห้องนี้มีภาพ Liberty Leading the people (ไม่ได้ถ่ายมาให้ชม) เสร็จแล้วให้ออกจากห้องแล้วเดินลงบันไดไป

ระหว่างทางเดินจะผ่านคาเฟ่ใน Louvre บรรยากาศดี แต่คนเยอะมาก

Room 403 Michelangelo’s Slaves

บริเวณสุดทางของห้องนี้จะพบกับ Psyche Revived by Cupid’s Kiss

จากห้องนี้สามารถออกจาก Louvre โดยผ่านทางห้อง 404  และลงบันไดเวียนไป จะเจอป้ายทางออก (Sortie)

Cafe Kitsune Louvre

หลังจากเดินชมงานศิลปะใน Lourve กันจนเมื่อยแล้ว เราเลยมาคาเฟ่ของแบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Maison Kitsune ที่มีหลายสาขาทั้งในฝรั่งเศสและทั่วโลก และสาขาที่เราพามาก็อยู่ไม่ไกลจาก Louvre ซึ่งจุดเด่นของสาขานี้คือมีที่นั่งที่มองชมวิวได้อยู่บนชั้น 2 มีทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหารให้สั่ง พนักงานในร้านน่ารัก ใส่ใจบริการดี ใกล้ๆ กันจะมีอีก 2 สาขา คือ Palais Royal (ช่วงฤดูหนาวจะไม่มีที่นั่งด้านนอกให้นั่ง ร้านเล็กมาก) และสาขาหน้าสวน Tuileries ซึ่งตรงนั้นจะมี shop ของ Maison Kitsune อยู่ติดกันด้วย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Ssbs7jwocd8G2egT8

บริเวณที่นั่งชั้น 2 ของร้าน แนะนำมาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ แสงสวยมาก

Cafe Kitsune อีกสาขา บริเวณหน้าทางเข้าสวน Tuileries

Tuileries Garden

สวนสวยที่อยู่ใกล้กับ Louvre เป็น Public space ที่คนฝรั่งเศสมานั่งพักผ่อนหย่อนใจกัน ในขณะที่นักท่องเที่ยวอย่างเราก็เข้ามาหาที่นั่งพักขา และมาถ่ายรูป check-in ซะหน่อย ในปารีสมีสวนสาธารณะสวยๆ หลายแห่ง แต่เนื่องจากเวลาจำกัดเราเลยเลือกมาที่นี่เพราะอยู่ใกล้กับสถานที่อื่นๆ ในแพลนพอดี น่าเสียดายที่ช่วงเราไปมีการปรับปรุงพื้นที่ภายในสวนหลายจุดเพื่อต้อนรับโอลิมปิกฤดูร้อนปีนี้ และถ้ามาช่วง Winter แบบเรา ต้นไม้มันก็จะดูแห้งแล้งไปนิด จะให้ดีพวกสวนแบบนี้ ช่วง Spring-Summer น่าจะสวยสุดแล้วนะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jFkD2cVTo3Rjo6og9

Sunset at Pont Alexandre III

มุมถ่ายรูปบนสะพาน Pont Alexandre III เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตก แต่จริงๆ แล้วจุดนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันเหมือนสะพาน Alma แต่ถ้ามาช่วงเย็นรู้สึกว่าบรรยากาศจะโรแมนติกกว่าช่วงอื่นนิดนึง

ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่แนะนำมาช่วง Sunset และอยู่ต่อจนเปิดไฟ น่าจะสวยมากๆ
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/g9x4toS61ctbJwgu8

Pyramid du Louvre

เริ่มต้นวันที่ 3 กันด้วยบรรยากาศขมุกขมัว โชคดีที่เป็นวันเดียวในทริปนี้ที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ด้วยความที่วันนี้ตรงกับวันอังคารซึ่ง Louvre ปิด เราเลยตั้งใจมาเก็บภาพคู่กับปิรามิด เพราะน่าจะถ่ายรูปสะดวกและติดคนน้อยกว่า ซึ่งบอกเลยว่าคิดไม่ผิด แนะนำว่าถ้าเป็นวันฟ้าเปิด มาตั้งแต่ช่วงเช้าๆ จะดีมากเพราะคนน้อย ถ่ายรูปได้เต็มที่เลย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/9nLU6bMfu2zoECJJ8

มุมแรก บริเวณด้านหน้าปิรามิด บางคนก็ชอบขึ้นไปยืนบนแท่นสีดำแล้วใช้นิ้วจิ้มบนยอดปิรามิด แต่เราชอบมุมนี้แหละ ดูปิรามิดอลังการดี

มุมที่สอง หันหน้าเข้าหาปิรามิด แล้วเดินมาทางฝั่งขวาของปิรามิด จะได้มุมด้านข้าง มีฉากหลังเป็นอาคารเก่าของ Louvre Museum
แนะนำจัดองค์ประกอบให้แบบอยู่กลางปิรามิดและกลางภาพ จะดูสมมาตรและสวยงามแบบในรูป

มุมที่สาม เดินมาฝั่งตรงข้ามของมุมที่สอง เป็นอีกมุมยอดนิยม เพราะเห็นปิรามิดผ่านทางซุ้มประตู
ถ่ายคนสวยทั้งแบบเต็มตัว และครึ่งตัวแบบ Silhouette แต่มุมนี้จะมีคนเดินไปเดินมาตลอด อาจต้องรอจังหวะในการถ่ายภาพนิดนึง

Domaine National du Palais-Royal

เดินจาก Louvre มาไม่ไกล ก็จะพบกับจุดถ่ายรูปยอดนิยมอีกจุดหนึ่ง หลายคนมาตามรอยกันเพราะซีรีส์ Emily in Paris บริเวณนี้คืองานศิลปะที่ชื่อว่า "Les Deux Plateaux" หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ "Colonness de Buren" ตั้งอยู่ในบริเวณ Palais Royal เป็นผลงานของ Daniel Buren ศิลปินชาวฝรั่งเศสที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1985-1986 แนะนำให้มาช่วงเช้าๆ เพราะคนน้อย ถ่ายรูปสะดวกมาก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/s9hCD8mREV311GhC8

Musee d'Orsay

พิพิธภัณฑ์ที่เคยเป็นสถานีรถไฟมาก่อนและเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก เก็บรวมรวมงานศิลปะในประวัติศาสตร์ของศิลปินที่มีชื่อเสียงทั้ง Vincent Van Gogh, Claude Monet, Edgar Degas และอีกมากมาย โชคดีที่เราไปทันช่วงที่เขาจัดนิทรรศการพิเศษของ Van Gogh พอดี ทำให้ได้ชมงานของ Van Gogh ที่นำมาจัดแสดงเฉพาะในงานนี้ด้วย เป็นอีกที่ที่คนรักงานศิลปะไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง และด้วยความที่สถานที่ค่อนข้างใหญ่ คนเยอะ แนะนำให้ซื้อตั๋วมาก่อน และเผื่อเวลาในการเดินชมงานอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมงครับ (เราเดินเจาะเฉพาะงานของ Van Gogh และ Monet) ส่วนใครที่อยากมาถ่ายรูปกับนาฬิกาเรือนใหญ่บนชั้น 5 ของอาคาร แนะนำว่าควรมาตั้งแต่ Museum เปิด เดินเข้าไปด้านในสุด และขึ้นลิฟท์หรือบันไดไปที่ชั้น 5 เลยครับ เพราะถ้ามาช้าคิวถ่ายรูปยาวมากแน่ๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/VUxn3T5wjKATx8Bv9
เวลาเปิด : 9.30 - 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://atth.me/go/qKf1BzOx

บรรยากาศภายใน Musee d'Orsay

บรรยากาศในงาน Van Gogh

จุดถ่ายรูปยอดฮิตบนชั้น 5 ของ Museum

บนชั้นเดียวกัน มีส่วนของร้านอาหารด้วย

ใครชอบงานของ Monet มีให้ชมเยอะอยู่นะ

Kong

ร้านอาหารที่เรามักจะได้เห็นรูปผ่านทาง Social media บ่อยๆ เป็นร้านที่อยู่ชั้นบนของตึก มีมุมกระจกโดมโค้งมองเห็นวิวอาคาร สถาปัตยกรรมสวยๆ ของปารีสเป็นฉากหลัง เราได้เลือกมาทานร้านนี้ช่วงมื้อกลางวันเพราะมี Lunch set มี 2 ราคา คือ 45 Euro (Main dish + appetizer or dessert) และ 55 Euro (appetizer + main dish + dessert) ราคานี้ยังไม่รวมเครื่องดื่ม (และ Tips ตอนจ่ายเงิน) อาหารจะเป็นสไตล์ Asian fusion แบบเดียวกับ La Plume แต่โดยส่วนตัวยกให้รสชาติอาหารที่ La Plume ชนะขาด แต่หากใครอยากแวะมาถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่ก็ตอบโจทย์อยู่นะ

สำรองที่นั่งได้ทาง https://www.sevenrooms.com/reservations/kongparis/goog
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/15nUL6BLu1TfYw8FA

บรรยากาศภายในร้าน

หน้าตาอาหาร 2 Set ที่สั่งมา

Samaritaine

หลังอิ่มท้องที่ Kong แล้ว มีห้างใกล้หรูที่อยู่ติดกันอย่าง Samaritaine ห้างหรูของเครือ LVMH ที่เพิ่ง Renovate เสร็จเมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ภายในอาคารตกแต่งสวยงาม ควรค่าแก่การแวะมาเยี่ยมชม รวมถึงสายช็อป ก็มีแบรนด์ดังหลากหลายแบรนด์ให้ได้เดินช็อปกันได้เต็มที่ แม้ห้างจะไม่ใหญ่นัก แต่ข้อดีคือคนไม่เยอะเมื่อเทียบกับห้างอื่นๆ ที่นักท่องเที่ยวชอบไปกัน บรรยากาศดีงามควรค่าแก่การเสียเงินสุดๆ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ESVi2MtZ2Atyywvj6

Hotel Splendid Etoile

คืนนี้เราย้ายโรงแรมมานอนที่ Hotel Splendid Etoile เพื่อวิวประตูชัยสวยๆ จากห้องพักแบบนี้นี่แหละ หากใครสนใจอยากชมรายละเอียดตามไปอ่านในรีวิวเต็มได้เลยนะ เป็นอีกโรงแรมที่อยากแนะนำอย่างยิ่ง ทั้งวิวสวย และราคาก็ไม่แรงมากด้วย

รีวิวเต็ม http://www.porsuke.com/2024/04/13/hotel_splendid_etoile/
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/qvofM4nVjZcVTv378
สำรองห้องพักได้ที่ https://atth.me/go/7hxr6u36

จากที่พักของเรา สามารถมาเดินเล่นแถวถนนช็อปปิ้ง Champs-Elysees ได้ ตอบโจทย์คนรักการช็อปปิ้งสุดๆ เพราะแถวนี้มีช็อปของ Luxury brands ดังๆ ทั้ง Louis Vuitton ซึ่งกำลังสร้างโรงแรม Louis Vuitton อยู่ด้วย, Dior (สาขานี้มี Museum ), Goyard (สาขา George V), Kith Paris ร้านรวมสินค้า High street multibrand, ร้านขนมชื่อดังอย่าง Pierre Hermé และอีกมากมายให้เดินกันได้ตลอดทั้งวัน

Kith Paris

Arc de Triomphe

ข้อดีของการมาพักที่โรงแรม Hotel Splendid Etoile นั่นคือ เราสามารถออกมาชมวิวประตูชัยหรือ Arc de Triomphe ได้ทั้งวันทั้งคืน และเราก็ได้เริ่มต้นเช้าวันที่ 4 ในปารีสกันด้วยวิวสวยๆ จากระเบียงห้องพักของเรา

เราอาศัยความใกล้ของที่พัก และบรรยากาศในช่วงเช้าที่น่าจะยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมา ไปหามุมถ่ายรูป Arc de Triomphe กันแบบใกล้ๆ ครับ โดยจุดที่เราเลือกถ่ายรูป จะอยู่ระหว่างถนน Champs-Elysees และถนน Marceau ตามพิกัดนี้ https://maps.app.goo.gl/utx4vG3KesGU2itT6 และจะได้ภาพตามรูปด้านบนครับ

ส่วนอีกมุมที่คนนิยมมาถ่ายภาพกัน คือบริเวณเกาะกลางถนน Champs-Elysees เพราะจะได้เห็น Arc de Triomphe อยู่ด้านหลังแบบตรงๆ เลย แต่ส่วนตัวไม่แนะนำเลยครับ เพราะค่อนข้างอันตราย และรบกวนการเดินรถและคนที่ข้ามถนนไปมาด้วย

นอกจากการถ่ายภาพคู่กับ Arc de Triomphe ด้านนอกแล้ว อีกกิจกรรมที่อยากแนะนำ คือ การขึ้นไปชมวิวเมืองปารีสแบบ 360 องศาครับ เพราะนอกจากจะได้เห็นวิวสวยๆ แล้ว ยังได้เข้าไปชมสถาปัตยกรรมทั้งด้านนอกและด้านในของ Arc de Triomphe กันอย่างใกล้ชิดด้วย

แต่การขึ้นไปชมวิวด้านบนนั้น ต้องเดินขึ้นบันไดวนแบบนี้ไป 284 ขั้น มีลิฟท์ให้บริการสำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการด้วยครับ

มาถึงด้านบนก็จะพบกับนิทรรศการเล็กๆ ที่พูดถึงประวัติการสร้าง และมี Model จำลองของ Arc de Triomphe

มีร้านขายของที่ระลึกให้ได้แวะเสียเงินกันด้วย

ขึ้นมาบน Rooftop เราก็จะพบกับวิวเมืองปารีสแบบ 360 องศาครับ
และนี่คือวิวฝั่งเมืองใหม่ของปารีส จะเห็นตึกสูงทันสมัย ต่างจากโซนเมืองเก่าที่เป็นโซนท่องเที่ยวอย่างมาก

ฝั่งนี้จะมองเห็น Montmarte ซึ่งเราจะไปชมพระอาทิตย์ตกกันเย็นนี้

และมุมไฮไลท์คงหนีไม่พ้นฝั่ง Eiffel Tower ที่อยู่ท่ามกลางตึกเก่าสไตล์ปารีส
แนะนำว่ามาช่วงเย็นจนถึงฟ้ามืด และรอจนกระทั่งหอไอเฟลเปิดไฟ น่าจะได้บรรยากาศที่สวยมาก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/jRYKswt3ZFGR2ZpE6
เวลาเปิด : 10.00 - 22.15 น.
ซื้อบัตรเข้าชมได้ที่  https://atth.me/go/hiGlfcec 

