teamLab : A Forest Where Gods Live
teamLab : A Forest Where Gods Live
หากจะพูดถึงงาน Digital Art ชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงคงไม่พ้น "teamLab" กลุ่มคนรักศิลปะที่รวมตัวผู้คนจากหลากหลายสาขาอาชีพ มาร่วมกันสร้างสรรค์งานศิลปะในรูปแบบใหม่ และจัดแสดงผลงานในหลายประเทศทั่วโลก และคราวนี้เราจะพาเพื่อนๆ ไปชม 1 ในนิทรรศการของ teamLab ที่ต้องบอกว่าเขาเล่นใหญ่มากจริงๆ เพราะงานนี้จัดที่ Mifuneyama Rakuen Park สวนที่ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1845 ในจังหวัด Saga และมีพื้นที่กว้างถึง 500,000 ตารางเมตร โดย artwotk ทั้งหมด จะกระจายไปตามจุดต่างๆ ทั้งในสวน และภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen ซึ่งอยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยรีวิวนี้เราจะพาไปชม artwork ที่ไม่ควรพลาดของงานนี้ และ จุดถ่ายรูปต่างๆ เผื่อใครมีแพลนจะเดินทางมาชมงาน จะได้มีข้อมูลเบื้องต้นเพื่อเตรียมตัวกันครับ
พื้นที่จัดงานหลักๆ แบ่งเป็นสองส่วน คือ ภายในโรงแรม Mifuneyama Rakuen เป็นบริเวณที่สามารถเข้าชมได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน ภายในมีร้านชาให้บริการ เปิดตั้งแต่ 11.00 น. (แนะนำว่าถ้าไม่ได้มาพักโรงแรมก็ควรไปอุดหนุนร้านชานะครับ เพราะข้างในถ่ายรูปสวยมาก) อีกส่วนคือภายในสวนซึ่งเป็นพื้นที่กลางแจ้ง จะเปิดไฟในช่วงเย็น (ตามเวลาที่แจ้งไว้ด้านล่าง) แนะนำว่าหากใครแพลนมาชมงาน มาถึงสักช่วงบ่ายๆ เป็นต้นไปก็น่าจะพอดีกับช่วงที่เปิดไฟ สำหรับรายละเอียดของ artwork จุดต่างๆ เข้าไปอ่านรายละเอียดได้ภายในรีวิวนี้ครับ
การเดินทางมาชมงาน ตั้งต้นจากสถานี Hakata สามารถนั่งรถไฟสาย Relay Kamome หรือ Kasasaki (สายเดียวกับที่ไป Huis Ten Bosch) ใช้เวลาประมาณ 45 - 60 นาที มาลงที่สถานี Takeo-Onsen แนะนำให้ต่อ Taxi มาลงที่โรงแรม Mifuneyama Rakuen (ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที ค่ารถประมาณ 1,000-1,200 เยน) หากใครอยากประหยัดก็สามารถนั่งรถบัสมาได้ หรือถ้าเช่ารถขับมา บริเวณหน้างานก็มีลานจอดรถให้บริการเช่นกัน (แถวโรงแรมไม่ค่อยมีร้านอาหาร นอกจากร้านในโรงแรม มีแต่ร้านขายขนมและของฝากทั่วไปตรงบริเวณทางเข้างาน หากใครต้องการเรียก Taxi ให้ทางร้านโทรเรียกได้ แต่ช่วยอุดหนุนของกินเล็กๆ น้อยๆ ภายในร้านกันด้วยนะครับ)
ค่าเข้าชมงาน 12oo เยน
งานจัดตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม - 5 พฤศจิกายน 2023
เวลาเข้าชมงาน (บริเวณภายในสวน)
14 กรกฎาคม - 10 กันยายน : 19.00 - 22.30 น.
11 กันยายน - 8 ตุลาคม : 18.00 - 22.30 น.
9 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน : 17.00 - 22.30 น.
รายละเอียดเพิ่มเติม : https://www.teamlab.art/e/mifuneyamarakuen/
มาชมแผนที่ของงานนี้กันก่อนครับ (แนะนำเซฟรูปนี้เก็บไว้ได้เลย ใช้วางแผนสำหรับการเดินชม) โซนที่เราสามารถชมงานได้ตั้งแต่ช่วงกลางวัน คือ ภายในโรงแรมโซน A และ G (ต้นไม้ใหญ่เก่าแก่ของพื้นที่ แต่เราไม่ได้ไปนะ เพราะเดินค่อนข้างไกล และมีช่วงเวลาจำกัดที่เปิดให้เข้าชม) ส่วนโซนอื่นๆ ต้องชมในช่วงเย็นหลังพระอาทิตย์ตกเป็นต้นไป ซึ่งในรีวิวนี้ เราจะพาไปชมโซน A, B, C, D และ E กันครับ
A1 : Forest and Spiral of Resonating Lamps - One Stroke
จุดเริ่มต้นของเราคือ โรงแรม Mifuneyama Rakuen เปิดประตูเข้ามาจะเจอกับ Lobby และเป็น 1 ใน artwork ของงานนี้ โดยจะเป็นโคมไฟสีต่างๆ กระจายไปทั่งทั้งห้อง เป็น Lobby ของโรงแรมที่พื้นที่ไม่ใหญ่มาก แต่ความสวยงามนี่ต้องยกให้เป็นลำดับต้นๆ เลยทีเดียว
ถ่ายรูปเพลินมาก แต่ระวังหัวหรือตัวจะไปกระแทกกับโคมไฟนะ
จากรูปจะเห็นว่าโคมไฟห้อยลงมาต่ำ เวลาถ่ายรูปอาจจะเผลอไปกระแทกได้ ระวังกันด้วยนะ
ติดกับ Lobby ของโรงแรมจะเป็นร้านชา "EN TEA HOUSE" ซึ่งร้านชาจะมี 2 จุดนะ อีกจุดจะอยู่ในสวน ซึ่งจะเปิดในช่วงเย็น ส่วนจุดแรกที่อยู่ในโรงแรมเปิดตั้งแต่ 11.00 น. แวะมาถ่ายรูปแล้วก็อุดหนุนชาของโรงแรมกันสักหน่อย
ถ่ายรูปจากร้านชาออกไปก็สวยงามไปอีกแบบ
A2 : Life Survives by the Power of Life II
เดินเข้ามาในห้องติดกับร้านชา จะเจอกับภาพของต้นไม้ต้นหนึ่งที่ความสวยงามจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาล
A3 : Life Sculpture of Flames
B1 : Universe of Fire Particles in a Decaying Underground Passage
หลังจากเรากลับมา งานนี้ก็ปิดปรับปรุง เป็นการฉายภาพไฟในทางเดินที่คล้ายกับอุโมงมืดๆ มีเพียงแสงไฟจากโคมเล็กๆ ริมทาง
พื้นที่จัดแสดงงานนี้ ไม่เหมาะกับคนที่กลัวความมืดและพื้นที่แคบนะครับ
B2 : Megaliths in the Bath House Ruins
เป็นอีกห้องไฮไลท์ของงานที่เราใช้เวลาถ่ายรูปนานมาก เพราะแท่งไฟในห้องจะมีการเปลี่ยนสีสัน เปลี่ยน Pattern ไปเรื่อยๆ และมีความสวยงามแตกต่างกันไป เป็นจุดที่ควรมาถ่ายทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนเพราะให้บรรยากาศและความสวยงามที่ไม่เหมือนกัน แต่หากใครเวลาจำกัด แวะมาถ่ายรูปช่วงกลางวันแบบเราก็ได้นะ
C1 : Drawing on the Water Surface Created by the Dance of Koi and Boat - Mifuneyama Rakuen Pond
อีกจุดไฮไลท์ที่อยากให้มาใช้เวลาซึมซับกับความสวยงาม และบรรยากาศโดยรอบ ทั้งแสง สี เสียง ที่งดงาม อลังการณ์มากจริงๆ กับการแสดงไฟบนพื้นน้ำ และมีฉากหลังเป็นภูเขา มีเรือพายเล่นกับแสงไฟ พร้อมเสียงดนตรีประกอบ แต่ละรอบใช้เวลาประมาณ 10 นาที
D2 : Life is Continuous Light - Azalea Valley
การจัดแสดงไฟในทุ่งอาซาเลียขนาดใหญ่ภายในสวน เป็นอีกจุดที่สวยงามมากทั้งตอนที่ยังไม่มืดสนิท และหลังจากมืดแล้ว แนะนำให้แวะมาชมทั้งสองช่วง เพราะสวยงามคนละแบบ
D4 : Universe of Water Particles on a Sacred Rock
D5 : Memory of Continuous Life
D6 : Hanamidai (Viewing Spot)
D7 : Flower Bloom in an Infinity Universe inside a Teacup
จุดนี้จะอยู่ที่ร้านชา EN TEA HOUSE ซึ่งตั้งอยู่ภายในสวน ใกล้กับจุด D2 เป็นการดื่มชา พร้อมกับชมงานศิลปะที่ mapping ลงในถ้วยชาของเรา เวลายกดื่มดอกไม้จะสลายกลีบออก พอตั้งวางเฉยๆ ก็จะรวมเป็นดอกไม้สวยในถ้วยชา
บรรยากาศร้านชา EN TEA HOUSE
E1 : Spatial Calligraphy on the Rock Wall of Five Hundred Arhats, Continuous Life
E2 : Cut Out Continuous Life - Forest Path
Cherry Blossom Japan 2023 : ตามล่าหาซากุระ
ฤดูกาลตามล่าซากุระของปี 2023 กำลังจะผ่านไปแล้ว
เป็นอีกปีที่เราได้ไปชมซากุระ วางแผนซะดิบดี แต่ปีนี้ซากุระดันบานไวไปอีก!
