Srinaman - พักกาย พักใจ กับที่พักกลางทุ่งนาที่เมืองน่าน
ถ้าจะให้แนะนำจังหวัดที่น่าเที่ยวในช่วงฤดูฝนแบบนี้ “น่าน” เป็น 1 ในตัวเลือกลำดับต้นๆ ที่เราอยากแนะนำให้มา เพื่อจะได้สัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์บนยอดดอย วิถีชีวิตที่สงบ เนิบช้า ผู้คนใจดี และที่สำคัญช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุ่งนาเขียวขจี เหมาะแก่การมาถ่ายรูปมากที่สุด
ทริปนี้เป็นครั้งแรกที่เราได้มาเที่ยวจังหวัดน่าน ก่อนไปเราจึงหาข้อมูลเกี่ยวกับที่พักที่น่าสนใจในจังหวัด และเราก็มาสะดุดตากับ “ศรีนาม่าน” ที่พักที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนาในอำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน ที่ใครมาพักก็ต้องได้รูปสวยๆ กลับไปอวดเพื่อนอย่างแน่นอน
แต่ที่นี่ไม่ได้สวยแค่รูป เพราะสิ่งที่เราสัมผัสได้ตั้งแต่มาถึงและตลอดการเข้าพัก คือ ความใส่ใจของเจ้าของและพนักงาน การบริการที่เรียกว่า “เกินคาด” และชอบที่เขา “คิด” มาแล้วในทุกๆ รายละเอียดว่าทำอย่างไรให้แขกที่มาพักกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกประทับใจและทำให้อยากกลับมาพักที่นี่อีก เราจึงอยากมาแนะนำ “ศรีนาม่าน” ให้ได้รู้จัก และหาโอกาสไปสัมผัสความน่ารักของที่นี่สักครั้ง
ถ้าอยากรู้ว่าที่นี่มีดียังไงบ้าง…ตามไปอ่านกันได้เลยครับ
ความประทับใจแรกตั้งแต่มาถึ
มีพนักงานไปรอต้อนรับตั้งแต่ที่รถ เดินมาที่ Lobby ก็มี welcome drink เป็นน้ำอัญชันน้ำผึ้งมะนาวโ
นอกจากนี้ยังมี Amenities Set ที่พิเศษมากๆ เพราะที่นี่เขาทำ Amenities เอง แต่ละ Set ประกอบไปด้วยสบู่ แชมพู โลชั่น และ Gel bath ที่เอาไว้ใส่อ่างอาบน้ำ มีให้เลือกทั้งหมด 4 กลิ่น และมี Tester ให้ได้ลองเพื่อเลือกกลิ่นที่ช
เช็คอินเรียบร้อย พี่พรก็พาเราเดินเข้าไปที่ห้องพักของเรา จุดที่สองที่เราจะผ่านเข้าม
ด้านล่างของส่วน Rastaurant นี้ จะเป็นที่เตรียมอาหารของพนั
และมีชุดชาวเหนือให้แขกที่ม
ขึ้นมาบนชั้น 2 ของ Restaurant จะเป็นส่วนที่ให้แขกที่เข้า
จิบไปชมวิวสวยๆ แบบนี้ไป มันดีมาก
ทางเดินภายในที่พักจะเป็นไม้ไผ่มาสานกันแบบนี้ ได้ฟีลที่ดีกลมกลืนไปกับธรร
ส่วนนี้สามารถมาถ่ายรูปได้ และช่วงอาหารเย็นแขกที่เข้า
เดินมาถึงบริเวณหน้าห้องพักของเรา มีเจ้าถิ่นเดินมาส่งด้วย
และนี่คือห้องฮันนีมูน พูลสวีท 1 ที่เราจะพักในคืนนี้
ด้านนอกมีสระว่ายน้ำ ด้านขวาเป็นเถียงนาที่เขาจะ
บรรยากาศด้านในห้องพัก
ภายในห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำที่เปิดหน้าต่างมองออกไปเห็นวิวทุ่งนาเขียวๆ
สามารถแจ้งพนักงานให้มาช่วย
เดินมาที่เถียงนา ชั้นล่างมีชิงช้าให้ไกวเล่น
ขึ้นมาบนชั้นสอง จุดนี้เอาไว้นอนเล่น ถ่ายรูป พลางจิบชาไปด้วย วิวดีมาก ถ่ายรูปกันรัวๆ
อีกฝั่งของเพียงนาชั้น 2 เอาไว้นั่งทานข้าว ชมพระอาทิตย์ตก โรแมนติกมาก
เซ็ท Afternoon Tea ของเรา เสิร์ฟมาในกรงนก น่ารักเชียว
ปล.อันนี้ไม่ต้องจ่ายเพิ่มนะ รวมอยู่ในราคาห้องพักแล้ว
จิบชา พักขาจนหายเมื่อยแล้ว ก็ได้เวลาออกไปถ่ายรูปกัน
มุมถ่ายรูปเยอะมาก ถ่ายไว้เอามาลง Instagram ได้เป็นเดือนๆ
มาช่วงฤดูฝน ก็จะได้วิวทุ่งนาเขียวๆ แบบนี้ เห็นแล้วสดชื่น
Costume เมืองเหนือไม่ได้มีแต่ของผู้หญิง ชุดผู้ชายก็มีให้ยืมนะ หนุ่มๆ ไม่ต้องน้อยใจ
เจ้าถิ่นอีกตัวมานั่งเล่นกั
ได้เวลามื้อเย็น พนักงานก็นำเซ็ทอาหารเหนือที่เราสั่งไว้มาเสิร์ฟที่เถี
แถมจัด Prop มาให้ได้ถ่ายรูปเต็มที่ รสชาติอร่อย ที่สำคัญคือเติมได้ไม่อั้น
อิ่มแล้วได้เวลามาแช่น้ำ ก่อนแช่ก็เรียกพนักงานให้มา
แล้วโพสท่าจิบไวน์ถ่ายรูปอวดเพื่อนเก๋
ตื่นเช้าออกมาถ่ายรูปกับทุ่
ปิดท้ายก่อนกลับด้วยอาหารเช้า ซึ่งเราสามารถเลือกได้ว่าจะ
ตอนเช็คอินเขาจะให้เราเลือก
และนี่ก็คือความประทับใจที่เรามีต่อ “ศรีนาม่าน” หากเพื่อนๆ ไปเที่ยวน่าน ลองหาโอกาสไปพักกันดูสักครั้งนะครับ
แนะนำให้จองที่พักตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจำนวนห้องมีไม่มาก สามารถจองโดยตรงกับทาง Facebook Page ของที่พักได้เลย
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามอ่านรีวิวกันนะครับ แล้วไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า …
Kyushu into the wild : ขึ้นเขา เข้าป่า พาเที่ยวคิวชูฤดูร้อน
ไปเที่ยวญี่ปุ่นตามเมืองยอดนิยมอย่าง Tokyo, Osaka, Sapporo มาก็เยอะแล้ว
ทริปนี้เราจะพาทุกคนหลีกหนีความวุ่นวาย ไปสัมผัสกับธรรมชาติสวยๆ ที่ภูมิภาค Kyushu กันบ้าง
โดยที่เที่ยวหลักๆ ที่เราจะพาไปในทริปนี้อยู่ที่จังหวัด Kumamoto, Miyazaki และ Oita
รับรองว่าแต่ละที่มีมุมเด็ดๆ ให้ได้ไปถ่ายรูปสวยๆ กลับมาอย่างแน่นอน
และความพิเศษสุดๆ ของทริปนี้ก็คือ เราได้นั่งไฟลท์ปฐมฤกษ์ของสายการบิน Thai AirAsiaX
ที่ทำการบินตรงสู่เมือง Fukuoka เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมา
ทำให้เราสามารถเดินทางไปเที่ยวภูมิภาค Kyushu ได้อย่างสบายๆ และประหยัดมากกว่าเดิม
ถ้าอยากรู้ว่า Kyushu ในช่วงฤดูร้อน มีที่เที่ยวที่ไหนน่าสนใจบ้าง
ตามไปอ่านกันได้เลยครับ…
ขับรถ ชมวิวภูเขาไฟ Aso ภูเขาไฟชื่อดังของภูมิภาคคิวชู
เดินเล่นถ่ายรูปที่สวน Suizenji สวนสวยกลางเมือง Kumamoto
เอาใจสาย Cafehopping ด้วยคาเฟ่เท่ๆ กาแฟดีๆ ที่ควรแวะชิม
ทริปนี้เป็นการเดินทางที่ฉุกละหุกมากครับ เพราะเราได้ตั๋วก่อนออกเดินทางเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น เนื่องจากเราจะได้เดินทางไป Fukuoka ด้วยไฟลท์ปฐมฤกษ์ของสายการบิน ThaiAirAsiaX ซึ่งเริ่มทำการบินไฟลท์แรกในวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยจะทำการบิน 4 ไฟลท์ / สัปดาห์ ทำให้เราสามารถเดินทางไปเที่ยวในภูมิภาคคิวชูได้ง่าย เพราะเป็นไฟลท์บินตรง ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมงเท่านั้น และที่สำคัญก็คือ ราคาประหยัดเหมาะกับคนชอบเที่ยวอย่างเรามากเลยล่ะ
พอเดินทางมาถึงสนามบิน Fukuoka ก็ได้รับการต้อนรับไฟลท์ปฐมฤกษ์ด้วยป้ายนี้…
สำหรับไฟลท์ปฐมฤกษ์นี้ ทางสนามบิน Fukuoka ก็เตรียมมุมถ่ายรูปและของที่ระลึกมอบให้กับผู้โดยสารที่เดินทางในไฟลท์นี้ทุกท่านด้วยครับ เป็นการต้อนรับที่น่ารักและอบอุ่นดีจริงๆ
รายละเอียดวันและเวลาที่มีไฟลท์บินตรงสู่ Fukuoka
ดอนเมือง – Fukuoka : 23.40 น. – 7.00 น. (ของวันถัดไป ตามเวลาของญี่ปุ่น)
Fukuoka – ดอนเมือง : 7.45 น. – 11.45 น.
จะเห็นได้ว่าไฟลท์ขาไป เวลาดีงามมาก เพราะบินดึกถึงเช้า ถึงปุ๊บออกเที่ยวต่อได้เลย
ส่วนไฟลท์ขากลับแม้จะเป็นไฟลท์เช้า แต่ด้วยความที่สนามบินอยู่ใกล้กับตัวเมืองมาก หากพักที่โรงแรมแถวสถานี Hakata สามารถนั่ง Subway รอบเวลา 5.55 น. ซึ่งเป็นรอบแรกของวัน ใช้เวลาเพียง 5 นาที มาถึงสนามบินอาคาร Domestic แล้วต่อ Free Shuttle Bus ไปยังอาคาร International (ใช้เวลาประมาณ 10 นาที) หรือถ้าอยากสะดวกและไม่ห่วงเรื่องงบ ก็นั่ง Taxi มาได้เลยครับ
สิ่งที่อยากจะเตือนสำหรับไฟลท์เช้าแบบนี้ ก็คือ
- บริเวณแสกนกระเป๋าเพื่อผ่าน ตม. เปิดทำการเวลา 6.45 น. ดังนั้น Check-in เสร็จแล้ว ควรไปต่อแถวรอเข้าเลยครับ ไม่อย่างนั้นคิวจะยาวมาก เดี๋ยวจะตกเครื่องได้
- ร้านอาหารในสนามบินส่วนใหญ่เปิดเวลา 7.30 น. ถึงผ่านด่าน ตม. เข้ามาแล้วด้านในมี Minimart เล็กๆ ที่เปิดอยู่ที่เดียว ถ้าซื้ออาหารพกติดตัวมาได้ ก็จะดีครับ ยกเว้นถ้าซื้ออาหารบนเครื่องไว้ก็รอไปทานบนเครื่องได้เลย
ด้านหน้าสถานี JR Kumamoto
จากสนามบิน Fukuoka เข้าเมืองสะดวกที่สุดโดยการใช้ Subway ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเราต้องนั่ง Shuttle bus จากอาคาร International ไปยังอาคาร Domestic ก่อน (นั่งฟรีครับ) แล้วค่อยต่อ Subway เข้าไปที่สถานี Hakata (ค่า Subway 260 เยน)
แต่ทริปนี้เราจะไม่ได้เที่ยวใน Fukuoka (อ้าว) สถานี Hakata เลยเป็นแค่ทางผ่านของเรา
เพราะเราจะเดินทางด้วย Shinkansen ต่อไปที่จังหวัด Kumamoto ครับ ใช้เวลาเดินทางจากสถานี Hakata ประมาณ 40 นาทีเท่านั้น
เราเลือกใช้ JR North Kyushu Pass แบบ 3 วัน ราคา 8,500 เยน ซึ่งแนะนำว่าควรซื้ออย่างยิ่งหากเดินทางด้วย Shinkansen
เพราะค่า Shinkansen ไป – กลับ ก็เกือบจะเกินค่า JR Pass ไปแล้ว อีกอย่างก็คือเราสามารถใช้เป็นส่วนลดในการเข้าสถานที่ท่องเที่ยวบางจุดได้ด้วยนะ
ถึงสถานี Kumamoto ก็เจอกับเจ้าถิ่นอย่าง Kumamon มารอต้อนรับเราด้วย
การเดินทางท่องเที่ยวในตัวเมือง Kumamoto ที่สะดวกสบายที่สุดคือการนั่งรถรางครับ
รถรางที่นี่จะมี 2 สาย คือ สีแดง (A-Line) และ สีฟ้า (B-Line)
ด้านหน้าสถานี JR Kumamoto จะมีเฉพาะสายสีแดงเท่านั้น ซึ่งสายนี้ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอย่างปราสาท Kumamoto, สวน Suizenji หรือจะแวะไปพบปะ Kumamon ที่ Kumamon Square ก็ได้เช่นกัน ค่ารถเหมาจ่ายรอบละ 170 เยน
ถ้าแพลนเที่ยวต้องนั่งรถราง 3 เที่ยวขึ้นไป แนะนำให้ซื้อ Kumamoto City Tram 1 Day Pass ราคา 500 เยนไปเลยครับ คุ้มและสะดวกมาก
สามารถซื้อได้ที่ Information Center ด้านในสถานี JR Kumamoto
บรรยากาศภายในรถราง
Gluck Coffee Spot
นั่งรถรางสายสีแดงมาลงที่ป้ายเบอร์ 11 (Torichosuji) แล้วเดินต่อเข้าไปในซอยอีกประมาณ 300 เมตร จะเจอคาเฟ่ที่ด้านหน้าร้านตกแต่งด้วยไม้สีเข้มๆ ให้อารมณ์ขรึมๆ นิ่งๆ ดูน่าค้นหาอย่างร้าน Gluck Coffee Spot ตอนหาข้อมูลร้านกาแฟในเมือง Kumamoto ร้านนี้เป็นร้านที่มีคนลงรูปเยอะที่สุด เลยค่อนข้างมั่นใจว่าที่นี่ต้องมีอะไรดีๆ แน่นอน และก็ไม่ผิดหวังที่ได้แวะมา
เข้ามาด้านในร้านชั้น 1 จะเจอกับเคาน์เตอร์สำหรับสั่งกาแฟ และบาร์ให้นั่งจิบกาแฟและสนทนากับบาริสตาได้อย่างใกล้ชิด
เราเลือกสั่ง Iced drip Coffee ไป ซึ่งทางร้านจะมีเมล็ดให้เราเลือกประมาณ 3-4 อย่าง
ส่วนคนที่ไม่ดื่มกาแฟก็มีเมนู Non-Coffee ให้สั่งอยู่นะ มีขนมด้วย
ชั้น 2 ของร้านจะมีที่นั่งเยอะกว่า และจัดได้ดูโปร่งโล่งดี
โชคดีมากที่ตอนเราไปไม่มีคนเลย
ระหว่างรอกาแฟก็มีมุมให้ถ่ายรูปเล่นได้
Iced drip coffee & Iced Lemonade
hara donuts
ร้านโดนัทน่ารักๆ ที่เราสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น ร้านอยู่ในซอยระหว่างทางเดินเข้าไปที่ Gluck Coffee Spot
มีโดนัทให้เลือกสั่งหลากหลายแบบ (แต่เป็นภาษาญี่ปุ่นหมดเลย ต้องให้พนักงานช่วยแนะนำ) ภายในร้านไม่มีที่นั่งนะ ต้อง Take away เท่านั้น
ออกจากซอยแล้วเดินข้ามถนนมาอีกฝั่ง จะเป็นย่านการค้าของเมือง Kumamoto ที่เรียกว่า Shimotori Street ซึ่งรายล้อมไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารมากมาย มีร้านฮิตๆ ของคนไทยอย่าง ABC Mart, Don Quijote และร้านขายของที่ระลึกน่ารักๆ หลายร้าน
บรรยากาศใน Shimotori Street
Kumamon Square
มาถึงถิ่นทั้งที จะไม่แวะมาพบปะหมีเจ้าถิ่นอย่าง Kumamon ก็คงจะเหมือนมาไม่ถึงเมือง Kumamoto เราจึงแวะไป Meet & Greet กับ Kumamon ที่ Kumamon Square ซึ่งสามารถเดินมาจาก Shimotori Street ได้ไม่ไกลนัก หรือจะนั่งรถรางมาลงที่ป้ายเบอร์ 12 Suidocho ก็ได้เช่นกัน
แต่ก่อนมาก็ควรเช็คก่อนนะว่า Kumamon จะออกมาพบปะแฟนๆ ตอนไหนบ้าง โดยเช็คตารางเวลาได้ที่
https://www.kumamon-sq.jp/en/index.html
แนะนำว่าถ้าอยากได้ที่นั่งด้านใน ควรไปก่อนอย่างน้อย 1 ชม. เพราะถ้าไปช้า อาจต้องชมอยู่ด้านนอกแบบเราก็ได้ T_T
กิจกรรมทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วน ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการร้องเล่นเต้นรำกับ Kumamon ดูแล้วก็น่ารักสนุกสนานไปกับเขาได้ และที่น่ารักมากคือ Kumamon ก็พยายามจะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมที่ยืนอยู่ด้านนอกเรื่อยๆ เรียกได้ว่า Take care ทุกคนได้อย่างดีทีเดียว
พอจบการแสดงแล้ว เราสามารถเดินเข้าไปด้านในได้ จะมีห้องทำงานของ Kumamon ให้ไปนั่งถ่ายรูปได้
และมีร้านขายของที่ระลึกต่างๆ ล่อตาล่อใจและดึงดูดเงินในกระเป๋าได้เป็นอย่างดี
Suizenji Park
สวนสวยชื่อดังของเมือง Kumamoto เพราะในสวนได้ย่อส่วนสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งภูเขาไฟฟูจิ ทะเลสาบบิวะ เสา Torii สีแดงสด เอามาไว้รวมกันอยู่ในสวนนี้ โดยมีฉากหลังเป็น City view ที่ดูตัดกับความเขียวชอุ่มและความเงียบสงบภายในสวน
การเดินทางก็ไม่ยาก เพียงแค่นั่งรถรางสายสีแดงมาลงที่ป้าย Suizenji Park และเดินต่อมาที่สวนอีกประมาณ 300 เมตร
ค่าเข้าชม 400 เยน (ถ้ามี JR Pass ลดราคาเหลือ 360 เยน)
เห็นภูเขาไฟฟูจิในรูปนี้ไหม?