Cafe Nuances

แบรนด์กาแฟสัญชาติฝรั่งเศสที่ก่อตั้งโดยสองพี่น้อง Charles และ Raphaël Corrot ที่ชื่นชอบและมี Passion ที่อยากยกระดับกาแฟด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และ สร้าง Café Nuances ให้เป็นสถานที่ที่คนรักกาแฟจะมาดื่มกาแฟ และเสพงานศิลปจากการออกแบบภายในร้าน และมี background เป็นเสียงดนตรี เปิดประสบการณ์การฟังที่กระตุ้นให้สัมผัสถึงกลิ่นหอมของกาแฟ และต่อมรับรสเพื่อเขาถึงรสชาติของกาแฟที่คัดสรรโดยบาริสต้าของทางร้าน
กาแฟของทางร้านจะมีเมล็ดให้เลือกทั้งหมด 5 แบบ ได้แก่ Slow dance, Rose des sables, Wabi, Coffee & Cigarettes และ Meteorite โดยสามารถเลือกสั่งแบบ Espresso หรือ slow bar ก็ได้ และเลือกซื้อเมล็ดกลับไปที่บ้านได้เช่นกัน
สาขาที่เรามาอยู่ไม่ไกลจาก Arc de Triomphe เป็นสาขาใหม่ที่ออกแบบโดย "Uchronia" Studio ชื่อดังของปารีส โดยมี concept ในการออกแบบ คือ "Sunsets in the Tunisian desert" เห็นได้จากการใช้สีแดงเป็นสีหลัก ตัดกับภายนอกร้านสีขาว และมีการไล่สีต่างๆ ภายในร้าน ทำให้คาเฟ่เล็กๆ เพียง 1 ห้องแห่งนี้ ดูโดดเด่น และ ไม่ทิ้งความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ แนะนำว่าไม่ควรพลาดครับ
เวลาเปิด
จันทร์ - ศุกร์ : 8:00 AM - 6PM
เสาร์ - อาทิตย์: 9:00 AM - 6PM

Pont de l'Alma

เป็นอีกสะพานในปารีสที่ไม่แมส คนไม่เยอะเท่าที่อื่น แต่วิวหอไอเฟลสวยมาก ซึ่งจากบริเวณนี้สามารถเดินต่อไปยังจุดถ่ายรูปอื่นๆ ได้ไม่ไกล และนอกจากมุมบนสะพานแล้ว แนะนำให้เดินเลียบทางเดินฝั่งขวาของแม่น้ำ (ถ้าหันหน้าเข้าหอไอเฟลนะ) ตลอดทางเดินสามารถเดินถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เลย ไม่มีคนวุ่นวายกวนใจการถ่ายรูปแน่นอน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gu4zWVCc1bmrAvyv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามาช่วงเช้าจะไม่ย้อนแสง
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง

228 Rue de l'Universite

วิวหอไอเฟลจากมุมตึก อีกจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจุดนี้ค่อนข้างถ่ายยาก เพราะหอไอเฟลอยู่ค่อนข้างใกล้ และมีคนมาถ่ายรูปเยอะมาก ทำให้ต้องหามุมหลบคนไปอีก แต่ก็นับว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สวย และน่ามาถ่ายรูป check-in กันสักหน่อย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uKKUVQP2DzmD63C3A
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน (คนเยอะตลอดทั้งวัน 555)
Tips : ระวังกระเป๋าและทรัพย์สินตลอดเวลา เพราะคนเยอะ และอาจมี Homeless เดินมาประชิดตัวเพื่อขอเงินได้ (เพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ) ส่วนเลนส์ที่แนะนำสำหรับมุมนี้ควรใช้ Wide หรือ Ultrawide ไปเลย เพราะจะสามารถเก็บหอไอเฟลได้ทั้งหมด

L'Howea

มุมถ่ายรูปหน้าร้านดอกไม้ L’Hoewa เป็นจุดที่คนชอบมาถ่ายรูป Pre-wedding กัน หากไม่ลำบากเรื่องทุนทรัพย์ก็แวะไปอุดหนุนดอกไม้จากที่ร้านสักช่อ เอามาถือเป็น Prop สำหรับถ่ายรูปก็ดีนะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/btVvPxfyCdsgHnAG7
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า – ช่วงสาย (เพราะแสงจะส่องเข้าหน้าร้านพอดี ไม่ย้อนแสง) น่าเสียดายวันที่เราไปไม่มีแสง
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน ซึ่งตรงนั้นจะมีไฟแดง อาจจะต้องรอจังหวะเวลา เพราะมีคนเดินสัญจรไปมาตลอด

Au Canon des Invalides

มุมถ่ายรูปบริเวณหน้าร้าน Au Canon des Invalides เป็นอีกจุดหนึ่งที่เห็นหอไอเฟลได้ชัดเจน มุมคล้ายกับหน้าร้านดอกไม้ แต่จุดนี้จะเห็นหอไอเฟลอยู่ไกลกว่า โดยส่วนตัวเราว่ามุมนี้ถ่ายง่าย และองค์ประกอบภาพสวยกว่าหน้าร้านดอกไม้นะ ยิ่งถ้ามีเลนส์ Tele สามารถดึงระยะหอไอเฟลให้เข้ามาใกล้ๆ ได้ ยิ่งดูสวยเลยแหละ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JpaeGEngEs5P51Z89
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า – ช่วงสาย
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน อาจจะต้องระวังรถนิดนึงเพราะไม่มีสัญญาณไฟ ใกล้ๆ กันจะมีร้าน Le Recrutement เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน


Hotel La Comtesse Tour Eiffel

คืนสุดท้ายที่ปารีส เราเลือกมาพักที่โรงแรม La Comtesse Tour Eiffel ซึ่งอยู่ในเขต 7 ของปารีส ไฮไลท์ของโรงแรม คือ ทุกห้องสามารถมองเห็นวิวจากหอไอเฟลได้ และห้องที่สวยที่สุด คือ ห้องพักแบบ Prestige Comtesse Room with Balcony แต่เนื่องจากเราต้องออกไปสนามบินตั้งแต่เช้ามืด เลยจองห้องพักแบบ Classic Baronne Double Room With Side Eiffel Tower View ซึ่งเป็นห้องเริ่มต้นมาแทน (ช่วงที่เราจองมาราคาประมาณ 200 Euro / คืน)

Tips : แนะนำว่าควรจองห้องพักที่มีระเบียง เพราะจะสามารถเดินออกมาถ่ายรูปกับหอไอเฟลได้ (สามารถ request กับทางโรงแรมตั้งแต่จองได้ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/CVYBwEaV2yngMhoR7
สำรองห้องพักได้ที่ https://atth.me/go/g07HOH46

บริเวณ Lobby ของโรงแรม

บริเวณ Lobby ของโรงแรม

ภายในห้องพักแบบ Classic Baronne Double Room With Side Eiffel Tower View ขนาดห้องประมาณ 14 ตร.ม. เล็กตามมาตรฐานปารีส และน่าจะเป็นห้องพักที่เล็กที่สุดในโรงแรมทั้งหมดที่เราไปพักมาในทริปนี้ อาจไม่ตอบโจทย์คนที่มีสัมภาระเยอะ หรือต้องการความสะดวกสบายเท่าไร ส่วนห้องน้ำก็เป็นกระจกใส มีกั้นทึบให้ฝั่งที่ติดกับเตียงนอน หากอยากพักที่นี่แนะนำเลือกห้องแบบ Deluxe ขึ้นไป (ขนาดประมาณ 26 ตร.ม.) จะดีกว่ามากครับ

ห้องที่เรามาพักไม่มีระเบียง (แอบเสียดายเล็กน้อย) ถ้าอยากได้ห้องมีระเบียงต้องเสียเงินเพิ่ม (ถ้าจำไม่ผิดน่าจะ 50 Euro/คืน)
เวลาจะถ่ายรูปก็จะลำบากนิดนึง

วิวจากห้องพักของเรา

Sunset at Montmarte

เดิมที่แล้วเราไม่ได้มีแพลนจะขึ้นมาชมวิวที่ Montmarte เหตุผลหลักคือกลัวโจร และคิดว่ามุมสูงของปารีสเราก็ได้ไปถ่ายมาแล้ว  แต่โชคดีที่เพื่อนที่อยู่ปารีสซึ่งมีนัดทานข้าวกันตอนเย็นวันนั้น เห็นว่ายังไม่ได้ไป เลยขับรถพาขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกกันอย่างเร่งด่วน เลยอาจจะไม่ได้แนะนำวิธีการเดินทางขึ้นมานะครับ แต่พอได้มาแล้วก็รู้สึกว่าเป็นอีกที่ที่สวยงาม และสมกับที่นักท่องเที่ยวมากันเยอะมากเลยจริงๆ (และโชคดีที่เราไม่เจอโจร แต่ก็ระวังตัวสุดๆ เหมือนกัน เพราะคนเยอะมาก)

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/YcVt5JLkc9Chbexf7

Sinking Building หรือตึกที่เหมือนกำลังจะจมลงไปในพื้นดิน เป็นอีกมุมหนึ่งที่อยากมาถ่ายภาพด้วยตัวเอง

นักท่องเที่ยวมากันเพียบ

ถ่ายรูปวิวกันพอประมาณ รีบเดินเข้ามาชมด้านในโบสถ์กันหน่อยครับ

สถาปัตยกรรมด้านในสวยงาม อลังการมาก

มีบางมุมสามารถมองเห็นหอไอเฟลได้ด้วย

Champ de Mars

ปิดท้ายทริปปารีสครั้งแรกของเรากันที่ Champ de Mars ซึ่งเป็นอีกจุดที่คนนิยมมานั่งชมหอไอเฟลกันในช่วง Sunset จนถึงช่วงเปิดไฟ น่าเสียดายช่วงที่เราไป ตรงสนามหญ้าที่ปกติสามารถเข้าไปนั่งได้ ตอนนั้นเขากั้นรั้วไว้เพื่อปิดปรับปรุงสถานที่สำหรับกีฬา Olympic แต่การได้มายืนชมหอไอเฟลเปิดไฟระยิบระยับตรงบริเวณนี้ก็ไม่ควรพลาดจริงๆ นะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7kxX28yxkVUDxdea9

และนี่ก็เป็น 4 วัน 4 คืน กับทริปปารีสครั้งแรกของเราครับ โดยส่วนตัวก่อนมาเที่ยวปารีสค่อนข้างกังวลมากๆ กับการเตรียมตัว จัดแพลน และกลัวที่สุดกับเรื่องโจรในปารีส แต่พอได้มาเที่ยวจริงแล้ว หากเราระวังตัว มีสติตลอดเวลา หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เต็มไปด้วยโจร (โดยเฉพาะในสถานีรถไฟต่างๆ) จัดแพลนในแต่ละวันให้อยู่ในโซนเดียวกัน เพื่อประหยัดเวลา เซฟค่าเดินทาง เลือกที่พักที่มาตรฐาน สะอาดและปลอดภัย อย่าออกไปเดินเล่นตอนกลางคืนในโซนที่ไม่ควรไป บางครั้งก็ต้องยอมจ่ายเพื่อแลกกับความสบายใจและความปลอดภัยของเราบ้าง เพียงเท่านี้ก็จะทำให้ทริปปารีสของเราราบรื่น และได้ความประทับใจกลับมาครับ


9 Spots for Shooting Eiffel Tower

9 Best Spots for Shooting Eiffel Tower

มาถึงปารีสทั้งที ใครๆ ก็อยากจะมาถ่ายรูปกับ Landmark ของเมืองอย่างหอไอเฟล เราจึงรวบรวมจุดถ่ายรูปหอไอเฟลที่เราได้ไปแวะเวียนถ่ายภาพกลับมาทั้งหมด 9 สถานที่ รับรองว่าได้รูปคู่กับหอไอเฟลสวยๆ แน่นอน และที่สำคัญทุกสถานที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าแต่อย่างใด ส่วนจะมีที่ไหนบ้าง ตามมาอ่านกันได้เลยครับ

  1. Trocadéro
  2. Av. de Camoens
  3. Pont de Bir Hakeim
  4. Alma's Bridge
  5. 228 Rue de l'Université
  6. L'Hoewa
  7. Au Canon des Invalides
  8. Pont Alexandre III
  9. Champ de Mars

Trocadéro

เริ่มกันที่สถานที่ยอดฮิตสำหรับนักท่องเที่ยว และเป็นจุดที่ควรมาชมด้วยตาตัวเองสักครั้ง นั่นคือ Trocadéro โดยจุดนี้จะสามารถชมหอไอเฟลได้แบบเต็มตา ไม่มีอะไรกั้น และมองเห็นได้จากมุมสูง จุดที่ถ่ายสวยมีหลายจุด แต่หลักๆ ก็จะเป็นบริเวณกึ่งกลางลาน และบริเวณบันไดทั้งสองฝั่ง แนะนำว่าหากอยากเลี่ยงคนเยอะให้มาถ่ายตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้น

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/swGLkt4kUcf51jYH6
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า (ถ้ามาตอนพระอาทิตย์ขึ้นได้จะดีมาก เพราะแสงจะสวย)
Tips : ถ้ามาช่วงเช้าเวลาถ่ายรูปจะย้อนแสง (แต่แลกกับปริมาณคนที่น้อยก็คุ้มอยู่) แนะนำว่าอย่ามาตอนสายๆ เพราะจะถ่ายรูปยาก หากมีเลนส์ Tele จะถ่ายหอไอเฟลได้สวยมากๆ แต่หากไม่มี ระยะเลนส์ประมาณ 28-35 mm กำลังดีสำหรับการเก็บภาพคนและหอไอเฟลแบบเต็มๆ

บริเวณกลางลานด้านบน

วางแบบให้อยู่กึ่งกลางตรงกับหอไอเฟล ถ่ายย้อนแสงจ้าๆ แบบนี้ก็สวยไปอีกแบบ

บริเวณบันไดลงไปที่สวน มีทั้งฝั่งซ้ายและขวา ฝั่งไหนคนน้อยรีบวิ่งไปจับจองที่ได้เลย
(ตอนนี้ไม่สามารถนั่งบนราวบันไดได้แล้วนะครับ)

Av. de Camoens

อีกจุดยอดฮิตที่โด่งดังมาจากซีรีส์ Emily in Paris เป็นจุดถ่ายรูปที่ให้ฟีลปารีเซียงสุดๆ เพราะนอกจากจะได้วิวเป็นหอไอเฟลแบบใกล้ๆ แล้ว ยังได้ตึกสวยๆ ที่มองปุ๊บก็รู้เลยว่าอยู่ปารีสแน่นอนมาเป็น Background ประกอบให้ด้วย สามารถเดินต่อมาได้ไม่ไกลจาก Trocadéro

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/D3SQSzVdYcH1nqsy9
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ทั้งเช้าและบ่าย (แนะนำว่ามาช่วงสายๆ ให้พระอาทิตย์ขึ้นสูงสักหน่อย แสงจะส่องเข้ามาบริเวณตึก)
Tips : ควรมาช่วงเช้าเพราะคนไม่เยอะ ใช้เลนส์ระยะสัก 28-35 mm กำลังดี

เป็นอีกจุดที่สวย และเห็นหอไอเฟลได้ใกล้มาก

Pont de Bir Hakeim

ถ่ายรูปหอไอเฟล คู่กับรางรถไฟเหล็ก เป็นอีกจุดที่หนังเรื่อง Inception มาถ่ายทำ จุดนี้สามารถถ่ายรูปเราคู่กับหอไอเฟล หรือจะถ่ายรูปคู่กับสะพานก็สวย บริเวณใต้รางรถไฟจะเป็นเลนจักรยาน เวลาถ่ายรูปอาจจะต้องระวังนิดนึง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/87uMGC1YscDpcymv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า ถ่ายรูปบริเวณนี้จะไม่ย้อนแสง
Tips : ถ่ายรูปเสร็จแล้ว แนะนำให้ขึ้นไปถ่ายรูปหอไอเฟลจากบนรถไฟสาย 6 นั่งไป-กลับจากสถานี Passy ไปสถานี Bir Hakeim แต่ระวังโจรกันด้วยนะ