แต่ก็ยังดีที่หลายๆที่ยังสวย พอให้เราได้เก็บภาพมาฝากเพื่อนๆ กันได้อยู่ (แม้ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนแผนกันวันต่อวันก็ตาม)
รีวิวนี้จึงรวบรวมจุดชมซากุระที่เราได้ไปมาทั้งหมดในทริปนี้จาก 4 เมือง ได้แก่ Tokyo , Saitama , Osaka และ Kyoto รวมทั้งหมด 10 สถานที่ ได้แก่
- Edo-Sakura Dori (Nihombashi)
- Chidorigafuchi Park
- Naka-meguro
- Kumagaya
- Motoara River
- Tachikawa
- Kema Sakuranomiya Park
- Nanatani River , Kameoka
- Heian Shrine
- Ninna-ji
พร้อมพิกัดและคำแนะนำให้เพื่อนๆ ได้วางแผนเตรียมพร้อมสำหรับการไปตามล่าซากุระในปีต่อๆ ไป
ถ้าพร้อมแล้ว เข้าไปอ่านรายละเอียดกันในโพสท์นี้ได้เลยครับ
**ช่วงเวลาที่เดินทาง 30 มีนาคม - 5 เมษายน พ.ศ. 2566**
Edo-Sakura Dori , Nihombashi (Tokyo)
จุดชมซากุระที่ไม่ค่อย Mass เท่าไรใน Tokyo ความพิเศษของจุดนี้ คือ มีอุโมงค์ซากุระเรียงรายตามถนน มีฉากหลังเป็นอาคารที่ออกแบบสไตล์ยุโรป ให้บรรยากาศที่แตกต่างจากการไปชมซากุระที่จุดอื่น มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปกันพอสมควร แต่อาจจะถ่ายค่อนข้างยาก เพราะคนเดินกันพลุกพล่าน (เป็นย่านสำนักงาน) และต้นซากุระตรงจุดนี้จะค่อนข้างสูง เหมาะกับการมาชมบรรยากาศ หรือสายถ่ายภาพ Street น่าจะชื่นชอบ
พิกัด : https://goo.gl/maps/FBWRdmcGKTWhp4NWA
Mitsukoshimae Station (Exit B1)
Chidorigafuchi Park (Tokyo)
สวนสาธารณะชื่อดังที่อยู่ติดกับ Imperial Palace จุดเด่นของที่นี่คือการมาชมซากุระที่อยู่รอบๆ สระน้ำ และมีคนมาพายเรือ ถีบเรือเป็ดกันอย่างสนุกสนาน เป็นอีกจุดหนึ่งใน Tokyo ที่เป็นที่นิยม (ใครไม่อยากเจอคนเยอะๆ โปรดหนีไป) จุดสังเกต คือ อย่าปักหมุด Chidorigafuchi Park ใน Google map เพราะมันไม่ใช่จุดถ่ายรูปที่เป็นไฮไลท์ของสวนนี้ และมุมที่เหมาะสำหรับถ่ายรูปจะมีอยู่ 2 จุด จุดแรกที่คนชอบมาถ่ายรูปกันจะเป็นจุดลงเรือ (Chidorigafuchi Moat) และอีกจุด คือ Kudanzaka Park ใกล้กับสถานี Kudanshita
พิกัด : https://goo.gl/maps/FPAgKYYNi4X5GpM19 (จุดลงเรือในภาพด้านบน) และ https://goo.gl/maps/EnmCvPtoTBfPP6Vt6 (Kudanzaka Park)
แนะนำให้ลงสถานี Kudanshita เพราะจะเดินไม่ไกล ชมจุดแรกที่ Kudanzaka Park แล้วค่อยเดินไปที่ Chidorigafuchi Moat จะประหยัดเวลาและระยะเดินน้อยกว่าไปลงที่สถานี Hanzomon
มุมมองจาก Kudanzaka Park
Naka-meguro (Tokyo)
เป็นอีกจุดชมซากุระใน Tokyo ที่สวยงามทั้งกลางวันและยามค่ำคืน เราเลือกมาชม Light up ที่นี่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ก็แอบเสียดายนิดหน่อยที่มาในช่วงที่เลยจุด Peak ไปแล้ว และแม้จะมาตอนกลางคืน แต่คนที่มาเที่ยวชมซากุระก็ยังเยอะมากอยู่ดี ใครอยากมาเดินสบายๆ แนะนำให้มาตอนช่วงเช้าน่าจะดีกว่า
พิกัด : https://goo.gl/maps/DkYx8EgaEqJuuma36
Naka-meguro station
Kumagaya (Saitama)
ขอยกให้ที่นี่เป็น The best ของทริปนี้เลย เพราะมีซากุระให้เดินชมได้อย่างจุใจมาก ใครที่ชอบถ่ายรูป และอยากหนีคนเยอะในโตเกียวแนะนำให้นั่งรถไฟมาที่นี่เลย เดินทางสะดวกมาก โดยเฉพาะถ้าใครพักแถว Ueno สามารถนั่ง Shinkansen มาที่นี่ได้ในครึ่ง ชม. แนะนำให้มาถึงที่นี่ไม่เกิน 8 โมงเช้าจะเดินถ่ายรูปได้สบายๆ เพราะแดดยังไม่ร้อน และคนยังไม่เยอะมากนัก
พิกัด : https://goo.gl/maps/tna5x8EJuWQVUWLE9?coh=178572&entry=tt
Kumagaya station (South Exit) เดินต่อประมาณ 300 เมตร
Motoara River (Saitama)
นั่งรถไฟมาจาก Kumagaya เพียงสองสถานีก็มาถึงที่นี่ จุดเด่นคือมีอุโมงค์ซากุระโอบล้อมลำคลองที่ทอดยาวไปในย่านชุมชม เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่มีเพียงคนในย่านนั้นมาเดินชมมากกว่านักท่องเที่ยว เหมาะแก่การไปเดินถ่ายรูป
พิกัด : https://goo.gl/maps/K4GPqLRPq221cVwb9?coh=178572&entry=tt
Fukiage Station (North Exit) เดินต่อประมาณ 200 เมตร
Tachikawa (Tokyo)
จุดชมซากุระขวัญใจคน Local ที่เราแนะนำว่าควรหลีกเลี่ยงการมาในวันหยุด เพราะคนเยอะมากกกกกก จุดเด่นของที่นี่คือซากุระต้นใหญ่ที่เรียงรายขนาบคลองทั้งสองฝั่ง และโน้มกิ่งทอดยาวลงมาจนแทบจะถึงกลางคลองกันเลยทีเดียว ซากุระที่นี่สวยมากจริงๆ แต่น่าเสียดายที่เราถ่ายรูปอะไรแทบไม่ได้เลยเพราะคนมาเยอะไปหมด 555 และอีกอย่างที่อยากเตือน คือ ที่นี่ไม่มีชื่อขึ้นใน Google Map แต่เราได้ปักพิกัดแบบ Manual เอาไว้ให้ รับรองว่าไม่หลงแน่นอน (เพราะเราหลงมาก่อนแล้ว)
พิกัด : https://goo.gl/maps/dxi9zdquy5StLdsq6?coh=178572&entry=tt
Shibasaki-Taiikukan Station เดินต่อประมาณ 10 นาที
มีอีกจุดที่หลายๆ เพจแนะนำให้ปักพิกัดนี้ https://goo.gl/maps/kDQV72BtzBtFEhsv7?coh=178572&entry=tt ซึ่งก็สวยดีแต่มันไม่ใช่จุดไฮไลท์นะทุกคน อย่าไปผิดที่จ้า
Kema Sakuranomiya Park (Osaka)
ข้ามมาที่ Osaka กันบ้างครับ กับสวนสาธารณะใจกลาง Osaka ที่มีต้นซากุระเยอะมาก และอยู่ไม่ไกลจาก Osaka Castle ด้วย หากใครเดินไหวก็สามารถเดินต่อไปได้เลย แนะนำว่าให้มาที่นี่ช่วงเย็น เพราะถ่ายรูปสวยและไม่ย้อนแสง
พิกัด : https://goo.gl/maps/cnB5cKKAXgGbUeb6A?coh=178572&entry=tt
JR Sakuranomiya station
Nanatani River (Kameoka)
Heian Shrine (Kyoto)




Ninna-ji (Kyoto)




Seoul Cafe Guide 2022 : คาเฟ่เกาหลีเกาใจ ที่ไหนน่าไป ตามมาเลย
สวัสดีปีใหม่ 2023
ขอให้ปีกระต่ายปีนี้เป็นปีสำหรับการเริ่มต้นใหม่ที่ดี เงินทองไหลมาเทมา สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะครับ
เริ่มต้นปีใหม่จะพาไป Cafehopping กันที่โซล เพราะคาเฟ่ที่นี่เค้าออกแบบสวย และมีเยอะมาก เรียกได้ว่าการดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คนที่นี่กันเลยทีเดียว และครั้งนี้เราได้กลับไปเที่ยวโซลในรอบ 5 ปี เลยมีคาเฟ่ที่อยากไปแวะเยอะมาก แต่ด้วยเวลาอันจำกัด เลยได้ไปมาทั้งหมด 12 ร้าน และเก็บภาพรวมถึงพิกัดมาแนะนำเพื่อนๆ ที่กำลังมองหาคาเฟ่สวยๆ ในโซล ให้ได้ตามไปเก็บกัน ซึ่งรายชื่อร้านทั้งหมดก็มีตามนี้
- Coffee Nap Roasters
- SD2R
- Gwehdo (Yeonhui branch)
- 1 in 1 jan
- ACOFFEE
- Blue Bottle (Samcheong branch)
- NEMA Coffee
- PLOP Pizza
- Wynyard (Seongsu branch)
- Sayoo
- Milestone Coffee Roasters
- % Arabica (Starfield Library Branch)
ส่วนรายละเอียดของแต่ละร้าน จะน่าสนใจแค่ไหน ตามมาอ่านกันได้ในโพสท์นี้เลยครับ
Coffee Nap Roasters
เป็นคาเฟ่ที่เราเห็นใน IG มานานหลายปี และตั้งใจว่าถ้าไปโซลจะต้องแวะไปให้ได้ ร้านอยู่แถวยอนนัม (ห่างจากฮงแดมา สถานีเดียว) จุดเด่นภายในร้านคือพื้นอิฐแดงยกสูงเป็นคลื่น ตัดกับเคาน์เตอร์สีขาว ร้านเล็กๆ แต่ฟีลดี มีคนแถวนั้นแวะเวียนมาจิบกาแฟ พาน้องหมามาเดินเล่น ส่วนกาแฟที่เราได้ลอง คือ Vanilla Latte รสชาติหวานละมุนกำลังดี (แต่ระวังให้ดีเพราะบางร้านหวานตัดขา) ที่ร้านมีเมล็ดกาแฟและแก้วขายด้วยนะ
พิกัด :
[Naver Map]
Coffee Nap Roasters Yeonnamdong
Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
วานิลลาลาเต้ของที่นี่คือดีงามจริง แนะนำให้ลองครับ
SD2R (저당개2년로스터스)
เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญ เพราะอยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters ทางร้านคั่วกาแฟเองด้วย มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ เราลองแบบดริปเย็นรสชาติดีเลยแหละ ราคาไม่แพง บรรยากาศร้านเหมือนแวะมาจิบกาแฟที่บ้านเพื่อน ชิลๆ มีคนแถวนั้นเดินเข้าออกร้านกันตลอดเวลา ตัวร้านมีสองชั้น แต่มุมที่เราแนะนำคือที่นั่งบริเวณหน้าต่างบานใหญ่หน้าร้านนี่แหละ ถ่ายรูปออกมาสวยมาก แนะนำว่าย่านนี้มีร้านอาหาร คาเฟ่น่ารัก และสวยสาธารณะให้เดินชมได้เพลินๆ ลองเผื่อเวลามาเดินแถวย่านยอนนัมกันดูนะครับ
พิกัด : อยู่ในซอยด้านหลังร้าน Coffee Nap Roasters (ไม่มีพิกัดใน map)
Subway : Gajwa station Exit 4 เดินต่ออีกประมาณ 600 เมตร
บรรยากาศภายในร้านชั้น 1 ตกแต่งเรียบง่าย
บรรยากาศบนชั้น 2 ของร้าน มีที่นั่งอยู่หลายที่
บรรยากาศภายในร้าน
Gwehdo Yeonhui
เป็นอีกร้านที่เราเห็นใน IG แล้วปักหมุดเลยว่าต้องมา จุดเด่นคือรางเสิร์ฟกาแฟ และจอสำหรับแสดง digital art ตรงกลางร้าน ร้านตั้งอยู่ชั้น 2 ในตึกเดียวกับ LAIKA CINEMA เราได้ลองเมนู Signature ของร้าน เป็น Latte ทานคู่กับขนมหวานเกาหลี ใครไม่ชอบหวานแนะนำให้ผ่านไปเลย (เพราะหวานมากกกกก) ส่วนลูกกลมๆ สีๆ เป็นเชอร์เบท รส Lime & Basil เมนูนี้แนะนำให้สั่งมาลองเพราะรสชาติจัดจ้านมาก ทานแล้วตื่นยิ่งกว่ากาแฟ ระวังสับสนนิดนึงเพราะร้าน Gwehdo จะมีอีกสาขาอยู่แถวยอนนัม (ร้านนั้นก็สวยอีกแบบ และอยู่ไม่ไกลจากฮงแด)
พิกัด :
[Naver Map]
Gwedo Yeonhui
Subway : Hongik Univ. station Exit 3 เดินต่ออีกประมาณ 1 กม. หรือ ต่อรถบัสจะสะดวกกว่า
สั่งกาแฟปุ๊บ มาเลือกที่นั่งได้เลย เพราะเค้าจะเสิร์ฟกาแฟมาทางรางเลื่อนนี่แหละ
เมนูที่สั่งวนมาถึงแล้วก็หยิบได้เลย
บรรยากาศภายในร้าน
1인1잔 (1 in 1 jan)
คาเฟ่วิวหมู่บ้านเกาหลีที่มุมถ่ายรูปคือดีมาก เห็นรูปครั้งแรกก็ปักหมุดเลยว่าต้องแวะมา เพราะคาเฟ่นี้อยู่ทางเข้าหมู่บ้าน Enpyeong Hanok Village พอดี คาเฟ่มีทั้งหมด 5 ชั้น ใครอยากมานั่งถ่ายรูปมุมนี้อยู่ชั้น 3 ส่วนชั้น 5 จะเป็นระเบียงอยู่ outdoor เป็นส่วนของร้านอาหาร (เปิดหลังคาเฟ่ 1 ชม.) ขนมที่ร้านหน้าตาดีมาก เครื่องดื่มก็มีหลากหลาย แต่ที่สำคัญคือวิว สวยสุดๆ แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิดจะได้ถ่ายรูปสบายหน่อย เพราะแป๊บเดียวคนเต็มร้านแล้ว
พิกัด :
[Naver Map]
1 In 1 Jan
서울 은평구 연서로 534
การเดินทาง : Subway สถานี Yeonsinnae ออกทาง Exit 3 เดินมาต่อรถบัสจากป้าย Yeonseo market (สาย 701 / 7211 / 7723) ลงที่ป้าย Hanago Samcheonsa Jingwansa Temple Entrance (นั่งรถบัสประมาณ 15 นาที)
วิวจากที่นั่งชั้น 3
มาช่วงใบไม้เปลี่ยนสีก็จะได้วิวประมาณนี้
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์
หน้าตาขนมและเครื่องดื่ม
ACOFFEE Seoul
หลังจากที่เราเคยไป ACOFFEE ที่เมลเบิร์นมาแล้ว เลยถือโอกาสแวะมาชมบรรยากาศ และมาจิบกาแฟดีๆ ที่สาขาโซลด้วย ตัวร้านตั้งอยู่ในชุมชนแถบเนินเขา เป็นอาคาร 3 ชั้นที่ซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียน ภายในร้าน Minimal มาก สำหรับกาแฟเราแนะนำว่าที่นี่ควรดื่มกาแฟดริป เพราะเมล็ดกาแฟเขาดีจริง มีให้เลือกหลายแบบ (ให้บาริสต้าช่วยแนะนำได้)
ด้วยความที่ร้านตั้งอยู่ตามเนินเขา อาจจะต้องเดินขึ้นๆ ลงๆ เยอะนิดนึงนะ
พิกัด
[Naver Map]
A Coffee Seoul
서울 종로구 백석동1가길 19
การเดินทาง : Subway สถานี Gyeongbokgung (Exit 3) แล้วต่อรถบัสสาย 7212 หรือ 7022 ลงป้าย Buamdong Community Service Center. Mugyewon เดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บริเวณทางเข้าร้าน
Blue Bottle Samcheong
คาเฟ่สัญชาติอเมริกา ที่มีหลายสาขาในโซล คราวนี้เราจะพามาที่สาชาซัมชอง ซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน Bukchon แหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ซึ่งสาขานี้เป็นสาขาแรกของ Blue Bottle ในเกาหลี โดยจุดเด่นของร้านจะเป็นการออกแบบอาคารที่โดดเด่น ถ่ายรูปสวย ส่วนภายในร้านจะมีทั้งหมด 3 ชั้น โดยชั้น 1 และ 2 จะสามารถสั่งกาแฟได้ (espresso bar จะอยู่ชั้น 2) ส่วนชั้น 3 จะเป็น slow bar มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชิลรับลมได้ เรื่องกาแฟไม่ต้องพูดถึง เพราะดีงามสมมาตรฐานของ Blue Bottle อยู่แล้ว แต่พวกของที่ระลึกอย่างแก้วแบบต่างๆ กระเป๋าน่ารักๆ มีหลายอย่างน่าเสียเงินมากเป็นมุมขายอยู่ที่ชั้น 1 แนะนำให้ลองชมดูอาจจะเสียเงินได้โดยไม่รู้ตัวนะ
พิกัด
[Naver Map]
Blue Bottle Samcheong Cafe
서울 종로구 북촌로5길 76
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 800 เมตร
โซนขายของบริเวณชั้น 1 ระวังเสียทรัพย์โดยไม่รู้ตัว
บรรยากาศบริเวณชั้น 2
บรรยากาศบริเวณชั้น 2
บรรยากาศบริเวณชั้น 3
NEMA coffee
คาเฟ่เล็กๆ ตกแต่งน่ารัก อยู่ไม่ไกลจาก Bukchon Hanok Village หมู่บ้านเกาหลียอดนิยมของนักท่องเที่ยว แนะนำให้มาทาง Subway ลงสถานี Anguk และเดินตาม Map มาเรื่อยๆ เพราะบรรยากาศระหว่างทางมาร้าน มีคาเฟ่สวยๆ ร้านอาหารเก๋ๆ และในช่วง Autumn แบบนี้มีต้นแปะก๊วยใบสีเหลืองอยู่ขนาบสองข้างทาง ถ่ายรูปเพลินมาก ส่วนที่ร้าน NEMA จุดเด่นของร้านคือ ทาร์ตอร่อย มีเมล็ดกาแฟในเลือกหลากหลายแบบ และเสิร์ฟมาในแก้วและจานที่สวยงาม จัด display ได้ดี มุมถ่ายรูปสวยๆ ในร้านเยอะมาก มาช่วง Autumn แบบนี้มองออกไปนอกหน้าต่างร้านจะเห็นใบแปะก๊วยสีเหลืองเต็มเลย บรรยากาศดีสุดๆ แนะนำเลยครับ
พิกัด
[Naver Map]
Cafe Alley Forest Entrance
서울 종로구 삼청동
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 1 กม.
วิวจากภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
PLOP Pizza
ร้านพิซซ่าใน Bukchon Hanok Village ที่ออกแบบร้านได้สวย และพิซซ่าก็อร่อยมาก! เราเจอร้านนี้โดยบังเอิญเพราะเป็นทางผ่านไปคาเฟ่ เมนูหลักของร้านคือพิซซ่าหลากหลายหน้า มีขนาดเล็กและใหญ่ สามารถสั่งแบบ Half ได้ เราจึงจัดพิซซ่าถาดใหญ่หน้าบูลโกกิ แบ่งครึ่งกับเปเปอโรนี อร่อย เครื่องแน่น ชีสจัดเต็ม ส่วนไก่ทอดกินคู่กับน้ำจิ้มหวานๆ คือดี! แนะนำให้แวะไปลอง และถ้าจะให้ดีควรไปตั้งแต่ร้านเปิด เพราะช่วงเที่ยงคิวยาวมาก
พิกัด
[Naver Map]
Peullop Anguk
서울 종로구 북촌로2길 5
การเดินทาง : Subway สถานี Anguk (Exit 2) เดินต่ออีกประมาณ 200 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
พิซซ่าบูลโกกิกับไก่ทอดคือต้องสั่ง
บริเวณหน้าร้าน
Wynyard 성수
ปักหมุดไว้เป็นร้านแรกเลยว่าต้องมา ร้านสวย เท่ บรรยากาศดูแพงมาก แต่ที่ชอบสุดคือการเสิร์ฟกาแฟนี่แหละ เพราะทางร้านจะให้เราเลือกเมล็ดกาแฟ (espresso ก็จะมีเมล็ดชุดนึงให้เลือก ถ้าเป็น filter ก็จะมีอีกชุดนึง) ส่วนตอนมาเสิร์ฟ จะมาพร้อมโปสการ์ดที่บอกรายละเอียดของกาแฟที่เราเลือก โปรการ์ดก็สวยมากด้วย แนะนำว่ามาแถวซองซูแล้วเตรียมท้องมาให้ว่าง คาเฟ่เก๋ๆ เยอะมากจริง
พิกัด
[Naver Map]
Winyadeu Seongsu
서울 성동구 연무장길 8-1
การเดินทาง : Subway สถานี Ttukseom (Exit 5) เดินต่ออีกประมาณ 500 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้
บรรยากาศภายในร้าน
ประทับใจการเสิร์ฟขนมและเครื่องดื่มของที่นี่มาก
Sayoo
คาเฟ่วิวตึกอิฐแดงที่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่ต่างประเทศ ที่เป็นกระแสในเหล่า Cafehopper เกาหลีอยู่ช่วงหนึ่ง ทำเลของร้านตั้งอยู่แถว Itaewon ภายในตึก 5 ชั้น เป็นส่วนของคาเฟ่ทั้งตึกเลย ชั้นล่างจะเป็นโซน coffee bar สามารถสั่งเครื่องดื่มและขนมได้ที่นี่ ส่วนชั้นอื่นๆ จะเป็นที่นั่ง ลักษณะกึ่ง co-working space และมีชั้น 5 เป็น Rooftop ที่วิวดีมาก ร้านตกแต่งสวย แต่ละชั้นก็ให้บรรยากาศที่แตกต่างกันไป ในส่วนของกาแฟก็มีเมล็ดให้เลือกหลากหลายแบบ จะสั่งเป็น Espresso หรือ slow bar ก็ดี รวมถึงเบเกอรี่หน้าตาน่าทานหลายเมนู เป็นอีกคาเฟ่ที่ไม่ควรพลาดครับ
พิกัด
[Naver Map]
Sayoo
서울 용산구 이태원로54길 5
การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 300 เมตร
บรรยากาศภายในชั้น 1 ของร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศบริเวณชั้น 3 ของร้าน
หน้าร้าน
Milestone Coffee Roasters (Hannam branch)
คาเฟ่ชื่อดังอีกร้านในโซล ที่หลายๆ รีวิวบอกว่าต้องมาชิมบราวนี่ของร้านให้ได้สักครั้ง ร้านอยู่ไม่ไกลจากร้าน Sayoo ตัวร้านตกแต่งสวยงาม โดดเด่นตั้งแต่หน้าร้าน ภายในบรรยากาศดี แต่เป็นอีกคาเฟ่ที่ป๊อบมากเพราะมีคนเข้ามาซื้อกาแฟกันตลอดเวลา ส่วนบราวนี่ก็ดีงามสมราคาคุย ถ้าได้แวะมาอย่าลืมสั่งนะ
พิกัด
[Naver Map]
Milestone Coffee Hannam Branch
서울 용산구 한남대로27가길 26 1층
การเดินทาง : Subway สถานี Hangangjin (Exit 3) เดินต่อประมาณ 400 เมตร
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
หน้าตาบราวนี่แสนอร่อย เมนูเด่นของร้าน
บริเวณหน้าร้าน
% Arabica (Starfield Library Branch)
ปิดท้ายกันที่ %Arabica คาเฟ่ยอดนิยมจากญี่ปุ่น ที่พูดชื่อไปหลายๆ คนก็รู้จักอย่างแน่นอน กับสาขาล่าสุดในโซล ซึ่งมาเปิดที่ Starfield Library ห้องสมุดสุดฮิตของเหล่า Influenzer ที่ใครแวะมาเกาหลีจะต้องมาถ่ายรูปสวยๆ ที่นี่ให้ได้ สำหรับความพิเศษของสาขานี้คือการออกแบบ ซึ่งภายนอกตัวอาคารดูล้ำมาก แต่ด้านในก็ยังคงความ minimal และมีส่วนของบาร์กาแฟ รวมถึงโซนคั่วกาแฟที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และที่สำคัญคือทำเลที่อยู่ติดกับห้องสมุดเลย แวะถ่ายรูปเสร็จ ก็แวะมาดื่มกาแฟ พักเหนื่อยกันต่อได้ที่นี่เลยครับ
พิกัด
[Naver Map]
% ARABICA Starfield Coex Mall Branch
서울 강남구 영동대로 513 스타필드 코엑스몰 별마당도서관 1층
การเดินทาง : Subway สถานี Samseong (Exit 6) ติดกับ Starfield Library
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
สามารถเดินเข้ามาจากทางห้องสมุดได้เลย
Seoul Travel Guide 2022







Chiang Mai 2022 : update ที่พักและคาเฟ่ใหม่ๆ กันหน่อย
หากเรามีวันหยุดสัก 2 - 3 วัน เชียงใหม่มักจะเป็นจุดหมายแรกที่เรานึกถึง เพราะไม่ว่าจะไปเชียงใหม่เมื่อไรก็ตาม จะมีร้านอาหาร คาเฟ่ และที่พักใหม่ๆ ให้เราได้ไปสำรวจอยู่เสมอ โพสท์นี้เราจะพาไปเที่ยวและอัพเดทคาเฟ่ ร้านอาหาร และที่พักทั้งใหม่และเก่า ให้เพื่อนๆ ได้ไปตามกัน ส่วนจะมีที่ไหนบ้างนั้นดูได้จาก List ด้านล่างนี้เลย
- Cherlock Hotel
- BeansLiquor
- Match Match
- gallery กาแฟดริป เชียงใหม่
- Twenty Mar
- ISSARA Coffee Space
- Vanilla hill by hill lodge
- PLUTO
- Butter & Neighbor
- ALSO cafe
รายละเอียดแต่ละที่ จะมีความน่าสนใจอย่างไรบ้าง ตามมาอ่านกันต่อในโพสท์ได้เลยครับ
CHERLOCK HOTEL
มาเชียงใหม่ครั้งนี้ เราเลือกที่พักคืนแรกที่ Boutique Hotel สไตล์ Loft อย่าง CHERLOCK HOTEL สิ่งที่สะดุดตาเรามากที่สุด คือ การออกแบบของที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์ ห้องพักออกแบบได้สวยและมีความเป็นส่วนตัว รวมถึงทำเลที่สะดวกสบาย เพราะโรงแรมตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยวอย่างนิมมานฯ นั่นเอง แต่บอกเลยว่าพอหลุดเข้ามาในโซนโรงแรมแล้ว บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่น ต้นไม้เยอะ เหมือนออกมาอยู่แถวชานเมืองมากกว่า
บริเวณ Lobby ของโรงแรม
ห้องพักของที่นี่จะมีทั้งหมด 3 Room type ได้แก่ Superior room (ห้องเริ่มต้น) , Deluxe room และ ห้องที่เราเลือกมาพักครั้งนี้อย่างห้อง Pool Junior Suite (ราคาเต็ม 4,000 บาท/คืน) ซึ่งเป็นห้องที่ขนาดใหญ่สุด และมีสระว่ายน้ำเล็กๆ ส่วนตัวอยู่ภายในห้องด้วย สำหรับห้องพักของเราตกแต่งสวย ห้องกว้างขวาง ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ความสะอาดใช้ได้ กุญแจห้องพักใช้ระบบ key card แต่น่าเสียดายที่การ Maintainance ยังไม่ค่อยดีเท่าไร ทำให้โรงแรมดูเก่าไปกว่าตอนแรกที่เปิดไปเยอะเลย (อาจจะเป็นเพราะช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงโควิดด้วยนี่แหละ)
นอกจากสระว่ายน้ำเล็กๆ ภายในห้อง (มีจากุชชี่ด้วยนะ แต่ต้องแจ้งพนักงานให้มาช่วยเปิด)
ยังมีสระว่ายน้ำส่วนกลางที่สามารถไปใช้ได้ด้วย อยู่ติดกับ Lobby ของโรงแรม
อาหารเช้าของทางโรงแรมจะเสิร์ฟเป็นเซ็ต มีครัวซองต์ ชา/กาแฟ น้ำผลไม้ และ American brakefast ให้ 1 จาน/คน สามารถเลือกได้ว่าจะทานที่ห้องพักของเราเลย หรือจะมาทานที่ห้องอาหาร (อยู่ที่เดียวกับ Lobby ของโรงแรม) ก็ได้ แนะนำให้แจ้งตั้งแต่วันเข้าพักนะครับ จะได้ไม่ต้องรอนาน
หน้าตาอาหารเช้าของเรา
MOOH
ร้านโดนัทสอดไส้สุด Cute ที่เคยเป็นกระแสฮอตฮิตอยู่ช่วงหนึ่ง ร้านอยู่ติดกับโรงแรม CHERLOCK ที่เราพัก เลยถือโอกาสแวะมาซื้อโดนัทและถ่ายรูปตอนคนยังโล่งๆ สักหน่อย รส CREME BRULEE กับอันที่เป็นไส้ Strawberry สองอันนี้อร่อยมาก แนะนำว่าต้องลองครับ
BeansLiquor
คาเฟ่และบาร์เปิดใหม่บนถนนศิริมังคลาจารย์ (ฝั่งทางออกถนนห้วยแก้ว) หากมาพักแถวนิมมานก็เดินมาได้ไม่ไกลมากนัก ตัวร้านมีทั้งหมด 3 ชั้น มีที่นั่งเยอะมาก ภายในร้านตกแต่งสไตล์ Minimal Loft ในช่วงกลางวันจะเสิร์ฟกาแฟ เครื่องดื่ม Non-coffee และขนมปัง แต่หลังจาก 6 โมงเย็นร้านจะกลายเป็นบาร์สำหรับมานั่งดื่ม นั่งชิลล์กันได้ยาวๆ จนถึงเที่ยงคืน ด้านหลังร้านมีลานจอดรถกว้างขวาง
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
match match
คาเฟ่ชาเขียวน้องใหม่ในเครือของร้าน Matchappen ที่ให้บรรยากาศเหมือนไปนั่งอยู่ในร้านชาเขียวน่ารักๆ ที่ญี่ปุ่น ร้านตั้งอยู่แถวนิมมานซอย 9 เมนูของทางร้านจะเน้นชาเขียวญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ สามารถเลือกชนิดของชาเขียวได้ เลือกเมนูที่จะดื่ม ไม่ว่าจะเป็น Matcha Latte หรือ ชาเขียวที่ผสมกับน้ำผลไม้ต่างๆ ตามสูตรที่ทางร้านคิดขึ้นมา บรรยากาศภายในร้านก็อบอุ่น น่ารัก ถ่ายรูปมุมไหนก็สวย
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
gallery กาแฟดริป เชียงใหม่
หลายๆ คนอาจจะพอคุ้นชื่อ gallery กาแฟดริป คาเฟ่ที่จัดว่าเป็น Specialty coffee อีกร้านหนึ่งในกรุงเทพ ที่ตั้งอยู่ที่หอศิลป์ฯ ตรงแยกปทุมวัน จากหอศิลป์กรุงเทพ มาเปิดสาขาเพิ่มที่หอศิลป์เชียงใหม่ เอกลักษณ์ที่ยังคงเหมือนกันคือการเสิร์ฟกาแฟดริป หรือ slow bar ที่มีเมล็ดหลากหลายแบบให้เลือกกันตามความชอบ เหมาะกับคนที่จริงจังเรื่องกาแฟ และอยากดื่มกาแฟดีๆ สักแก้ว รับรองว่าแวะมาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน
บรรยากาศภายในร้าน
Twenty Mar
คาเฟ่เปิดใหม่ในย่านสามกษัตริย์ ที่ภายในร้านออกแบบได้สวยและเท่มาก ร้านตั้งอยู่ในตึกแถวที่ดูจากหน้าร้านแล้วอาจจะดูเล็กไปหน่อย แต่จริงๆ แล้วสามารถเดินลึกเข้าไปด้านใน และมีโซนที่นั่งมากมายอยู่ภายในร้าน บรรยากาศภายในร้านชิลมาก มีเพลงเปิดคลอ พร้อมจิบกาแฟไปด้วย ส่วนใครไม่ดื่มกาแฟเราขอแนะนำชาไทยของทางร้าน อร่อยมาก หวานกำลังดี เป็นอีกร้านที่แนะนำให้มาลองครับ
ถ้าใครขับรถมาอาจจะหาที่จอดรถยากนิดนึง และต้องสังเกตป้าย วันคี่-วันคู่ด้วย เพราะนี่ก็วนหาที่จอดอยู่สองรอบกว่าจะได้
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
ISSARA Coffee Space
ช่วงบ่ายเราเดินทางออกนอกเมืองเพื่อไปพักที่หางดง ก่อนเดินทางเข้าที่พักก็แวะหากาแฟดีๆ สำหรับช่วงบ่ายสักแก้วกันที่ร้าน ISSARA Coffee Space เดิมทีร้านตั้งอยู่ที่ตลาดแม่เหียะ แต่ตอนนี้เขาย้ายร้านมาอยู่ที่ถนนราชพฤกษ์ ในเขตอำเภอหางดง ภายในร้านมีที่นั่งทั้ง indoor และ outdoor จุดเด่นจะอยู่ตรงส่วนของ indoor ที่มีบาร์ขนาดใหญ่อยู่ตรงกลางร้าน และการใช้สีตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึก cozy ดูสวยเก๋และถ่ายรูปดีมาก ยิ่งช่วงบ่ายที่แสงส่องผ่านกระจกหน้าร้านเข้ามายิ่งดีสุดๆ
เมนูของทางร้านมีทั้ง Coffee และ Non-coffee กาแฟมีเมล็ดให้เลือกอยู่ 2-3 ชนิด ราคาก็จะแตกต่างกันไปนิดหน่อย แต่โดยรวมถือว่าราคาถูกกว่าคาเฟ่ในเมืองหลายๆ ร้านเลยแหละ แถมยังรสชาติดีมากด้วย ใครจะไปเที่ยวหางดงลองแวะมาชิมกันได้ ด้านหน้าร้านมีที่จอดรถได้ประมาณ 4-5 คัน
บรรยากาศภายในร้าน
Vanilla hill by hill lodge
โจทย์ในการหาที่พักนอกเมืองของเราในครั้งนี้ คืออยากได้ที่พักที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ พักได้หลายคน และถ้าแบ่งห้องเป็นสัดส่วนได้ก็จะดี เดินทางไม่ลำบากเพราะช่วงที่เราไปคือฤดูฝน และที่สำคัญคือราคาต้องไม่แรงจนเกินไป สุดท้าย Vanilla hill by hill lodge ก็ตอบโจทย์ทั้งหมดที่ว่ามา เพราะใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 1 ชม. ถนนก็ค่อนข้างดีถึงแม้จะเป็นถนนสองเลนที่ต้องขับขึ้นเขา ลักษณะของที่พักซึ่งเป็นบ้านสวยกลางป่า มีหลากหลายขนาดให้ได้เลือกจอง และมีความเป็นส่วนตัวสูงเพราะมีบ้านพักเพียงแค่ 6 หลังเท่านั้น ข้อควรระวังอย่างนึงคือที่พักต้องเดินขึ้นบันได้สูงหลายขั้น อาจไม่เหมาะกับผู้สูงอายุเท่าไรนัก
"บ้านราตรี" วิลล่า 1 ห้องนอนที่เป็นห้อง Signature ของที่นี่
วิลล่าของเรา คือ บ้านบุญนาค เป็นวิลล่า 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่บ้านพักทั้งหมด 110 ตร.ม. สามารถเข้าพักได้มากสุด 7 คน (เตียงเสริม 1 เตียง) บอกเลยว่าที่นี่ตอบโจทย์สายครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนที่มาเที่ยวด้วยกันได้เป็นอย่างดี ภายในบ้านแบ่งเป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ มีระเบียงด้านนอกให้ออกไปนั่งชมวิว รับลม ดูดาวตอนกลางคืนได้ และมีห้อง Master bedroom ที่มีห้องน้ำซึ่งมีอ่างอาบน้ำให้ด้วย 1 ห้อง และห้องนอนเล็กที่มีห้องน้ำในตัวทั้งคู่อีก 2 ห้อง ในราคาพันบาทนิดๆ ต่อคนเท่านั้น (รวมอาหารเช้าแล้วนะ) ซึ่งอาหารเช้าทางโรงแรมจะมีใบให้เลือกตั้งแต่ check-in สามารถเลือก main dish ได้ 1 จาน ระหว่าง ABF กับข้าวต้มเครื่อง และมีชอยส์อื่นๆ เพิ่มเติมทั้งขนมปัง ครัวซองต์ ผลไม้ ชา กาแฟ น้ำผลไม้ต่างๆ
บรรยากาศภายในวิลล่า
บรรยากาศภายในห้องนอนเล็ก
บรรยากาศภายในวิลล่า
Pluto
เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งที่การออกแบบชนะเลิศ โดดเด่นตั้งแต่อาคารทรงกระบอกสีดำขนาดใหญ่ ที่ตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเชียงใหม่ พอเข้าไปด้านในก็เหมือนหลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง Pluto เป็นอีกคาเฟ่หนึ่งในเชียงใหม่ที่ป๊อบมาก คนเยอะตลอดเวลา ซึ่งจุดเด่นของที่นี่นอกจากการออกแบบที่ใส่ใจในทุก Detail แล้ว เมนูเครื่องดื่มและอาหารของทางร้านก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เครื่องดื่มเมนูหลักก็จะเป็นพวกกาแฟ และเมนู Signature ต่างๆ ที่ทางร้านคิดค้นขึ้น โดยส่วนตัวขอแนะนำ ma:ki ma:ki เป็นกาแฟ Latte ที่รองพื้นด้วยแยมสตอเบอรี่ ท็อปด้วยครีมชีสด้านบน เวลาดื่มแนะนำให้ดื่มแบบจิบดูก่อน เพื่อสัมผัสกับรสชาติของครีมชีสและกาแฟ หลังจากนั้นค่อย Mix ทั้งหมดเข้าด้วยกัน รสชาติละมุนละไมมากๆ ส่วนเมนูอาหารที่ทางร้านเสิร์ฟมีทั้ง Brunch และอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่น สามารถมาทานได้ตลอดทั้งวัน
บรรยากาศภายในร้าน
มุม Signature ที่ใครๆ ก็ต้องมาถ่ายรูป
บรรยากาศภายในร้าน
butter & neighbor
หลายคนอาจจะรู้จักร้าน butter & bourbon คาเฟ่ชื่อดังที่ศรีราชา จ.ชลบุรี ซึ่งตอนนี้เขาได้ขยายสาขามาที่เชียงใหม่ในชื่อ butter & neighbor โดยยังคุม theme และบรรยากาศของในร้านซึ่งเน้นความ cozy & minimal ได้เช่นเคย สาขานี้จะเน้นเสิร์ฟอาหารเป็นส่วนใหญ่ (แต่ใครจะมาดื่มกาแฟ ทานขนมก็มีให้บริการนะครับ) ซึ่งเมนูอาหารของทางร้านจะเน้นเป็นอาหารจานเดียว และ appetizer โดยจุดเด่นของเมนูจะเน้นฟิวชั่นระหว่างอาหารเหนือ กับอาหารญี่ปุ่น และฝรั่ง แนะนำให้ไปกันหลายๆ คนเพราะจะได้ลองหลากหลายเมนูที่น่ากินทั้งนั้นเลย
ร้านจะตั้งอยู่ในซอยทางเข้ากองบิน 41 ฝั่งสวนดอก มีลานจอดรถบริเวณหน้าร้าน สามารถจอดได้หลายคัน
บรรยากาศภายในร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
มันบดและ toast ของทางร้านซึ่งท็อปด้วยอ่องปู ไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง
ข้าวหน้าสไตล์ญี่ปุ่น
ALSO Cafe
คาเฟ่และบาร์ที่เพิ่งเปิดให้บริการไปเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา ตัวร้าน Renovate จากบ้านเก่ามาเป็นสไตล์เกาหลี Minimal สุดๆ สายถ่ายรูปห้ามพลาดเลยนะ
ช่วงกลางวันทางร้านจะเสิร์ฟเครื่องดื่มทั้ง Coffee และ Non-Coffee รวมถึงเมนูขนมอีกเล็กน้อย ส่วนกลางคืนจะกลายร่างเป็นบาร์นั่งชิลล์ หากใครมีโอกาสมาเที่ยวเชียงใหม่ แนะนำให้ลองแวะมานะครับ
สามารถจอดรถได้ริมถนนบริเวณหน้าร้าน
Fitzroy พาสำรวจย่าน Hipster ใน Melbourne
และประชันความสวยงามของ Interior กันแบบจัดเต็ม เหมือนหลุดออกมาจาก Pinterest
รับรองว่าถูกใจคนรักงานดีไซน์ สายคาเฟ่ สายถ่ายรูป รวมถึงสายช็อปได้อย่างแน่นอน
รีวิวนี้เราเลยจะพาเพื่อนๆ ไปเดินเล่นชมเมือง หาคาเฟ่สวยๆ นั่งจิบกาแฟ และปิดท้ายด้วย Exhibition ที่น่าตื่นตาตื่นใจ






ส่วนกาแฟ ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เจอร้านไหนกาแฟไม่อร่อยเลยอะ


ACOFFEE
คาเฟ่ชื่อดังอีกร้าน ที่เราเคยเห็นรูปในนิตยสาร Online ที่เกี่ยวกับงานดีไซน์
และเพิ่งรู้ว่าเขามีสาขาที่เกาหลีด้วย
สำหรับสาขาที่ Fitzroy จะเป็นทั้งคาเฟ่และโรงคั่ว
เมนูต่างๆ ในร้านจะเป็นเมนูกาแฟ และเบเกอรี่ มีพวกอุปกรณ์ทำกาแฟ และเมล็ดกาแฟวางขายด้วยเช่นกัน



ร้านค้าต่างๆ ทั้งแบรนด์ต่างประเทศ และแบรนด์ Local ของออสเตรเลียเอง (ซึ่งราคาก็แรงพอตัว)
อย่างที่นี่คือช็อป FREITAG ซึ่งดูกลมกลืนไปกับบรรยากาศพื้นที่โดยรอบ
ข้างในใส่แล้วนุ่มสบายดีเลย มีสีให้เลือกหลากหลายด้วย
อีกร้านที่แนะนำสำหรับสาวๆ คือ ASSEMBLY LABEL



เมนูนั้นก็คือ...กาแฟใส่ไข่มุก นั่นเอง
เป็นกาแฟ ผสมกับนม (เลือกนมได้ มีหลายประเภทให้เลือก แต่เราเอาแบบ Original ตามสูตรร้าน)
และมีไข่มุกกาแฟเม็ดเล็กๆ อยู่ด้านล่าง ดูดขึ้นมาแล้วเขียวหนึบหนับเขากันดี เพลินและอร่อยเกินคาดนะ ว่าไม่ได้
อีกเมนูที่เราชอบ คือ Fitzroy iced เป็น Cold brew ผสมกับนม และ Syrup สูตรพิเศษของทางร้าน



Ima Project Cafe
เราจะมาแวะทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นที่กำลังป๊อบสุดๆ ร้านหนึ่งใน Melbourne นั่นคือ Ima Project Cafe
เราไปเจอ website หนึ่งแนะนำร้านนี้โดยบังเอิญ และเห็นว่าอยู่ไม่ไกลจาก Fitzroy เท่าไรนัก

เรามาที่นี่เพราะอยากทานอาหาร Set Menu นี่แหละ ซึ่งเมนูที่เราเลือกก็คือ
Today's Teishoku หรือเมนูประจำวันนั่นเอง

"ไก่ทอดซอสนัมบัง"อาจจะดูไม่แปลก ยาโยอิก็มีขาย
แต่บอกเลยว่าวัตถุดิบเขาดีมาก รสชาติซอสคือดี ซุปมิโสะคือปัง
และที่ชอบมาก คือ สลัด เพราะเขาใช้ผักสลัด + แผ่นสาหร่ายทอดกรอบ และมีข้าวพองกรอบๆ โรยด้านบน ทานคู่กับสลัดน้ำใสรสชาติเปรี้ยวอมหวาน เข้ากันดีมาก
เป็นอีกร้านที่แนะนำเลยนะ ว่าต้องมาลอง!
(ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายรูปภายในร้านมาให้ดู เพราะคนเต็มร้านเลย)

จุดประสงค์ในการมาที่นี่ ก็เพื่อเข้าชมนิทรรศการ "Tyama: A multisensory experience of nature" เป็นงาน Interactive digital art ที่น่าสนใจและจัดขึ้นในช่วงที่เราไปเที่ยวพอดี
ค่าเข้าชม (เฉพาะงาน) 30 AUD
อาจจะดูแพงไปนิด แต่เข้าไปเดินชม เดินถ่ายรูปก็ดีอยู่น้า

บางห้อง จะต้องปรบมือดังๆ เพื่อให้เกิดงานศิลปะขึ้น บางห้องอาจจะต้องใช้การเคลื่อนไหว
และห้องในรูปนี้ก็เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของงาน








THE LUME MELBOURNE : VAN GOGH















Six Senses Yao Noi : Paradise on Earth
Six Senses Yao Noi
เคยมีสถานที่ใดสักแห่งหนึ่งไหมครับ ที่ได้เห็นภาพแล้ว ก็ได้แต่ฝันว่า สักวันหนึ่งอยากจะพาตัวเองไปอยู่ในภาพนั้นบ้าง
สำหรับเราแล้ว Six Senses Yao Noi คือสถานที่แห่งนั้นครับ และที่นี่ก็เป็นหนึ่งใน Bucket List ของนักท่องเที่ยวหลายทั่วโลกที่อยากจะมาสัมผัสบรรยากาศการพักผ่อนที่รีสอร์ทในฝันแห่งนี้กันสักครั้ง และเราก็ได้มีโอกาสนั้นแล้ว จึงอยากจะนำประสบการณ์ 3 วัน 2 คืนอันแสนประทับใจ มาถ่ายทอดให้ได้อ่านและตามไปอิ่มเอมกับบรรยากาศของรีสอร์ทนี้ด้วยกันครับ
Six Senses Yao Noi รีสอร์ทหรูแห่งนี้ตั้งอยู่บนเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา การเดินทางจากกรุงเทพฯ ที่สะดวกที่สุดคือนั่งเครื่องบินมาลงที่สนามบินภูเก็ต จากนั้นสามารถเลือกเดินทางได้ 2 แบบ คือ
- ใช้บริการรับ-ส่ง ของรีสอร์ท โดยจะมีรถมารับถึงสนามบิน และต่อเรือ Speedboat ไปลงที่ท่าเรือของรีสอร์ท มีทั้งแบบส่วนตัวและแบบ Share กับคนอื่น ค่าบริการเริ่มที่ 1,600 บาท / คน / เที่ยว
- ใช้บริการรถแท็กซี่จากสนามบิน มาลงที่ท่าเทียบเรือบางโรง (ใช้เวลาประมาณ 20 นาที) และใช้บริการเรือสาธารณะจากท่าเทียบเรือบางโรง (สามารถเช็คเวลารอบเรือกับทางรีสอร์ทได้ก่อนเดินทาง) ค่าเรือ 200 บาท / คน / เที่ยว บริเวณท่าเรือมีร้านขายของและห้องน้ำให้บริการ จากท่าเทียบเรือบางโรงใช้เวลาประมาณ 30-40 นาที ก็จะเดินทางไปถึงเกาะยาวน้อย โดยแพ็คเกจที่เราจองมาจะมีบริการรถสองแถวรับส่งฟรีจากรีสอร์ทมารอรับที่ท่าเรือ
จากท่าเรือใช้เวลาประมาณ 15 นาที เราก็จะเดินทางมาถึงบริเวณหน้ารีสอร์ท มี GEM (Guest Experience Maker) ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือน Butler ดูแลเราตลอดการเข้าพักมารอต้อนรับและพา Resort tour เพื่อแนะนำบริเวณต่างๆ ของรีสอร์ท และพาเข้าไป check-in ที่ห้องพักของเรา แม้ว่าทางรีสอร์ทจะยังไม่ได้เปิดให้บริการห้องพักทุกห้องเนื่องด้วยสถานการณ์โควิด แต่ในช่วงที่เราเข้าพัก (มีนาคม 2565) ห้องพักทุกห้องที่เปิดก็ถูกจองมาเต็มหมดแล้ว เห็นสถานการ์แบบนี้ก็รู้สึกดีใจกับรีสอร์ทและการท่องเที่ยวที่น่าจะกลับมาดีขึ้นในเร็ววันนี้นะครับ
Hideaway Pool Villa (Villa No.32) ห้องพักระดับเริ่มต้นของรีสอร์ท โดยห้องพักของที่นี่จะเป็น Pool Villa ทั้งหมด จุดเด่นของ Hideaway Pool Villa คือ มีความเป็นส่วนตัวและเงียบสงบสูงมาก สมกับชื่อ Hideaway พื้นที่ห้องพักกว้างขวางถึง 154 ตร.ม. แบ่งออกเป็นโซนสระว่ายน้ำด้านนอก มีศาลาและ day bed ให้นอนอาบแดดได้ ส่วนภายในจะแบ่งออกเป็นพื้นที่ของห้องนอน และห้องน้ำซึ่งกว้างพอๆ กัน มีทั้ง Indoor และ Outdoor Shower การออกแบบยังคงเป็นเอกลักษณ์ของ Six Senses ที่จะใช้ไม้เป็นส่วนประกอบหลักของ Villa เพื่อให้กลมกลืนกับบรรยากาศธรรมชาติโดยรอบ การใช้โทนสีของตกแต่งเน้นสีเหลืองเป็นหลัก แต่ถึงแม้จะใช้ไม้และวัสดุธรรมชาติในการตกแต่ง แต่ก็ดูหรูหรา และอุปกรณ์ภายในห้องพักก็ครบครันและสะดวกสบาย สามารถเลือกหมอน และ กลิ่นเครื่องหอมภายในห้องได้ด้วย ส่วน Amenities ก็เป็นกลิ่นเฉพาะที่ออกแบบมาสำหรับรีสอร์ทเครือ Six Senses เท่านั้น สิ่งที่เราชอบมากๆ ของรีสอร์ทในเครือ Six Senses คือการใช้วัสดุที่รีไซเคิลได้ และแทบไม่เห็นการใช้ Plastic เลย นำ้เปล่าและ Sparkling ก็บรรจุมาในขวดแก้ว มีแม่บ้านเข้ามาเติมให้เรื่อยๆ ทั้งตอนกลางวันและตอน Turn down หรือหากขาดเหลืออะไรก็สามารถต่อสายตรงหา GEM ได้จากโทรศัพท์ภายในห้องพักเลย
พื้นที่ส่วนกลางเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของ Six Senses Yao Noi โดยเฉพาะ Hilltop ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นห้องพักที่แพงและหรูที่สุดของรีสอร์ท แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนเป็น Main Pool , Hilltop bar และในช่วงเย็นจะกลายเป็นห้องอาหารสำหรับ Dinner ที่วิวดีและโรแมนติกที่สุดเท่าที่เคยไปมา โดยส่วนตัวเราชอบวิวที่ Hilltop มาก และรู้สึกถึงความพิเศษของที่นี่ เพราะในแต่ละช่วงเวลาที่ได้ขึ้นมา วิวและความสวยงามของ Hilltop จะไม่เหมือนกันเลยสักครั้ง สิ่งที่ห้ามพลาดในการมาเข้าพัก คือการมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักการถ่ายรูปจริงๆ
ตลอด 3 วัน 2 คืน เราทานอาหารทุกมื้อในรีสอร์ท มื้อที่ประทับใจที่สุด คือ Breakfast ที่ห้องอาหาร Living Room ซึ่งเขาจัดเป็น Buffet มีอาหารหลากหลายมาก ทั้งอาหารไทย ฝรั่ง ติ่มซำ และก๋วยเตี๋ยว โซนเบเกอรี่ก็ดีงาม โดยเฉพาะ Homemade Jam หลากหลายรสชาติที่ทางรีสอร์ททำเอง เมนูไข่ที่ไม่ควรพลาดอย่าง Farm Egg Pad Kaprao และ Spicy Thai Omelette เป็นอาหารเช้าที่รสชาติเหมาะกับคนไทยสุดๆ ส่วน Dinner ที่ Hilltop แนะนำให้จองโต๊ะไว้แต่เนิ่นๆ เพราะจะได้นั่งในจุดที่วิวดีที่สุด ส่วนใครที่กังวลว่าค่าอาหารจะแพงหรือเปล่า บอกเลยว่าไม่แพงอย่างที่คิด เพราะนอกจากจะได้ส่วนลด 30% จากแพ็คเกจที่เราจองมา ยังสามารถใช้ Voucher จากโครงการเราเที่ยวด้วยกันมาใช้จ่ายที่ห้องอาหารของรีสอร์ทได้ด้วย และที่เราเลิฟมาก คือ Homemade ice cream ที่สามารถแวะมาสั่งได้ตลอดตั้งแต่ช่วง 11.00-20.00 น. โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพิ่มเติมนะ ถูกใจคนรักของหวานอย่างเราเป็นที่สุด
โดยภาพรวมแล้ว แม้ก่อนมาเราจะคาดหวังกับ Six Senses Yao Noi มาแล้วในระดับหนึ่ง แต่หลังจากได้มาเข้าพัก สิ่งที่เราได้รับกลับประทับใจมากเกินกว่าที่คาดไว้เสียอีก ไม่แปลกใจเลยที่ช่วงเวลาปกติที่นี่จะถูกจองเต็มจากนักท่องเที่ยวต่างชาติมาโดยตลอด นอกจากบรรยากาศ สถานที่ ความสวยงามของรีสอร์ทและความเป็นธรรมชาติบนเกาะยาวน้อยแล้ว Service Mind ของพนักงานทุกคน คือสิ่งที่ทำให้ที่นี่ Beyond Expectation มากขึ้นไปอีก และสามารถพูดได้เต็มปากว่าเราอยากแนะนำให้ทุกคนได้มาลองสัมผัสประสบการณ์การพักผ่อนในรีสอร์ทที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย รับรองได้ว่าจะได้รับความประทับใจแบบที่เราได้รับกลับไปแน่นอน...