มีศาลเจ้าอยู่ภายในสวนด้วย
ที่นี่ Kumamoto นะ ไม่ใช่ Fushimi inari shrine ที่ Kyoto
Okoshiki beach
1 ใน 100 ชายหาดที่สวยที่สุดในประเทศญี่ปุ่น และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากๆ เช่นกัน หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อชายหาดนี้มาก่อน แต่ที่เราตัดสินใจมาที่นี่เพราะดูจากรูปแล้วมันสวยงามมากจริงๆ และก็เดินทางมาจาก JR Kumamoto ด้วยรถไฟเพียง 40 นาทีเท่านั้น โดยนั่งมาลงที่สถานี Oda แล้วเดินจากสถานีไปที่ชายหาดอีกประมาณ 1 กม.
สถานี Oda เป็นสถานีเล็กๆ จะเห็นว่าภายในสถานียังติดรูปชายหาด Okoshiki ซึ่งจะมีบางช่วงเวลาที่สามารถชมชายหาดที่นูนขึ้นเป็นสันดอนเรียงตัวสวยงามแบบนี้ น่าเสียดายเพราะวันที่เราไปไม่ได้เจออย่างในรูป แต่วิวที่ได้เจอก็สวยงามไม่แพ้กันนะ
บริเวณริมชายหาด Okoshiki ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
สีท้องฟ้าก่อนพระอาทิตย์ตก และคลื่นที่เรียงตัวมากระทบฝั่ง
ยิ่งนั่งดูนานๆ ก็ยิ่งรู้สึกดี สวยงามและผ่อนคลายมากเลยทีเดียว
มาเที่ยวที่นี่จะได้เจอตากล้องทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติมารอเก็บภาพพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า
เราก็เป็นหนึ่งในคนที่นั่งรออยู่ตรงนั้น
ควรวางแผนเรื่องเวลาในการมาเที่ยวที่นี่ให้ดี เพราะรถไฟทั้งขาไปและกลับ มีเพียงชั่วโมงละ 1 เที่ยวเท่านั้น แนะนำว่าควรมาถึงก่อนเวลาพระอาทิตย์ตกอย่างน้อยสัก 30 นาที และเผื่อเวลาเดินกลับสถานีอย่างน้อยสัก 10 นาที เพราะถ้าพลาดรถไฟแล้วรอนาน แถมบริเวณรอบๆ ไม่มีร้านค้าร้านอาหารให้นั่งรอด้วยนะ
วันที่ 2 ของการเดินทาง เราเช่ารถขับจาก Kumamoto เป็นเวลา 2 วัน เพื่อไปเที่ยวในจังหวัดใกล้เคียง และปิดท้ายที่ภูเขาไฟ Aso ครับ ที่เลือกเช่ารถ เพราะเป็นวิธีที่สะดวก และประหยัดเวลามากที่สุด เพราะการเดินทางไปตามสถานที่เที่ยวที่เราจะไปต่อจากนี้ มี Public transportation เช่น รถบัส หรือ รถไฟก็จริง แต่จำนวนรอบต่อวันมีเพียง 1 – 2 รอบเท่านั้น และใช้เวลาในการเดินทางนานกว่าขับรถไปเองด้วย ที่สำคัญคือเราไม่สามารถแวะเที่ยวรายทางได้ เพราะตามทางที่ไปก็อาจจะมีสถานที่ที่น่าสนใจให้ได้แวะเที่ยวถ่ายรูปได้เช่นกัน
การเช่ารถที่ญี่ปุ่นก็ไม่ยากครับ อย่างของเราเลือกจองผ่าน agent เจ้าหนึ่ง ค่าเช่าต่อวันรวมค่าประกันและค่าน้ำมันแล้ว อยู่ที่ประมาณ 2,000 บาทต่อวัน ซึ่งถ้าไปกันสัก 3 – 4 คน หารออกมาก็ยังถือว่าประหยัดกว่านั่งรถบัสหรือไป Join กับ Local Tour ครับ
ส่วนการขับรถในญี่ปุ่นก็ไม่ได้ยาก และปลอดภัยมาก เพียงแต่เราควรจะต้องศึกษากฎจราจรของบ้านเขา ที่มีความแตกต่างกับบ้านเราอยู่บ้าง ซึ่งเราได้เคยเขียนเกี่ยวกับการขับรถในญี่ปุ่นไว้ในกระทู้นี้ http://www.porsuke.com/2018/01/21/fukushima_day4/ สามารถเข้าไปอ่านกันได้ครับ
Takachiho Gorge
ขับรถจาก Kumamoto ประมาณ 1 ชม.ครึ่งเพื่อมาที่ Takachiho Gorge ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของจังหวัด Miyazaki บริเวณนี้เป็นผาหินสูงชัน ทอดตัวยาวถึง 7 กม. ภาพที่คุ้นตาและถือเป็น Signature ของที่นี่ก็คือน้ำตกจากผาสูง และมีคนพายเรือล่องผ่านช่องแคบของผา น่าเสียดายที่ช่วงเราไปเขางดไม่ให้พายเรือ เนื่องจากพายุเข้าและกระแสน้ำแรงมาก อาจเป็นอันตรายได้
นอกจากบริเวณน้ำตกที่เป็นจุดไฮไลท์แล้ว เรายังสามารถเดินเลาะไปตามทางระยะไม่ไกลนัก เพื่อชมความสวยงามของธรรมชาติในบริเวณนี้ มีจุดสวยๆ ให้แวะถ่ายรูปได้ตลอดทาง ยิ่งถ้าได้มาที่นี่ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี น่าจะยิ่งงดงามมากกว่านี้ไปอีก
ชมวิวสวยๆ เสร็จแล้ว ที่นี่ยังมีไฮไลท์อีก 1 อย่าง ก็คือ การชิมโซเมน (เป็นเส้นคล้ายโซบะ) ที่ต้องใช้ทักษะในการคีบอย่างว่องไว เพราะทางร้านจะปล่อยโซเมนให้ไหลมาตามน้ำทางกระบอกไม้ไผ่ ลูกค้าอย่างเราก็ต้องนั่งจ้องรอโซเมนที่จะไหลมาและต้องรีบคีบให้ได้ เป็นวัฒนธรรมการกินที่ดูตื่นเต้นดี ถ้าได้มาแวะเที่ยวที่นี่ก็อย่าลืมไปลองชิมดูนะครับ
Kuju Flower Park
สวนดอกไม้ขนาดใหญ่ 220,000 ตร.ม. ที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูง Kuju มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงมากมาย และเป็นสถานที่เที่ยวยอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด Oita สามารถเข้าชมได้ตลอดทั้งปี เพียงแต่ดอกไม้ที่มีก็จะหมุนเวียนไปตามฤดูกาล น่าเสียดายที่ช่วงที่เราไปดอกไม้ในหลายสวนเริ่มเหี่ยว หลายสวนกำลังจะเริ่มปลูกดอกไม้ใหม่เพื่อรอต้อนรับหน้าร้อน ทำให้เข้าชมได้เป็นบางส่วนเท่านั้น
การเดินทางมาที่นี่ควรเช่ารถขับมาครับ เพราะไม่มีรถสาธารณะผ่าน
ค่าเข้าชมสวน 1,300 เยน (แต่ช่วงที่เราไปชมไม่ได้หลายสวน เลยได้ส่วนลดเหลือ 1,000 เยน)
แม้สวนดอกไม้หลายสวนจะถ่ายไม่ได้ แต่ในสวนก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้อยู่นะ
สวนแรกที่เรามาแวะคือ “เนิน Lavender” ซึ่งช่วงที่เราไปน่าจะเลยช่วงพีคมาแล้ว แต่ก็ยังพอชมได้อยู่
Landscape ของสวนอาจจะไม่ได้อลังการณ์เท่า Tomita Farm ที่ Hokkaido แต่ก็พอถ่ายรูปได้อยู่นะ
ส่วนต่อมาคือ “ป่าไฮเดรนเยีย” นี่ก็เลยช่วงพีคมาแล้วเหมือนกัน T_T
ส่วนสุดท้ายที่เราชอบมาก คือ เรือนกระจกแอนทิล ในเรือนกระจกนี้เต็มไปด้วยดอกไม้สีสันสดใส หลากหลายชนิด
แม้จะเป็นเรือนกระจกที่ไม่ได้กว้างนัก แต่มีมุมให้ถ่ายรูปเพลินมาก สาวๆ ที่ชอบถ่ายรูปกับดอกไม้ฟินแน่นอน
บรรยากาศของสวนดอกไม้ด้านนอก เจ้าหน้าที่กำลังเร่งปลูกดอกไม้เพื่อรอรับฤดูร้อน
Aso Base Backpacker
คืนนี้เราพักที่ Hostel น่ารัก ที่ Location ดีมากอย่าง Aso Base Backpacker เพราะที่นี่ตั้งอยู่ไม่ไกลจาก JR Aso Station และอยู่ปากทางขึ้นเขา Aso เลย ที่สำคัญคือเรื่องอาหารการกินไม่ต้องกังวล เพราะบริเวณใกล้เคียงมีร้านอาหาร และร้านสะดวกซื้ออย่าง Lawson อยู่ใกล้กับ Hostel มากๆ ส่วนใครชอบแช่ออนเซ็น ไม่ไกลจาก Hostel จะมีโรงแรมที่มีบริการออนเซ็นอยู่ สามารถซื้อตั๋วจาก Hostel ได้เลยในราคาพิเศษ
เดินเข้ามาด้านในจะเจอ Reception อยู่ทางขวามือ เจ้าของสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี
ด้านซ้ายเป็นส่วน Common Room มีทั้งโต๊ะทานข้าวและมุมให้นั่งอ่านหนังสือ
มีครัวให้ใช้ได้ มีเตา ไมโครเวฟ ตู้เย็น พร้อมเลย
ชั้น 2 จะเป็นส่วนของห้องพัก มีห้องน้ำรวมซึ่งแยกห้องอาบน้ำ และห้องสุขาออกจากกัน
ห้องอาบน้ำมีส่วนแห้งและส่วนเปียก สะอาดดีมาก น้ำแรงสุดๆ มีสบู่ แชมพูให้พร้อม
ระเบียงด้านนอกชั้น 2 สามารถมองเห็นภูเขาไฟ Aso ได้ เสียดายที่ฟ้าไม่ค่อยเปิดเลยเห็นได้ไม่ชัด
เราเลือกพักห้องแบบเตียงสองชั้น / ห้องน้ำรวม
ขนาดห้องไม่กว้างนัก แต่มีส่วนให้เก็บของเป็นสัดส่วนดี
Daikanbo
วันสุดท้ายของทริป เราจะเที่ยวกันในเมือง Aso ทั้งวัน ก่อนจะขับรถกลับไปคืนที่สถานี Kumamoto แล้วต่อ Shinkansen กลับไปที่ Fukuoka วิธีการเดินทางเที่ยวในตัวเมือง Aso ที่ดีที่สุดคือการเช่ารถขับ เพราะที่เที่ยวส่วนใหญ่อยู่บนเขา และมีจุดชมวิวที่เราสามารถแวะถ่ายรูประหว่างทางได้ตลอด เริ่มต้นวันกันที่จุดชมวิวบนยอดเขา Daikanbo ซึ่งสามารถชมวิวเมือง Aso, ภูเขาไฟ Aso และที่ราบสูง Kuju ได้จากจุดนี้ โชคไม่ดีที่ฟ้าไม่เปิด ทำให้เราเก็บภาพบรรยากาศของที่นี่มาได้แบบทึมๆ เมฆครึ้มๆ ไปหน่อย
รายล้อมไปด้วยเนินเขาสีเขียว
จากจุดนี้ถ้าอากาศดีเราจะเห็นเมือง Aso ทั้งเมืองถูกล้อมรอบด้วยภูเขาสูง
มีเส้นทางให้ Trekking ช่วงสั้นๆ ถ้ามีเวลาก็น่าเดินนะ
Imakin Shokudou
ร้านข้าวหน้าเนื้อชื่อดังของเมือง Aso ดังขนาดไหนดูปริมาณคนที่มาต่อคิวตั้งแต่ร้านยังไม่เปิดสิ เรามาถึงตอน 10.30 น. ร้านเปิด 11.00 น.
เราได้คิวเข้าไปทานตอน 11.40 น. ถ้าไม่ดังจริงคงไม่ตั้งใจรอขนาดนี้
ในร้านมีเมนูภาษาอังกฤษให้ ใครไม่ทานเนื้อก็มีเมนูไก่ให้สั่ง แต่ไหนๆ มาถึงแล้วเราก็ต้องจัดเมนูดังของเขามาลอง
นั่นก็คือ Akaushi Don ราคาจานละ 1,740 เยน
เนื้อทาซอสแล้วน้ำไปย่างให้ด้านนอกเกรียมนิดๆ ด้านในยังเป็นเนื้อแดงหน่อยๆ โปะด้วยไข่ออนเซ็นเหยาะโชยุลงไปสักนิด
สมราคาคุยและคุ้มค่ากับการรอคอยจริงๆ
หน้าร้านอาหารฝั่งตรงข้ามก็มีมุมให้ถ่ายรูปนะ
Tanzvongras Cafe
ระหว่างรอคิวข้าวหน้าเนื้อ ใกล้ๆ กันมีคาเฟ่ที่เด่นสะดุดตาอยู่ตรงหัวมุมถนน และคำว่า COFFEE สีเขียวตัวใหญ่แปะอยู่ที่กระจกร้าน ทำให้เราเดินตรงไปที่ร้านเพื่อไปจิบกาแฟฆ่าเวลาสักหน่อย
ด้านในร้านไม่ใหญ่นัก แต่บรรยากาศในร้านน่ารักมาก ตกแต่งด้วยเก้าอี้พับเหมือนเวลาเราไป Camping
เจ้าของร้านที่ควบหน้าที่ Barista ด้วย ก็พูดภาษาอังกฤษได้ดี
ให้คำแนะนำเรื่องกาแฟ และตั้งใจ drip กาแฟให้ลูกค้าเป็นอย่างมาก
กาแฟรสชาติดี แถมด้วยความใส่ใจจากเจ้าของร้าน
และมีกิมมิคเล็กๆ ด้วยการเขียนข้างแก้ว Custom ไปให้สำหรับลูกค้าแต่ละคน
อิ่มท้องแล้ว เราก็เดินทางต่อเพื่อขึ้นมาชมวิวบนภูเขาไฟ Aso
บอกเลยว่าควรเช่ารถขับมาอย่างยิ่ง เพราะระหว่างทางมีจุดให้แวะถ่ายรูปเยอะจริงๆ
มาช่วงหน้าร้อน บนภูเขาก็จะเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียว ดูสดชื่นดี
Mount Aso Nakadake Crator
เป็นจุดชมปากปล่องภูเขาไฟ Aso ซึ่งแต่เดิมจะมี Ropeway ให้ขึ้นไปชม น่าเสียดายที่หลายปีที่ผ่านมาภูเขาไฟ Aso ยังคงมีการประทุอยู่ ไม่สามารถขึ้นไปชมวิวที่ปากปล่องทั้งทาง ropeway, Shuttle bus และเดินขึ้นไป เพราะระยะ 1 กม.จากปากปล่องยังถือเป็นจุดที่อันตรายอยู่
ไหนๆ ก็ขับขึ้นมาแล้ว เดินออกมาชมวิว สูดกลิ่นกำมะถันกันสักหน่อย
Kusasenri
ทุ่งหญ้า Kusasenri ขอยกให้เป็นจุดที่เราชอบมากที่สุดในทริปนี้เลย บริเวณนี้อยู่ก่อนขึ้นไปถึง Aso Nakadake Center เป็นทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ด้านหลังเป็นเนินเขาและมีที่ราบสูงรายล้อม มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ 2 จุดใกล้กัน มีมุมให้ถ่ายรูปได้เยอะมาก กิจกรรมยอดนิยมของที่นี่ก็คือการขี่ม้าชมวิวและถ่ายรูปเล่นนี่แหละ
บริเวณนี้มีลานจอดรถ และร้านค้าร้านอาหาร เป็นจุดที่ใครมาเที่ยว Aso ก็ต้องแวะ ค่าจอดรถ 400 เยน
ทุ่งหญ้าและเนินเขากว้างใหญ่แค่ไหน เทียบได้จากตัวคน
ใครอยากขี่ม้าก็มาติดต่อบริเวณนี้ได้เลย
จุดชมวิวมุมสูง จะเห็นทุ่งหญ้า Kusasenri และปากปล่องภูเขาไฟ Aso เป็น background
ระหว่างทางขับรถกลับเข้าเมือง Kumamoto ก็ยังมีจุดชมวิวให้แวะถ่ายรูปได้อีก
เนินเขาสีเขียวที่เห็นได้แทบทุกรีวิวที่มาเที่ยว Aso
Tokyu Stay Hakata
คืนสุดท้ายก่อนกลับ เราเลือกมาพักที่โรงแรมแถวสถานี Hakata เพราะไฟล์ทขากลับต้องออกแต่เช้า สำหรับโรงแรม Tokyu Stay Hakata ทำเลอาจจะเดินไกลจากสถานี Hakata มานิดนึง (ประมาณ 400 เมตร) แต่ก็เป็นโรงแรมที่ราคาโอเค และบรรยากาศในห้องพักดีมาก
เซอร์ไพรซ์สุดคือมีเครื่องซักผ้าในห้องเลยจ้า พนักงานมีผงซักฟอกแถมมาให้ด้วย
วิวจากห้องพัก
และนี่ก็คือทริป 3 วัน 3 คืนในคิวชูของเรา ที่จริงแล้วยังมีสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกเยอะ
ก็หวังว่ารีวิวนี้จะพอเป็นประโยชน์และกระตุ้นความอยากมาเที่ยวคิวชูให้หลายๆ คนได้นะครับ
แล้วครั้งหน้าจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก อย่าลืมกด Like เพจ ThirtyWander ไว้ให้ดีนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาติดตามอ่านกันครับ…
Morocco Travel Guide : เที่ยว Morocco ไม่ Go ไม่รู้ !