มุมใต้รางรถไฟที่หลายๆ คนอาจจะเคยเห็นในหนังเรื่อง Inception

Alma's Bridge

เป็นอีกสะพานในปารีสที่ไม่แมส คนไม่เยอะเท่าที่อื่น แต่วิวหอไอเฟลสวยมาก ซึ่งจากบริเวณนี้สามารถเดินต่อไปยังจุดถ่ายรูปอื่นๆ ได้ไม่ไกล และนอกจากมุมบนสะพานแล้ว แนะนำให้เดินเลียบทางเดินฝั่งขวาของแม่น้ำ (ถ้าหันหน้าเข้าหอไอเฟลนะ) ตลอดทางเดินสามารถเดินถ่ายรูปได้เรื่อยๆ เลย ไม่มีคนวุ่นวายกวนใจการถ่ายรูปแน่นอน

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gu4zWVCc1bmrAvyv5
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้ามาช่วงเช้าจะไม่ย้อนแสง
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง

228 Rue de l'Université

วิวหอไอเฟลจากมุมตึก อีกจุดถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยว โดยส่วนตัวรู้สึกว่าจุดนี้ค่อนข้างถ่ายยาก เพราะหอไอเฟลอยู่ค่อนข้างใกล้ และมีคนมาถ่ายรูปเยอะมาก ทำให้ต้องหามุมหลบคนไปอีก แต่ก็นับว่าเป็นอีกจุดหนึ่งที่สวย และน่ามาถ่ายรูป check-in กันสักหน่อย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/uKKUVQP2DzmD63C3A
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน (คนเยอะตลอดทั้งวัน 555)
Tips : ระวังกระเป๋าและทรัพย์สินตลอดเวลา เพราะคนเยอะ และอาจมี Homeless เดินมาประชิดตัวเพื่อขอเงินได้ (เพราะนักท่องเที่ยวมากันเยอะ) ส่วนเลนส์ที่แนะนำสำหรับมุมนี้ควรใช้ Wide หรือ Ultrawide ไปเลย เพราะจะสามารถเก็บหอไอเฟลได้ทั้งหมด

L'Hoewa

มุมถ่ายรูปหน้าร้านดอกไม้ L'Hoewa เป็นจุดที่คนชอบมาถ่ายรูป Pre-wedding กัน หากไม่ลำบากเรื่องทุนทรัพย์ก็แวะไปอุดหนุนดอกไม้จากที่ร้านสักช่อ เอามาถือเป็น Prop สำหรับถ่ายรูปก็ดีนะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/btVvPxfyCdsgHnAG7
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า - ช่วงสาย (เพราะแสงจะส่องเข้าหน้าร้านพอดี ไม่ย้อนแสง) น่าเสียดายวันที่เราไปไม่มีแสง
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน ซึ่งตรงนั้นจะมีไฟแดง อาจจะต้องรอจังหวะเวลา เพราะมีคนเดินสัญจรไปมาตลอด

Au Canon des Invalides

มุมถ่ายรูปบริเวณหน้าร้าน Au Canon des Invalides เป็นอีกจุดหนึ่งที่เห็นหอไอเฟลได้ชัดเจน มุมคล้ายกับหน้าร้านดอกไม้ แต่จุดนี้จะเห็นหอไอเฟลอยู่ไกลกว่า โดยส่วนตัวเราว่ามุมนี้ถ่ายง่าย และองค์ประกอบภาพสวยกว่าหน้าร้านดอกไม้นะ ยิ่งถ้ามีเลนส์ Tele สามารถดึงระยะหอไอเฟลให้เข้ามาใกล้ๆ ได้ ยิ่งดูสวยเลยแหละ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JpaeGEngEs5P51Z89
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ช่วงเช้า - ช่วงสาย
Tips : มุมที่สวยจะเป็นมุมเดินข้ามถนน อาจจะต้องระวังรถนิดนึงเพราะไม่มีสัญญาณไฟ ใกล้ๆ กันจะมีร้าน Le Recrutement เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปกัน

Pont Alexandre III

มุมถ่ายรูปบนสะพาน Pont Alexandre III เป็นอีกจุดที่คนนิยมมาถ่ายรูปในช่วงพระอาทิตย์ตก แต่จริงๆ แล้วจุดนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ตลอดทั้งวันเหมือนสะพาน Alma แต่ถ้ามาช่วงเย็นรู้สึกว่าบรรยากาศจะโรแมนติกกว่าช่วงอื่นนิดนึง

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/g9x4toS61ctbJwgu8
ช่วงเวลาที่แนะนำ : ได้ตลอดทั้งวัน แต่แนะนำมาช่วง Sunset และอยู่ต่อจนเปิดไฟ น่าจะสวยมากๆ
Tips : ตอนถ่ายรูปบนสะพานอาจจะต้องระวังกระเป๋า และผู้คนที่เดินไปมานิดนึง

Champ de Mars

จุดสุดท้ายที่น่าจะใกล้ชิดกับหอไอเฟลได้มากที่สุด เป็นอีกจุดที่คนนิยมมานั่งชมหอไอเฟลกันในช่วง Sunset จนถึงช่วงเปิดไฟ น่าเสียดายช่วงที่เราไป ตรงสนามหญ้าที่ปกติสามารถเข้าไปนั่งได้ ตอนนั้นเขากั้นรั้วไว้เพื่อปิดปรับปรุงสถานที่สำหรับกีฬา Olympic แต่การได้มายืนชมหอไอเฟลเปิดไฟตรงบริเวณนี้ก็ไม่ควรพลาดจริงๆ นะ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/7kxX28yxkVUDxdea9

แถมให้กับอีก 2 สถานที่ สำหรับใครที่อยากชมวิวหอไอเฟลจากมุมสูง

Galeries Lafayette Rooftop

จุดชมพระอาทิตย์ตก และวิวหอไอเฟลมุมสูง ที่สวย และที่สำคัญคือ ฟรี!
จะมีข้อเสียเพียงอย่างเดียวก็คือ นักท่องเที่ยวเยอะมากกกกกกกกกกกก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/XGLADozXETFjn3AR9

Arc de Triomphe Rooftop

บริเวณ Rooftop ของ Arc de Triomphe เป็นจุดชมวิวเมืองปารีสที่สวยมาก และมองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา แนะนำว่ามาช่วงเย็นจนถึงฟ้ามืด และรอจนกระทั่งหอไอเฟลเปิดไฟ น่าจะได้บรรยากาศที่สวยมาก แต่ข้อเสียก็คือ ไม่ฟรี และต้องเดินขึ้นบันได เหนื่อยพอสมควร (สำหรับผู้สูงอายุมีลิฟท์ให้ขึ้นนะ แต่ก็แอบลำบากอยู่ดี)

ค่าเข้าชม 16 Euro (สามารถซื้อตั๋วที่ทางเข้าได้เลย)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/Gp6JjueCv4Vsx5fWA


I N E : หมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น

I N E : Fishing Village / Kyoto
หมู่บ้านชาวประมงที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น

หลายคนคงจะเคยเห็นภาพบ้านไม้เรียงราย มีฉากหน้าเป็นพื้นน้ำสีฟ้าสด ฉากหลังเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่หลากหลายพันธุ์ และหมู่บ้านแห่งนั้น คือ "Ine" หรือชื่อเต็มคือ "Ine no Funaya" หมู่บ้านชาวประมงในจังหวัดเกียวโต

เมือง Ine อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเกียวโต โดยหมู่บ้านจะตั้งเรียงรายตามแนวเส้นโค้งที่ทอดยาวของอ่าว Ine โดยมีบ้านที่เรียกว่า Funaya ซึ่งมีลักษณะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นที่จอดเรือ ส่วนชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัย ซึ่งปัจจุบันนี้ Funaya หลายหลังก็ได้แปลงสภาพเป็นที่พักให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัสบรรยากาศ และเสน่ห์ของหมู่บ้านได้อย่างใกล้ชิด

การท่องเที่ยวใน Ine ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็พอ เพราะหมู่บ้านไม่ได้ใหญ่มากนัก ในรีวิวนี้เราจะมาแนะนำจุดหลักๆ ที่ควรแวะไปถ่ายรูป เหมาะกับคนที่มีเวลาเที่ยวประมาณ 3-4 ชม. สามารถเดินเที่ยวบริเวณหมู่บ้านหรือจะเช่าจักรยานก็ได้ มีบริการล่องเรือชมอ่าว Ine มีคาเฟ่ ร้านอาหาร (ควรเช็คเวลาเปิด-ปิด ของแต่ละร้านก่อนมา) แต่หากใครมีเวลามากกว่านั้น และอยากพักผ่อนแบบ slow life การมาพักที่นี่สักคืนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศก็ดีเหมือนกันนะ

สำหรับเลนส์ระยะที่เหมาะกับการถ่ายภาพที่ Ine แนะนำระยะตั้งแต่ 50mm ขึ้นไป เพราะพื้นที่ค่อนข้างกว้าง ถ่ายภาพคน + ฉากหลัง ระยะกำลังดีครับ (ยกเว้นที่ Ine cafe ภายในร้านควรใช้ระยะกว้างกว่า 50mm หรือถ้าถ่ายภาพคนก็พอได้อยู่ครับ)

การเดินทางมาเที่ยว Ine สามารถมาได้ทั้งทางรถสาธารณะ (รถไฟจาก Kyoto มาลงที่สถานี Amanohashidate และต่อรถบัสมาที่ Ine) หรือจะเช่ารถขับมาแบบเราก็ได้ ซึ่งเป็นวิธีที่เราแนะนำมากกว่า เพราะประหยัดเวลา สะดวก ยืดหยุ่น และประหยัดกว่าหากเดินทางมากกว่า 2 คนขึ้นไป โดยการเดินทางครั้งนี้เราขับรถตรงมาจากสนามบินคันไซ มาแวะพักค้างคืนที่ Amanohashidate และขับรถมาที่ Ine ในช่วงสายๆ ของอีกวัน ก่อนจะกลับเข้า Kyoto ในช่วงบ่าย (ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.ครึ่ง)

Shichimenyama Parking Lot

หากใครขับรถมา แนะนำให้มาจอดรถบริเวณนี้ เพราะจุดนี้เป็นไฮไลท์และมีมุมถ่ายรูปหมู่บ้านสวยๆ หลายมุมมาก และสามารถถ่ายได้ทั้งเช้าและบ่าย อาจจะมีแสงแตกต่างกันเล็กน้อย แต่สวยงามทั้งสองช่วงเวลา ส่วนค่าจอดรถฟรี 30 นาทีแรก และจะคิด 100 เยนในทุกๆ 30 นาทีหลังจากนั้น

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/sye2pdsUbWcoNryv7

จุดนี้อยู่ใกล้กับทางเข้าที่จอดรถ ช่วงบ่ายแสงจะดีกว่าช่วงเช้า

หากพอมีเวลา แนะนำล่องเรือชมวิวหมู่บ้าน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อรอบ
สามารถให้อาหารนกพิราบบนเรือได้ด้วย

เดินมาทางอีกฝั่งของลานจอดรถจะได้มุมหมู่บ้านอีกฝั่งหนึ่ง ฝั่งนี้แสงจะสวยตอนช่วงสายๆ ประมาณ 9-10 โมงเช้า
พิกัด(บริเวณหน้าห้องน้ำสาธารณะ) : https://maps.app.goo.gl/uRakqY28C3DqC7xUA

ยังอยู่กันที่ลานจอดรถเดิม แต่ให้เดินมาบริเวณที่มีทางยื่นไปใกล้กับหมู่บ้าน จะได้มุมยอดนิยมที่ใครมาก็ต้องมาถ่ายภาพตรงนี้
จุดนี้แสงจะดีในช่วงบ่าย แต่น่าเสียดายที่ตอนเราไปค่อนข้างครึ้ม แสงเลยไม่ค่อยสวย

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/WA9hLd2oKogvboii6

ระหว่างทางเดินจากลานจอดรถไปที่ Ine Cafe. มีมุมทางเดินเข้าหมู่บ้านที่ถ่ายรูปสวยมาก รูปนี้ถ่ายประมาณ 11 โมงเช้า
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ZmLDATCfZSVXBexD9

ระหว่างทางเดินไป Ine Cafe

Ine Cafe

คาเฟ่ชื่อดังของ Ine ที่ควรมาอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้ชมวิวสวยๆ จากในร้านแล้ว ขนม และ Lunch Menu ของทางร้านอร่อยมาก แต่แนะนำว่าควรมารอตั้งแต่ก่อนร้านเปิดสักครึ่ง ชม. เพราะขนาดเรามาวันธรรมดายังมีคนมาต่อคิวก่อนร้านเปิดกันหลายคน

ร้านเปิดเวลา 11.00 - 16.30 น. (ปิดทุกวันพุธ)
พิกัด : https://maps.app.goo.gl/ARQUwYdKxNbY84j2A

ระหว่างรอเข้าร้าน มีมุมหน้าร้านถ่ายรูปสวยๆ ได้นิดหน่อย

เข้ามาในร้านก็จะเจอมุมนี้ วิวสวยมาก

เราได้ที่นั่งชั้น 2 ริมหน้าต่าง ซึ่งที่นั่งตรงนี้วิวดีมาก แต่จำกัดสำหรับลูกค้าที่มากัน 2 คนเท่านั้น

ขนมอร่อย หน้าตาดี ถ่ายรูปสวย

จิบกาแฟไป ชมวิว Ine ไปด้วย

Lunch Set เป็นข้าวหน้าปลาดิบทั้ง 2 เมนู ปลาสดมาก ซอสที่ราดมาในข้าวก็อร่อยมาก แนะนำสุดๆ

Wadatsumi Sushi Restaurant

ร้านซูชิที่อยู่ติดกับ Ine cafe เป็นร้านอาหารที่ได้คะแนนรีวิวค่อนข้างดี ตั้งใจว่าจะไปทานมื้อกลางวันที่ร้านก่อนกลับไป Kyoto แต่น่าเสียดายวันที่เราไปร้านปิด หากใครมีโอกาสมา Ine หรือได้มาค้างคืนที่นี่ ลองแวะมาทานกันดูนะครับ

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/T3UdJf6ASm3PGffGA


teamLab : A Forest Where Gods Live

teamLab : A Forest Where Gods Live

หากจะพูดถึงงาน Digital Art ชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงคงไม่พ้น "teamLab" กลุ่มคนรักศิลปะที่รวมตัวผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพ มาร่วมกันสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบใหม่ และจัดแสดงผลงานในหลายประเทศทั่วโลก และคราวนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชม 1 ในนิทรรศการของ teamLab ที่ต้องบอกว่าเขาเล่นใหญ่มากจริงๆ เพราะงานนี้จัดที่ Mifuneyama Rakuen Park สวนที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1845 ในจังหวัด Saga และมีพื้นที่กว้างถึง 500,000 ตารางเมตร โดย artwotk ทั้งหมด จะกระจายไปตามจุดต่างๆ ทั้งในสวน และภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยรีวิวนี้เราจะพาไปชม artwork ที่ไม่ควรพลาดของงานนี้ และ จุดถ่ายรูปต่างๆ เผื่อใครมีแพลนจะเดินทางมาชมงาน จะได้มีข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเตรียมตัวกันครับ

พื้นที่จัดงานหลักๆ แบ่งเป็นสองส่วน คือ ภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen เป็นบริเวณที่สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ภายในมีร้านชาให้บริการ เปิดตั้งแต่ 11.00 น. (แนะนำว่าถ้าไม่ได้มาพักโรงแรมก็ควรไปอุดหนุนร้านชานะครับ เพราะข้างในถ่ายรูปสวยมาก) อีกส่วนคือภายในสวนซึ่งเป็นพื้นที่กลางแจ้ง จะเปิดไฟในช่วงเย็น (ตามเวลาที่แจ้งไว้ด้านล่าง) แนะนำว่าหากใครแพลนมาชมงาน มาถึงสักช่วงบ่ายๆ เป็นต้นไปก็น่าจะพอดีกับช่วงที่เปิดไฟ สำหรับรายละเอียดของ artwork จุดต่างๆ เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ภายในรีวิวนี้ครับ

การเดินทางมาชมงาน ตั้งต้นจากสถานี Hakata สามารถนั่งรถไฟสาย Relay Kamome หรือ Kasasaki (สายเดียวกับที่ไป Huis Ten Bosch) ใช้เวลาประมาณ 45 - 60 นาที มาลงที่สถานี Takeo-Onsen แนะนำให้ต่อ Taxi มาลงที่โรงแรม Mifuneyama Rakuen (ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ค่ารถประมาณ 1,000-1,200 เยน) หากใครอยากประหยัดก็สามารถนั่งรถบัสมาได้ หรือถ้าเช่ารถขับมา บริเวณหน้างานก็มีลานจอดรถให้บริการเช่นกัน (แถวโรงแรมไม่ค่อยมีร้านอาหาร นอกจากร้านในโรงแรม มีแต่ร้านขายขนมและของฝากทั่วไปตรงบริเวณทางเข้างาน หากใครต้องการเรียก Taxi ให้ทางร้านโทรเรียกได้ แต่ช่วยอุดหนุนของกินเล็กๆ น้อยๆ ภายในร้านกันด้วยนะครับ)

ค่าเข้าชมงาน 12oo เยน
งานจัดตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม - 5 พฤศจิกายน 2023

เวลาเข้าชมงาน (บริเวณภายในสวน)
14 กรกฎาคม - 10 กันยายน :  19.00 - 22.30 น.
11 กันยายน - 8 ตุลาคม :  18.00 - 22.30 น.
9 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน :  17.00 - 22.30 น.

รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.teamlab.art/e/mifuneyamarakuen/

มาชมแผนที่ของงานนี้กันก่อนครับ (แนะนำเซฟรูปนี้เก็บไว้ได้เลย ใช้วางแผนสำหรับการเดินชม) โซนที่เราสามารถชมงานได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน คือ ภายในโรงแรมโซน A และ G (ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ของพื้นที่ แต่เราไม่ได้ไปนะ เพราะเดินค่อนข้างไกล และมีช่วงเวลาจำกัดที่เปิดให้เข้าชม) ส่วนโซนอื่นๆ ต้องชมในช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตกเป็นต้นไป ซึ่งในรีวิวนี้ เราจะพาไปชมโซน A, B, C, D และ E กันครับ

A1  :  Forest and Spiral of Resonating Lamps - One Stroke

จุดเริ่มต้นของเราคือ โรงแรม Mifuneyama Rakuen เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับ Lobby และเป็น 1 ใน artwork ของงานนี้ โดยจะเป็นโคมไฟสีต่างๆ กระจายไปทั่งทั้งห้อง เป็น Lobby ของโรงแรมที่พื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ความสวยงามนี่ต้องยกให้เป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว

ถ่ายรูปเพลินมาก แต่ระวังหัวหรือตัวจะไปกระแทกกับโคมไฟนะ

จากรูปจะเห็นว่าโคมไฟห้อยลงมาต่ำ เวลาถ่ายรูปอาจจะเผลอไปกระแทกได้ ระวังกันด้วยนะ

ติดกับ Lobby ของโรงแรมจะเป็นร้านชา "EN TEA HOUSE" ซึ่งร้านชาจะมี 2 จุดนะ อีกจุดจะอยู่ในสวน ซึ่งจะเปิดในช่วงเย็น ส่วนจุดแรกที่อยู่ในโรงแรมเปิดตั้งแต่ 11.00 น. แวะมาถ่ายรูปแล้วก็อุดหนุนชาของโรงแรมกันสักหน่อย

ถ่ายรูปจากร้านชาออกไปก็สวยงามไปอีกแบบ

A2  :  Life Survives by the Power of Life II

เดินเข้ามาในห้องติดกับร้านชา จะเจอกับภาพของต้นไม้ต้นหนึ่งที่ความสวยงามจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล

A3  :  Life Sculpture of Flames

B1  :  Universe of Fire Particles in a Decaying Underground Passage

หลังจากเรากลับมา งานนี้ก็ปิดปรับปรุง เป็นการฉายภาพไฟในทางเดินที่คล้ายกับอุโมงมืดๆ มีเพียงแสงไฟจากโคมเล็กๆ ริมทาง
พื้นที่จัดแสดงงานนี้ ไม่เหมาะกับคนที่กลัวความมืดและพื้นที่แคบนะครับ

B2  :  Megaliths in the Bath House Ruins

เป็นอีกห้องไฮไลท์ของงานที่เราใช้เวลาถ่ายรูปนานมาก เพราะแท่งไฟในห้องจะมีการเปลี่ยนสีสัน เปลี่ยน Pattern ไปเรื่อยๆ และมีความสวยงามแตกต่างกันไป เป็นจุดที่ควรมาถ่ายทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนเพราะให้บรรยากาศและความสวยงามที่ไม่เหมือนกัน แต่หากใครเวลาจำกัด แวะมาถ่ายรูปช่วงกลางวันแบบเราก็ได้นะ

C1 : Drawing on the Water Surface Created by the Dance of Koi and Boat - Mifuneyama Rakuen Pond

อีกจุดไฮไลท์ที่อยากให้มาใช้เวลาซึมซับกับความสวยงาม และบรรยากาศโดยรอบ ทั้งแสง สี เสียง ที่งดงาม อลังการณ์มากจริงๆ กับการแสดงไฟบนพื้นน้ำ และมีฉากหลังเป็นภูเขา มีเรือพายเล่นกับแสงไฟ พร้อมเสียงดนตรีประกอบ แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 10 นาที

D2  :  Life is Continuous Light - Azalea Valley

การจัดแสดงไฟในทุ่งอาซาเลียขนาดใหญ่ภายในสวน เป็นอีกจุดที่สวยงามมากทั้งตอนที่ยังไม่มืดสนิท และหลังจากมืดแล้ว แนะนำให้แวะมาชมทั้งสองช่วง เพราะสวยงามคนละแบบ

D4  :  Universe of Water Particles on a Sacred Rock

D5  :  Memory of Continuous Life

D6  :  Hanamidai (Viewing Spot)

D7  :  Flower Bloom in an Infinity Universe inside a Teacup

จุดนี้จะอยู่ที่ร้านชา EN TEA HOUSE ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวน ใกล้กับจุด D2 เป็นการดื่มชา พร้อมกับชมงานศิลปะที่ mapping ลงในถ้วยชาของเรา เวลายกดื่มดอกไม้จะสลายกลีบออก พอตั้งวางเฉยๆ ก็จะรวมเป็นดอกไม้สวยในถ้วยชา

บรรยากาศร้านชา EN TEA HOUSE

E1  :  Spatial Calligraphy on the Rock Wall of Five Hundred Arhats, Continuous Life

E2  :  Cut Out Continuous Life - Forest Path


Cherry Blossom Japan 2023 : ตามล่าหาซากุระ

ฤดูกาลตามล่าซากุระของปี 2023 กำลังจะผ่านไปแล้ว

เป็นอีกปีที่เราได้ไปชมซากุระ วางแผนซะดิบดี แต่ปีนี้ซากุระดันบานไวไปอีก!

แต่ก็ยังดีที่หลายๆที่ยังสวย พอให้เราได้เก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ กันได้อยู่ (แม้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนแผนกันวันต่อวันก็ตาม)

รีวิวนี้จึงรวบรวมจุดชมซากุระที่เราได้ไปมาทั้งหมดในทริปนี้จาก 4 เมือง ได้แก่ Tokyo , Saitama , Osaka และ Kyoto รวมทั้งหมด 10 สถานที่ ได้แก่

  • Edo-Sakura Dori (Nihombashi)
  • Chidorigafuchi Park
  • Naka-meguro
  • Kumagaya
  • Motoara River
  • Tachikawa
  • Kema Sakuranomiya Park
  • Nanatani River , Kameoka
  • Heian Shrine
  • Ninna-ji

พร้อมพิกัดและคำแนะนำให้เพื่อนๆ ได้วางแผนเตรียมพร้อมสำหรับการไปตามล่าซากุระในปีต่อๆ ไป
ถ้าพร้อมแล้ว เข้าไปอ่านรายละเอียดกันในโพสท์นี้ได้เลยครับ

**ช่วงเวลาที่เดินทาง 30 มีนาคม - 5 เมษายน พ.ศ. 2566**

Edo-Sakura Dori , Nihombashi (Tokyo)

จุดชมซากุระที่ไม่ค่อย Mass เท่าไรใน Tokyo ความพิเศษของจุดนี้ คือ มีอุโมงค์ซากุระเรียงรายตามถนน มีฉากหลังเป็นอาคารที่ออกแบบสไตล์ยุโรป ให้บรรยากาศที่แตกต่างจากการไปชมซากุระที่จุดอื่น มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปกันพอสมควร แต่อาจจะถ่ายค่อนข้างยาก เพราะคนเดินกันพลุกพล่าน (เป็นย่านสำนักงาน) และต้นซากุระตรงจุดนี้จะค่อนข้างสูง เหมาะกับการมาชมบรรยากาศ หรือสายถ่ายภาพ Street น่าจะชื่นชอบ

พิกัด :  https://goo.gl/maps/FBWRdmcGKTWhp4NWA

Mitsukoshimae Station (Exit B1)

Chidorigafuchi Park (Tokyo)

สวนสาธารณะชื่อดังที่อยู่ติดกับ Imperial Palace จุดเด่นของที่นี่คือการมาชมซากุระที่อยู่รอบๆ สระน้ำ และมีคนมาพายเรือ ถีบเรือเป็ดกันอย่างสนุกสนาน เป็นอีกจุดหนึ่งใน Tokyo ที่เป็นที่นิยม (ใครไม่อยากเจอคนเยอะๆ โปรดหนีไป) จุดสังเกต คือ อย่าปักหมุด Chidorigafuchi Park ใน Google map เพราะมันไม่ใช่จุดถ่ายรูปที่เป็นไฮไลท์ของสวนนี้ และมุมที่เหมาะสำหรับถ่ายรูปจะมีอยู่ 2 จุด จุดแรกที่คนชอบมาถ่ายรูปกันจะเป็นจุดลงเรือ (Chidorigafuchi Moat) และอีกจุด คือ Kudanzaka Park ใกล้กับสถานี Kudanshita

พิกัด : https://goo.gl/maps/FPAgKYYNi4X5GpM19 (จุดลงเรือในภาพด้านบน) และ https://goo.gl/maps/EnmCvPtoTBfPP6Vt6 (Kudanzaka Park)

แนะนำให้ลงสถานี Kudanshita เพราะจะเดินไม่ไกล ชมจุดแรกที่ Kudanzaka Park แล้วค่อยเดินไปที่ Chidorigafuchi Moat จะประหยัดเวลาและระยะเดินน้อยกว่าไปลงที่สถานี Hanzomon

มุมมองจาก Kudanzaka Park

Naka-meguro (Tokyo)

เป็นอีกจุดชมซากุระใน Tokyo ที่สวยงามทั้งกลางวันและยามค่ำคืน เราเลือกมาชม Light up ที่นี่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ก็แอบเสียดายนิดหน่อยที่มาในช่วงที่เลยจุด Peak ไปแล้ว และแม้จะมาตอนกลางคืน แต่คนที่มาเที่ยวชมซากุระก็ยังเยอะมากอยู่ดี ใครอยากมาเดินสบายๆ แนะนำให้มาตอนช่วงเช้าน่าจะดีกว่า

พิกัด : https://goo.gl/maps/DkYx8EgaEqJuuma36

Naka-meguro station

Kumagaya (Saitama)

ขอยกให้ที่นี่เป็น The best ของทริปนี้เลย เพราะมีซากุระให้เดินชมได้อย่างจุใจมาก ใครที่ชอบถ่ายรูป และอยากหนีคนเยอะในโตเกียวแนะนำให้นั่งรถไฟมาที่นี่เลย เดินทางสะดวกมาก โดยเฉพาะถ้าใครพักแถว Ueno สามารถนั่ง Shinkansen มาที่นี่ได้ในครึ่ง ชม. แนะนำให้มาถึงที่นี่ไม่เกิน 8 โมงเช้าจะเดินถ่ายรูปได้สบายๆ เพราะแดดยังไม่ร้อน และคนยังไม่เยอะมากนัก

พิกัด : https://goo.gl/maps/tna5x8EJuWQVUWLE9?coh=178572&entry=tt

Kumagaya station (South Exit) เดินต่อประมาณ 300 เมตร

Motoara River (Saitama)

นั่งรถไฟมาจาก Kumagaya เพียงสองสถานีก็มาถึงที่นี่ จุดเด่นคือมีอุโมงค์ซากุระโอบล้อมลำคลองที่ทอดยาวไปในย่านชุมชม เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีเพียงคนในย่านนั้นมาเดินชมมากกว่านักท่องเที่ยว เหมาะแก่การไปเดินถ่ายรูป

พิกัด : https://goo.gl/maps/K4GPqLRPq221cVwb9?coh=178572&entry=tt

Fukiage Station (North Exit) เดินต่อประมาณ 200 เมตร

Tachikawa (Tokyo)

จุดชมซากุระขวัญใจคน Local ที่เราแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการมาในวันหยุด เพราะคนเยอะมากกกกกก จุดเด่นของที่นี่คือซากุระต้นใหญ่ที่เรียงรายขนาบคลองทั้งสองฝั่ง และโน้มกิ่งทอดยาวลงมาจนแทบจะถึงกลางคลองกันเลยทีเดียว ซากุระที่นี่สวยมากจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เราถ่ายรูปอะไรแทบไม่ได้เลยเพราะคนมาเยอะไปหมด 555 และอีกอย่างที่อยากเตือน คือ ที่นี่ไม่มีชื่อขึ้นใน Google Map แต่เราได้ปักพิกัดแบบ Manual เอาไว้ให้ รับรองว่าไม่หลงแน่นอน (เพราะเราหลงมาก่อนแล้ว)

พิกัด : https://goo.gl/maps/dxi9zdquy5StLdsq6?coh=178572&entry=tt

Shibasaki-Taiikukan Station เดินต่อประมาณ 10 นาที

มีอีกจุดที่หลายๆ เพจแนะนำให้ปักพิกัดนี้ https://goo.gl/maps/kDQV72BtzBtFEhsv7?coh=178572&entry=tt  ซึ่งก็สวยดีแต่มันไม่ใช่จุดไฮไลท์นะทุกคน อย่าไปผิดที่จ้า