จุดแรกที่ GEM พามา คือ The Den และ Library เป็นอีกจุดที่วิวสวยมาก
ด้านซ้าย คือ Library เป็นจุดที่เราจะมา check-in และสแกน QR จากการจองโดยใช้เราเที่ยวด้วยกัน
Hideaway Pool Villa ห้องพักของเราในครั้งนี้ครับ
เข้ามาด้านในจะเจอกับเตียง และมีมุ้งขนาดใหญ่อยู่ด้านบนครับ
ด้วยความที่ห้องพักของเราอยู่กลางป่า ช่วงกลางคืนยุงจะเยอะนิดนึง
ช่วง Turn down แม่บ้านจะมาดูแลเรื่องกางมุ้งให้เราด้วย
ทางรีสอร์ทต้อนรับเราด้วยไวน์แดง มีตู้แช่ไวน์ และเครื่องทำกาแฟในโซน Minibar (ไวน์ในตู้แช่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม)
แคปซูลกาแฟดื่มได้ฟรี มีเติมให้เรื่อยๆ เช่นเดียวกับน้ำเปล่า (ทั้ง Still และ Sparkling) แม่บ้านจะมาเติมให้เรื่อยๆ
ภายในห้องน้ำ กว้างมากพอๆ กับส่วนของห้องนอน มีอ่างอาบน้ำมองเห็นวิวป่าด้านนอก
มีห้องสุขาแยกกับ Shower รวมถึงมี Outdoor Shower ให้ด้วยครับ
ซึ่งโดยส่วนตัวเราชอบ Outdoor Shower มาก โดยเฉพาะในช่วงกลางวันที่อากาศร้อนๆ ออกไปอาบน้ำข้างนอกนี่มันดีจริงๆ
ต่อไปเราจะพาไปชมส่วนต่างๆ ของรีสอร์ทกันครับ เริ่มจาก Hilltop ซึ่งเป็นไฮไลท์และเป็นจุดที่เราชอบมากที่สุดของที่นี่เลย
โดยแต่ละช่วงเวลาของ Hilltop ก็จะมีความสวยงามแตกต่างกันไป และมีกิจกรรมที่แตกต่างกันไปด้วย
Hilltop bar เป็นบาร์ที่วิวสวยที่สุดอีกที่หนึ่งที่เราเคยไปมา ที่นี่จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 11.00-22.00 น. ของทุกวัน
บรรยากาศดีมาก
บรรยากาศบริเวณ Hilltop Bar
ช่วงกลางวันหากใครอยากมาว่ายน้ำในสระที่วิวสวยๆ ก็แวะมาที่ Hilltop ได้ตั้งแต่ 9.00-17.00 น.
ในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สีน้ำทะเลสะท้อนกับแสงแดดสวยงามมาก
ส่วนช่วงเย็น Hilltop จะกลายเป็นห้องอาหาร Dinner ที่วิวสวยและโรแมนติกที่สุด
ได้ทานอาหารอร่อยๆ พร้อมกับชมวิวสวยๆ แบบนี้ คุ้มแล้วที่ได้มา
Dinner & Welcome drink from Hilltop Bar
ส่วนกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง คือ การมาชมพระอาทิตย์ขึ้นที่ Hilltop ครับ
สามารถแจ้งกับ GEM ของเราเพื่อนัดหมายให้รถ Bucky มารับที่ห้องได้เลย
แนะนำให้นัดก่อนเวลาพระอาทิตย์ขึ้นสัก 10-15 นาทีครับ
จะได้ไปเก็บภาพรอ เพราะช่วงก่อนพระอาทิตย์ขึ้นก็สวยงามไม่แพ้กัน
แต่ก็ต้องพกดวงไปเยอะๆ ด้วยนะครับ ภาวนาให้ฟ้าโปร่งๆ เพราะเราไปสามวัน ท้องฟ้าแต่ละวันที่ได้ก็ไม่เหมือนกันเลย
ท้องฟ้าของเช้าวันที่ 2 มีเมฆพอสมควร ยังดีที่เมฆแหวกทางให้พระอาทิตย์ออกมาโชว์ตัวให้เราได้เห็น
ถ่ายรูปยังไงก็ออกมาไม่สวยเท่ากับที่ได้เห็นด้วยตาจริงๆ
ส่วนนี่คือท้องฟ้าของเช้าวันที่ 3 วันนี้ฟ้าใสไร้เมฆ
สีท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นคือสวยมาก
หลังดูพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราก็ไปทำกิจกรรมของทางรีสอร์ตกันครับ
โดยเขาจะมีให้กิจกรรมให้เลือก เช่น การพายเรือคายัคไปชมป่าโกงกาง, การเพ้นท์ผ้า หรือ การทำน้ำหอม
ถามว่าเราเลือกอะไร ก็ต้องพายเรือคายัคสิ แต่เตือนล่วงหน้าว่าหากใครไม่ได้ออกกำลังกายประจำ
หรือเมาเรือง่าย อย่าหาทำนะ เพราะมันเหนื่อยมาก
บริเวณชายหาดโซนนี้สามารถบินโดรนได้ ก็ลองบินเก็บวิวสวยๆ ดูซะหน่อย (แต่ในเขตรีสอร์ทห้ามบินนะครับ)
มองกลับไปจะเห็นวิลล่าของโรงแรมเรียงรายขึ้นไปบนเนินเขา น้ำทะเลที่หาดใสมาก
วิวป่าเกาะกลางทะเลจากการพายเรือคายัค (แบบทุลักทุเล) ของเรา
พายเรือจนหมดแรง ก็กลับมาเติมพลังกันด้วย Breakfast ที่ห้องอาหาร Living room
อาหารเช้าของเรา อร่อยทุกอย่างเลยนะ แต่ที่แนะนำสุดๆ คือ Farm Egg Pad Kaprao และต้องสั่งเผ็ดแบบคนไทยนะ
นั่งทานอาหารไป ก็ชมวิวสวยๆ ไปด้วย ตรงบริเวณนี้บางคืนจะกลายเป็นที่ฉายหนังด้วย ซึ่งช่วงนี้จะมีเฉพาะคืนวันพุธและเสาร์
และนี่คือสวรรค์ของคนรักไอติม กับ Homemade ice-cream ที่แวะมากินฟรีได้ตลอดทั้งวันตั้งแต่ 11.30 - 22.00 น.
อยากจะกินกี่รส กี่ถ้วย สั่งได้ตามสะดวก มาได้ตลอดทั้งวัน แต่รสที่ห้ามพลาดคือ Banana กินกับรสอะไรก็อร่อย
The Den บาร์หลักของรีสอร์ทที่ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้เปิดเต็มรูปแบบนัก แต่ก็มีเครื่องดื่มให้บริการในช่วงเย็นของทุกวัน
ตั้งแต่ 17.00 - 20.oo น. โดยตีมหลักของเครื่องดื่มในแต่ละวันก็จะหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป
เป็นบาร์ที่วิวดี และบรรยากาศเหมาะแก่การมานั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ ในยามเย็น
บรรยากาศภายในรีสอร์ทร่มรื่น ถ้ามีเวลาและมีแรงพอจะเดินทัวร์รีสอร์ทเองโดยไม่ต้องเรียกรถก็ได้
หรือถ้าใครอยากปั่นจักรยานเล่นทั้งภายในรีสอร์ทและด้านนอก ก็มีจุดยืมจักรยานอยู่ด้านหน้ารีสอร์ทเลย
สามารถยืมได้จนถึง 6 โมงเย็นนะ
สุดท้ายเราจะพาไปชม Spa ของรีสอร์ทกันครับ
ห้องทรีตเมนต์ที่ถือเป็นไฮไลท์ของ Six Senses Spa คือห้องนี้เลยครับ
มีวิวสระบัว และมีศาลาพักผ่อนในตัวด้วย สวยงามมากๆ
ก่อน check-out ทาง GEM ที่ดูแลเราตลอดการเข้าพักก็นำของที่ระลึกมาให้
เป็น Tag กระเป๋าไม้ ที่สลักชื่อของเราและชื่อรีสอร์ทไว้ เป็นกิมมิคน่ารักๆ ที่สร้างความประทับใจมากเลยครับ
สุดท้ายนี้เราจะมาสรุปจุดที่ชอบและจุดที่ไม่ชอบจากการได้เข้าพักที่ Six Senses Yao Noi กันครับ
จุดที่ชอบ
- การออกแบบ บรรยากาศ และพื้นที่ต่างๆ ภายในรีสอร์ท คือ จุดเด่นของที่นี่ที่จะหาที่ไหนมาแทนได้ยากมากครับ โดยเฉพาะ Hilltop ซึ่งเป็นจุดขาย และถ่ายรูปยังไงก็สวยจริงๆ
- วิลล่าพื้นที่กว้างขวาง สระว่ายน้ำใหญ่ และจัดสรรพื้นที่ต่างๆ ภายในวิลล่าได้อย่างลงตัว อุปกรณ์ภายในห้องพักครบครัน
- บรรยากาศโดยรวมของที่นี่ เหมาะแก่การปลีกวิเวกมาพักผ่อนอย่างแท้จริง เวลา 3 วัน 2 คืนยังรู้สึกน้อยเกินไปด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เราใช้เวลาทั้งหมดอยู่แต่ในรีสอร์ท แต่ก็ยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่ยังไม่ได้ทำ ถ้าใครจะมาแนะนำว่าอย่างน้อยต้อง 3 วัน 2 คืนอะ ถึงจะดื่มด่ำบรรยากาศได้อย่างเต็มที่จริงๆ
- การบริการของพนักงานในทุกๆ ส่วนคือที่สุด ขอชื่นชมมากเป็นพิเศษ คือ GEM และแม่บ้าน ที่คอยเข้ามาดูแลห้องพักอยู่ตลอดเวลา ทำให้ไม่รู้สึกขาดเหลืออะไรเลย เป็นการบริการที่ไม่ต้องร้องขออะไรเลย เพราะเค้าเตรียมให้เราหมดแล้ว
- อาหารอร่อย ซึ่งแปลกใจมากที่ Head chef เป็นคนอินเดีย แต่อาหารไทยอร่อยมาก และรสชาติแบบไทยๆ ก็รีเควสได้เลย อาหารเช้าก็มีตัวเลือกหลากหลาย ขนาดกิน 2 วันติดยังรู้สึกไม่เบื่อ และยังลองได้ไม่ครบด้วยซ้ำ
จุดที่ไม่ชอบ
- การเดินทางอาจจะดูลำบากและหลายต่อไปหน่อย และค่าเดินทางของทางรีสอร์ทค่อนข้างสูงไปนิด แต่ถ้าวางแผนเวลาดีๆ ก็ไม่เหนื่อยมากนะ
- การเดินทางบนเกาะยาวน้อย ซึ่งถ้าจะออกไปทานอาหารข้างนอกต้องเรียกรถ ของรีสอร์ทมีบริการขาละ 500 บาท ซึ่งราคาค่อนข้างสูง ทำให้เราเลือกที่จะทานอาหารและทำทุกอย่างในรีสอร์ททั้งหมด เลยเสียโอกาสในการไปชมบรรยากาศบนเกาะยาวน้อย (แต่เสียเงินมาพักรีสอร์ทแพงๆ แล้วก็ควรใช้เวลาในรีสอร์ทให้เต็มที่นะ)
- Hideaway Pool Villa อยู่กลางป่า ใครที่กลัวป่า หรือไม่ชอบสัตว์ป่า (เช่น ตุ๊กแก จิ้งจก) อาจจะไม่ชอบได้ เพราะกลางคืนคือเงียบจริงจนวังเวง (แอบไม่กล้ามองออกไปข้างนอกช่วงกลางคืนเลย) แต่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยเงิน 555 คือ จองห้องวิวทะเลไปเลย ก็จะตัดปัญหาตรงนี้ได้ส่วนหนึ่ง
- อาหารกลางวันและเย็น ราคาสูงไปนิด และมีตัวเลือกไม่มากนัก อาจเป็นเพราะช่วงโควิดแบบนี้ทำให้รีสอร์ทไม่ได้ Full Operate ด้วยแหละ แต่ยังดีที่มีส่วนลดและใช้ Voucher เราเที่ยวด้วยกันได้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ส่วนหนึ่ง
- ราคาห้องพัก (โดยเฉพาะราคาปกติ) ที่ค่อนข้างสูงมาก ทำให้เข้าถึงยากนิดนึง แต่ช่วงนี้ทางรีสอร์ทก็จัดโปรโมชั่นมาดีมาก และค่อนข้างคุ้มค่าที่จะไปพักนะ
และนี่ก็คือรีวิวทั้งหมดของ Six Senses Yao Noi นะครับ เป็นอีกที่ที่เราชอบมาก และให้ติด Top 3 ของโรงแรมและรีสอร์ทที่ชอบมากตั้งแต่เคยได้ไปพักมาเลย การทำรีวิวนี้จึงค่อนข้างยากมากสำหรับเราในการถ่ายทอดความรู้สึกและความประทับใจที่มีต่อที่นี่มาเป็นตัวหนังสือให้ได้อ่านกัน แต่แนะนำจริงๆ โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ราคาห้องพักถูกกว่าปกติ (มาก) เป็นโอกาสดีที่จะได้สัมผัสความรู้สึกในการเข้าพักรีสอร์ทระดับ World class แบบนี้สักครั้งในชีวิตครับ