Morocco มีอะไรน่าเที่ยวเหรอ?
นั่นสิ…ประเทศนี้จะมีอะไรให้เที่ยวนะ
นอกจากรูปสถาปัตยกรรมสวยๆ ที่เราเห็นจาก Instagram
และชื่อเมืองดังๆ อย่าง Marrakesh และ Casablanca
เราก็ไม่มีข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับประเทศนี้เลย
แต่เพราะความอยากรู้ และตั้งใจว่าทุกปีจะต้องหาประเทศใหม่ๆ ไปเที่ยวสักครั้ง
ทำให้เราเริ่มหาทีม และตัดสินใจกดจองตั๋ว ก่อนที่จะเริ่ม search ข้อมูลเกี่ยวกับประเทศนี้ซะอีก
และหลังจากได้กลับมาแล้ว ก็พบว่า Morocco เป็นประเทศที่ครบเครื่อง
ทั้งสถานที่เที่ยวตามธรรมชาติ ที่สวยงาม อลังการ
สถาปัตยกรรมที่งดงามและมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน
พิพิธภัณฑ์ที่เก๋ และมีเรื่องราวน่าค้นหา
ที่สำคัญคือ เที่ยวง่าย ค่อนข้างปลอดภัย และไม่แพงอย่างที่คิด!
เราจึงอยากนำเสนอ Morocco ในมุมมองของเรา
และข้อมูลการเตรียมตัว รวมถึงสถานที่เที่ยวที่รับประกันว่าไปยังไงก็ได้รูปสวยๆ กลับมาแน่นอน
ถ้าพร้อมแล้ว ตามไปเที่ยว Morocco ด้วยกันได้เลยครับ…
เที่ยว Morocco ช่วงไหนดี?
Morocco ตั้งอยู่ในทวีปแอฟริกาเหนือ ตอนเหนือของประเทศอยู่ใกล้กับประเทศสเปนและทะเลเมดิเตอเรเนียน โดยมีช่องแคบยิบรอลตาร์กั้นอยู่ ด้านตะวันตกติดกับมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ทางตะวันออกติดกับประเทศแอลจีเรีย ทิศใต้ติดกับประเทศมอริเตเนีย
Morocco เที่ยวได้เกือบทั้งปี ยกเว้นช่วงเดือนมิถุนายน – สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน ควรหลีกเลี่ยงเพราะอากาศจะร้อนมาก โดยส่วนตัวเราว่าตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม – กลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งตรงกับช่วงฤดูใบไม้ผลิ เป็นช่วงเวลาที่ดี เพราะอากาศกำลังเย็นสบาย เสื้อผ้าไม่ต้องเตรียมอะไรมากนัก อย่างทริปของเราไปช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ซึ่งเกือบจะเข้าช่วง Low season แล้ว อากาศเริ่มร้อน (แต่ยังร้อนน้อยกว่าฤดูร้อนบ้านเรา) แต่มีข้อดีก็คือราคาที่พักไม่แรงเท่าช่วง High Season ช่วงเดือนมกราคม – เมษายน และโชคดีที่ฟ้าเปิดทุกวัน มาเจอฝนวันสุดท้ายก่อนกลับวันเดียว
สายการบินไหนดี?
ขณะนี้ยังไม่มีสายการบินที่บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปถึง Morocco นักท่องเที่ยวมักบินจากยุโรปต่อไป Morocco หรือใช้สายการบินตะวันออกกลาง ที่นิยมได้แก่ Etihad, Emirates, Qatar แต่ราคาของสายการบินกลุ่มนี้จะอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นปลายๆ ถึง 3 หมื่นกลางๆ ซึ่งมีอีก 2 สายการบินที่ช่วงหลังมักจะมีโปรโมชั่นไป Morocco ราคาอยู่ที่ 2 หมื่นต้นๆ เช่น Oman Air (Transit ที่ Muscat) และ Gulf Air (Transit ที่ Bahrain)
สำหรับทริปนี้เราเลือกบินกับ Oman Air ไปลงที่ Casablanca ได้ราคาตั๋วอยู่ที่คนละประมาณ 22,xxx บาท ซึ่งเราว่ามันคุ้มค่ามากๆ ที่ตัดสินใจเลือกบินกับ Oman Air เนื่องจากเวลา Transit แต่ละขาอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 ชม. ซึ่งไม่นานจนเกินไป และขาไปไปถึง Casablanca ประมาณ 8 โมงเช้า ทำให้เริ่มเที่ยวได้ทันที สนามบินที่ Oman ก็สวยงาม ทันสมัย ห้องน้ำสะอาด ที่ชอบมาก คือ ไฟลท์ที่ออกจาก Oman เช่น Oman ไป Casablanca หรือ Oman กลับกรุงเทพฯ ผู้โดยสารไม่เยอะ ทำให้เราเลือกที่นั่งไว้นอนเหยียดขาได้สบายๆ
ไป Morocco ต้องใช้ VISA ด้วยนะ!
จองตั๋ว จองที่พัก และวางแผนการเดินทางคร่าวๆ ให้พร้อม แล้วเตรียมเอกสารไปขอ VISA ก่อนบินไป Morocco ด้วย โดยขอ VISA ได้ที่สถานเอกอัครราชทูตโมรอคโค อาคาร Sathorn City Tower ชั้น 12 (ชั้นเดียวกับที่ไปขอ VISA ฝรั่งเศส) สามารถยื่นเอกสารได้ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ตั้งแต่ 9.30 – 12.00 น. และมารับ VISA ได้เวลา 14.00 – 17.00 น. ใช้เวลาในการดำเนินการไม่เกิน 7-10 วัน ค่าธรรมเนียม VISA 719 บาท (ณ วันที่ 19 เมษายน 2562) ค่าธรรมเนียมอาจเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ ขณะนั้น แนะนำให้โทรไปสอบถามที่สถานทูตก่อนไปยื่นเอกสาร (ควรเตรียมเงินไปให้พอดีกับค่าธรรมเนียม)
เอกสารที่ใช้ในการยื่นวีซ่า
- Application Form (สามารถ Download ได้จาก http://www.moroccoembassybangkok.org/visa.html.pdf )
- หนังสือรับรองสถานะทางการเงิน (Bank Certificate) ชื่อสะกดตรงตาม Passport, ต้องมีตราประทับและลายเซ็นจากธนาคาร
- หนังสือรับรองการทำงานภาษาอังกฤษ ใช้คำว่า “To whom it may concern” แทนชื่อสถานฑูตที่ยื่น ระบุตำแหน่ง
ระยะเวลาการทำงาน และเงินเดือน - แผนการเดินทางคร่าวๆ + รายชื่อผู้ร่วมทริป
- สำเนา Booking เครื่องบินและที่พักทั้งหมด
- Passport + สำเนาหน้าแรกที่มีรูป
- รูป 1.5 x 2 นิ้ว จำนวน 2 ใบ
- สำเนาบัตรประชาชน + คำแปลเป็นภาษาอังกฤษ (สามารถใช้แบบฟอร์มการแปลได้จาก http://www.consular.go.th/main/th/form/1421/21818-ตัวอย่างคำแปลแบบฟอร์มเอกสารราชการ.html )
- ประกันเดินทาง วงเงินขั้นต่ำ 1,500,000 บาท
- ค่าธรรมเนียมวีซ่า 719 บาท (อาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราแลกเปลี่ยน)
***เอกสารที่เป็นสำเนาทั้งหมด ไม่ต้องเซ็นสำเนาถูกต้อง***
เดินทางใน Morocco อย่างไรดี ?
วิธีการเดินทางที่สะดวกที่สุด คือ รถยนต์ จะเป็นการเช่ารถ หรือ เช่ารถพร้อมคนขับก็ได้ หรือถ้าไม่อยากแพลนอะไรด้วยตัวเอง ก็มี Local Tour ให้บริการหลากหลายเจ้า ทริปของเราครั้งนี้ใช้บริการรถเช่าพร้อมคนขับ (ที่พูดภาษาอังกฤษได้ และเป็นไกด์ทัวร์ให้บ้าง) จาก https://www.realmoroccotours.com รถที่เช่าเป็น Minivan นั่งได้ประมาณ 4-5 คน ราคา 180 Euro / คัน / วัน (รวมค่าน้ำมันและทางด่วน) โดยเราติดต่อกับทัวร์ทาง E-Mail ส่งแพลนไปให้ เราเป็นคนจัดการจองที่พักและวางแผนสถานที่เที่ยวเอง ยกเว้นวันที่นอน Camp ที่ Sahara เราให้เขาช่วยจองให้ 1 คืน โดยทางทัวร์จะตอบกลับเรื่องราคามาทาง E-Mail ไม่ต้องจ่ายมัดจำใดๆ แต่ก่อนบินประมาณ 2-3 วัน ต้อง Confirm ทาง E-Mail และนัดหมายเรื่องวัน-เวลาที่ไปถึง เพราะเขาจะให้รถมารับที่สนามบิน
หากใครอยากเช่ารถขับเอง ก็สามารถทำได้ แต่ต้องเตือนไว้ว่าใน Morocco ถนนส่วนใหญ่เป็นถนนสองเลนวิ่งสวนกัน บางช่วงเป็นทางลัดเลาะเขา และหากที่พักเป็น Riad ที่อยู่ภายใน Medina ก็จะลำบากเรื่องหาที่จอดรถพอสมควร อาจจะต้องวางแผนเรื่องการเดินทางและที่พักให้ดี อ้อ ที่นี่ขับพวงมาลัยด้านซ้ายนะ เหมือนทางยุโรปเลย
วางแผนการเดินทาง
ถ้าอยากเที่ยวเมืองหลักให้ครบ โดยไม่ต้องเหนื่อยมากนัก แนะนำว่าควรมีเวลาสัก 10-14 วัน ก็สามารถเก็บได้ทั่วประเทศ จะได้ไม่เหนื่อยกับการนั่งรถมากเกินไปด้วย โดยส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวมักจะเริ่มต้นที่ Casablanca หรือ Marrakech แล้วเที่ยววนทวนเข็มนาฬิกา เช่น Casablanca – Marrakech – Ouarzazate – Sahara Dessert – Meknes or Fes – Chefchaouen – Rabat – Casablanca เป็นต้น ข้อดีของการวนแบบนี้ ก็คือจะเดินทางไกลๆ ตั้งแต่วันแรกๆ (โดยเฉพาะเส้นทางจาก Ouarzazate – Sahara Dessert – Meknes or Fes) ทำให้วันท้ายๆ ของการเดินทางไม่ต้องเหนื่อยมากนัก แต่ทริปของเราเลือกที่จะเที่ยวตามเข็มนาฬิกาสวนทางกับคนอื่น เพราะเราอยากให้วันท้ายๆ อยู่ที่เมืองท่องเที่ยวหลักๆ เผื่อไว้ซื้อของฝากในวันท้ายๆ
และนี่คือแผนการเดินทางตลอด 8 วันของเรา…
Day 1 – ถึง Casablanca เที่ยว Hassan II Mosque / เดินทางต่อไป Rabat / เที่ยวและพักที่ Rabat
Day 2 – เดินทางไป Chefchaouen แต่เช้า / เที่ยวและพักที่ Chefchaouen
Day 3 – เดินทางไป Fes / Fes Medina Tour / พักที่ Fes
Day 4 – เดินทางไป Sahara Desert ที่เมือง Merzouga / พักที่ Desert Camp
Day 5 – เดินทางไป Ouarzazate / Ait Ben Haddou / พักที่ Ouarzazate
Day 6 – เดินทางไป Marrakech / Yves Saint Laurent Museum & Jardin Majorelle / Jamaa el-Fna / พักที่ Marrakech
Day 7 – เที่ยวใน Marrakech Medina / Bahia Palace / เดินทางกลับ Casablanca
Day 8 – เดินทางกลับกรุงเทพฯ
เลือกที่พักแบบไหนดี?
ที่พักที่ควรจะต้องพักอย่างน้อยสัก 1 คืน คือ พักที่ Riad ซึ่ง Riad ก็คือบ้านสไตล์ Morocco ที่เขาเอามาทำเป็น Bed & Breakfast แต่ละเมืองก็จะมี Riad ให้เลือกหลากหลายแบบ เมืองที่มี Riad สวยๆ ให้เลือกก็คือ Marrakech ความสวยก็แปรตามราคา ใครงบเยอะก็มีตัวเลือกมากหน่อย ส่วนพวก Riad ที่โด่งดังใน Instagram ก็จะเต็มค่อนข้างเร็ว ขนาดเราเข้าไปดูล่วงหน้า 4-5 เดือนยังจองไม่ทันเลย ดังนั้นถ้าใครมีแพลนอยากไป ก็ไปส่องๆ Riad ที่สนใจและรีบจองไว้แต่เนิ่นๆ
เราจะมาแนะนำ Location ที่ควรเลือกพักจากประสบการณ์ที่ได้สัมผัสบรรยากาศของแต่ละเมืองมาให้คร่าวๆ แล้วกัน ส่วนจะเลือกพักที่ไหน จะโรงแรมหรือ Riad อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบและงบประมาณของเพื่อนๆ เลยแล้วกัน
Casablanca : เราพักที่ Hotel Odyssee Center ข้อดีก็คือโรงแรมนี่อยู่ในย่านธุรกิจ มีร้านอาหาร ร้านค้า Fast Food และอยู่ไม่ไกลจาก Old Medina ของเมือง สามารถเดินไป Hassan II Mosque ได้ แถบนี้มีอีกโรงแรมที่ราคาย่อมเยาว์คือ Ibis City Center
Rabat : เป็นเมืองที่มีจุดท่องเที่ยวสำคัญอยู่แถว Old Medina (Medina คือ ตลาดอะ แต่เป็นตลาดที่สเกลใหญ่กว่า และไม่ได้มีเฉพาะขายของเท่านั้น แต่จะมีบ้านเรือนผู้คน ร้านอาหารต่างๆ อยู่ในนั้นด้วย) ถ้าเน้นเดินเที่ยวสะดวก หาที่พักแถวย่านเมืองเก่าก็เที่ยวง่ายหน่อย แต่เอาจริงๆ ตกกลางคืนก็ไม่ควรออกมาเดินเล่นนะ ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไร
Chefchaoune : แนะนำว่าควรนอนใน Medina เท่านั้น เพราะสามารถเดินถ่ายรูปได้สะดวก ยิ่งถ้าตื่นเช้า ทัวร์ยังไม่ลง พวกมุมถ่ายรูปยอดนิยมก็จะโล่ง มีมุมให้เดินถ่ายรูปเล่นได้สบายมาก
Fes : นอนที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าจะให้ดีควรเลือกนอนในเขตเมืองใหม่ เพราะใน Old Medina เหมาะแก่การไปเดินเที่ยวโดยมีไกด์เท่านั้น เดินเองมีสิทธิ์หลงทางได้
Sahara Desert : ควรนอน Camp เท่านั้น แต่ระดับความหรูหรามีหลากหลาย ลองเลือกที่ถูกใจและเหมาะสมกับเงินในกระเป๋า
Ouarzazate : เราไปเที่ยวแค่ตรง Ait Ben Haddou ซึ่งถ้านอนตรงนั้นได้ก็สะดวกดี มี Hostel และ Riad น่าสนใจให้เลือกหลายที่อยู่ ราคาพอรับได้
Marrakech : เป็นเมืองที่มีโรงแรม, Riad และ Hostel ให้เลือกเยอะมากกกกกกกก ดังนั้นเลือกที่ชอบได้เลย แต่ถ้าเน้นว่าอยากเดินเที่ยวเองแบบเรา นอนใน Medina ก็สะดวกดี เพราะที่เที่ยวใน Medina และจุดถ่ายรูปก็มีเยอะ
แลกเงินไปเท่าไรดี?