Kema Sakuranomiya Park (Osaka)

ข้ามมาที่ Osaka กันบ้างครับ กับสวนสาธารณะใจกลาง Osaka ที่มีต้นซากุระเยอะมาก และอยู่ไม่ไกลจาก Osaka Castle ด้วย หากใครเดินไหวก็สามารถเดินต่อไปได้เลย แนะนำว่าให้มาที่นี่ช่วงเย็น เพราะถ่ายรูปสวยและไม่ย้อนแสง

พิกัด : https://goo.gl/maps/cnB5cKKAXgGbUeb6A?coh=178572&entry=tt

JR Sakuranomiya station

Nanatani River (Kameoka)

เดิมทีแพลนจะไปเกียวโต แต่จุดที่อยากไปซากุระร่วงจะหมดแล้ว เลยหาข้อมูลไปเรื่อยจนเจอที่นี่โดยบังเอิญ ซึ่งเป็นที่ลับแลหน่อยแต่ดูจากรูปแล้วสวยจัง ถ้าปักตาม Google Map ที่นี่เรียกว่า Sakura Park แต่ตามรีวิว (ที่เจอ) เรียก Nanatani River (Yawaragi Road) อยู่ในเมือง Kameoka ถ้าใครเคยไป Arashiyama ที่นี่จะอยู่เลยมาอีกนิดนึง (ถ้านั่งรถ Rapid train ก็ห่างกันสถานีเดียวเอง)
ถึงสถานี JR Kameoka การเดินทางไปที่นี่มีสองวิธี คือ รถบัส (200 เยน) แต่รอบรถมีทุก 2 ชม. ขากลับก็เช่นกัน ทุก 2 ชม. นั่นหมายความว่าเราจะมีเวลาเที่ยวถ่ายรูปประมาณ 2 ชม. เต็มๆ
รอบรถบัส
ขาไป เวลา 7:47 / 8:55 / 10:05 / 12:45 / 14:06 / 15:06 / 17:36
ขากลับ เวลา 7:31 / 8:29 / 9:52 / 12:11 / 14:52 (เฉพาะวันหยุด) / 15:52 / 18:23
ส่วนอีกวิธีคือ แท็กซี่ แต่เรียกได้แค่ขาไปนะ ขากลับไม่มี ต้องรอกลับรถบัสอยู่ดี ข้อดีคือไปตอนไหนก็ได้ แต่ข้อเสียคือมันแพง ระยะทาง 4 กม. นิดๆ โดนค่าแท็กซี่ไป 1,600 เยน กะว่าถ้ามันไม่สวยนี่คงเซ็งมาก แต่ไปถึงแล้วก็ไม่ผิดหวังเลยนะ แม้ตอนนี้ความฟูฟ่องจะเหลือสัก 50-60% แต่วิวมันอลังมากกกก มีคู่รักมาถ่าย Pre-wedding กันเยอะมากเลย ถ้ามาช่วง Full Bloom ใหม่ๆ คงฟินสุด เพราะที่นี่ซากุระต้นใหญ่ และอยู่ติดกันเป็นแถวยาวเลียบไปตามแม่น้ำ (ซึ่งตอนนี้น้ำแห้งอยู่) มีเวลาถ่ายรูป 1 ชม. นิดๆ ก็เก็บได้หลายมุมเลย ใครชอบมุมใหม่ๆ ไม่ไกลเกียวโต (แต่เดินทางลำบากหน่อยเพราะมันต้องต่อรถนี่แหละ)
JR Kameoka station

Heian Shrine (Kyoto)

เป็นอีกที่ในเกียวโตที่บานช้ากว่าจุดอื่น ทำให้เรายังพอไปชมซากุระบานที่นี่ได้ (ในขณะที่จุดยอดฮิตของ Kyoto พากันร่วงไปหมดแล้ว) จุดเด่นคือมีสายพันธุ์ Weeping cherry ที่มีลักษณะเป็นกิ่งห้อยลงมาเหมือนสายน้ำตก แต่ส่วนตัวว่ามันไม่ค่อยอลังเท่า Ninna-ji แต่ดีที่โซนนั้นไปเดินเที่ยวเล่นต่อได้อีกหลายที่ ลองแวะไปดูกันได้จ้า
สถานี Higashiyama เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร ค่าเข้าชมสวน 600 เยน

Ninna-ji (Kyoto)

ปิดท้ายกันที่วัด Ninna-ji จุดเด่นของที่นี่ คือ มีซากุระสายพันธุ์ Omuro ซึ่งเป็นพันธุ์ที่ต้นเตี้ย และจะบานช้ากว่าพันธุ์อื่นๆ ทำให้ที่นี่ยังคงบานสวยอยู่ประมาณ 80-90% ในช่วงที่เราไป แม้บางต้นจะเลยพีคมาแล้ว ร่วงบ้าง ใบแซมเยอะบ้าง แต่ภาพรวมถ่ายรูปออกมายังสวยสะกด และข้อดีอีกอย่างของสายพันธุ์นี้คือต้นเตี้ย ถ่ายรูปคู่ได้สบายๆ
รถไฟ Randen สถานี Omuro-Ninnaji
ค่าเข้าชม (เฉพาะโซนซากุระ) 500 เยน

Seoul Cafe Guide 2022 : คาเฟ่เกาหลีเกาใจ ที่ไหนน่าไป ตามมาเลย

IMG_6039

สวัสดีปีใหม่ 2023
ขอให้ปีกระต่ายปีนี้เป็นปีสำหรับการเริ่มต้นใหม่ที่ดี เงินทองไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะครับ

เริ่มต้นปีใหม่จะพาไป Cafehopping กันที่โซล เพราะคาเฟ่ที่นี่เค้าออกแบบสวย และมีเยอะมาก เรียกได้ว่าการดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนที่นี่กันเลยทีเดียว และครั้งนี้เราได้กลับไปเที่ยวโซลในรอบ 5 ปี เลยมีคาเฟ่ที่อยากไปแวะเยอะมาก แต่ด้วยเวลาอันจำกัด เลยได้ไปมาทั้งหมด 12 ร้าน และเก็บภาพรวมถึงพิกัดมาแนะนำเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาคาเฟ่สวยๆ ในโซล ให้ได้ตามไปเก็บกัน ซึ่งรายชื่อร้านทั้งหมดก็มีตามนี้

  • Coffee Nap Roasters
  • SD2R
  • Gwehdo (Yeonhui branch)
  • 1 in 1 jan
  • ACOFFEE
  • Blue Bottle (Samcheong branch)
  • NEMA Coffee
  • PLOP Pizza
  • Wynyard (Seongsu branch)
  • Sayoo
  • Milestone Coffee Roasters
  • % Arabica (Starfield Library Branch)

ส่วนรายละเอียดของแต่ละร้าน จะน่าสนใจแค่ไหน ตามมาอ่านกันได้ในโพสท์นี้เลยครับ

DSC06987

Coffee Nap Roasters

เป็นคาเฟ่ที่เราเห็นใน IG มานานหลายปี และตั้งใจว่าถ้าไปโซลจะต้องแวะไปให้ได้ ร้านอยู่แถวยอนนัม (ห่างจากฮงแดมา สถานีเดียว) จุดเด่นภายในร้านคือพื้นอิฐแดงยกสูงเป็นคลื่น ตัดกับเคาน์เตอร์สีขาว ร้านเล็กๆ แต่ฟีลดี มีคนแถวนั้นแวะเวียนมาจิบกาแฟ พาน้องหมามาเดินเล่น ส่วนกาแฟที่เราได้ลอง คือ Vanilla Latte รสชาติหวานละมุนกำลังดี (แต่ระวังให้ดีเพราะบางร้านหวานตัดขา) ที่ร้านมีเมล็ดกาแฟและแก้วขายด้วยนะ

พิกัด :

[Naver Map]

Coffee Nap Roasters Yeonnamdong

https://naver.me/5TvhUcir

Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร

DSC06976

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3096

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3106

วานิลลาลาเต้ของที่นี่คือดีงามจริง แนะนำให้ลองครับ

IMG_3113

SD2R (저당개2년로스터스)

เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญ เพราะอยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters ทางร้านคั่วกาแฟเองด้วย  มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ เราลองแบบดริปเย็นรสชาติดีเลยแหละ ราคาไม่แพง บรรยากาศร้านเหมือนแวะมาจิบกาแฟที่บ้านเพื่อน ชิลๆ มีคนแถวนั้นเดินเข้าออกร้านกันตลอดเวลา ตัวร้านมีสองชั้น แต่มุมที่เราแนะนำคือที่นั่งบริเวณหน้าต่างบานใหญ่หน้าร้านนี่แหละ ถ่ายรูปออกมาสวยมาก แนะนำว่าย่านนี้มีร้านอาหาร คาเฟ่น่ารัก และสวยสาธารณะให้เดินชมได้เพลินๆ ลองเผื่อเวลามาเดินแถวย่านยอนนัมกันดูนะครับ

พิกัด : อยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters (ไม่มีพิกัดใน map)

Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร

IMG_3127

บรรยากาศภายในร้านชั้น 1 ตกแต่งเรียบง่าย

IMG_3120

บรรยากาศบนชั้น 2 ของร้าน มีที่นั่งอยู่หลายที่

DSC06995

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3141

Gwehdo Yeonhui

เป็นอีกร้านที่เราเห็นใน IG แล้วปักหมุดเลยว่าต้องมา จุดเด่นคือรางเสิร์ฟกาแฟ และจอสำหรับแสดง digital art ตรงกลางร้าน ร้านตั้งอยู่ชั้น 2 ในตึกเดียวกับ LAIKA CINEMA  เราได้ลองเมนู Signature ของร้าน เป็น Latte ทานคู่กับขนมหวานเกาหลี ใครไม่ชอบหวานแนะนำให้ผ่านไปเลย (เพราะหวานมากกกกก) ส่วนลูกกลมๆ สีๆ เป็นเชอร์เบท รส Lime & Basil เมนูนี้แนะนำให้สั่งมาลองเพราะรสชาติจัดจ้านมาก ทานแล้วตื่นยิ่งกว่ากาแฟ ระวังสับสนนิดนึงเพราะร้าน Gwehdo จะมีอีกสาขาอยู่แถวยอนนัม (ร้านนั้นก็สวยอีกแบบ และอยู่ไม่ไกลจากฮงแด)

พิกัด :

[Naver Map]

Gwedo Yeonhui

https://naver.me/GVWiMjyP

Subway : Hongik Univ. station Exit 3 เดินต่ออีกประมาณ 1 กม. หรือ ต่อรถบัสจะสะดวกกว่า

DSC07028

สั่งกาแฟปุ๊บ มาเลือกที่นั่งได้เลย เพราะเค้าจะเสิร์ฟกาแฟมาทางรางเลื่อนนี่แหละ

DSC07032

เมนูที่สั่งวนมาถึงแล้วก็หยิบได้เลย

IMG_3144

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3337

1인1잔 (1 in 1 jan)

คาเฟ่วิวหมู่บ้านเกาหลีที่มุมถ่ายรูปคือดีมาก เห็นรูปครั้งแรกก็ปักหมุดเลยว่าต้องแวะมา เพราะคาเฟ่นี้อยู่ทางเข้าหมู่บ้าน Enpyeong Hanok Village พอดี คาเฟ่มีทั้งหมด 5 ชั้น ใครอยากมานั่งถ่ายรูปมุมนี้อยู่ชั้น 3 ส่วนชั้น 5 จะเป็นระเบียงอยู่ outdoor เป็นส่วนของร้านอาหาร (เปิดหลังคาเฟ่ 1 ชม.) ขนมที่ร้านหน้าตาดีมาก เครื่องดื่มก็มีหลากหลาย แต่ที่สำคัญคือวิว สวยสุดๆ แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิดจะได้ถ่ายรูปสบายหน่อย เพราะแป๊บเดียวคนเต็มร้านแล้ว

พิกัด :

[Naver Map]

1 In 1 Jan

서울 은평구 연서로 534

https://naver.me/GFnCkKLa

การเดินทาง : Subway สถานี Yeonsinnae ออกทาง Exit 3 เดินมาต่อรถบัสจากป้าย Yeonseo market (สาย 701 / 7211 / 7723) ลงที่ป้าย Hanago Samcheonsa Jingwansa Temple Entrance (นั่งรถบัสประมาณ 15 นาที)

IMG_3321

วิวจากที่นั่งชั้น 3

IMG_3323

มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็จะได้วิวประมาณนี้

IMG_3329

บริเวณเคาน์เตอร์บาร์

DSC07116

หน้าตาขนมและเครื่องดื่ม

IMG_3366

ACOFFEE Seoul

หลังจากที่เราเคยไป ACOFFEE ที่เมลเบิร์นมาแล้ว เลยถือโอกาสแวะมาชมบรรยากาศ และมาจิบกาแฟดีๆ ที่สาขาโซลด้วย ตัวร้านตั้งอยู่ในชุมชนแถบเนินเขา เป็นอาคาร 3 ชั้นที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน ภายในร้าน Minimal มาก สำหรับกาแฟเราแนะนำว่าที่นี่ควรดื่มกาแฟดริป เพราะเมล็ดกาแฟเขาดีจริง มีให้เลือกหลายแบบ (ให้บาริสต้าช่วยแนะนำได้)

ด้วยความที่ร้านตั้งอยู่ตามเนินเขา อาจจะต้องเดินขึ้นๆ ลงๆ เยอะนิดนึงนะ

พิกัด

[Naver Map]

A Coffee Seoul

서울 종로구 백석동1가길 19

https://naver.me/Gsag81iM

การเดินทาง : Subway สถานี Gyeongbokgung (Exit 3) แล้วต่อรถบัสสาย 7212 หรือ 7022 ลงป้าย Buamdong Community Service Center. Mugyewon เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร

IMG_3372

บรรยากาศภายในร้าน

DSC07161

บรรยากาศภายในร้าน

DSC07158

บริเวณทางเข้าร้าน

IMG_3646

Blue Bottle Samcheong

คาเฟ่สัญชาติอเมริกา ที่มีหลายสาขาในโซล คราวนี้เราจะพามาที่สาชาซัมชอง ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน Bukchon แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งสาขานี้เป็นสาขาแรกของ Blue Bottle ในเกาหลี โดยจุดเด่นของร้านจะเป็นการออกแบบอาคารที่โดดเด่น ถ่ายรูปสวย ส่วนภายในร้านจะมีทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้น 1 และ 2 จะสามารถสั่งกาแฟได้ (espresso bar จะอยู่ชั้น 2) ส่วนชั้น 3 จะเป็น slow bar มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชิลรับลมได้ เรื่องกาแฟไม่ต้องพูดถึง เพราะดีงามสมมาตรฐานของ Blue Bottle อยู่แล้ว แต่พวกของที่ระลึกอย่างแก้วแบบต่างๆ กระเป๋าน่ารักๆ มีหลายอย่างน่าเสียเงินมากเป็นมุมขายอยู่ที่ชั้น 1 แนะนำให้ลองชมดูอาจจะเสียเงินได้โดยไม่รู้ตัวนะ

พิกัด

[Naver Map]

Blue Bottle Samcheong Cafe

서울 종로구 북촌로5길 76

https://naver.me/xit34Hs5

การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 800 เมตร

IMG_3617

โซนขายของบริเวณชั้น 1 ระวังเสียทรัพย์โดยไม่รู้ตัว

DSC07191

บรรยากาศบริเวณชั้น 2

IMG_3618

บรรยากาศบริเวณชั้น 2

IMG_3628

บรรยากาศบริเวณชั้น 3

  IMG_3692

NEMA coffee

คาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งน่ารัก อยู่ไม่ไกลจาก Bukchon Hanok Village หมู่บ้านเกาหลียอดนิยมของนักท่องเที่ยว แนะนำให้มาทาง Subway ลงสถานี Anguk และเดินตาม Map มาเรื่อยๆ เพราะบรรยากาศระหว่างทางมาร้าน มีคาเฟ่สวยๆ ร้านอาหารเก๋ๆ และในช่วง Autumn แบบนี้มีต้นแปะก๊วยใบสีเหลืองอยู่ขนาบสองข้างทาง ถ่ายรูปเพลินมาก ส่วนที่ร้าน NEMA จุดเด่นของร้านคือ ทาร์ตอร่อย มีเมล็ดกาแฟในเลือกหลากหลายแบบ และเสิร์ฟมาในแก้วและจานที่สวยงาม จัด display ได้ดี มุมถ่ายรูปสวยๆ ในร้านเยอะมาก มาช่วง Autumn แบบนี้มองออกไปนอกหน้าต่างร้านจะเห็นใบแปะก๊วยสีเหลืองเต็มเลย บรรยากาศดีสุดๆ แนะนำเลยครับ

พิกัด

[Naver Map]

Cafe Alley Forest Entrance

서울 종로구 삼청동

https://naver.me/5eT6bNH3

การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 1 กม.