Khao Yai 2 Days 1 Night : อัพเดทคาเฟ่และมุมถ่ายรูปสวยๆ ที่เขาใหญ่
รีวิวนี้เราจะพาไปพักผ่อนหย่อนใจ อัพเดทสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ ที่เขาใหญ่กันครับ เมืองตากอากาศยอดนิยมของคนกรุง ขับรถเพียง 2 ชม. จากกรุงเทพฯ เราก็จะได้มาพบกับบรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ เหมาะแก่การมาพักผ่อนหย่อนใจในวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ ที่สำคัญตอนนี้เขาใหญ่ยังมีคาเฟ่และสถานที่ท่องเที่ยวเปิดใหม่ ให้เราได้แวะไปถ่ายรูปเช็คอินกันอีกด้วย มีเวลาน้อย ไม่ต้องลางาน ก็มาเที่ยวกันได้สบายมาก ส่วนจะมีที่ไหนกันบ้างนั้น ตามมาชมกันได้เลยครับ
Lago di Khao Yai
สถานที่เช็คอินแห่งใหม่ของเขาใหญ่ ที่เพิ่งเปิดไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยในช่วงแรกนี้เขาจะเปิดให้เข้าชมในส่วนของคาเฟ่ และสวนขนาดใหญ่ที่อยู่รายล้อมด้านนอก ส่วนตัวอาคารที่เราเห็นในรูปนั้น อนาคตเขาจะเปิดเป็นโรงแรมให้เข้าพัก จุดแรกที่เราจะได้เจอก็คือส่วนของคาเฟ่นี่แหละ บอกเลยว่ามุมถ่ายรูปที่นี่เยอะมาก ส่วนเมนูชา กาแฟ และขนมของที่นี่ก็มีให้เลือกหลากหลาย ราคาไม่แพง หลังจากอิ่มท้องแล้ว ก็มีสวนให้เดินชมระยะทางเดินประมาณ 1 กม. บรรยากาศร่มรื่นดี ระหว่างทางก็จะมีเจ้าหน้าที่ประจำตามจุดต่างๆ คอยให้คำแนะนำในการเดินชม และมุมถ่ายรูป ขอชื่นชมเลยว่าพนักงานที่นี่น่ารัก และมารยาทดีมากๆ โดยส่วนตัวเราว่าถ้าเขาเปิดเป็นโรงแรมให้เข้าพักเต็มรูปแบบจริงๆ การบริการของที่นี่ต้องจัดเต็มแน่นอน
หากใครสนใจแวะมาเที่ยวที่นี่ ช่วงนี้มีโปรลดราคาค่าเข้าชม จากราคาเต็ม 150 บาท เหลือเพียง 100 บาท (สำหรับผู้ใหญ่) และ 50 บาท (สำหรับเด็ก) มีลานจอดรถขนาดใหญ่อยู่บริเวณทางเข้า มีพนักงานคอยดูแลตั้งแต่ลานจอดรถเลยครับ
พิกัด : https://goo.gl/maps/7vUJNXGEuhqSs2Ge7
มุมถ่ายรูป Signature จากด้านในคาเฟ่
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ของคาเฟ่ ราคาเครื่องดื่มถือว่าโอเคเลยนะ
ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกซะหน่อย
บรรยากาศภายในคาเฟ่
บรรยากาศภายในคาเฟ่
บรรยากาศภายในสวน มีมุมสวยๆ อีกเยอะ แนะนำว่าใครกลัวแดด พกร่มมาด้วยก็ดีนะ
Yellow Submarine Coffee Tank
คาเฟ่เท่ๆ ที่โดดเด่นในด้านการออกแบบ โดยมีจุดเด่นคือการสร้างที่นี่ให้เป็นเหมือนกล่องอยู่ในป่าทึบ วัสดุและสีสันที่ทางร้านเลือกใช้ดูดิบ เคร่งขรึม น่าค้นหา มีจุดถ่ายรูปประจำร้านคือบริเวณหน้ากล่องสี่เหลี่ยมสีดำทึบบริเวณทางเข้าร้าน ด้วยความโดดเด่นของดีไซน์ร้าน ทำให้ที่นี่ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมด้านการให้บริการยอดเยี่ยมประจำปี 2017 ของเว็บไซต์ ArchDaily และเป็นคาเฟ่ที่เราบอกเลยว่าถ้ามาเขาใหญ่แล้วไม่ได้แวะ น่าเสียดายมากจริงๆ
เมนูเครื่องดื่มของทางร้านมีทั้งกาแฟ และ Non-Coffee ทั้งชาและโซดาต่างๆ รวมถึงขนมอีกหลายเมนูให้ได้เลือกสั่งมาชิมกัน เราได้ลองสั่ง Ice-Americano มาทานคู่กับชีสเค้กสูตรเฉพาะของทางร้าน เป็นส่วนผสมที่เข้ากันลงตัวดี เมล็ดกาแฟที่ทางร้านเลือกใช้โดยส่วนตัวเราว่ารสชาติดีเลย แล้วก็ไม่แพงมากด้วย เป็นอีกร้านที่แนะนำครับ
พิกัด : https://goo.gl/maps/Cn3sFARTVmDRvpqg8
บริเวณกำแพงทางเข้าหน้าร้าน
ภายในร้านตัวโครงสร้างเป็นเส้นตรง เน้นความเป็นสีเหลี่ยม ตัดกับแสงเงาที่ตกกระทบลงมาในช่วงเวลาต่างๆ เป็นความสวยงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาที่เราได้แวะมาที่ร้าน
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ ต้องมาสั่งเครื่องดื่มและขนมที่นี่กันก่อนนะ
Ice Americano และชีกเค้กที่เราสั่งมาลองชิม
Muthi Maya Khao Yai
หลังจากแวะดื่มกาแฟ ทานขนมอร่อยๆ จนอิ่มท้องแล้ว ก็ได้เวลามา check-in ที่พักของเราในคืนนี้กันที่ Muthi Maya เขาใหญ่ หลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินชื่อรีสอร์ทนี้ เพราะเขามีชื่อเสียงมานานหลายปีแล้ว ถามว่าเพราะอะไรเราถึงเลือกมาพักที่นี่ทั้งที่มีอีกหลายโรงแรมที่เพิ่งเปิด และดีไซน์ดูสดใหม่กว่านี้ เหตุผลก็เพราะจุดเด่นของที่นี่คือเป็น Pool Villa ทุกห้อง ดีไซน์สวยหรูดูแพง และที่สำคัญในช่วงเวลา Covid แบบนี้ ทำให้รีสอร์ทลดราคาลงมาหนักมาก เมื่อพิจารณาจากภาพรวมและความคุ้มค่าที่ได้รับจากที่นี่ ทำให้เราตัดสินใจมาพักที่ Muthi Maya และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ
ใครที่สนใจอยากจะอ่านรีวิวเต็มๆ ของที่นี่ เราทำ Full Review ไว้แล้วที่
http://www.porsuke.com/2021/04/15/muthimaya/ ตามไปอ่านกันได้เลย
พิกัด : https://goo.gl/maps/AHDhz8ufvDdjU79W8
บริเวณด้านหน้าของวิลล่าที่เราพัก ห้องนี้เรียกว่า Muthi Maya Forest Pool Villa
ศาลาบริเวณสระว่ายนำ้ภายในวิลล่า
บรรยากาศภายในวิลล่าของเรา
EL Cafe Khao Yai
โฮมมี่คาเฟ่ บรรยากาศอบอุ่น ที่โอบล้อมไปด้วยขุนเขา บรรยากาศนึกว่าอยู่ต่างประเทศซะอีก เป็นอีกคาเฟ่ที่คนชอบถ่ายรูปต้องว้าว เพราะมีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะมาก แถมทางร้านยังจัดพร็อบไว้ตามมุมต่างๆ ให้เราไปนั่งโพสท์ท่าสวยๆ ถ่ายรูปได้อีก ส่วนเมนูเครื่องดื่มและขนมเขาก็อร่อยไม่แพ้วิวเลย เมนู Signature ของทางร้านที่เราแนะนำว่าต้องสั่ง คือ ครัฟเฟิล เป็นขนมที่หน้าตาเหมือนวัฟเฟิล แต่ใช้แป้งครัวซองต์มาทำ ทานคู่กับซอสสตอเบอรี่และผลไม้สด เข้ากันดีมาก
พิกัด : https://g.page/elcafekhaoyai?share
บรรยากาศด้านหน้าร้าน
มุม Signature ของร้านคือที่นั่งริมกระจกบานใหญ่ มองออกไปเห็นวิวภูเขา
มุมถ่ายรูปสวยๆ ด้านนอกร้าน
Aroma Cafe and Eatery
คาเฟ่ในเมืองปากช่องที่ตกแต่งสไตล์วินเทจ และมีเมนูเครื่องดื่มที่น่าสนใจหลายเมนู สาวๆ คนไหนชอบถ่ายรูปร้านนี้ตอบโจทย์สุดๆ ภายในร้านมีทั้งส่วนที่เป็นคาเฟ่ และร้านอาหารด้วย มาครบจบที่เดียวได้เลย เมนูที่เราได้ลอง คือ Aroma Pink Rose กับ Peach please เป็นกาแฟ Cold brew ผสมกับพีช เป็นเมนูที่แนะนำให้ลอง ส่วนขนมที่หลายๆ คนแนะนำมา คือ ครัวซองต์ แต่อันนี้เรายังไม่ได้ลองเพราะอิ่มซะก่อน ใครได้มาแวะก็ลองสั่งมาทานกันได้นะ
พิกัด : https://g.page/Aromacafeandeatery?share
การตกแต่งภายในร้าน มีมุมให้ถ่ายรูปกับน้องหมีด้วย
มุมถ่ายรูปดีมากทั้งแสง และการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ
ด้านนอกร้านก็มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปอีกเยอะ
จุดชมวิวกังหันลม เขายายเที่ยง
เป็นอีกจุด Check-in ใหม่ ที่ใครมาเที่ยวเขาใหญ่ก็ต้องขับรถเลยมาแวะถ่ายรูปที่เขายายเที่ยง อำเภอสีคิ้ว จุดเด่นของที่นี่คือได้วิวมุมสูง มองเห็นกังหันลมขนาดใหญ่เป็นฉากหลัง และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง ด้านบนมองลงไปจะเห็นวิวของเขื่อนลำตะคอง และเส้นทาง Motorway สายใหม่ที่กำลังจะเปิดให้ใช้บริการ ทางขึ้นเขาไม่ได้ชันมากนัก ขับรถขึ้นมาสบายๆ ตรงจุดจอดรถมีจักรยานให้เช่า คันละ 20 บาท/ชั่วโมง ถ่ายรูปเล่น ปั่นจักรยานชมวิวชั่วโมงนึงเหลือๆ ยกเว้นว่าใครจะมารอชมพระอาทิตย์ตกดินก็อยู่รอไปยาวๆ ได้เลย (แต่ที่นี่เปิดถึงแค่ 18.00น. นะ)
พิกัด : https://goo.gl/maps/4WjSp21bNXzco7ry7
มาถึงแล้วก็เช่าจักรยานก่อนเลย ระยะทางไม่ไกล แต่แดดแรงมาก ทากันแดดมาเยอะๆ นะ
มองเห็นวิวเขื่อนลำตะคอง เสียดายฟ้าไม่โปร่ง PM2.5 เยอะไปหน่อย
เดินถ่ายรูปเล่นได้ตามสบาย ใครชอบถ่ายรูปเพลินแน่นอน
Petchaburi - HuaHin : Travel Guide 2021
"คิดจะพัก คิดถึงหัวหิน"
เพราะหัวหินเป็นเมืองทะเล ชิลๆ มีโรงแรมหรู ดีไซน์สวยริมชายหาดให้เลือกมากมาย มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย และเดินทางไม่ไกลจากกรุงเทพฯ ทำให้หัวหินเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งของคนไทยและต่างชาติมาเสมอ
แต่ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ ทำให้หัวหินในภาพจำของเราที่เคยคึกคัก กลับกลายเป็นหัวหินที่เงียบและเหงามากกว่าที่เคย เราจึงอยากจะมาชวนเพื่อนๆ ทุกคนไปเที่ยวหัวหินกัน ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวจะน้อยลงไป แต่คาเฟ่ใหม่และโรงแรมสวยๆ ยังมีเพิ่มมาเรื่อยๆ เราจะพาไปอัพเดทสถานที่สวยๆ เหมาะแก่การถ่ายรูป ทั้งในจังหวัดเพชรบุรี และอำเภอหัวหิน ตามมาดูกันครับว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง กับรีวิวนี้ Phetchaburi - HuaHin Travel Guide 2021