Morocco ใช้เงินสกุล Dehram (ย่อว่า DH หรือ MAD) และต้องไปแลกเงินสกุลนี้ที่ประเทศ Morocco เท่านั้น
ถ้าจะแลกเงินสดจากไทยไปต้องแลกเป็นเงิน Dollar หรือ Euro แล้วค่อยเอาไปแลกเป็น Dehram อีกที แนะนำว่าควรเอาเงิน Euro ไปแลกเพราะจะได้เรทที่ดีกว่า Dollar หรือสามารถใช้บัตรเครดิต VISA ไปแลกที่สนามบินได้เลย จะได้เรทที่ดีกว่าการใช้เงินสดแลก
อัตราแลกเปลี่ยนจากเงิน Euro : Dehram ประมาณ 1 Euro = 10 – 11 DH (แล้วแต่อัตราแลกเปลี่ยน) คิดเป็นเงินบาท อยู่ที่ประมาณ 3.6 – 3.8 บาท/ 1 DH คิดเป็นเลขกลมๆ ก็ 1 DH = 4 บาท เวลาคำนวณค่าใช้จ่ายก็ง่ายดี
ที่แลกเงิน แนะนำให้แลกที่สนามบินได้เลย รับกระเป๋าเดินออกจาก Gate แล้ว อย่าเพิ่งออกนอกสนามบิน ให้เดินหาบูทแลกเงินให้เรียบร้อย ก่อนไปเราอ่านรีวิวว่าให้แลกไปนิดเดียวก็พอ แล้วค่อยไปแลกข้างนอกเพราะเรทที่สนามบินไม่ดี แต่เอาจริงๆ เราว่ามันไม่ได้ต่างกันมากขนาดนั้น ถ้ามีแพลนจะใช้จ่ายค่าโรงแรม ค่าเช่ารถอยู่แล้ว แลกไปเลยให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาเที่ยวมาหาร้านแลกเงินอีก (แต่ถ้าพักโรงแรม บางโรงแรมก็มีให้แลกนะ แต่เรทจะไม่ดีเท่าตามร้านแลกเงิน)
ส่วนจะแลกไปเท่าไรดี เราไปประมาณ 8 วัน กะว่าใช้วันละ 100 Euro ซึ่งสำหรับเราก็พอดีๆ นะ
ค่ากิน ถ้าไม่ได้กินหรูมาก ตกมื้อละ 100-150 DH เอาอยู่ (ถ้าเจอร้าน Fast Food พวก Set Meal ราคาประมาณ 50-80 DH)
Shopping เราไม่เน้น แต่พวกร้าน Local จะรับเฉพาะเงิน Dehram นะ ถ้าจ่ายเป็น Euro จะเสียเปรียบเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
ตามห้าง หรือ Supermarket ใหญ่ๆ หรือร้านอาหารที่ดูดีหน่อยก็รับบัตรเครดิตนะ แต่ว่าเจอน้อย แนะนำให้ใช้เงินสดชัวร์สุด
***สำหรับค่าใช้จ่ายทริปนี้ต่อคน*** (แบบคร่าวๆ นะครับ)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน = 22,000 บาท
- ค่าวีซ่า = 719 บาท
- ค่าเช่ารถ = 12,000 บาท
- ค่าที่พัก = 8,000 บาท
- ค่ากิน + ซื้อของ = 15,000 บาท
รวมค่าใช้จ่ายประมาณ 57,719 บาท / 7 วัน
ชีวิตขาด Internet ไม่ได้ ทำไงดี?
อย่า Roamimg จากไทยไปเป็นอันขาด เพราะเรทค่าโทร ค่าเน็ตโหดมาก!
พวก sim card สำหรับท่องเที่ยวต่างประเทศก็ไม่มีใครไปผูกมิตรกับประเทศนี้เลย
ทางออกที่ดีที่สุด คือ ซื้อ sim card บ้านเขาเนี่ยแหละ เครือข่ายที่นิยมก็มี Moroc telecom / True ราคาซิมตกประมาณ 10 Euro ใช้ได้ 4-5 GB แล้วแต่โปรโมชั่น แนะนำให้ซื้อที่สนามบิน หลังจากแลกเงิน หรือจะซื้อตั้งแต่ก่อนออกจาก Gate เลยก็ได้ มีบูทเครือข่ายโทรศัพท์ให้เลือกอยู่ 2-3 แบรนด์
ส่วนสัญญาณเน็ตบ้านเราดีกว่ามาก บ้านเมืองนี้ยังเป็น 3G ซะส่วนใหญ่ และสัญญาณก็ไม่ค่อยจะแรง เวลาเลือกโรงแรมก็ดูโรงแรมที่มี Wifi ให้ด้วยละกัน
อาหารการกิน
จากประสบการณ์อาหารที่พบเจอในทริป Leh Ladakh เราก็เตรียมความพร้อมในทริปนี้อย่างเต็มที่ เพราะ Morocco เป็นประเทศมุสลิม สิ่งที่คุณต้องเจอคือ เนื้อวัว เนื้อแพะ เนื้อไก่ ไม่นับพวกเครื่องเทศ ที่คนไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศอย่างเราทำใจไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องเจอ ทำให้คนกินยากอย่างเราต้องจัดเตรียมมาม่า อาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จแพ็คถุง และขนมต่างๆ แพ็คใส่กระเป๋าไปเต็มที่ เพราะมั่นใจมากว่าเราคงอยู่กับอาหาร Morocco ไม่ได้ทุกมื้อแน่ๆ
อาหาร Morocco แทบทุกร้านที่ไกด์พาไป เมนูอาหารจะเหมือนกันแทบทั้งนั้น หลักๆ เลย คือ Morocco Salad (ประกอบไปด้วยผัก เช่น มะเขือเทศ แครอท มันฝรั่ง คลุกกับน้ำสลัดจืดๆ) Targine (อาหารประจำชาติ ทุกร้านต้องมี เป็นเนื้อเอาไปตุ๋นกับเครื่องเทศ กินคู่กับขนมปังแข็งๆ แห้งๆ ที่มักเสิร์ฟเป็นจานแรกในทุกร้าน) ซุปต่างๆ (แต่ละร้านเสิร์ฟแตกต่างกันไป แต่คนไม่ชอบกลิ่นเครื่องเทศก็คงไม่อิน)
แต่ถ้าคุณเบื่อหน่ายอาหาร Morocco ตามเมืองท่องเที่ยวที่เราไปมักจะมีอาหารชาติอื่นๆ ให้ได้เลือกทานด้วย เช่น ร้านอาหารจีน / ฝรั่งเศส / KFC / McDonald / Burger King / Pizza Hut และร้านอาหารไทย ซึ่งก็ไม่ได้มีกันทุกที่ และโชคร้ายตรงที่เราไปช่วงเดือนรอมฎอน ร้านอาหารปิดช่วงกลางวันกันเพียบ แนะนำว่าตนเป็นที่พึ่งแห่งตน เตรียมอาหารจากไทยไปให้ดี มีชัยไปกว่าครึ่ง
ส่วนคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนกินง่าย ไม่ต้องเตรียมอะไรไปก็ได้…ขอบอกว่าคุณคิดผิด อย่าได้ประมาทอาหาร Morocco เชียวนะ
และทั้งหมดนี้ก็คือคำแนะนำในการเตรียมตัวก่อนจะไปเที่ยว Morocco กัน
ถ้าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว…ก็ตามไปเที่ยวกันได้เลย!!!
เริ่มต้นทริปนี้ที่ Casablanca กันครับ สำหรับสถานที่เที่ยวที่เป็น Landmark ของเมืองนี้ก็คือ “Hassan II Mosque” ซึ่งเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในทวีปแอฟริกา และใหญ่เป็นอันดับ 5 ของโลก กว้างใหญ่ขนาดสามารถจุคนได้ประมาณ 100,000 คน (รวมทั้งด้านในมัสยิดและลานด้านนอก) โชคดีที่ไฟลท์ของเรามาถึงตั้งแต่เช้า ไกด์ของเราจึงแนะนำให้ไปที่นี่ก่อนเป็นที่แรก เพราะเริ่มเปิดให้เข้าชมเป็นรอบ รอบละ 1 ชม.
โดยปกติในช่วงวันเสาร์ – พฤหัส มีรอบ 9.00 / 10.00 / 11.00 / 12.00 และ 15.00 น. และวันศุกร์ มีรอบ 9.00 / 10.00 และ 15.00 น.
ส่วนช่วงที่เราไปตรงกับช่วงเดือนรอมฎอนพอดี ซึ่งจะเปิดให้ชมแค่ 3 รอบต่อวันเท่านั้น คือ 9.00 / 10.00 และ 11.00 น.
ค่าเข้าชม : Mosque = 120 DH, Museum = 30 DH, Combined ticket = 130 DH
ดังนั้นแนะนำว่าซื้อตั๋วรวมไปเลย คุ้มค่าสุด
บริเวณลานด้านนอกก่อนเข้าไปในมัสยิด
สถาปัตยกรรมที่นี่งดงามและยิ่งใหญ่อลังการมาก
เข้าไปด้านในจะมีไกด์ (ภาษาอังกฤษ) เล่าประวัติความเป็นมา
ตั้งแต่ผู้ออกแบบ การก่อสร้าง และแนะนำส่วนต่างๆ ของมัสยิด
เดินชมมัสยิดเสร็จแล้ว มาต่อกันที่ Museum ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับที่ขายบัตรเข้าชม
แต่เรามีเวลาเดินชมได้ไม่นานนัก เพราะใกล้ถึงเวลาที่นัดกับไกด์
Casablanca เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ติดมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ
บ้านเมืองที่นี่จะคุมโทนสีขาว ตัดกับสีน้ำทะเล น่ารักดี
% Arabica ร้านกาแฟชื่อดังจากเมือง Kyoto ก็มาเปิดสาขาที่ Casablanca ด้วย
ด้านหน้าร้านตกแต่งด้วยลวดลายสไตล์ Morocco
ภายในร้านมี 2 ชั้น ตกแต่งสไตล์ Minimal ตาม concept ร้าน คุมโทนสีขาวและน้ำตาล
จะว่าไปการมาเที่ยวในเดือนรอมฎอนก็ดีเหมือนกัน เพราะทั้งร้านแทบไม่มีคนเลย
เมนูโปรดของเรา คือ Iced Spanish Latte เป็นกาแฟใส่ condensed milk ที่มีรสชาติหวานมันกว่า Latte ปกติ
ได้แต่รอว่าเมื่อไรถึงจะมาเปิดสาขาที่กรุงเทพฯ บ้าง
ดื่มกาแฟจนหายง่วงแล้วก็ได้เวลาเดินทางต่อไปยังเมือง Rabat ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ Morocco ระยะทางประมาณ 80 กม. ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. ครึ่ง สำหรับสถานที่เที่ยวเมืองนี้จะตั้งอยู่ในย่าน Old Medina ทั้งหมด โดยจุดหมายแรกที่เราไปแวะก็คือ “Kasbah of Udayas” ซึ่งเป็นป้อมปราการที่สร้างติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 ทำให้เราสามารถชมวิวมหาสมุทร Atlantic และเมือง Rabat ได้จากจุดนี้
บริเวณทางเข้า สามารถมองเห็นวิวเมือง Rabat ฝั่ง Old Medina ได้
จากปากทางขึ้นไปบนป้อมปราการ ใช้เวลาเดินประมาณ 5 – 10 นาที
ระหว่างทางจะเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และบ้านคน ซึ่งบ้านแถวนี้ก็ทาสีคุมโทนฟ้า-ขาว
สามารถหามุมถ่ายรูปสวยๆ ตามตรอกซอกซอยได้เรื่อยๆ
จุดชมวิวด้านบนป้อมปราการ มองเห็นวิวมหาสมุทรแอตแลนติก
อีกด้านของป้อม สามารถมองเห็นวิวเมือง Rabat ฝั่ง New Medina ได้
จาก Kasbah of Udayas ห่างไปประมาณ 2 กม. เป็นที่ตั้งของ Hassan Tower และ
Mausoleum of Mohammed V ซึ่งเป็นสุสานของกษัตริย์ Mohammed V
อาคารของที่นี่แม้จะไม่ได้ใหญ่โตเหมือน Hassan II Tower แต่ก็สวยงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ภายในสุสานของกษัตริย์ Mohammed V ตกแต่งด้วยลวดลายวิจิตรสวยงาม
ประตูทั้ง 4 ทิศมีทหารยืนคุมอยู่ นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมและแสดงความเคารพได้
อีกมุมมองหนึ่งของ Hassan Tower
หลังจากอดนอนแถมตากแดดกันมาตั้งแต่ช่วงเช้า ก็ได้เวลาเข้าสู่ที่พักคืนแรกของเราแล้ว
เราพักกันที่ Riad Meftaha ซึ่งอยู่ฝั่ง Old Medina และไม่ไกลจาก Kasbah of Udayas
สามารถออกมาเดินเล่นชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ริมมหาสมุทรแอตแลนติกในช่วงเย็นได้
เหตุผลที่เลือกพักที่นี่เพราะเป็น Riad ที่ออกแบบสวย และมีห้องพักสำหรับ 4 คนในราคาที่ไม่แพงนัก
และการได้พัก Riad ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึงก็คงทำให้ได้ Feel ของการมาเที่ยว Morocco อย่างแท้จริง
(ราคา 105 Euro / ห้อง / คืน รวมอาหารเช้า)
ห้องพักของเราเป็นห้องใหญ่ มีเตียง King Size 2 เตียง แบ่งเป็นห้องนอนเล็กแยกออกไปอีกห้องหนึ่ง
ห้องน้ำกว้าง มีอ่างจากุชชี่ให้แช่ด้วย
วันที่ 2 ของทริปเราเดินทางต่อไปยังเมือง Chefchaoune เมืองสีฟ้าที่อยู่ในนิตยสารท่องเที่ยวหลายเล่ม และเป็นจุดหมายที่ควรมาเยือนสักครั้งของ Morocco จากเมือง Rabat ใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชม. กว่าจะมาถึงเมืองนี้ โดยมีประตูสีฟ้าบานนี้คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่มาเยือนตั้งแต่เข้าเขตเมือง Chefchaoune
ไม่ใช่ว่าทั้งเมือง Chefchaoune จะเป็นสีฟ้าไปซะทั้งหมด เพราะมีแค่ส่วนที่เป็น Old Medina ที่ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขาเท่านั้น ซึ่งเป็นโซนที่ไม่ใหญ่นัก สามารถเดินเที่ยวรอบ Medina ได้สบายมาก (แต่เดินขึ้นลงบันไดเยอะหน่อยนะ) แนะนำว่าหากมาเที่ยวที่นี่ควรหาที่พักใน Medina สักคืน จะได้ไปชมพระอาทิตย์ตกและตื่นมาถ่ายรูปในเมืองได้ตั้งแต่เช้า
ไกด์ขับรถมาส่งพวกเราที่หน้าทางเข้า Medina แล้วโทรแจ้งพนักงานของที่พักให้มารับพวกเราเข้าไป ที่พักของเราคืนนี้ชื่อ Dar Sababa ซึ่งเรา Recommend ที่นี่มาก แต่จะเพราะอะไรนั้น เดี๋ยวอธิบายให้ทราบกัน
ห้องพักสำหรับ 2 คน มี 1 เตียงเล็กและ 1 เตียงใหญ่ มีห้องน้ำในตัว
(ราคา 52 Euro/ห้อง/คืน รวมอาหารเช้า)
เหตุผลที่แนะนำที่นี่มากๆ ก็เพราะทำเลของที่พักอยู่ใจกลาง Medina เรียกว่าใกล้กับจุดถ่ายรูปยอดฮิตหลายๆ จุด
มีร้านอาหารจีนอยู่ด้านหน้า เดินเข้ามาจากปากทางเข้าก็ไม่ไกล และที่เด็ดสุดคือวิวบนดาดฟ้านี่แหละ
วิวเมืองแบบ Panorama บนดาดฟ้าที่ไม่มีนักท่องเที่ยว แค่นี้ก็ถ่ายรูปเพลินแล้ว
หลัง Check-in เรียบร้อย ก็มาเดินสำรวจภายในเมือง Chefchaoune กันดีกว่า
เมืองนี้คุมโทนด้วยสีฟ้าหลาย Shade และมีมุมถ่ายรูปเยอะจนไม่ต้องไปแย่งกับใคร
ไม่ว่าตรงไหนของเมืองก็เป็นสีฟ้าไปหมด
ใน Morocco แทบทุกเมืองมีแมวจรเยอะมาก น้องๆ ส่วนใหญ่ดูเป็นมิตรดี แต่จะดูโทรมๆ ผอมๆ หน่อย
คำเตือนเรื่องการถ่ายรูปใน Morocco ให้ระวังเรื่องการถ่ายรูปคน เพราะบางคนเห็นกล้อง ก็โอเค แต่บางคนโดยเฉพาะคนแก่ มักจะไม่อยากให้ถ่ายรูปนัก เพื่อนเราที่ไปด้วยกันถึงกับโดนเข้ามาด่า ทั้งที่ยกกล้องเล็งถ่ายรูปอย่างอื่นอยู่ แต่เขายืนอยู่ตรงนั้นพอดี ใครที่เป็นสายสตรีท หรือ ชอบถ่าย Candid โปรดระมัดระวังด้วย ถ้าจะให้ดีควรถามเจ้าตัวก่อนนะ