IMG_3687

วิวจากภายในร้าน

DSC07205

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3703

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3708

PLOP Pizza

ร้านพิซซ่าใน Bukchon Hanok Village ที่ออกแบบร้านได้สวย และพิซซ่าก็อร่อยมาก! เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญเพราะเป็นทางผ่านไปคาเฟ่ เมนูหลักของร้านคือพิซซ่าหลากหลายหน้า มีขนาดเล็กและใหญ่ สามารถสั่งแบบ Half ได้ เราจึงจัดพิซซ่าถาดใหญ่หน้าบูลโกกิ แบ่งครึ่งกับเปเปอโรนี อร่อย เครื่องแน่น ชีสจัดเต็ม ส่วนไก่ทอดกินคู่กับน้ำจิ้มหวานๆ คือดี! แนะนำให้แวะไปลอง และถ้าจะให้ดีควรไปตั้งแต่ร้านเปิด เพราะช่วงเที่ยงคิวยาวมาก

พิกัด

[Naver Map]

Peullop Anguk

서울 종로구 북촌로2길 5

https://naver.me/xAtdh1zC

การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร

IMG_3608

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3723

พิซซ่าบูลโกกิกับไก่ทอดคือต้องสั่ง

IMG_3713

บริเวณหน้าร้าน

IMG_3738

Wynyard 성수

ปักหมุดไว้เป็นร้านแรกเลยว่าต้องมา ร้านสวย เท่ บรรยากาศดูแพงมาก แต่ที่ชอบสุดคือการเสิร์ฟกาแฟนี่แหละ เพราะทางร้านจะให้เราเลือกเมล็ดกาแฟ (espresso ก็จะมีเมล็ดชุดนึงให้เลือก ถ้าเป็น filter ก็จะมีอีกชุดนึง) ส่วนตอนมาเสิร์ฟ จะมาพร้อมโปสการ์ดที่บอกรายละเอียดของกาแฟที่เราเลือก โปรการ์ดก็สวยมากด้วย แนะนำว่ามาแถวซองซูแล้วเตรียมท้องมาให้ว่าง คาเฟ่เก๋ๆ เยอะมากจริง

พิกัด

[Naver Map]

Winyadeu Seongsu

서울 성동구 연무장길 8-1

https://naver.me/IDb9B84m

การเดินทาง : Subway สถานี Ttukseom (Exit 5) เดินต่ออีกประมาณ 500 เมตร

IMG_3753

บรรยากาศภายในร้าน น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้

DSC07262

บรรยากาศภายในร้าน

DSC07249

ประทับใจการเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มของที่นี่มาก

IMG_3945

Sayoo

คาเฟ่วิวตึกอิฐแดงที่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศ ที่เป็นกระแสในเหล่า Cafehopper เกาหลีอยู่ช่วงหนึ่ง ทำเลของร้านตั้งอยู่แถว Itaewon ภายในตึก 5 ชั้น เป็นส่วนของคาเฟ่ทั้งตึกเลย ชั้นล่างจะเป็นโซน coffee bar สามารถสั่งเครื่องดื่มและขนมได้ที่นี่ ส่วนชั้นอื่นๆ จะเป็นที่นั่ง ลักษณะกึ่ง co-working space และมีชั้น 5 เป็น Rooftop ที่วิวดีมาก ร้านตกแต่งสวย แต่ละชั้นก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันไป ในส่วนของกาแฟก็มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ จะสั่งเป็น Espresso หรือ slow bar ก็ดี รวมถึงเบเกอรี่หน้าตาน่าทานหลายเมนู เป็นอีกคาเฟ่ที่ไม่ควรพลาดครับ

พิกัด

[Naver Map]

Sayoo

서울 용산구 이태원로54길 5

https://naver.me/5tZfURya

การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 300 เมตร

IMG_3935

บรรยากาศภายในชั้น 1 ของร้าน

DSC07309

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3952

บรรยากาศบริเวณชั้น 3 ของร้าน

IMG_3932

หน้าร้าน

DSC07314

Milestone Coffee Roasters (Hannam branch)

คาเฟ่ชื่อดังอีกร้านในโซล ที่หลายๆ รีวิวบอกว่าต้องมาชิมบราวนี่ของร้านให้ได้สักครั้ง ร้านอยู่ไม่ไกลจากร้าน Sayoo ตัวร้านตกแต่งสวยงาม โดดเด่นตั้งแต่หน้าร้าน ภายในบรรยากาศดี แต่เป็นอีกคาเฟ่ที่ป๊อบมากเพราะมีคนเข้ามาซื้อกาแฟกันตลอดเวลา ส่วนบราวนี่ก็ดีงามสมราคาคุย ถ้าได้แวะมาอย่าลืมสั่งนะ

พิกัด

[Naver Map]

Milestone Coffee Hannam Branch

서울 용산구 한남대로27가길 26 1층

https://naver.me/5fjExthh

การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 400 เมตร

IMG_3970

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_3976

บรรยากาศภายในร้าน

DSC07328

หน้าตาบราวนี่แสนอร่อย เมนูเด่นของร้าน

IMG_3969

บริเวณหน้าร้าน

IMG_4176

% Arabica (Starfield Library Branch)

ปิดท้ายกันที่ %Arabica คาเฟ่ยอดนิยมจากญี่ปุ่น ที่พูดชื่อไปหลายๆ คนก็รู้จักอย่างแน่นอน กับสาขาล่าสุดในโซล ซึ่งมาเปิดที่ Starfield Library ห้องสมุดสุดฮิตของเหล่า Influenzer ที่ใครแวะมาเกาหลีจะต้องมาถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่ให้ได้ สำหรับความพิเศษของสาขานี้คือการออกแบบ ซึ่งภายนอกตัวอาคารดูล้ำมาก แต่ด้านในก็ยังคงความ minimal และมีส่วนของบาร์กาแฟ รวมถึงโซนคั่วกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และที่สำคัญคือทำเลที่อยู่ติดกับห้องสมุดเลย แวะถ่ายรูปเสร็จ ก็แวะมาดื่มกาแฟ พักเหนื่อยกันต่อได้ที่นี่เลยครับ

พิกัด

[Naver Map]

% ARABICA Starfield Coex Mall Branch

서울 강남구 영동대로 513 스타필드 코엑스몰 별마당도서관 1층

https://naver.me/5uccyDkM

การเดินทาง : Subway สถานี Samseong (Exit 6) ติดกับ Starfield Library

IMG_4191

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_4210

บรรยากาศภายในร้าน

DSC07438

สามารถเดินเข้ามาจากทางห้องสมุดได้เลย

DSC07433


Seoul Travel Guide 2022

IMG_4438

 

Seoul : Travel Guide
ได้กลับไปเที่ยวโซลในรอบ 5 ปี...
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เราว่าเหมาะกับการไปเที่ยวโซลมากที่สุด
ก่อนจะพาไปเที่ยวโซลด้วยกัน โพสท์นี้เราขอเริ่มด้วยการเตรียมความพร้อม และวางแผนเที่ยวโซลแบบ update ในปี 2022 กันก่อนดีกว่า

6511_T1R03_seoul_010

 

- แนะนำทำ K-ETA ก่อนบินอย่างน้อย 1 เดือน
ลงทะเบียนได้ที่ https://www.k-eta.go.kr
K-ETA คือ ระบบลงทะเบียนออนไลน์เพื่อขอเข้าประเทศเกาหลีใต้โดยไม่ต้องมีวีซ่า เราต้องสมัครและได้รับอนุมัติก่อน ถึงจะสามารถเดินทางไปได้ (แต่ก็ต้องไปลุ้นกับ ตม. อีกรอบอยู่ดี) โดยถ้าผลผ่านแล้ว สามารถใช้ผลนี้ได้ 2 ปี (เดินทางไปกี่รอบก็ได้) ค่าลงทะเบียน 10,000 วอน
*แนะนำจองที่พัก (แบบยกเลิกได้ฟรี) ไว้ก่อนกรอก K-ETA เพื่อจะได้ระบุชื่อที่พักและที่อยู่ตอนลงทะเบียนได้
ที่แนะนำว่าควรลงอย่างน้อย 1 เดือน เพราะจากประสบการณ์ของเราต้องรอผลนานถึง 10 วัน (ไม่ใช่ภายใน 72 ชม. อย่างที่เค้าว่ากันมา) ดังนั้นถ้ายื่นแล้วไม่ผ่าน ก็ต้องเผื่อเวลายื่นใหม่ หรือ ต้องเสียเวลาเตรียมเอกสารไปทำวีซ่าอีก

6511_T1R03_seoul_002

- ลงทะเบียน Q code ก่อนบินสัก 3 วัน
Q code คือแบบสอบถามเกี่ยวกับสุขภาพ ทำ online ได้ทาง https://cov19ent.kdca.go.kr/
ทำเสร็จแล้วจะได้ QR code ส่งมาทางเมล์ ไว้ scan กับเจ้าหน้าที่ก่อนผ่านไป ตม.
- ไปเที่ยวเกาหลีใต้ตอนนี้ไม่ดูประวัติฉีดวัคซีน, ไม่ต้องตรวจ RT-PCR ทั้งก่อนบิน และตอนไปถึง

6511_T1R03_seoul_008

- Download App ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ได้แก่
1. Naver map - เกาหลีใช้ google map ไม่ได้ ต้องใช้อันนี้แทน สถานที่ส่วนใหญ่กรอกเป็นภาษาอังกฤษไปก็หาเจอ บอกละเอียดทั้งสายรถบัส / subway, ทางออกจาก subway, ระยะเวลาที่รถจะมาถึง แต่เมื่อเทียบกับ google map ฉลาดน้อยกว่ามาก
2. KakaoMap - ดูจะฉลาดกว่า Naver นิดนึง แต่ควรมีความรู้ภาษาเกาหลีระดับอ่านออกเขียนได้ ถึงจะพอเข้าใจและค้นหาได้
3. Subway - ไว้ดูสาย subway ว่าจะเดินทางยังไงดี (แต่จริงๆ จะดูจาก Naver ก็ได้แหละ)
4. Google map - อยู่ในเกาหลีใช้นำทางไม่ได้ แต่เราใช้ปัก location ตอนอยู่ไทยได้ เลยต้องเอามาใช้ประกบกับ app ข้างต้นที่กล่าวมา
5. Google translate - จำเป็นมากเพราะบางร้านไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ
6511_T1R03_seoul_019
- ทำแพลนท่องเที่ยวคร่าวๆ รวมถึงระบุที่พักไว้ในแพลนท่องเที่ยว แจกจ่ายให้เพื่อนๆ ร่วมทริปทุกคนได้ดู เพราะ ตม. อาจถามได้ว่ามาเที่ยวที่ไหน พักตรงไหน อยู่สถานีอะไร เพราะเคยมีคนโดนถามแล้วตอบไม่ได้ ตม.ส่งกลับไทยเลยจ้า
- แต่ถ้าเราไปเที่ยวด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่เลิกลัก แต่งตัวให้ดีหน่อย พยายามอย่าคุยกับคนแปลกหน้า แล้วเดินมั่นๆ เข้าไปเจอ ตม. ก็จะผ่านไปได้ด้วยดีนะ
6511_T1R03_seoul_020
- T-Money มีขายที่ตู้อัตโนมัติหน้าทางเข้า AREX สามารถซื้อและเติมเงินก่อนเข้าสถานีได้เลย
- จากสนามบินเข้าเมือง ไปได้ทั้งบัสและ AREX ขึ้นอยู่กับปลายทาง แต่ส่วนตัวแนะนำ AREX เพราะไวดีและราคาถูกกว่า (โซลรถติดไม่ใช่เล่น) แต่ถ้าไม่อยากเดินเยอะ นั่งบัสก็สะดวกดี หลับบนรถไปยาวๆ
6511_T1R03_seoul_024
- พักแถวไหนดี?
ก่อนจองที่พักแนะนำให้แพลนเที่ยวคร่าวๆ ว่าอยากไปเที่ยวที่ไหนบ้าง ส่วนตัวเราชอบปัก Location ไว้ใน google map เพื่อดูคร่าวๆ ว่าที่ที่เราอยากไปอยู่ในโซนไหน เดินทางด้วย Subway สายไหนเป็นส่วนใหญ่ แล้วค่อยเลือกที่พักที่อยู่ใกล้สถานีนั้นๆ หรือตามแนว subway สายนั้นๆ ได้
6511_T1R03_seoul_025
เท่าที่เราสังเกตมา สถานที่เที่ยวหลักๆ มักจะอยู่ตาม subway line 2 (สีเขียว) และ line 3 (สีส้ม) ถ้าให้เคาะเลยว่าพักสถานีไหนดี สถานีที่เราแนะนำ คือ
1. Euljiro 3(sam)-ga (สะดวกมากเพราะไปได้ทั้ง line 2 และ 3)
2. Hongik University (ฮงแดที่คนไทยคุ้นเคย มีทั้ง line 2, Gyeongui-Jungang Line และ AREX ไปสนามบิน)
3. Seoul station ดูสะดวกดีสำหรับคนที่มีแพลนออกไป ตจว. ด้วย KTX หรือจะเดินทางในเมืองก็ยังสะดวกอยู่ เพราะมีทั้ง line 1, line 4 (ไป Myeongdong, Dongdaemun) และ AREX ที่มีสาย express ต่อเดียวถึงสนามบิน
6511_T1R03_seoul_031
- แลกเงินสดไม่ต้องเยอะ เพราะแทบทุกร้านรับบัตรเครดิต / Travel card ได้ (แนะนำแลกไว้นิดหน่อยสำหรับเติมเงิน T-Money ที่ตู้หน้าสถานี หรือสำหรับบางร้านที่ไม่รับบัตร)
- ซื้อของตามร้านส่วนใหญ่คิดค่าถุงเพิ่ม พกถุงผ้าติดไปช็อปด้วยจะประหยัดเงินได้เยอะ
- เสื้อผ้าหน้าหนาวราคาไม่แพง และมีแบบให้เลือกสวยๆ เยอะมาก พกเสื้อผ้าไปประมาณนึงพอ แล้วค่อยไปช็อปต่อที่โซล
6511_T1R03_seoul_004
- Tax refund ร้านส่วนใหญ่จะทำเป็นใบมาให้เรากรอกเอง พร้อมระบุเงินที่จะได้คืน ถ้าเงินที่ได้คืนรวมกันไม่เกิน 75,000 วอน ไม่ต้องสำแดงของให้ดู แต่ถ้าเกิน 75,000 วอน ห้ามเอาของนั้นโหลดไปกับกระเป๋า ต้องเอาติดไปโชว์ศุลกากรหลังผ่าน ตม. ด้วย
6511_T1R03_seoul_012
และนี่ก็คือคำแนะนำจากประสบการณ์ตรงที่เราได้จากทริปนี้ หวังว่าจะพอช่วยให้เพื่อนๆ ได้มีไอเดียเตรียมพร้อมไปเที่ยวโซลกันได้มากขึ้นนะ