อ่านจบแล้วถ้าชอบ ฝากช่วยกด Like กด Share เป็นกำลังใจให้เราด้วยนะครับ
Cosmic Cafe Cable Car
ร้านกาแฟชื่อดังประจำจังหวัดเพชรบุรี ที่มาเปิดสาขา 2 อยู่ที่ชั้นล่างของ Cable Car เขาหวังเพชรบุรี สาขานี้ใหญ่และพื้นที่นั่งมากกว่าสาขาแรกที่อยู่ในตลาด ภายในร้านตกแต่งสไตล์ Loft มีต้นไม้สีเขียวและของประดับตกแต่งเก๋ๆ วางอยู่ทั่วร้าน ทางร้านมีทั้งเมนูกาแฟทั่วไป และ Slow bar โดยเมล็ดกาแฟของทางร้านมีให้เลือก 2 แบบ คือ Cosmic Blend เป็นเมล็ดกาแฟ Arabica จากเชียงดาว และ Khao wang blend เป็นเมล็ดจากบราซิลและลาวผสมกัน เราได้ลอง Khao wang blend รสชาติจะเบาๆ และมีความ Fruity กว่าตัว Cosmic Blend ราคาไม่แพงด้วยนะ (Iced Americano ราคา 65 บาท) แต่ถ้าใครไม่ดื่มกาแฟทางร้านก็มีเมนู Non-coffee ให้สั่ง ทั้งชา โซดา และนมรสต่างๆ
พิกัด : https://goo.gl/maps/ieaQkpa6KVB7rXFD6
มีที่จอดรถหน้าร้าน
บรรยากาศภายในร้าน
Coco & coff
คาเฟ่ในสวนมะพร้าวที่บรรยากาศโคตรดี เราชอบ concept ของร้าน ที่เขาไม่ได้พยายามจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้เข้ากับสมัยนิยม แต่เขาเลือกที่จะเอาจุดเด่นของท้องถิ่นมาเป็นจุดขาย และจัดสรรพื้นที่ต่างๆ ภายในร้าน ให้กลมกลืนกับธรรมชาติของพื้นที่ เป็นคาเฟ่ที่มีมุมถ่ายรูปสวยๆ เยอะมาก (มีน้องหมาน่ารักมาเล่นเป็นเพื่อนด้วย) และยังมีเครื่องดื่มและขนมอร่อยๆ หลากหลายเมนูให้ได้ลองชิม เราได้ลองกาแฟน้ำมะพร้าว และเค้กมะพร้าว ซึ่งเป็น Signature ของทางร้าน หน้าเค้กที่เป็นเนื้อมะพร้าวกับครีมคือเข้มข้นดีมาก และราคาไม่แพงเลย แนะนำให้มาตอนเช้าๆ หรือเย็นๆ ไปเลยเพราะแดดจะได้ไม่ร้อนมาก เพราะที่นั่งของร้านเป็น Outdoor ทั้งหมด
พิกัด : https://goo.gl/maps/hqKEJunBGPh5MCLUA
มีที่จอดรถหน้าร้าน
เข้ามาด้านในร้านแล้ว แวะสั่งเครื่องดื่มกันก่อน
บรรยากาศที่นั่ง และ เมนูต่างๆ ที่เราสั่งมาทาน ราคาไม่แพงเลย
มีพนักงานต้อนรับมาคอยสร้างความบันเทิงให้ด้วย
Hua Hin Marriott Resort & Spa
รีสอร์ทหรูระดับ 5 ดาวใจกลางเมืองหัวหิน และเป็นรีสอร์ทในใจของใครหลายๆ คนที่ได้มาพัก เพราะนอกจากทำเลของโรงแรมที่เดินทางสะดวก อยู่กลางเมืองหัวหิน ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ บรรยากาศภายในโรงแรม ยังตอบโจทย์ครอบครัวที่ต้องการมาพักผ่อนในวันหยุดเป็นอย่างมาก มีกิจกรรมและสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งสระว่ายน้ำที่ใหญ่และลัดเลาะไปทั่วพื้นที่ของโรงแรม สระเด็ก สระผู้ใหญ่ และชายหาดที่สวยงาม รวมถึงห้องพักหลากหลาย Room-type ให้เลือก ยิ่งช่วงนี้โรงแรมลดราคาลง ทำให้ช่วงที่เราไปมีนักท่องเที่ยวมาพักกันเยอะมาก รีวิวนี้จะพามาชมบรรยากาศคร่าวๆ กันก่อน ไว้รอทำ Full Review มาให้ได้อ่านกันอีกที ส่วนใครสนใจมาพักที่นี่ลองหาข้อมูลได้จาก Facebook Page ของทางโรงแรม หรือทาง website ได้เลยครับ
พิกัด : https://goo.gl/maps/nqBrQtzCFjYJaYiR9
สระว่ายน้ำผู้ใหญ่ มองเห็นอาคารหลักของโรงแรม
ห้อง Superior ที่เรามาพักที่นี่ แม้ว่าจะเป็นห้องระดับเริ่มต้นของโรงแรม แต่โดยรวมจัดว่าดีมากทีเดียว
ใครชอบเล่นน้ำรับรองว่าถูกใจแน่นอน เพราะสระว่ายน้ำที่นี่อลังการณ์มาก อยู่มุมไหนของโรงแรมก็ลงสระได้หมด
MATAPITA x The Hen
ร้านชาน่ารักในเมืองหัวหิน MATAPITA.TEA มาเปิดคาเฟ่น่ารักๆ ริมทะเลภายในโรงแรมสไตล์วินเทจอย่าง The Hen ทำให้ที่นี่ควรค่าแก่การแวะมาเช็คอินเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากบรรยากาศภายในโรงแรม The Hen ที่มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปแล้ว เครื่องดื่ม Signature ของทางร้านอย่างชารสชาติต่างๆ ที่ทางร้าน Create ขึ้นมา ก็อร่อยและน่าสนใจมาก โชคดีตอนที่เราแวะไปได้ที่นั่งริมทะเลพอดี บรรยากาศชิลสุดๆ แถมการเสิร์ฟขนมเค้กของทางร้านเขาก็จะเสิร์ฟมาในเซ็ตแบบ Afternoon tea รับรองว่าถูกใจสาวๆ แน่นอน แต่ราคาขนมและเครื่องดื่มก็ค่อนข้างจะแรงหน่อย แลกกับมุมถ่ายรูปสวยๆ ก็ถือว่าคุ้มอยู่นะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/tXHkMkPHeZH7jWgu9
ต้องจอดรถริมถนนบริเวณหน้าร้าน ไม่มีลานจอดรถ
ขนมและเครื่องดื่มเสิร์ฟมาอย่างสวย ถ่ายรูปกันรัวๆ
บรรยากาศภายในร้าน
Srna.สรณะ
โฮมคาเฟ่ที่แฝงตัวอยู่ในทาวน์เฮาส์ใกล้กับถนนแนบเคหาสน์ โดยส่วนตัวเรายกให้กาแฟร้านนี้เป็นกาแฟที่เราชอบรสชาติมากที่สุดในเมืองหัวหินเลย เมนูกาแฟของที่นี่นอกจากเมนู Basic แล้ว ยังมี Signature เมนูที่ทางร้านแนะนำให้ลอง ไม่ว่าจะเป็น Dirty และ Yuzu House และมีแซนวิช กับ Bakery น่าทานหลายอย่างมาก หากมาเที่ยวหัวหินแล้วไม่รู้จะทานมื้อเช้าที่ไหนดี แวะมาที่นี่ที่เดียวได้ครบเลย
พิกัด : https://g.page/Srna-coffee?share
ร้านตั้งอยู่ติดกับร้าน MATAPITA
บรรยากาศภายในร้าน และเมนูที่เราสั่งมาลอง
VALA Hua Hin
โรงแรมใหม่ดีไซน์สวย ที่ถูกใจสายถ่ายรูปอย่างแน่นอน โรงแรมนี้อยู่ในกลุ่ม Small Luxury Hotel ที่รับรองได้ว่านอกจากโรงแรมจะออกแบบได้อย่างสวยงามแล้ว การบริการก็ดีงามสมมาตรฐาน 5 ดาวอย่างแน่นอน มีห้องพักให้เลือกหลากหลายแบบ แต่ไหนๆ จะมาพักที่นี่ทั้งที ก็ต้องเลือกห้องที่มองเห็นวิวทะเลชัดๆ ซึ่งเราขอแนะนำห้องโซน Beachfront โดยเฉพาะ ห้อง Deluxe Beachfront และ Sky Beach Front เพราะเห็นวิวทะเลได้เต็มตา Facility ต่างๆ ภายในห้องก็จัดเต็ม สะดวกสบาย เหมาะแก่การมาพักผ่อน
หากใครสนใจอยากทราบรายละเอียด เราได้ทำรีวิว VALA Hua Hin แบบเต็มๆ ไว้ให้ได้อ่านแล้ว ตามลิงค์นี้
http://www.porsuke.com/2021/02/06/vala_huahin/
พิกัด : https://g.page/valahuahin?share
ห้องพักในโซน Beachfront
สระว่ายน้ำของโรงแรม
ห้องพักแบบ Sky Beachfront ที่เรามาเข้าพัก
บรรยากาศยามเช้า ควรค่าแก่การตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นมากๆ
Duangkaew Cuisine (ครัวดวงแก้ว)
ใครชอบทานอาหารฟิวชั่นที่พิถีพิถันตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบ การจัดวาง และรสชาติของอาหารที่รับรองว่าอร่อยมากกกกกกกกก เราขอแนะนำร้าน "ครัวดวงแก้ว" ซึ่งเขามี Concept ร้าน คือ Quality food with reasonable price สามารถสั่งเป็น A la carte หรือจะสั่งเป็น Set Menu ก็ได้ (แล้วแต่ทางร้านจะจัดโปรโมชั่น) โดยจะแบ่งเมนูออกเป็นหมวดหมู่ ได้แก่ Soup & Salad, Snack & Appetizer, Pasta, Main Course และปิดท้ายด้วย Dessert เมนูที่เราแนะนำว่าควรสั่งอย่างยิ่ง คือ "Pop Shrimps" (170 บาท) กุ้งชุบแป้งทอดคลุกมากับวาซาบิมายองเนส ขนาดเราเป็นคนไม่ทานวาซาบิ แต่เจอจานนี้เข้าไปรสชาติมันนัวมาก ตัวซอสมีความเปร้ยวหวาน และได้รสเผ็ดของวาซาบิตัดอยู่เบาๆ "Pasta Chinese Sausage & Mushroom" (260 บาท) พาสต้าผัดพริกกระเทียม ใส่กุนเชียงและเห็ดออรินจิ ใครจะไปคิดว่ากุนเชียงเข้ากับเส้นพาสต้าได้ดีมาก ที่ชอบมากคือเส้นที่เชฟทำ มันเล็ก และเหนียวนุ่มกำลังดี ส่วนเครื่องดื่ม Signature อย่าง Lychee & Rose Iced tea (90 บาท) รสชาติหวานอมเปรี้ยว ได้กลิ่นหอมของกุหลาบ ดื่มแล้วสดชื่นดีมาก เรามาเที่ยวหัวหินหลายครั้ง มาทีไรก็ชอบไปหาอาหารทะเล หรือไม่ก็ร้านฮิตๆ ที่นักท่องเที่ยวชอบไปทาน จนพลาดร้านดีๆ แบบนี้ไปจนได้ ใครเบื่อร้านเดิมๆ หรืออยากลองทานอาหารดีๆ ที่มีความแปลกใหม่ บรรยากาศเป็นส่วนตัว ขอแนะนำร้านครัวดวงแก้วครับ
พิกัด : https://goo.gl/maps/9yvhLpMobUM4tLPa8
ร้านเปิดเฉพาะวันศุกร์ - อาทิตย์ 18.00-21.00 น. (แนะนำว่าควรโทรไปจองโต๊ะก่อนนะ)
ร้านอยู่ในซอยติดกับตลาด CICADA มีที่จอดรถด้านหน้าร้านประมาณ 2-3 คัน
เชฟยอด เชฟของร้านครัวดวงแก้ว นำอาหารมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะ
เมนูอาหารที่เราสั่ง : สเต็กปลากระพงหนังกรอบกับครีมซอส, ซุปหอยตลับเสิร์ฟพร้อมขนมปังกรอบหน้าหอยตลับผัดเนยกระเทียม, พาสต้าผัดกระเทียม,พริกแห้ง,กุนเชียง และเห็ดออรินจิ, กุ้งทะเลชุบแป้งทอดกับวาซาบิมายองเนส บอกเลยว่าอร่อยทุกอย่าง!
Something to feel Cafe