ก่อนไปเราได้ทำการบ้านเกี่ยวกับจุดถ่ายรูปในเมือง Chefchaoune ไว้ แล้วก็เจอกับลิงค์นี้ https://globalcastaway.com/chefchaouen-photo-guide/#lwptoc7 สามารถใช้เป็น Guide ในการหามุมถ่ายรูปได้ ซึ่งเราก็ได้ตามหาอยู่ 2-3 จุด แต่เอาเข้าจริงแล้วยังมีอีกหลายมุมที่สวย และก็ขึ้นอยู่กับสภาพแสง ณ เวลานั้นด้วยแหละ ว่ามันจะดี จะเหมาะกับการถ่ายรูปไหม แต่สิ่งที่ยากมากกับการถ่ายรูปในเมืองสีฟ้าแบบนี้ คือระวังเรื่องสีเสื้อผ้าที่ใส่อาจสีเพี้ยนได้ และระวังหน้าเป็นสีฟ้าเวลาถ่ายออกมา โดยเฉพาะการถ่ายรูปในส่วนที่แสงเข้าไม่ถึง ถ้าให้ Safe สุด การใส่เสื้อผ้าสีขาว หรือสีออกครีม จะทำให้ได้รูปออกมาดี และปรับสีง่ายกว่าเสื้อผ้าสีอื่น
Callejon El Asri ผนังสีฟ้าและกระถางต้นไม้หลากสี จุดถ่ายรูปที่ Popular มากจุดหนึ่ง
The Blue Street
HAMSA Cafe คาเฟ่ที่ด้านหน้าดูธรรมดามาก แต่วิวหลังร้านคือสุดยอด
Spanish Mosque จุดชมวิวเมือง Chefchaoune และพระอาทิตย์ตกดินที่ไม่อยากให้พลาดจริงๆ
ใช้เวลาเดินจากใจกลาง Medina ขึ้นเขามาประมาณ 15-20 นาที ทางเดินไม่ชัน แต่ควรระวังหน่อยเพราะเป็นทางลูกรัง
แนะนำให้ขึ้นไปตั้งแต่ช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตกสัก 1 ชม. เพื่อดื่มด่ำกับบรรยากาศ และจะได้จับจองที่สำหรับนั่งชมและถ่ายรูป
บรรยากาศขณะพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า และบ้านใน Chefchaoune ต่างเปิดไฟกันแล้ว
วันที่ 3 ของทริป เราเดินทางต่อไปยังเมือง Fes อดีตเมืองหลวงของ Morocco ใช้เวลาจาก Chefchaoune
ไปประมาณ 3-4 ชม. แต่ระหว่างทางก็มีจุดให้แวะถ่ายรูปได้เรื่อยๆ ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อนัก
Fes เป็นเมืองที่ใหญ่และมีผู้คนอาศัยอยู่มาก จุดเด่นของที่นี่คือ Old Medina ที่ใหญ่มากๆ จัดว่าใหญ่ที่สุดใน Morocco ก็ว่าได้ ทำให้เราต้องอาศัย Local Guide เพื่อพาทัวร์ไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ สำหรับการติดต่อ Local Guide ทางไกด์ของเราเป็นคนจัดการให้ ค่าใช้จ่ายสำหรับ Local Guide ประมาณ 400 DH ต่อทริป (ใช้เวลาประมาณ 3-4 ชม. ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นกับว่าดีลกับไกด์ได้แค่ไหน)
เราเดินทางมาถึง Fes เกือบบ่ายโมง เป็นเวลาอาหารเที่ยงพอดี ไกด์ของเราจึงพาเข้าไปทานอาหารกลางวันใน Medina ชื่อร้าน La Patio Bleu เป็นอาหาร Morocco (ตอนแรกหาร้านอาหารอิตาเลียนด้านนอก Medina ไว้ แต่ร้านดันปิดเพราะเป็นช่วงรอมฎอน) ร้านนี้จัดว่าไฮโซอยู่ ตกแต่งร้านสวยมาก ราคาอาหารอยู่ที่ประมาณ 200DH ต่อคน และด้านบนของร้านมีดาดฟ้าให้ขึ้นไปชมวิวเมืองเก่าของ Fes ได้
ร้านตกแต่งสวย มีแต่นักท่องเที่ยวเข้ามาเป็นส่วนมาก
วิวด้านบนดาดฟ้าของร้านอาหาร
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาออกเดินเที่ยวใน Medina กัน ไกด์บอกเราว่า ถ้าจะเดินให้ทั่ว Medina ระยะทางเดินรวมทั้งหมด คือ 30 กม. แต่ไกด์จะพาเราเดินชมจุดสำคัญๆ ระยะทางประมาณ 6 กม. เท่านั้น (ก็เยอะอยู่นะ) ระหว่างที่เดินบอกเลยว่างง ให้เดินหาทางออกเองคงทำไม่ได้ จุดแรกที่ไกด์พาไปแวะเป็นอดีตโรงเรียน เป็นโรงเรียนเก่าของชาวมุสลิม ซึ่งมีโรงเรียนแบบนี้กระจัดกระจายอยู่หลายจุดภายใน Medina แต่ไกด์บอกว่าเข้าชมที่เดียวก็พอ เพราะมันคล้ายๆ กันหมด
สถาปัตยกรรมด้านในตกแต่งสวยงามมาก แม้จะเก่าและทรุดโทรมไปตามกาลเวลา
จุดต่อมาเป็นไฮไลท์ของ Fes นั่นก็คือ Chouara Tannery เป็นสถานที่ฟอกหนังและย้อมสีที่ใหญ่ที่สุดใน Morocco ตอนแรกที่หาข้อมูลมีแต่คนบ่นว่าบนนี้กลิ่นค่อนข้างเหม็น พอเราเข้ามาทางร้านจะแจกใบมินต์มาให้ดมก่อนเลย แต่เอาเข้าจริงเราว่ามันไม่ได้เหม็นเลยนะ มีกลิ่นตุๆ บ้างอยู่ในระดับที่รับได้ จุดนี้สามารถเข้าชมได้ฟรี แต่ทางร้านก็จะเนียนขายของต่อเป็นพวกกระเป๋าหนัง เสื้อหนัง ซึ่งเค้าเคลมว่าเป็นหนังแท้จากแหล่งผลิตโดยตรง ใครชอบเครื่องหนังก็เลือกซื้อหากันได้ แต่ราคาแรงอยู่นะ
เราว่าการท่องเที่ยวของ Morocco คือการกระจายรายได้อย่างหนึ่ง เพราะการเข้ามาเที่ยวใน Fes เราจะต้องจ้าง Local Guide เพิ่ม เท่านั้นยังไม่พอ ไกด์เหล่านี้เขาก็จะพาเราไปตามร้านค้า ผู้ผลิตสินค้าพื้นเมืองต่างๆ เพื่อ Direct Sell และ Hard Sell กับเราพอสมควร ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ที่ตัวท่านแล้วว่าจะใจแข็งพอหรือไม่ที่จะไม่ซื้อสินค้าเหล่านั้น เพราะถึงไม่ซื้อ เขาก็ไม่ว่าอะไร แต่บรรยากาศอาจดูตึงๆ เล็กน้อย
ถัดจากร้านเครื่องหนัง ไกด์พาเรามาต่อที่ร้านขายพรม ซึ่งออกตัวแต่แรกว่าเข้ามาได้เลย ไม่เสียค่าเข้าชมเพราะรัฐบาลสนับสนุนร้านเราอยู่ ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราใจชื้น แต่สุดท้ายก็ปิดท้ายด้วยการขายของ ด้วยการเอาพรมแทบทั้งร้าน มาปูให้เราเลือกว่าชอบอันไหนบ้าง และพยายามจะปิดการขายกับเราให้ได้ แต่พอพวกเราปฏิเสธ นางก็บ๊ายบายไล่ออกจากร้านเลยจ้ะ
ปิดท้ายทัวร์ในเมือง Fes กันที่จุดชมวิวเมืองบนเขา จะเห็นว่า Old Medina ของ Fes นั้นกว้างขวางใหญ่โตมากกกก
สำหรับที่พักที่ Fes เราเลือกพักที่ Ibis Budget Fes ราคาคืนละ 36 Euro / ห้อง (พักได้ 2 คน) รวมอาหารเช้า ตามสไตล์ Budget Hotel ห้องก็จะเล็กๆ หน่อย ข้อดีของที่นี่คือตรงข้ามโรงแรมมี Supermarket ขนาดใหญ่ ที่จะทำให้ไม่ต้องทนอดอยาก แต่ความซวยของพวกเราก็คือ วันที่ไปพัก Supermarket ปิดทำการ (ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร) แถมคาเฟ่แถวนั้นก็ขายแต่กาแฟ ไม่มีอาหาร สุดท้ายได้ขุดเอามาม่าและอาหารแห้งที่พกมาใช้ประทังชีวิตไปได้ 1 มื้อ ดังนั้น ถ้าจะให้เราแนะนำ ควรหาที่พักที่อยู่ในตัวเมือง หรือใกล้ห้าง / Fast Food ต่างๆ จะดีที่สุด
วันที่ 4 ของการเดินทาง เป็นวันที่เราต้องนั่งรถไกลและนานที่สุด เพื่อเดินทางไปยัง Sahara Desert ณ เมือง Merzouga ระยะทางเกือบ 600 กิโลเมตร นั่งรถนานเกือบ 8 ชม. แต่ยังดีที่มีจุดให้จอดแวะถ่ายรูปอยู่ได้เรื่อยๆ
Oasis
ไกด์พาเรามาถึงทางเข้าทะเลทรายเกือบ 6 โมงเย็น โชคดีที่ช่วงเวลาที่เราไปพระอาทิตย์ตกช้า ทำให้สามารถขี่อูฐชมพระอาทิตย์ตกดินได้ทันอยู่ จากปากทางเข้าทะเลทราย จะมีรถ 4WD ของ Desert Camp ที่เราฝากทางทัวร์จองไว้ให้มารอรับ ซึ่งการเข้าไปที่ Camp สามารถไปได้ทั้งนั่งรถ 4WD เข้าไปเลย (ใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาที) กับขี่อูฐเข้าไป ไหนๆ ได้มาแล้วทางทัวร์เลยจัดอูฐมาให้จ้า เพราะเขาตั้งใจให้เราขี่อูฐเข้าไปกลางเนินทราย และชมพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนั้น ก่อนที่จะขี่อูฐต่อไปยัง Camp ที่เราจองไว้ ใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ชม.
ถ้าขับรถเข้ามาที่ Camp จะมีทางเดินรถเฉพาะ เป็นคนละทางกับที่เราขี่อูฐเข้ามา
บรรยากาศบนเนินทราย และน้องอูฐ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดิน
แสงสุดท้ายที่ทะเลทราย Sahara
พอแสงหมดเราก็ขี่อูฐต่อมาที่ Camp ของเรา ทางทัวร์ได้จอง Orient Desert Camp ให้ เป็น Camp ที่ยังดูใหม่อยู่ มีเตนท์ที่พักอยู่ประมาณ 8 – 10 เตนท์ (พักได้เตนท์ละ 2-3 คน) ค่าที่พักคนละ 60 Euro / คืน (รวมค่าขี่อูฐและอาหาร 2 มื้อ) เดี๋ยวเราจะพาไปชมกันว่า Camp ของเราเป็นยังไงบ้าง
ภายในเตนท์ของเรา มีเตียงใหญ่ 1 เตียง เตียงเล็กอีก 1 นอนได้ 3 คนสบายๆ ผ้าเช็ดตัวพร้อม ไฟพร้อม
เตียงและหมอนนุ่ม นอนสบายมาก ที่ไม่มีคือแอร์ และปลั๊กไฟ ถ้าจะชาร์จให้ไปชาร์จที่ห้องอาหาร
ถึงจะไม่มีแอร์ แต่หน้าต่างบานเล็กนั้น ก็ช่วยพาลมหนาวเข้ามาด้านในเตนท์ให้นอนได้สบายๆ
ทั้งห้องน้ำและที่อาบน้ำมีพร้อม
วันที่เราไปพักเป็นวันที่พระจันทร์เกือบเต็มดวง ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสว
สักพักพนักงานก็มาจัดเตรียมโต๊ะสำหรับ Dinner ตรงด้านหน้า Camp
ทานข้าวท่ามกลางแสงเทียน ล้อมรอบไปด้วยทะเลทราย บรรยากาศโรแมนติกมาก
มื้อเย็นวันนี้ คือ ไก่ย่าง ทานคู่กับขนมปัง ซุป และสลัด Morocco
อิ่มแล้วก็มีความบันเทิงมาเสิร์ฟ ด้วยดนตรีพื้นบ้าน Moroccan Style
ได้อารมณ์ไปเข้าค่ายลูกเสือแล้วต้องทำการแสดงรอบกองไฟ เกือบตะโกนออกไป 3 ครั้งแล้วว่า
“เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ”
ตอนดึกๆ ใครที่ชอบถ่ายดาวก็ตื่นมาส่องดาวกันได้ หรือใครอยากถ่ายแสงเช้าก็รีบตื่นกันหน่อย
ส่วนเรานอนตื่นสายมาเก็บภาพทะเลทรายอีกนิดหน่อยก่อนเดินทางต่อ
บรรยากาศในห้องอาหารเช้าของที่ Camp
เดินทางมาถึงวันที่ 5 ของทริปแล้ว วันนี้เป็นอีกวันที่เราต้องนั่งรถค่อนข้างนานเพื่อเดินทางจาก Merzouga ไปยังเมือง Ouarzazate แต่วิวระหว่างทางก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง ยังคงมีจุดที่สวยและน่าแวะถ่ายรูปได้อยู่เป็นระยะ
เราชอบความคุมโทนในแต่ละเมืองของเขามากเลย
ไกด์เราก็น่ารัก แวะจอดให้ถ่ายรูปอยู่เรื่อยๆ
Todgha Gorge เป็นหน้าผาหินสูงที่เป็นส่วนหนึ่งของ High Atlas Mountain สูงประมาณ 160 เมตร
ตั้งเรียงรายไปตามทาง หน้าตาคล้าย Grand Canyon อยู่ระหว่างทางจาก Merzouga ไปยัง Ouarzazate
ในที่สุดเราก็มาถึงเมือง Ouarzazate ตึกรามบ้านช่องของที่นี่หน้าตาก็จะประมาณนี้
Ouarzazate เป็นเมืองที่มีความสำคัญและสร้างรายได้ให้ Morocco เกี่ยวกับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ เพราะมีภาพยนตร์ Hollywood หลายเรื่องมาใช้สถานที่ในเมืองนี้เป็นจุดถ่ายทำ ทำให้มีการสร้างโรงถ่ายให้เช่า รวมถึงให้นักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปได้ น่าเสียดายที่เรามาไม่ทันเวลา เลยถ่ายรูปได้เฉพาะด้านนอก
Ait Ben Haddou คือ 1 ใน 9 ของ UNESCO World Heritage Sites และเป็น Landmark ของเมือง Ouarzazate อดีตเคยเป็นป้อมปราการ และที่พักระหว่างทางของกองทัพที่เดินทางจากยุโรปมายังแอฟริกา แต่ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ และเป็น Location ถ่ายทำภาพยนตร์ที่เรารู้จักกันหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น The Mummy, Gladiators, Prince of Persia และซีรีส์เรื่องดังอย่าง Game of Thrones
Dar Mouna คือที่พักในคืนนี้ของเรา ข้อดีของที่นี่คืออยู่ใกล้กับ Ait Ben Haddou มาก และห้องที่เราพักสามารถมองเห็นวิวจากระเบียงห้องได้เลย ราคาห้องพักประมาณ 68 Euro / ห้อง / คืน รวมอาหารเช้า
วิว Ait Ben Haddou จากระเบียงหน้าห้องพัก
เราเดินทางมาถึงที่นี่ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว เราจึงรีบเข้าไปเดินทัวร์ในตัวป้อมปราการ ซึ่งด้านหน้าจะมีคนดักเก็บเงินค่าเข้า 20 DH ต่อคน การเดินชมด้านในก็ไม่ยาก แต่ต้องระวังเสียค่าโง่แบบเราสำหรับเดินขึ้นไปด้านบนของป้อม เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น
เดินเข้ามาจะมีลุงคนนี้ยืนเก็บค่าตั๋ว นักท่องเที่ยวก็รุมถ่ายรูปลุงไปด้วย
ด้านในป้อมปราการ มีจุดให้ถ่ายรูปวิวจากมุมสูงได้หลายจุด และมีบันไดให้เดินขึ้นไปถึงด้านบนของป้อมได้ง่ายๆ แต่ระหว่างที่เรากำลังเดินหาทางขึ้นอยู่ เราเจอเด็กกับผู้หญิงคนหนึ่ง (ซึ่งน่าจะเป็นแม่เด็ก) ตะโกนเรียกให้เดินไปอีกทาง แล้วชี้ว่าถ้าจะขึ้นไปด้านบน ต้องขึ้นจากทางที่นางบอก ซึ่งเป็นทางชัน ไม่มีบันได แต่เป็นเนินที่ต้องปีนขึ้นไปเรื่อยๆ และต้องจ่ายค่าผ่านทางให้นางอีกคนละ 20 DH ตอนแรกเราก็ลังเล เพราะทางมันดูแปลกๆ จะให้เดินขึ้นก็ว่ายากแล้ว ถ้าต้องลงทางเดิมนี่ก็น่าจะลำบากมาก แต่เพื่อนเราซึ่งเดินขึ้นไปก่อนก็ตะโกนลงมาว่าให้จ่ายเงินแล้วขึ้นมาเลย งั้นจ่ายก็ได้ สรุปพอจ่ายเงินแล้วขึ้นไปถึงด้านบน ก็ค้นพบว่า ถ้าเราเดินไปอีกทาง จะมีบันไดให้ขึ้นสบายๆ และไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางใดๆ จึงขอเตือนเพื่อนๆ ที่จะไปเที่ยวที่นี่ด้วยว่า ถ้าเข้าไปแล้วมีใครมาเรียกไม่ต้องสนใจ ให้เดินหาบันไดแล้วเดินขึ้นไปได้เลยฟรีๆ
ก่อนมาที่นี่เราให้ไกด์ช่วยแวะร้านเสื้อผ้าพื้นเมือง เพื่อหาชุดแบบชาว Morocco มาใส่
เพื่อเอามาถ่ายรูปกับที่นี่แหละ ดูเข้ากันดีไหม?