Chiang Mai 2022 : update ที่พักและคาเฟ่ใหม่ๆ กันหน่อย

IMG_1574

หากเรามีวันหยุดสัก 2 - 3 วัน เชียงใหม่มักจะเป็นจุดหมายแรกที่เรานึกถึง เพราะไม่ว่าจะไปเชียงใหม่เมื่อไรก็ตาม จะมีร้านอาหาร คาเฟ่ และที่พักใหม่ๆ ให้เราได้ไปสำรวจอยู่เสมอ โพสท์นี้เราจะพาไปเที่ยวและอัพเดทคาเฟ่ ร้านอาหาร และที่พักทั้งใหม่และเก่า ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามกัน ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้นดูได้จาก List ด้านล่างนี้เลย

  • Cherlock Hotel
  • BeansLiquor
  • Match Match
  • gallery กาแฟดริป เชียงใหม่
  • Twenty Mar
  • ISSARA Coffee Space
  • Vanilla hill by hill lodge
  • PLUTO
  • Butter & Neighbor
  • ALSO cafe

รายละเอียดแต่ละที่ จะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ตามมาอ่านกันต่อในโพสท์ได้เลยครับ

IMG_0289

CHERLOCK HOTEL

มาเชียงใหม่ครั้งนี้ เราเลือกที่พักคืนแรกที่ Boutique Hotel สไตล์ Loft อย่าง CHERLOCK HOTEL สิ่งที่สะดุดตาเรามากที่สุด คือ การออกแบบของที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์ ห้องพักออกแบบได้สวยและมีความเป็นส่วนตัว รวมถึงทำเลที่สะดวกสบาย เพราะโรงแรมตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวอย่างนิมมานฯ นั่นเอง แต่บอกเลยว่าพอหลุดเข้ามาในโซนโรงแรมแล้ว บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่น ต้นไม้เยอะ เหมือนออกมาอยู่แถวชานเมืองมากกว่า

IMG_0280

บริเวณ Lobby ของโรงแรม

cnx17

ห้องพักของที่นี่จะมีทั้งหมด 3 Room type ได้แก่ Superior room (ห้องเริ่มต้น) , Deluxe room และ ห้องที่เราเลือกมาพักครั้งนี้อย่างห้อง Pool Junior Suite (ราคาเต็ม 4,000 บาท/คืน) ซึ่งเป็นห้องที่ขนาดใหญ่สุด และมีสระว่ายน้ำเล็กๆ ส่วนตัวอยู่ภายในห้องด้วย สำหรับห้องพักของเราตกแต่งสวย ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ความสะอาดใช้ได้ กุญแจห้องพักใช้ระบบ key card แต่น่าเสียดายที่การ Maintainance ยังไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้โรงแรมดูเก่าไปกว่าตอนแรกที่เปิดไปเยอะเลย (อาจจะเป็นเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงโควิดด้วยนี่แหละ)

cnx01

นอกจากสระว่ายน้ำเล็กๆ ภายในห้อง (มีจากุชชี่ด้วยนะ แต่ต้องแจ้งพนักงานให้มาช่วยเปิด)
ยังมีสระว่ายน้ำส่วนกลางที่สามารถไปใช้ได้ด้วย อยู่ติดกับ Lobby ของโรงแรม

cnx02

อาหารเช้าของทางโรงแรมจะเสิร์ฟเป็นเซ็ต มีครัวซองต์ ชา/กาแฟ น้ำผลไม้ และ American brakefast ให้ 1 จาน/คน สามารถเลือกได้ว่าจะทานที่ห้องพักของเราเลย หรือจะมาทานที่ห้องอาหาร (อยู่ที่เดียวกับ Lobby ของโรงแรม) ก็ได้ แนะนำให้แจ้งตั้งแต่วันเข้าพักนะครับ จะได้ไม่ต้องรอนาน

IMG_0348

หน้าตาอาหารเช้าของเรา

cnx03

MOOH

ร้านโดนัทสอดไส้สุด Cute ที่เคยเป็นกระแสฮอตฮิตอยู่ช่วงหนึ่ง ร้านอยู่ติดกับโรงแรม CHERLOCK ที่เราพัก เลยถือโอกาสแวะมาซื้อโดนัทและถ่ายรูปตอนคนยังโล่งๆ สักหน่อย รส CREME BRULEE กับอันที่เป็นไส้ Strawberry สองอันนี้อร่อยมาก แนะนำว่าต้องลองครับ

cnx04

BeansLiquor

คาเฟ่และบาร์เปิดใหม่บนถนนศิริมังคลาจารย์ (ฝั่งทางออกถนนห้วยแก้ว) หากมาพักแถวนิมมานก็เดินมาได้ไม่ไกลมากนัก ตัวร้านมีทั้งหมด 3 ชั้น มีที่นั่งเยอะมาก ภายในร้านตกแต่งสไตล์ Minimal Loft ในช่วงกลางวันจะเสิร์ฟกาแฟ เครื่องดื่ม Non-coffee และขนมปัง แต่หลังจาก 6 โมงเย็นร้านจะกลายเป็นบาร์สำหรับมานั่งดื่ม นั่งชิลล์กันได้ยาวๆ จนถึงเที่ยงคืน ด้านหลังร้านมีลานจอดรถกว้างขวาง

cnx05

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_0907

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_0358

match match

คาเฟ่ชาเขียวน้องใหม่ในเครือของร้าน Matchappen ที่ให้บรรยากาศเหมือนไปนั่งอยู่ในร้านชาเขียวน่ารักๆ ที่ญี่ปุ่น ร้านตั้งอยู่แถวนิมมานซอย 9 เมนูของทางร้านจะเน้นชาเขียวญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ สามารถเลือกชนิดของชาเขียวได้ เลือกเมนูที่จะดื่ม ไม่ว่าจะเป็น Matcha Latte หรือ ชาเขียวที่ผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆ ตามสูตรที่ทางร้านคิดขึ้นมา บรรยากาศภายในร้านก็อบอุ่น น่ารัก ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย

IMG_0948

บรรยากาศภายในร้าน

cnx06

บรรยากาศภายในร้าน

cnx08

gallery กาแฟดริป เชียงใหม่

หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นชื่อ gallery กาแฟดริป คาเฟ่ที่จัดว่าเป็น Specialty coffee อีกร้านหนึ่งในกรุงเทพ ที่ตั้งอยู่ที่หอศิลป์ฯ ตรงแยกปทุมวัน จากหอศิลป์กรุงเทพ มาเปิดสาขาเพิ่มที่หอศิลป์เชียงใหม่ เอกลักษณ์ที่ยังคงเหมือนกันคือการเสิร์ฟกาแฟดริป หรือ slow bar ที่มีเมล็ดหลากหลายแบบให้เลือกกันตามความชอบ เหมาะกับคนที่จริงจังเรื่องกาแฟ และอยากดื่มกาแฟดีๆ สักแก้ว รับรองว่าแวะมาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน

cnx07

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_0432

Twenty Mar

คาเฟ่เปิดใหม่ในย่านสามกษัตริย์ ที่ภายในร้านออกแบบได้สวยและเท่มาก ร้านตั้งอยู่ในตึกแถวที่ดูจากหน้าร้านแล้วอาจจะดูเล็กไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วสามารถเดินลึกเข้าไปด้านใน และมีโซนที่นั่งมากมายอยู่ภายในร้าน บรรยากาศภายในร้านชิลมาก มีเพลงเปิดคลอ พร้อมจิบกาแฟไปด้วย ส่วนใครไม่ดื่มกาแฟเราขอแนะนำชาไทยของทางร้าน อร่อยมาก หวานกำลังดี เป็นอีกร้านที่แนะนำให้มาลองครับ

ถ้าใครขับรถมาอาจจะหาที่จอดรถยากนิดนึง และต้องสังเกตป้าย วันคี่-วันคู่ด้วย เพราะนี่ก็วนหาที่จอดอยู่สองรอบกว่าจะได้

cnx10

บรรยากาศภายในร้าน

cnx09

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_0439

ISSARA Coffee Space

ช่วงบ่ายเราเดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปพักที่หางดง ก่อนเดินทางเข้าที่พักก็แวะหากาแฟดีๆ สำหรับช่วงบ่ายสักแก้วกันที่ร้าน ISSARA Coffee Space เดิมทีร้านตั้งอยู่ที่ตลาดแม่เหียะ แต่ตอนนี้เขาย้ายร้านมาอยู่ที่ถนนราชพฤกษ์ ในเขตอำเภอหางดง ภายในร้านมีที่นั่งทั้ง indoor และ outdoor จุดเด่นจะอยู่ตรงส่วนของ indoor ที่มีบาร์ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางร้าน และการใช้สีตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึก cozy ดูสวยเก๋และถ่ายรูปดีมาก ยิ่งช่วงบ่ายที่แสงส่องผ่านกระจกหน้าร้านเข้ามายิ่งดีสุดๆ

cnx11

เมนูของทางร้านมีทั้ง Coffee และ Non-coffee กาแฟมีเมล็ดให้เลือกอยู่ 2-3 ชนิด ราคาก็จะแตกต่างกันไปนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าราคาถูกกว่าคาเฟ่ในเมืองหลายๆ ร้านเลยแหละ แถมยังรสชาติดีมากด้วย ใครจะไปเที่ยวหางดงลองแวะมาชิมกันได้ ด้านหน้าร้านมีที่จอดรถได้ประมาณ 4-5 คัน

IMG_0968

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_0457

IMG_0993_jpg

Vanilla hill by hill lodge

โจทย์ในการหาที่พักนอกเมืองของเราในครั้งนี้ คืออยากได้ที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พักได้หลายคน และถ้าแบ่งห้องเป็นสัดส่วนได้ก็จะดี เดินทางไม่ลำบากเพราะช่วงที่เราไปคือฤดูฝน และที่สำคัญคือราคาต้องไม่แรงจนเกินไป สุดท้าย Vanilla hill by hill lodge ก็ตอบโจทย์ทั้งหมดที่ว่ามา เพราะใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชม. ถนนก็ค่อนข้างดีถึงแม้จะเป็นถนนสองเลนที่ต้องขับขึ้นเขา ลักษณะของที่พักซึ่งเป็นบ้านสวยกลางป่า มีหลากหลายขนาดให้ได้เลือกจอง และมีความเป็นส่วนตัวสูงเพราะมีบ้านพักเพียงแค่ 6 หลังเท่านั้น ข้อควรระวังอย่างนึงคือที่พักต้องเดินขึ้นบันได้สูงหลายขั้น อาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุเท่าไรนัก

IMG_0992_jpg

"บ้านราตรี" วิลล่า 1 ห้องนอนที่เป็นห้อง Signature ของที่นี่

IMG_0984_jpg

วิลล่าของเรา คือ บ้านบุญนาค เป็นวิลล่า 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่บ้านพักทั้งหมด 110 ตร.ม. สามารถเข้าพักได้มากสุด 7 คน (เตียงเสริม 1 เตียง) บอกเลยว่าที่นี่ตอบโจทย์สายครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันได้เป็นอย่างดี ภายในบ้านแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชมวิว รับลม ดูดาวตอนกลางคืนได้ และมีห้อง Master bedroom ที่มีห้องน้ำซึ่งมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย 1 ห้อง และห้องนอนเล็กที่มีห้องน้ำในตัวทั้งคู่อีก 2 ห้อง ในราคาพันบาทนิดๆ ต่อคนเท่านั้น (รวมอาหารเช้าแล้วนะ) ซึ่งอาหารเช้าทางโรงแรมจะมีใบให้เลือกตั้งแต่ check-in สามารถเลือก main dish ได้ 1 จาน ระหว่าง ABF กับข้าวต้มเครื่อง และมีชอยส์อื่นๆ เพิ่มเติมทั้งขนมปัง ครัวซองต์ ผลไม้ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ต่างๆ

IMG_0988_jpg

บรรยากาศภายในวิลล่า

IMG_0978_jpg

บรรยากาศภายในห้องนอนเล็ก

IMG_1017

บรรยากาศภายในวิลล่า

cnx12

Pluto

เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งที่การออกแบบชนะเลิศ โดดเด่นตั้งแต่อาคารทรงกระบอกสีดำขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ พอเข้าไปด้านในก็เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง Pluto เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งในเชียงใหม่ที่ป๊อบมาก คนเยอะตลอดเวลา ซึ่งจุดเด่นของที่นี่นอกจากการออกแบบที่ใส่ใจในทุก Detail แล้ว เมนูเครื่องดื่มและอาหารของทางร้านก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เครื่องดื่มเมนูหลักก็จะเป็นพวกกาแฟ และเมนู Signature ต่างๆ ที่ทางร้านคิดค้นขึ้น โดยส่วนตัวขอแนะนำ ma:ki ma:ki เป็นกาแฟ Latte ที่รองพื้นด้วยแยมสตอเบอรี่ ท็อปด้วยครีมชีสด้านบน เวลาดื่มแนะนำให้ดื่มแบบจิบดูก่อน เพื่อสัมผัสกับรสชาติของครีมชีสและกาแฟ หลังจากนั้นค่อย Mix ทั้งหมดเข้าด้วยกัน รสชาติละมุนละไมมากๆ ส่วนเมนูอาหารที่ทางร้านเสิร์ฟมีทั้ง Brunch และอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น สามารถมาทานได้ตลอดทั้งวัน

cnx13

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_1560

มุม Signature ที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูป

IMG_1070

บรรยากาศภายในร้าน

cnx14

butter & neighbor

หลายคนอาจจะรู้จักร้าน butter & bourbon คาเฟ่ชื่อดังที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งตอนนี้เขาได้ขยายสาขามาที่เชียงใหม่ในชื่อ butter & neighbor โดยยังคุม theme และบรรยากาศของในร้านซึ่งเน้นความ cozy & minimal ได้เช่นเคย สาขานี้จะเน้นเสิร์ฟอาหารเป็นส่วนใหญ่ (แต่ใครจะมาดื่มกาแฟ ทานขนมก็มีให้บริการนะครับ) ซึ่งเมนูอาหารของทางร้านจะเน้นเป็นอาหารจานเดียว และ appetizer โดยจุดเด่นของเมนูจะเน้นฟิวชั่นระหว่างอาหารเหนือ กับอาหารญี่ปุ่น และฝรั่ง แนะนำให้ไปกันหลายๆ คนเพราะจะได้ลองหลากหลายเมนูที่น่ากินทั้งนั้นเลย