วิวจากอีกด้านของป้อมปราการ เห็นภูมิประเทศที่แปลกตาเหมือนอยู่บนดาวอังคาร
วันที่ 6 ของทริป เราออกเดินทางไป Marrakech กันแต่เช้า ระยะทางจาก Ouarzazate ไป Marrakech ไม่ได้ไกลมากเท่ากับสองวันที่ผ่านมา แต่เป็นเส้นทางลัดเลาะเขาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชม.
ระหว่างทาง ไกด์พาเราแวะร้านขาย Argan Oil ซึ่งเป็นของฝากขึ้นชื่อของ Morocco
ภายในร้านจะมีสาธิตวิธีการสกัดน้ำมันให้ชม
หลังจากฟังบรรยายจบ พนักงานร้านก็จะแนะนำสินค้าซึ่งมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็น Natural Argan oil ที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่น สำหรับคนรักความ organic สรรพคุณของ Argan oil คือช่วยบำรุงผิวและเส้นผม ให้นุ่ม และสุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีน้ำมันหอมระเหย, แยม และครีมบำรุงผิวต่างๆ
หลังช็อป Argan oil เสร็จแล้ว ไกด์ก็พาเราขับรถต่อมายังเมือง Marrakech ที่เราได้หาข้อมูลมาแล้วว่าที่นี่มีร้านอาหารไทย เหมือนเป็น Oasis ท่ามกลางทะเลทราย เพราะพวกเราเอียนอาหาร Morocco จะแย่แล้ว ร้านอาหารไทยร้านนี้ ชื่อ Le Petit Thai
เข้าไปในร้านเจอกลุ่มพี่ๆ คนไทยกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เราไม่รอช้าสั่งกันมาเต็มโต๊ะ
ราคาอาหารต่อจาน เฉลี่ยประมาณ 50 DH ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับอาหาร Morocco
การได้ทานผัดไท ต้มยำ และลาบไก่ในช่วงเวลาแบบนี้ คือโคตรจะมีความสุข
อิ่มท้องแล้วก็ได้เวลาเริ่มเที่ยว ด้วยความที่ Marrakech เป็นเมืองท่องเที่ยว ทำให้เราต้องพบปะกับมวลมหาประชาชน ที่เราไม่เคยได้พบเจอมาก่อนใน 5 วันที่ผ่านมา ทำให้เราไม่ค่อยอินกับ Marrakech สักเท่าไร แต่ไหนๆ ก็มาแล้วเราก็เลยต้องไปเก็บ Landmark ให้ครบ เริ่มที่แรกที่ Le Jardin Majorelle สวนที่เต็มไปด้วยพืชเมืองร้อน และตึกสีน้ำเงินเหลืองซึ่งเป็นจุดเด่นของที่นี่
ถ่ายรูปที่นี่ต้องรอจังหวะดีๆ เพราะนักท่องเที่ยวเยอะมาก
ติดกับ Le Jardin Majorelle คือ Yves Saint Laurent Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมผลงานของดีไซน์เนอร์ชื่อดังท่านนี้เอาไว้
เราชอบดีไซน์ของ Museum นี้มาก งานด้านในก็เก๋มาก น่าเสียดายที่เขาไม่ให้ถ่ายรูป
บรรยากาศภายใน Museum
หลังเดินชม Museum แล้ว ไกด์ก็พาเรามาส่งยังที่พัก ซึ่งคืนนี้เราจะพักกันที่ Rodamon Riad Marrakech
แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็น Riad แต่ที่นี่ไม่ได้เงียบสงบเหมือน Riad ที่เราเคยพัก แต่เป็น Hostel ที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว
ห้องที่เราจองไปพักได้ 4 คน เป็นเตียง 2 ชั้น 2 เตียง มีห้องน้ำในตัว
ไม่มีผ้าเช็ดตัวให้ ค่าที่พักประมาณ 120 Euro / ห้อง / คืน (ไม่มีอาหารเช้า)
ที่นี่มีทั้งหมด 4 ชั้น Rooftop มี Bar ให้นั่งดื่มชิลๆ ได้
ด้านล่างของ Hostel มีสระว่ายน้ำ เป็นมุมถ่ายรูปที่ดีงามมาก
ข้อดีของการพักใน Medina คือเราสามารถเดินเที่ยวจุดท่องเที่ยวสำคัญๆ ได้เอง อย่างตอนเย็นหลังจากเก็บของเสร็จแล้ว เราก็เดินจาก Hostel มาที่ Jamaa el-Fna ซึ่งคนนิยมมาถ่ายรูปยามพระอาทิตย์ตกกันที่นี่ ทำให้ร้านอาหารรอบๆ บริเวณนี้เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวที่รอมาถ่ายรูปยามเย็น
ร้านอาหารที่คนนิยมมานั่งรอถ่ายรูป คือ ร้าน Le Grand ballon du cafe glacier บริเวณชั้น 2 ของร้านในช่วงเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก จะมีนักท่องเที่ยวมาจับจองโต๊ะริมระเบียงเพื่อรอชมวิวและถ่ายรูป แนะนำว่าควรมาถึงร้านก่อนพระอาทิตย์ตกอย่างน้อย 1 – 2 ชม.เพราะมาช้าอาจจะไม่มีมุมให้ถ่ายรูปได้ แต่ก่อนจะเข้ามาจองโต๊ะต้องซื้อเครื่องดื่มหรือสั่งอาหารของทางร้านก่อนเข้ามานั่งด้วยนะ
บรรยากาศหลังพระอาทิตย์ตก
บรรยากาศรอบจตุรัสยามค่ำคืน
เช้าวันที่ 7 ของทริป ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่เราจะได้เที่ยวกันแบบเต็มๆ เราเลือกเดินเที่ยวและถ่ายรูปตามจุดต่างๆ ภายใน Medina ซึ่งสามารถเดินไปได้จากที่พักของเรา เริ่มที่ The Oriental Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็ก ที่จัดงานศิลปะให้เดินเข้าไปชมในบ้าน มีทั้งหมด 3 ชั้น + ดาดฟ้า ที่จะมีคาเฟ่ให้บริการด้วย ค่าเข้าชม 50 DH
บริเวณชั้นดาดฟ้าของ Museum
มีมุมถ่ายรูปเยอะ ใครชอบถ่ายรูปมาที่นี่ฟินแน่นอน
Marrakech Museum เราขอยกให้ที่นี่เป็นที่ที่ห้ามพลาดของ Marrakech เลยแหละ เพราะด้านในสวยมาก
สวยทุกมุม คุ้มค่าที่จะเสียเงินเข้ามาชมอย่างยิ่ง (ค่าเข้าชม 50 DH)
ถ่ายมุมไหนก็ดี
ห้องนี้ก็สวย ถ่ายรูปเล่นกับแสงและเงาได้
เนื่องจาก Hostel ของเรายังไม่ได้รวมอาหารเช้ามาให้ เราจึงหาร้านสำหรับไว้ทาน Brunch และควรจะเป็นร้านที่วิวดีๆ ด้วย และร้าน Atay Cafe-Food ที่เราเปิดรูปเจอจาก Instagram ก็เป็นร้านที่สะดุดตาเรามากที่สุด และอยู่ไม่ไกลจากที่พักของเรา
ที่นั่งชั้นบนสุดของร้านคือดีมาก
มุมถ่ายรูปตรงนี้ คือเหตุผลที่เราเลือกมาที่นี่ 555
ไม่ใช่ว่าจะดีแค่บรรยากาศเท่านั้น แต่อาหารที่นี่ก็จัดว่าเด็ด ทั้ง Hamburger และ Sandwich ไก่ที่เราสั่งมา เรียกได้ว่าอร่อย และเยอะจนจุก คุ้มค่ามาก ร้านเปิดประมาณ 10 โมงเช้าจนถึงค่ำๆ เป็นร้านที่เราแนะนำว่าควรมาโดน เพราะทั้งบรรยากาศ รสชาติอาหาร และราคา ถือว่าโอเคมากทีเดียว
Bahia Palace อีก 1 Tourist attraction ที่อยากมา แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะทัวร์มาลงเยอะเนี่ยแหละ
สถาปัตยกรรมที่นี่สวยมาก แต่เสียดายที่คนก็เยอะมากเช่นกัน ทำให้ไม่สามารถหามุมดีๆ ถ่ายรูปได้เลย
ใครรักความสงบ ควรหลีกเลี่ยงที่นี่ หนีไป 555
กว่าจะได้รูปนี้ต้องรอจังหวะดีๆ เพื่อไม่ให้มีคนเดินผ่านหน้ากล้อง
หลังจากฝ่าฝูงชนที่ Bahia Palace จนหมดแรง ไกด์ของเราก็พากลับไปยัง Casablanca เพราะวันรุ่งขึ้นเราต้องเดินทางกลับตั้งแต่เช้า โชคดีที่ถนนจาก Marrakech ไป Casablanca เป็น 4 เลน ทำให้เดินทางสะดวกมาก สำหรับแพลนเย็นวันนี้ เราตั้งใจกลับไปถ่ายรูปด้านนอกของ Hassan II Mosque ในยามพระอาทิตย์ตกดิน
Odyssee Center Hotel คือที่พักของเราใน Casablanca เป็นโรงแรมประมาณ 3-4 ดาวที่ห้องกว้างขวาง
ทำเลอยู่ใจกลางเมือง ใกล้ร้านอาหารและไม่ไกลจาก Hassan II Mosque ราคา 64 Euro / ห้อง / คืน
บรรยากาศภายในห้องพักของเรา
อากาศที่ Casablanca ในวันสุดท้ายของทริปค่อนข้างเย็นกว่าวันอื่นๆ ทำให้การเดินจากโรงแรมไปถึง Hassan II Mosque ไม่เหนื่อยมากนัก เสียก็แต่ลมที่แรงมาก เมื่อเทียบกับเสื้อผ้าหน้าร้อนที่พวกเราใส่ไปแล้วสู้ไม่ไหวจ้า ยืนตากลมหนาวรอถ่ายรูปกันไป
บรรยากาศริมทะเลก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
เริ่มต้นและจบทริปนี้ ณ ที่เดียวกัน
Morocco เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวที่หลากหลาย ทั้งสถานที่เที่ยวเชิงธรรมชาติ พิพิธภัณฑ์ สถาปัตยกรรม และมีวัฒนธรรมที่น่าสนใจ เราจึงอยากใช้ประสบการณ์ที่เราได้เจอ มาแนะนำและบอกต่อให้เพื่อนๆ ได้รู้จัก Morocco มากขึ้น และอาจสร้างแรงบันดาลใจให้อยากมาลองสัมผัสประสบการณ์ดีๆ ที่นี่ดูสักครั้ง
หวังว่า Morocco จะทำให้คุณตกหลุมรักได้ไม่ยากนะครับ 🙂
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาติดตามอ่าน แล้วไว้เจอกันใหม่ทริปหน้าครับ
Planeta 120.24 : เชียงใหม่
Planeta 120.24 : เชียงใหม่
Service Apartment ที่เราเห็นจากรูปครั้งแรก ก็ไม่ลังเลที่จะจองทันที เพราะที่นี่ตกแต่งได้ Minimal และสวยงามถูกตาต้องใจสุดๆ ทริปเชียงใหม่ที่ผ่านมาเราไ
สำหรับห้องพักแบบรายวันมี 3 type
ห้อง 36 ตร.ม. : 2,400 บาทต่อคืน (มีอ่างอาบน้ำ)
ห้อง 23 ตร.ม. : 1,200 บาทต่อคืน
ห้อง 18 ตร.ม. : 1,024 บาทต่อคืน
ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว และราคารวมอาหารเช้าแล้ว
สำหรับรายละเอียดอื่นๆ ตามอ่านรายละเอียดในกระทู้นี้ได้เลยครับ
ห้อง 36 ตร.ม.
เตียงใหญ่มาก เราว่าห้องนี้กว้างขวาง พักสบายๆ เหมาะกับการมาเดทกับแฟนงุ้ง
ทางที่พักต้อนรับเราด้วยถาด
ห้องน้ำของห้อง 36 ตร.ม.
แค่ดีไซน์ก็สวย เหมือนดูใน Magazine แต่งบ้านเลย แถมมีอ่างอาบน้ำให้นอนแช่น้ำชิลๆ ไปอีก
ใครชอบทำครัว หรือซื้อกับข้าวมาเผื่อหิวต
โต๊ะกินข้าวสำหรับ 2 ที่ อยู่ตรงมุมห้องอย่างเหมาะเจ
ด้านนอกของที่พัก
ส่วนที่พักรายวันจะอยู่ชั้น
ด้านหน้ามีคาเฟ่ from Mom to Mars ซึ่งคนอื่นที่ไม่ได้เข้าพัก
อาหารเช้ามีให้เลือก 2 แบบ คือ American Breakfast และ อาหารเหนือ เลือกได้แค่ 1 อย่าง
และเราก็เลือกชุดอาหารเหนือ
เป็นที่พักใหม่อีกที่หนึ่งใ
ก็หวังว่าจะถูกใจ และเป็นไอเดียให้เพื่อนๆ ที่กำลังมองหาที่พักในเชียง
Tokyo Art Museum
ฤดูร้อนแบบนี้ไปทำอะไรที่โตเกียวดีล่ะ?
หลังจากกดตั๋วโปรไปกลับโตเกียวช่วงเดือนสิงหาคมในราคา 6,000 บาทได้ ก็เริ่มเกิดคำถามขึ้นมาต่อว่าไปเที่ยวตอนหน้าร้อนแบบนั้น จะทำอะไรดี?
คำตอบของเราก็คือไปหา Museum เข้าละกัน
อย่างน้อยก็หลบแดดหลบฝนได้ ตากแอร์เดินสบายๆ จังหวะพอดีกับมี Museum ที่เพิ่งเปิดใหม่ รวมถึง Event พิเศษๆ ที่จัดขึ้นในช่วงหน้าร้อนแบบนี้พอดิบพอดี
รีวิวนี้เลยจะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว 3 Museum ที่โตเกียวกัน จะมีที่ไหนบ้าง ตามไปอ่านกันเลย!