ร้านจะตั้งอยู่ในซอยทางเข้ากองบิน 41 ฝั่งสวนดอก มีลานจอดรถบริเวณหน้าร้าน สามารถจอดได้หลายคัน

cnx15

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_0601

บรรยากาศภายในร้าน

IMG_0627

มันบดและ toast ของทางร้านซึ่งท็อปด้วยอ่องปู ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง

cnx16

ข้าวหน้าสไตล์ญี่ปุ่น

IMG_0647

cnx18

ALSO Cafe

คาเฟ่และบาร์ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตัวร้าน Renovate จากบ้านเก่ามาเป็นสไตล์เกาหลี Minimal สุดๆ สายถ่ายรูปห้ามพลาดเลยนะ

IMG_1127

ช่วงกลางวันทางร้านจะเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้ง Coffee และ Non-Coffee รวมถึงเมนูขนมอีกเล็กน้อย ส่วนกลางคืนจะกลายร่างเป็นบาร์นั่งชิลล์ หากใครมีโอกาสมาเที่ยวเชียงใหม่ แนะนำให้ลองแวะมานะครับ

สามารถจอดรถได้ริมถนนบริเวณหน้าร้าน

IMG_0663


Fitzroy พาสำรวจย่าน Hipster ใน Melbourne

IMG_0590

 
ถ้า Hipster area ของ New York คือ Brooklyn
 
ที่ Melbourne ก็มี Fitzroy นี่แหละ ที่เราขอยกให้เป็นย่านที่เราชอบมากที่สุด
 
เพราะความเก๋ ความฮิปของอาคาร คาเฟ่ และร้านรวงต่างๆ ที่ตกแต่ง Display หน้าร้าน
และประชันความสวยงามของ Interior กันแบบจัดเต็ม เหมือนหลุดออกมาจาก Pinterest
รับรองว่าถูกใจคนรักงานดีไซน์ สายคาเฟ่ สายถ่ายรูป รวมถึงสายช็อปได้อย่างแน่นอน
รีวิวนี้เราเลยจะพาเพื่อนๆ ไปเดินเล่นชมเมือง หาคาเฟ่สวยๆ นั่งจิบกาแฟ และปิดท้ายด้วย Exhibition ที่น่าตื่นตาตื่นใจ
 
Fitzroy List
- Lune Croissanterie
- ACOFFEE
- FRIETAG by KEOMA
- Industry Beans Fitzroy
- Ima Project Cafe
- Tyama at Melbourne Museum
 
แต่ถ้าต้องเดินเที่ยวทั้งวัน แถมยังต้องแบกกล้อง แบกสัมภาระหนักๆ อีก การหากระเป๋าคู่ใจที่สามารถใส่ของที่จำเป็นสำหรับเวลาเดินทางไปเที่ยว รวมถึงดีไซน์ต้องสวยถูกใจ วางเป็นพร็อบถ่ายรูปได้ และเป็นมิตรต่อคอบ่าไหล่ของเรา (ซึ่งปวดเมื่อยง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก!) จนได้มาเจอกับกระเป๋ารุ่น SPLÄSH 2.0 ของ GASTON LUGA นี่แหละ ที่เห็นครั้งแรกก็ตกหลุมรักกับความ Minimal ของดีไซน์ วัสดุที่ดู Premium และยังกันน้ำได้ด้วย ส่วนด้านในก็ใช้วัสดุบุนุ่มอย่างดี มีช่องซิปเก็บของ และช่องเก็บ Notebook ขนาด 11-13" ได้ (แต่เราใส่ Macbook Pro 14" ก็ยังใส่ได้สบายๆ เลยนะ) บริเวณสายสะพายบ่าก็บุนุ่มให้ สะพายบ่าเวลาเดินเที่ยวก็ไม่ปวด ตอบโจทย์สายแบกอย่างเราสุดๆ
 
หากใครกำลังมองหากระเป๋าสวยๆ ไว้สำหรับทริปต่อไป ลองเข้าไปเลือกดูได้ที่
และอย่าลืมใส่โค้ด "thirtywander" เพื่อรับส่วนลดเพิ่มอีก 15% ด้วยนะ
Fr01
การเดินเล่นแถว Fitzroy ทำให้เรานึกถึงบรรยากาศแถว Brooklyn ที่ New York เพราะที่นี่เต็มไปด้วยตึกอิฐแดง
งานสถาปัตยกรรมสวยๆ และ Graffiti เท่ๆ กระจายไปอยู่แทบทั่วทุกมุม
ใครชอบการถ่ายรูปรับรองว่ามาที่นี่ได้รูปกลับไปแน่นอน
LM005909
และขาดไม่ได้เลยกับกระเป๋าดีๆ สักใบ สำหรับการเดินแบกของทั้งวัน
และ GASTON LUGA ที่ดีไซน์ Minimal ใบนี้ก็ตอบโจทย์คนชอบเดินทาง และรักงานดีไซน์อย่างเรามาก
LM005913
เราเดินทางจาก CBD มา Fitzroy ด้วยการนั่ง Tram (แต่โซนนี้ไม่ฟรีนะ อย่าลืม Touch on ก่อนลงรถ)
และเริ่มต้นวันด้วยการมาหากาแฟกับครัวซองต์อร่อยๆ ทานที่ LUNE
IMG_9632
LUNE Croissants & Coffee
LUNE เป็นร้านครัวซองต์ชื่อดังของ Melbourne
ถ้าใครเคยเดินผ่านสาขาที่ CBD จะเห็นว่าคนต่อคิวซื้อครัวซองต์กันยาวเหยียดและสาขานั้นยังเป็น Takeaway only ด้วย
เราเลยแก้ปัญหาด้วยการนั่งรถมาที่ Fitzroy เลยจ้า
ร้านใหญ่โต ที่นั่งมากมาย ตัวร้านตั้งอยู่ในโกดังขนาดใหญ่ (ที่ดูจากข้างหน้าร้านก็ไม่คิดว่าจะใหญ่โตขนาดนี้)
LM005915
จุดเด่นคือห้องกระจกตรงกลางร้านนี่แหละ ที่เขาจะโชว์การทำครัวซองต์ให้เราได้เห็นกันสดๆ เลย
ส่วนครัวซองต์และเบเกอรี่ก็มีหลากหลายเมนู โชว์ให้ดูที่เคาน์เตอร์ตอนสั่ง
Fr04
และนี่ก็คือเมนูที่เราสั่ง (ค่าเสียหาย 19.70 AUD) ครัวซองต์เขาดีจริง
ด้านนอกกรอบ ข้างในนุ่มและหอมเนยมากๆ
ส่วนกาแฟ ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เจอร้านไหนกาแฟไม่อร่อยเลยอะ
IMG_9639
อิ่มท้องแล้วได้เวลาไปต่อ เดินออกมาหน้าร้านเจอเจ้าถิ่นแถวนั้นเข้ามาทักทาย
IMG_9660

ACOFFEE

คาเฟ่ชื่อดังอีกร้าน ที่เราเคยเห็นรูปในนิตยสาร Online ที่เกี่ยวกับงานดีไซน์
และเพิ่งรู้ว่าเขามีสาขาที่เกาหลีด้วย
สำหรับสาขาที่ Fitzroy จะเป็นทั้งคาเฟ่และโรงคั่ว
เมนูต่างๆ ในร้านจะเป็นเมนูกาแฟ และเบเกอรี่ มีพวกอุปกรณ์ทำกาแฟ และเมล็ดกาแฟวางขายด้วยเช่นกัน

Fr05
การออกแบบ Interior ของที่นี่เน้นความ Minimal ใช้สีขาวตัดกับเฟอร์นิเจอร์ไม้สีอ่อน ดูลงตัวและสวยงามมาก
IMG_9659
บรรยากาศภายในร้าน
IMG_9674
นอกจากคาเฟ่ และร้านอาหารเก๋ๆ ซึ่งมีหลายร้านในย่านนี้แล้ว อีกสิ่งนึงที่พลาดไม่ได้คือ

ร้านค้าต่างๆ ทั้งแบรนด์ต่างประเทศ และแบรนด์ Local ของออสเตรเลียเอง (ซึ่งราคาก็แรงพอตัว)

อย่างที่นี่คือช็อป FREITAG ซึ่งดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศพื้นที่โดยรอบ

ส่วนแบรนด์ที่เราแนะนำให้ไปลองชม (และเสียเงินดู) คือ Australian Stitch
เป็นแบรนด์เสื้อผ้าที่เน้นความเรียบง่าย แต่ใช้วัสดุในการตัดเย็บดี คล้ายๆ Muji
แต่เราว่าของคุณภาพดูดีกว่านะ เราได้พวกเสื้อยืดแขนยาว ผ้าหนา

ข้างในใส่แล้วนุ่มสบายดีเลย มีสีให้เลือกหลากหลายด้วย

อีกร้านที่แนะนำสำหรับสาวๆ คือ ASSEMBLY LABEL

เขาก็มีช็อปที่ Fitzroy เช่นกัน แถมในร้านยังตกแต่งสวยงามด้วยนะ
LM005932
INDUSTRY BEANS : Fitzroy
เป็นร้านกาแฟอีกร้านหนึ่งใน Melbourne ที่มีหลายสาขา กระจัดกระจายอยู่ทั่วเมือง
และเป็นอีกร้านที่เราชอบกาแฟของเขามาก
เพราะความต่างของที่นี่เมื่อเทียบกับร้านอื่นคือ เขาจะมีเมนูกาแฟที่เอามา adapt มากกว่าร้านอื่น
Fr02
บอกก่อนว่าร้านกาแฟที่ Melbourne เนี่ย เขาจะเน้นคุณภาพของเมล็ดกาแฟเป็นหลัก และเน้นเสิร์ฟเมนูแบบ Basic
เพื่อให้คนได้ลิ้มรสชาติที่แท้จริงของกาแฟ ไม่เน้นปรุงแต่งแบบกาแฟบ้านเรา
แต่ที่ INDUSTRY BEANS เนี่ย นอกจากเขาจะมีโรงคั่ว และจริงจังกับเรื่องกาแฟอย่างมากแล้ว
เขามีเมนูที่เป็น signature ของเขาด้วย
Fr03

เมนูนั้นก็คือ...กาแฟใส่ไข่มุก นั่นเอง

เป็นกาแฟ ผสมกับนม (เลือกนมได้ มีหลายประเภทให้เลือก แต่เราเอาแบบ Original ตามสูตรร้าน)

และมีไข่มุกกาแฟเม็ดเล็กๆ อยู่ด้านล่าง ดูดขึ้นมาแล้วเขียวหนึบหนับเขากันดี เพลินและอร่อยเกินคาดนะ ว่าไม่ได้

อีกเมนูที่เราชอบ คือ Fitzroy iced เป็น Cold brew ผสมกับนม และ Syrup สูตรพิเศษของทางร้าน

ดื่มแล้วละมุน สดชื่นดีมาก ถ้าใครมาเที่ยว Melbourne แล้วไม่ได้ชิมสองเมนูนี้ที่ INDUSTRY BEANS ถือว่าพลาดแล้วนะ
IMG_9686
ความพิเศษของสาขานี้อีกอย่างก็คือ เขามีอาหารเสิร์ฟด้วย ทำให้มีเคาน์เตอร์สั่งได้ทั้งนอกร้าน (แบบ takeaway) และภายในร้าน (Dine-in) ราคาไม่แพงมากนะ มีเมนูหลากหลายด้วย แต่เสียดายที่เรามีร้านเป้าหมายของวันนี้แล้วเลยไม่ได้ลองชิม
IMG_9685
มีเมล็ดกาแฟและ Cold Brew ของทางร้านขายด้วย
IMG_9716

Ima Project Cafe

เราจะมาแวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่กำลังป๊อบสุดๆ ร้านหนึ่งใน Melbourne นั่นคือ Ima Project Cafe
เราไปเจอ website หนึ่งแนะนำร้านนี้โดยบังเอิญ และเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจาก Fitzroy เท่าไรนัก

เลยลองสุ่มๆ เดินมาเผื่อจะได้คิว และโชคก็เข้าข้างเราเพราะมีโต๊ะว่างพอดี
IMG_9714
Menu List ของทางร้าน
เรามาที่นี่เพราะอยากทานอาหาร Set Menu นี่แหละ ซึ่งเมนูที่เราเลือกก็คือ
Today's Teishoku หรือเมนูประจำวันนั่นเอง
Fr08
ซึ่งเมนูประจำวันนี้ก็คือ
"ไก่ทอดซอสนัมบัง"อาจจะดูไม่แปลก ยาโยอิก็มีขาย
แต่บอกเลยว่าวัตถุดิบเขาดีมาก รสชาติซอสคือดี ซุปมิโสะคือปัง
และที่ชอบมาก คือ สลัด เพราะเขาใช้ผักสลัด + แผ่นสาหร่ายทอดกรอบ และมีข้าวพองกรอบๆ โรยด้านบน ทานคู่กับสลัดน้ำใสรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีมาก

เป็นอีกร้านที่แนะนำเลยนะ ว่าต้องมาลอง!

(ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปภายในร้านมาให้ดู เพราะคนเต็มร้านเลย)

LM005935
ทานมื้อกลางวันอิ่มแล้ว มาปิดท้ายโปรแกรมวันนี้กันที่ Melbourn Museum ครับ

จุดประสงค์ในการมาที่นี่ ก็เพื่อเข้าชมนิทรรศการ "Tyama: A multisensory experience of nature" เป็นงาน Interactive digital art ที่น่าสนใจและจัดขึ้นในช่วงที่เราไปเที่ยวพอดี

ค่าเข้าชม (เฉพาะงาน) 30 AUD
อาจจะดูแพงไปนิด แต่เข้าไปเดินชม เดินถ่ายรูปก็ดีอยู่น้า

LM005938
ตัวงานจะเน้นการให้เรามีส่วนร่วมกับงานศิลปะที่จะใช้ Digital art เป็นหลัก แต่ละห้องก็มีจะ Theme ที่แตกต่างกันไป
บางห้อง จะต้องปรบมือดังๆ เพื่อให้เกิดงานศิลปะขึ้น บางห้องอาจจะต้องใช้การเคลื่อนไหว
เพื่อให้งานศิลปะนั้นเปลี่ยนแปลงไปในแบบต่างๆ
และห้องในรูปนี้ก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน
IMG_9724
ถ่ายรูปเพลินมาก แต่แนะนำให้พกตากล้องมาด้วยนะ เราไปคนเดียวเลยไม่ได้รูปตัวเองมาเลยสักใบ
IMG_9740IMG_9746
ห้องนี้จะฉายเป็นวิดีโอสั้นบนฉากขนาดใหญ่ อลังการณ์มาก
IMG_9731Fr06IMG_9739LM005951LM005955
บรรยากาศภายในงาน