1. Teamlab Borderless
พิพิธภัณฑ์ศิลปะแบบ Digital ที่เน้นกิจกรรมให้ผู้เข้าชม
คำแนะนำ : ควรจองตั๋วล่องหน้าก่อนไปอย่างน้อย 2-3 เดือน เพราะบัตรเต็มเร็วมาก
จองบัตรผ่านทาง : https://
การเดินทาง : สถานี Aomi (อยู่ที่ Odaiba)
มีส่วนที่คล้ายๆ สนามเด็กเล่น ให้เด็กๆ ได้มาสนุกกัน
ห้องนี้จะเป็นห้องโล่งๆ กว้างๆ ที่ฉากจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อ
สายถ่ายรูปรับรองฟินแน่นอน
อย่าลืมชวนเพื่อนที่ถ่ายรูป
จุดนี้ก็เป็นไฮไลท์ที่คนชอบ
แต่ห้องนี้ที่ Teamlab Planets ซึ่งเราจะกล่าวถึงต่อไปจะเป็นห้องใหญ่กว่านี้
2. Teamlab Planets
เป็นอีกงานหนึ่งของ Teamlab นั่งรถไฟ Yurikomome ต่อจาก Teamlab Borderless มาไม่กี่สถานีก็ถึงแล้ว เราชอบ Concept ของที่นี่ตรงที่เขาพยายามสร้างงานให้เราได้ใกล้ชิดกับง
อ้อ งานนี้ไม่ได้จัดตลอดไปแบบ Teamlab Borderless นะครับ แต่มีถึง Fall ปี 2020
ทางไปจอง : https://
คำแนะนำ : ตั๋วจะเปิดจองเดือนต่อเดือน
ที่สำคัญ : ควรใส่กางเกงขาสั้นมา หรือกางเกงขายาวที่ถกขากางเ
การเดินทาง : สถานี Shin-Toyosu
ห้องนี้เป็นห้องที่เราอยู่น
ห้องนี้จะมีที่นอนให้เรานอน
3. Yayoi Kusama Museum
เราชอบงานฟักทองลายจุดของคุ
ทางไปจองตั๋ว : http://www.e-tix.jp/
การเดินทาง : สถานี Ushigome Yanagicho
(subway)
ที่นี่เป็นตึกเล็กๆ มีแค่ 5 ชั้น จึงจำกัดคนเข้าชม
งานที่นี่เมื่อเทียบกับงานที่สิงคโปร์หรือที่โตเกียว ถือว่าเล็กมาก แต่ถ้ารักป้ายังไงก็ต้องมาสักครั้ง
จุดที่ถ่ายรูปได้ทั้งมิวเซี
จุดที่ 2 คือฟักทองบนดาดฟ้า
วิวบนนี้ดีมาก
และนี่ก็คือ 3 Museum ที่คนรักงานศิลปะและชอบถ่ายรูปไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง คราวหน้าเราจะพาไปเที่ยว ไป Cafehopping กันที่ไหนต่อ รอติดตามกันได้ใน Facebook Page : ThirtyWander นะครับ
'New York' from the Good Old Films
My dream destinations
แม้ว่าปี 2018 กำลังจะผ่านพ้นไปในอีกไม่กี่วัน…
แต่ปีนี้เป็นอีกปีที่เราได้ทำความฝันของตัวเองสำเร็จไปอีก 1 เรื่อง
นั่นคือการได้ไปเที่ยวในเมืองที่เราฝันว่าจะต้องไปให้ได้สักครั้ง
อยากไปดูตึก Empire State ให้เห็นกับตา
อยากรู้ว่าเทพีเสรีภาพของจริงนั้นสูงขนาดไหน
อยากไปเดินเล่นใน Central Park ที่เขาว่ากว้างกว่าสวนลุมหลายเท่านัก
อยากนั่งรถชมเมืองที่ฮีโร่ในหนังหลายๆ เรื่องมาช่วยกันกอบกู้ได้หลายต่อหลายครั้ง
และที่สำคัญ…อยากไปเก็บภาพในเมืองนี้ด้วยมุมมองของเราเอง
New York City
เราได้รวบรวมภาพทั้งหมด 70 ภาพ ที่เป็นมุมมองของเราต่อ New York
และรวมถึง Boston ที่เราได้มีโอกาสแวะไปเที่ยวช่วงสั้นๆ
บันทึกความทรงจำนี้ผ่านกล้องฟิล์มตัวเก่งของเรา มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน
เป็นของขวัญส่งท้ายปี 2018
ขอให้มีความสุขต้อนรับปีใหม่ 2019 กันทุกคนนะครับ
Camera : CONTAX T3
Film : Kodak E100 (Ektachrome), Fuji Superior 200, LOMO F2/400
Scan & Dev : Nine Billion RAM
หากเพื่อนๆ สนใจเกี่ยวกับการถ่ายภาพ และท่องเที่ยว หรืออยากติดตามชมรีวิวเก่าๆ ของเรา
สามารถติดตามได้ที่
Facebook : Thirtywander
https://www.facebook.com/thirtywander
พูดถึงการท่องเที่ยวในเมืองอย่าง New York สิ่งแรกที่เรานึกถึง และเป็นกังวลมากที่สุด ก็คือ การเดินทางด้วย Subway อาจจะเพราะคำบอกกล่าว ปนขู่กันมาว่ามันสกปรก งงเพราะมีหลายสาย และจู่ๆ จะปิดซ่อมก็ปิด พอได้มาเจอของจริงก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันแย่ขนาดนั้นนะ แต่กลับชอบด้วยซ้ำที่ทำให้การเดินทางในเมืองใหญ่แบบนี้รวดเร็วและสะดวกมากขึ้น
ถ้าถามว่าเขตไหนใน New York ที่เราชอบมากที่สุด?
ขอตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า “Brooklyn” เราชอบตึก บรรยากาศ และสไตล์ของผู้คนแถวนี้มาก
มันดูมีสีสัน จะเป็นเมืองก็ไม่ได้ดูเมืองจ๋าๆ เหมือนใน Manhattan แต่มันมีความคูล ความเป็นเอกลักษณ์ดี
โดยเฉพาะพวกตึกที่สร้างด้วยอิฐแดงพวกนี้แหละ แถมยังมี Graffiti สวยๆ ที่ระบายอยู่ตามผนังตึกให้ได้ถ่ายรูปกันเพลินๆ ด้วย
แต่ก่อนที่เราจะพาไปเที่ยวสถานที่แมสๆ อย่าง Brookyn bridge หรือ Dumbo
เราขอแนะนำสถานที่ชม New York City View ที่สวยงามและคนไม่เยอะ มาให้ได้ตามไปถ่ายรูปสวยๆ กันก่อน
WNYC Transmitter Park สวนสาธารณะเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจาก Subway สถานี Greenpoint Ave
ที่แม้สวนจะไม่ใหญ่ แต่วิวดีงามมาก และที่สำคัญคือเข้าฟรี
ที่สวนนี้สามารถชมวิวเมือง New York ฝั่ง Manhattan ได้ มองเห็นทั้ง One Worldtrade และ Empire State
แนะนำว่าให้มาช่วงเช้าๆ ถ่ายรูปจะได้ไม่ย้อนแสงนะ
แถวสถานี Greenpoint Ave นี่ถือว่าเป็นสวรรค์ของ Hipster ก็ว่าได้ เพราะตั้งอยู่ไม่ไกลจาก Williumsburg
ดังนั้นจะพบเจอคาเฟ่ หรือ select shop ฮิปๆ เก๋ๆ กระตุ้นความอยากแวะถ่ายรูปได้ตลอดทาง
Homecoming Cafe เดินมาไม่ไกลจาก WNYC Transmitter Park ร้านน่ารัก กาแฟอร่อย
เราเดินจาก Greenpoint Ave เพื่อไป Williumsburg โดยมีจุดหมายระหว่างทางคือ Whyth Hotel
ที่นี่เป็นโรงแรมที่มีคาเฟ่อยู่ที่ชั้น 1 ตกแต่งสวยงามและรสชาติอาหารก็อร่อย แค่ด้านนอกโรงแรมก็สวยแล้ว
เดินตรงเข้าไปในซอยข้าง Whyth Hotel จะเจอ Cityscape สวยๆ แบบนี้
มองเห็นตึก Empire State ด้วย
Kinfolk Cafe อยู่ใกล้กับ Whyth Hotel เลย ในร้านตกแต่ง Minimal Style
และที่สำคัญต้องมีใบไม้เขียวๆ ใหญ่ๆ ประดับไว้ด้วย ใครชอบสไตล์ Kinfolk ต้องแวะ
Dumbo landmark ของ Brooklyn ที่ใครมาก็ต้องแวะมาถ่ายรูปสักครั้ง
Brooklyn bridge ถ่ายรูปยังไงไม่ให้ติดคนอื่นเป็นความท้าทายของที่นี่
ถ้ามีเวลาแนะนำให้เดินข้ามจากฝั่ง Brooklyn ไป Manhattan เลย
เพราะช่วงกลางๆ สะพานคนจะไม่เยอะเท่าช่วงแรก
ถ้าจะเริ่มจากฝั่ง Brooklyn ควรไปช่วงเย็น เพราะถ่ายรูปแล้วจะไม่ย้อนแสง
Graffiti สวยๆ คือสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปใน New York
ข้ามมาทางฝั่ง Manhattan เริ่มกันที่ One World Trade และ The Oculus
บริเวณนี้อยู่ที่เดียวกับตึก World Trade Center เดิม
Reflection Pools อยู่ด้านนอกของ The Oculus สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ 9/11
โดยสร้างขึ้นในบริเวณที่เคยเป็นที่ตั้งของตึก Twin Towers
Statue of Liberty
การมาชมเทพีเสรีภาพสามารถเลือกมาได้หลายแบบ แต่แบบที่เราเลือกคือ
การเดินทางด้วยเรือ Ferry ข้ามจาก Manhattan มาที่ Staten Island
ข้อดีก็คือ “ฟรี” จะนั่งกี่รอบก็ได้ แต่ข้อเสียก็คือจะเห็นเทพีอยู่ไกลไปนิด แต่ก็พอถ่ายรูปได้อยู่นะ
เมื่อข้ามมาถึง Staten Island แนะนำให้ขึ้นมาด้านบนของท่าเรือ จะมีลานกว้างๆ ให้นั่งชมวิวได้
มองเห็นวิวตึกบนฝั่ง Manhattan ด้วย ถ้าใครพกเลนส์เทเลไปคงสวยเชียวแหละ
รูปนี้เราถ่ายบนเรือ Ferry (ถ่ายผ่านกระจกเรือ) น่าจะเป็นจุดที่ใกล้กับเทพีมากที่สุดแล้ว
High Line สวนสาธารณะลอยฟ้าของ New York ที่พัฒนามาจากรางรถไฟร้าง
กลายเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ และจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่ควรแวะไปเดินเล่นสักครั้ง
จุดเริ่มต้นให้นั่ง Subway ไปลงสถานี 14th Street แล้วมาเริ่ม High Line ตรงหน้า Whitney Museum
แนะนำให้มาช่วงบ่ายๆ เย็นๆ เพราะแสงที่ตกกระทบตึกรอบๆ มันสวยมาก
Golden period ของเราอยู่ที่ High Line นี่แหละ แสงเย็นที่นี่ดีจริงๆ
ข้อดีอีกอย่างของการมาเดินเล่นที่ High Line ก็คือ Chelsea Market ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กัน
แนะนำให้เข้าไปชิม Lobster ที่อร่อย สด และราคาไม่แพงด้วย
ไหนๆ ก็ได้มาเที่ยว New York ทั้งที เราเลยตัดสินใจพักที่พักหรูๆ กลาง Manhattan สักคืน
ซึ่ง Arlo Nomad ก็ตอบโจทย์มาก เพราะอยู่ไม่ไกลจาก 5th Avenue และแทบจะติดกับ Empire State เลยด้วย
ที่สำคัญห้องมุมของโรงแรมนี้มันดีมาก เพราะสามารถเห็น City View แบบอลังการณ์ได้จากในห้อง
เสียดายที่เลนส์กล้องฟิล์มเราเก็บมาได้กว้างมากสุดแค่นี้
Empire State
Flatiron Building
New Yorkers
Central Park เป็นอีกสถานที่ใน New York ที่คนรักการถ่ายภาพสตรีทไม่ควรพลาด
ด้วยความที่สวนมีขนาดใหญ่ (มาก) ทำให้มีหลายจุดที่สวยงาม และผู้คนที่มาที่นี่ก็หลากหลาย
หากมีเวลาเดินเล่นในสวนมากพอก็จะได้เก็บ Moment ดีๆ กลับไปเยอะเชียวแหละ
Bethesda Fountain ใครเคยดูหนังเรื่องกุมภาพันธ์น่าจะพอคุ้นๆ กันบ้าง
The Lake and Loeb Boathouse
Alice in Wonderland
มีคนจูงน้องหมามาเดินเล่นกันเยอะแยะเลย
Superhero ก็มาเดินเล่นที่นี่ด้วย
พื้นที่สีเขียวกลางเมืองใหญ่แบบนี้ ดู Contrast ดี
Wollman Rink
Inside The Met
Top of the Rock
จุดชมวิวที่ควรค่าแก่การขึ้นมา (แม้ว่าค่าบัตรจะแพงมาก)
ได้ขึ้นมาถ่ายรูป Empire State มุมนี้ก็คุ้มแล้ว
น่าเสียดายที่ฝั่ง Central Park มีตึกบังเยอะไปหน่อย
มาต่อกันที่ Boston เป็นของแถมนิดหน่อยละกันครับ
พอดีเราได้มีโอกาสไปเที่ยว Boston ประมาณ 2 วัน ก่อนที่จะเข้ามา New York
เพราะโดนบังคับด้วยโปรของสายการบิน แต่ก็กลับพบว่า Boston ก็มีมุมสวยๆ และน่าเที่ยวหลากหลายที่เหมือนกัน
MIT – Massachusetts Institute of Technology
นี่คือตึกในวิทยาลัยชื่อดังอย่าง MIT เราได้เห็นภาพตึกนี้ใน Instagram ตอนหาข้อมูล Boston
แล้วก็ปักหมุดไว้เลยว่าต้องไป ไปแล้วก็ไม่ผิดหวังครับ มีหลายมุมให้ได้ถ่ายรูปเพลินเลยแหละ
King Bhumibol Adulyadej of Thailand Square
ตั้งอยู่ไม่ไกล Harvard University ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งที่ได้เดินทางมาถึง Boston
เราจึงตั้งใจที่จะมาที่นี่ เพื่อรำลึกถึงในหลวงรัชกาลที่ 9 ในเมืองที่ท่านเคยประทับอยู่
Harvard University
เป็นมหาวิทยาลัยที่เต็มไปด้วย Tourist แต่ไหนๆ ได้มาก็มาแวะลูบเท้าท่าน Johb Harvard สักหน่อย
Isabella Stewart Gardner Museum
เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่คลาสสิค และมีสวนสวยๆ อยู่ตรงกลางตึก
แม้จะไม่ใหญ่นัก และงานก็เป็นของสะสมส่วนตัวของเจ้าของพิพิธภัณฑ์เอง
แต่ถ้าชอบงานศิลปะก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งใน Boston ที่น่าสนใจครับ
Boston Common
คล้าย Central Park ใน New York ขนาดพอๆ กับสวนลุมบ้านเรา
ไว้สำหรับให้คนเมืองได้มาพักผ่อนหย่อนใจ บางทีก็มีงานอาร์ทมาจัดให้ชมด้วย
Longfellow Bridge
อยู่ใกล้กับสถานี Charles / MGH (red line) เป็นจุดชมวิวเมือง Boston ที่อยู่สองฝั่งของแม่น้ำ Charles
ยิ่งในช่วง Autumn แบบนี้ จะมองเห็นใบไม้เปลี่ยนสีที่อยู่ตลอดริมแม่น้ำ แม้จะไม่ได้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว
แต่ถ้าชอบถ่ายรูปแนะนำให้แวะมาครับ
Acorn Street
ตรอกนี้เราก็ได้มาจากการส่อง IG เช่นกัน เป็นตรอกเล็กๆ ที่รายล้อมไปด้วยบ้านอิฐแดง
ได้อารมณ์เหมือนอยู่ในหนังฝรั่งย้อนยุค มีนักท่องเที่ยวมาบ้างประปราย แต่รอจังหวะดีๆ ก็จะได้ภาพสวยๆ ไม่ยาก
Boston Public Library
ห้องสมุดประชาชนของ Boston ที่ออกแบบได้สวย คลาสสิค และที่สำคัญคือเข้าชมได้ฟรี
จะเข้ามานั่งอ่านหนังสือ หรือแค่เข้ามาพักเหนื่อยก็ได้ แต่อย่าลืมถ่ายรูปสวยๆ ก่อนออกมาด้วยละกัน
ปิดท้ายด้วยรูปที่สนามบิน Doha ระหว่าง Transit
และทั้งหมดนี้ก็คือรูปจากกล้องฟิล์มที่เราใช้เก็บความทรงจำดีๆ ในทริปอเมริกาครั้งแรกของเรา
ขอบคุณที่เข้ามารับชมนะครับ 🙂
Shanghai Cafe Guide 2018 : คาเฟ่และร้านอร่อยในเซี่ยงไฮ้ที่ไม่อยากให้พลาด
ภาพจำเมื่อได้ยินคำว่า “ประเทศจีน” สำหรับเราคือ ความเสียงดังช้งเช้ง วุ่นวาย และ “ห้องน้ำ” ที่ขึ้นชื่อลือชา
“ประเทศจีน” จึงเป็นประเทศที่เราตั้งใจว่าจะไม่ไปเที่ยวเองเด็ดขาด เพราะกลัวพ่ายแพ้ต่อพลเมืองจีน
ครั้งแรกและครั้งเดียวที่เราเคยไปประเทศจีน คือประมาณ 13 ปีก่อน เป็นการออกนอกประเทศครั้งแรก
และได้ประเดิมกับประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของบรรพบุรุษอย่างประเทศจีน ที่เมืองปักกิ่ง
ตอนนั้นที่บ้านซื้อทัวร์ให้ไปเที่ยวกันช่วงปิดเทอม จำได้ว่าสถานที่เที่ยวอย่างกำแพงเมืองจีน
จตุรัสเทียนอันเหมิน มันก็อลังการณ์งานสร้างดี แต่เรากลับเฉยๆ และไม่ได้ประทับใจจนคิดว่าจะต้องกลับไปอีก
แต่ด้วยความที่เราอยากไป Disneyland ไง Disneyland ที่เซี่ยงไฮ้ซึ่งตอนนี้ก็เปิดมาสักพักหนึ่งแล้ว
และหลังจากได้อ่านหลายๆ รีวิวที่เขาบอกกันว่าเซี่ยงไฮ้มันดี ตึกสูงเยอะแยะมากมาย
แถมดีไซน์ซะเหมือนเดินเที่ยวในยุโรปไปอีก ประจวบเหมาะกับเจอตั๋วเครื่องบินลดราคาพอดิบพอดี
ทริปนี้จึงเกิดขึ้น และได้ทำลายความตั้งใจของเราที่ไม่คิดจะไปเที่ยวเมืองจีนออกไป
จนเมื่อได้ไปสัมผัสความเป็นจีนที่ “เซี่ยงไฮ้” จริงๆ แล้ว กลับทำให้เราเปลี่ยนความคิดและอคติที่เคยมีมา
และยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เราหลงเสน่ห์ของ “เซี่ยงไฮ้” เข้าอย่างจังแล้วแหละ จึงอยากจะเอาประสบการณ์ที่เราได้เจอ
ทั้งความเก๋ ความดีงาม ของเซี่ยงไฮ้ ที่ใครจะไปคิดล่ะว่าจะได้เจอ มันดี๊ มันดี จนต้องมาทำกระทู้ให้ทุกคนได้อ่านนี่แหละ
ส่วนจะดีงามอย่างไรนั้น…เลื่อนลงไปอ่านกันต่อได้เลย!
มีหลายรีวิวที่ได้กล่าวถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็น Landmark ของเซี่ยงไฮ้ไปแล้ว
คราวนี้เราจึงอยากจะมาแนะนำคาเฟ่เก๋ๆ รวมไปถึงร้านอาหารที่ไม่อยากให้พลาดหากได้มา
และปิดท้ายกันด้วย Art museum ที่เราเหลือเวลาไปได้แค่ที่เดียวเท่านั้น
แต่ก่อนที่จะไปถึงรีวิวส่วนหลักของกระทู้นี้ เราขอมาเพิ่มเติมประสบการณ์จริง
และ Tips เล็กๆ น้อยๆ เพื่อจะได้ Survive และท่องเที่ยวที่เซี่ยงไฮ้ได้อย่างแฮปปี้แบบเรา
Shanghai Tips
- การเดินทางจากสนามบินเข้าเมือง สามารถเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงที่เรียกว่า Maglev จากสนามบิน Pudong ไปลงที่สถานี Longyang road (Line 2 : สายสีเขียว) ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 7 นาทีเท่านั้น ค่ารถเที่ยวละ 50 หยวน แต่! ถ้ามี boarding pass ที่ใช้เดินทางในวันเดียวกันสามารถนำมาเป็นส่วนลด Maglev เหลือแค่เที่ยวละ 40 หยวนเท่านั้น
ภายในสถานี Maglev Longyang Road
บรรยากาศภายในรถ สะอาด คนโล่งมาก
รถไฟจีนก็วิ่งเร็วเหมือนกันนะ (431 km/hr คือความเร็วสูงสุดที่รถวิ่ง)
- หากไม่นั่ง Maglev ก็นั่งรถไฟ Metro (จากนี้ไปขอย่อว่า MRT แล้วกันนะ) จากสถานี Pudong International Airport (Line 2 : สายสีเขียว) เข้าไปในเมืองได้ แต่ว่าไม่ได้นั่งยาวเข้าเมืองเลยนะ ต้องแวะเปลี่ยนขบวนที่สถานี Guanglan Road อย่าเผลอหลับ หรือเด๋อไม่ออกจากขบวนอย่างเราละกัน นั่งตั้งนานก็ว่าทำไมไม่ถึงสักที T_T
- บัตรเติมเงินสำหรับใช้ขึ้น MRT ถ้าจะซื้อที่สนามบินจะต้องซื้อที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟ Maglev และจะเริ่มขายตั้งแต่ 9.oo น.เป็นต้นไป ถ้าไปถึงเช้ามากแบบเรา ก็ซื้อไม่ได้จ้า
- แต่ถึงไม่ได้ซื้อบัตรเติมเงิน หรือ 1, 2, 3 daypass ใดๆ ก็ตาม การซื้อตั๋วเที่ยวเดียว (Single trip) ที่สถานี MRT ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะคิวไม่ได้ยาวขนาดนั้น และเครื่องซื้อตั๋วก็มีเยอะอยู่ สรุปแล้ว 4 วันที่เราอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ใช้การซื้อตั๋วเป็นรอบๆ ตลอดเลย ก็ไม่ได้ลำบากหรือช้าอะไรมากนะ ติดแค่ว่าเครื่องขายตั๋วรับแบงค์ใหญ่สุด คือ 50 หยวน ดังนั้นเวลาแลกเงินแลกแบงค์ย่อยไปด้วยก็ดี
- การใช้บัตร Metro แบบ Single trip ขาเข้าใช้บัตรทาบกับที่อ่านบัตร ขาออกให้สอดบัตรคืน
- ค่ารถไฟที่นี่ถูกมากเว่อร์ เริ่มต้นที่ราคา 3 หยวน (ประมาณ 15 บาท) เท่านั้น เรานั่ง MRT จากสนามบิน Pudong มาที่ รร.ของเราที่สถานี Shanghai Railway ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. นิดๆ ค่ารถแค่ 7 หยวน (ถูกกว่า Airport Link ไปอีก) แพงสุดที่นั่งคือจาก รร. เราไปที่ Disneyland ค่ารถ 8 หยวน ซึ่งถูกกว่านั่ง BTS จากสถานีหมอชิตไปอนุสาวรีย์ซะอีก
- ความดีงามของ Metro ที่นี่อีกอย่างคือ มันคลอบคลุมสถานที่เที่ยวทุกที่ที่เราอยากไป บรรยากาศเหมือน Metro ที่สิงคโปร์ นั่งง่าย ไม่วุ่นวายมาก เอาสะดวกสุดต้องโหลด App : Shanghai Metro แค่กรอกสถานีต้นทางและปลายทางก็จบ ง่ายมาก!
- ควรเช็คเวลาเปิด-ปิดของ Metro แต่ละสถานีให้ดี เพราะมันปิดเวลาไม่ตรงกัน ถ้ากลับดึกมากอาจตกรถได้
- ค่ารถถูก แต่ค่ากาแฟที่นี่แพงมาก เจอถูกสุดคือประมาณ 20 หยวนต่อแก้ว (ประมาณ 100 บาท) ดังนั้นสาย Cafehopping ที่จะไปตามรอยกระทู้เรา ควรเตรียมแลกเงินไปเผื่อค่ากาแฟเยอะๆ
- ค่าอาหารการกิน ค่า รร. เราว่ากลางๆ ที่พักถูกกว่าญี่ปุ่น และฮ่องกง (มาก) ขนาดเรานอน รร. ที่จัดว่าหรูหราใช้ได้ ห้องกว้างขวาง อยู่ใจกลางเมืองใกล้สถานีรถไฟ ตกคืนละ 3 พันกว่าๆ (บาท) ส่วนเรื่องอาหารส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับ Location และชื่อเสียงของร้าน แต่เราแลกเงินค่ากินค่าเที่ยวสำหรับ 4 วันไปประมาณหมื่นบาท ยังเหลือเงินกลับมาแลกคืนได้อีก (กินอิ่ม กินดีแทบทุกมื้อเลยนะ)
- ทางเท้าหรือฟุตบาท ในเซี่ยงไฮ้ไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับคนเดินถนน เพราะจะมีรถมอเตอร์ไซค์ซึ่งเสียงเครื่องยนต์เบากว่าเสียงโซ่จักรยาน (มารู้ทีหลังว่ามอเตอร์ไซค์ที่นี่เขาใช้ไฟฟ้า) และพร้อมที่จะพุ่งชนเราได้ทุกเมื่อหากเราเดินเอ้อระเหยไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว ดังนั้นเวลาเดินก็ต้องมองซ้ายขวาหน้าหลังให้ดี เพราะนี่เกือบโดนรถชนแล้วเหมือนกัน
- ไฟเขียวไฟแดงตรงแยก อาจไม่ได้ช่วยอะไรกับบ้านเมืองนี้ เพราะรถแทบทุกคันสามารถแหกกฎได้ทุกเมื่อโดยไม่สนใจอะไร (เจอกลับรถแบบงงๆ ต่อหน้าตำรวจก็มี) ดังนั้น เวลาข้ามถนน ก็ต้องระวังเป็นอย่างยิ่ง
- ร้านอาหารส่วนใหญ่ โดยเฉพาะร้านอาหารจีน มักจะไม่มีภาษาอังกฤษ ไม่มีคนพูดภาษาอังกฤษได้ ควรเตรียมฝึกภาษาจีนขั้นพื้นฐาน เช่น นับเลข ถามราคา เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อไก่ ขอน้ำ ถามทางไปห้องน้ำ เป็นต้น หรือถ้าขี้เกียจก็เตรียม App แปลภาษาหรือ google translate ไปให้ดี
- ศึกษาเส้นทางของสถานที่ที่เราจะไปตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น ที่เที่ยวอยู่สถานี MRT อะไร ออกทางออกไหน และ capture หน้าจอแผนที่เก็บเอาไว้ให้ดี อย่าหวังพึ่ง 4G ที่ประเทศจีนเด็ดขาด เราซื้อซิมของค่ายสีแดงไป เรียกได้ว่าไม่ช่วยอะไรเลย สัญญาณมาๆ หายๆ (ส่วนใหญ่หาย) และขึ้น EDGE มากกว่า 4G ถึงบางครั้งจะขึ้น 4G แต่ใช้ไม่ได้ก็มีบ่อยๆ ดังนั้นควรต้อง Back to basic จด note และ cap รูปแผนที่เอาไว้จะดีที่สุด และอย่าลืมโหลด App VPN ไว้ใช้เล่น Facebook / IG / Line ด้วย Wifi ที่โรงแรม
- หากใช้ iPhone แนะนำให้ใช้ Apple Map จะมีสถานที่ครบและบอกทางได้ดีกว่า Google Map (บอกละเอียดถึง Exit No. ของแต่ละสถานี MRT ด้วยล่ะ)
- คนที่รักการถ่ายรูป รักความสงบ ไม่ชอบคนพลุกพล่าน และอยากไปสถานที่เที่ยวฮิตๆ อย่าง The Bund / Yuyuan Garden แนะนำให้ไปแต่เช้ามากๆ (เช็คเวลาเปิดปิดให้ดี) เพื่อหลีกเลี่ยงทัวร์และนักท่องเที่ยวที่พร้อมจะแห่แหนกันมาทั้งคนจีนและต่างชาติ
- ร้านอาหารหรือคาเฟ่ฮิตๆ ก็ควรไปตั้งแต่ร้านเปิดเช่นกัน ไม่งั้นต้องรอเป็นชั่วโมงกว่าจะได้กิน
- ใครที่มีแพลนไป Disneyland แนะนำให้ซื้อตั๋วออนไลน์ไปก่อนเลย เพราะการไปซื้อตั๋วหน้างาน เสียเวลาต่อคิวมาก และมีเคาน์เตอร์ที่เปิดขายน้อย ทำให้ต้องต่อคิวซ้ำซ้อนไปอีก
- ขาช็อปทั้งหลาย หากเตรียมเงินไปช็อปพวกแบรนด์ต่างๆ ที่บ้านเราก็มี เช่น H&M, UNIQLO, Muji หรือใดๆ ก็ตามที่เป็นแบรนด์นอก (ที่ไม่ใช่ของจีน) แพงกว่าบ้านเราแทบทุกอย่าง ที่เจอถูกกว่า คือ Zara ซึ่งก็ถูกกว่าประมาณ 100 – 300 บาท ส่วนเรื่องตลาดของก๊อปอันนี้ไม่รู้ ไม่ได้ไป แฮะๆๆๆ
Pullman Shanghai Jingan
โจทย์ในการเลือกที่พักของเราก็คือ เราอยากได้ รร. ที่อยู่ใกล้กับ MRT Line 1 หรือ 2 ก็ได้ เพราะเดินทางไปไหนมาไหนดูจะสะดวกที่สุด และรอบนี้ไปกับเพื่อนอีกคน ซึ่งเคยไปเจอประสบการณ์แย่ๆ กับ Hostel ที่ฮ่องกงมาเมื่อ 2 ปีก่อน เลยขอโรงแรมที่ดีๆ นอนสบาย เรื่องราคาก็ขอให้ไม่แพงจนเกินความจำเป็น ซึ่ง Pullman ที่เราไปพักครั้งนี้ก็ตอบโจทย์แทบทุกอย่าง ราคาตอนที่จองก็ตกประมาณคืนละ 3,4xx บาท ซึ่งก็พอรับได้อยู่
ห้องที่เราจองเป็นห้อง Superior Twin Room กว้างขวางใช้ได้เลยแหละ
มีน้ำดื่มให้วันละ 4 ขวด
ห้องน้ำมี Shower แยกส่วนแห้งส่วนเปียก ไม่มีสายฉีดชำระ ไม่มีอ่างอาบน้ำ
ข้อดี
– อยู่ติดกับทางออกที่ 5 ของสถานี MRT Shanghai Railway (Line 1) เดินทางสะดวกมาก
– สามารถเช็คอินได้ตั้งแต่เช้า เราไปถึง รร. ประมาณ 10 โมง ก็ได้ห้องเลย ใครมาไฟลท์ดึกถึงเช้าก็ได้อาบน้ำพักผ่อนก่อนออกไปลุยต่อ
– ห้องใหญ่ สะอาด ราคาเหมาะสมกับคุณภาพ
– พนักงานพูดอังกฤษได้ดี รับฝากกระเป๋าหลัง check out ฟรี
ข้อเสีย
– ทางออก 5 ที่จะมา รร. ไม่มีบันไดเลื่อนหรือลิฟท์ ใครมีกระเป๋าใหญ่จะลำบากพอควร
– ไม่มีอาหารเช้าให้ ต้องจ่ายเงินเพิ่มหากต้องการทานอาหารที่โรงแรม
– ระบบการจ่ายเงินดูงงๆ เพื่อความสบายใจแนะนำให้จ่ายกับ web agent ที่เราจองไปให้เรียบร้อยก่อน check in จะดีที่สุด
– ต้องเตรียมบัตรเครดิตหรือเงินสดเพื่อจ่ายค่ามัดจำความเสียหาย ประมาณ 3,000 หยวน (จะได้คืนตอน check out)
Shanghai Cafe Guide
มาเข้าสู่เรื่องหลักของเราดีกว่า กระทู้นี้เราจะมาแนะนำ 8 คาเฟ่ และ 4 ร้านอาหาร ที่เราได้แวะไปลองชิมมา และอยากให้ได้ไปตามรอยกัน โดยจะแบ่งตามสถานี MRT เพื่อให้สะดวกต่อการจัดแพลนของเพื่อนๆ แล้วกันครับ
MRT Shanghai Library (Line 10 สายสีม่วงอ่อน)
1. % Arabica Shanghai Wukang Lu
หากใครเคยไปเที่ยว Arashiyama ที่เมืองเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น คงจะเคยผ่านตากับร้านกาแฟ % Arabica ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ซึ่งแบรนด์นี้ได้ขยายสาขาไปหลายประเทศ (รวมถึงกำลังจะมีสาขาที่ประเทศไทย ในอนาคตอันใกล้นี้ด้วยนะ) และสาขาแรกที่เซี่ยงไฮ้ ก็คือสาขาถนน Wukang ซึ่งเป็นร้านเล็กๆ แต่ยังคง Mood & Tone เหมือนร้านที่ญี่ปุ่นเลย ส่วนตอนนี้สาขาที่สองก็เพิ่งจะเปิดให้บริการเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา หากใครได้ไปเซี่ยงไฮ้ช่วงนี้ลองแวะกันไปได้ครับ
บรรยากาศภายในร้านยังคงตกแต่งด้วยโทนสีขาวตัดกับสีน้ำตาลของไม้
มีที่นั่งตรงเคาน์เตอร์บาร์ประมาณ 4-5 ที่นั่ง
มีเมล็ดกาแฟและของที่ระลึกของร้านขายด้วย
Matcha Latte ราคาแก้วละ 50 หยวน
ร้านเปิดทุกวัน เวลา 10.00 – 19.oo น.
การเดินทาง : MRT Shanghai Library (Exit 3) เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
MRT South Shaanxi Road (Line 1 สายสีแดง หรือ Line 10 / 12)
สถานีนี้ถือเป็นดงคาเฟ่ก็ว่าได้ อารมณ์ประมาณแถวเอกมัยที่มีคาเฟ่อยู่ปะปนกับบ้านทั่วไป มีคาเฟ่น่าสนใจรายทางเยอะแยะมาก และสามารถเดินชิลๆ ไปจนถึง Xintiandi ซึ่งเป็นย่านที่มีร้านอาหาร บาร์ ห้าง และร้านค้าให้ช็อปปิ้งได้ด้วย
2. Café Chez W, 一木家
ขอยกให้ที่นี่เป็นคาเฟ่ที่เราประทับใจที่สุดละกัน เป็นคาเฟ่ที่เราค้นเจอใน Instagram แล้วสะดุดตากับหน้าร้านและน้องแมวที่เป็นหน้าเป็นตาของร้านนี้มาก จากสถานี South Shaanxi ก็ถือว่าเดินไกลพอสมควรแต่คุ้มค่าที่จะมา ร้านเป็นบ้านสองชั้นเล็กๆ ภายในร้านมีที่นั่งทั้งสองชั้น เจ้าของร้านทำหน้าที่ทั้งดูแลร้าน บาริสต้า ทำขนม และดูแลแมว (อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ) เรียกได้ว่าเป็นทุกอย่างของทั้งร้าน และที่สำคัญเจ้าของร้านพูดภาษาอังกฤษได้
คุณเจ้าของเล่าให้ฟังว่าร้านเพิ่งเปิดมาได้ประมาณ 6 เดือน มีลูกค้าแวะเวียนมาเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนจีน เพิ่งจะมีเราที่เป็นคนไทยโผล่ไปนี่แหละ ส่วนน้องแมวที่เราเข้าใจว่าเขาเลี้ยงไว้ สรุปแล้วน้องคือ street cat ที่วนเวียนอยู่แถวร้าน แล้วเจ้าของเขาใจดีให้อาหารน้อง น้องก็เลยมาวนเวียนเสมือนเป็นบ้านของตัวเองไปแล้ว
ที่นั่งบริเวณชั้น 2 ของร้าน
ที่นี่มีทั้งกาแฟและชาเขียว เมนูเป็นภาษาอังกฤษด้วย
ส่วนเจ้าของร้านก็ทำทุกอย่างจริงๆ
มี Tote bag ของทางร้านขายด้วย
ชาเขียว ราคาแก้วละ 32 หยวน
ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 19.oo น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 1 เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที
(Search จาก Apple Map : Cafe Chex W Yimujia)
3. 17 Cafe
เราเดินผ่านร้านนี้ก่อนจะถึง Café Chez W แล้วก็สะดุดตากับการออกแบบร้าน และมารู้ทีหลังว่าที่ชั้นใต้ดินของร้านจะมีการตกแต่งเปลี่ยน Theme ไปทุก 3 เดือน เพื่อให้ลูกค้าลงไปถ่ายรูปเล่นได้ ซึ่งช่วงที่เราไปเขาได้จำลองหาดทรายมาไว้ที่ห้องใต้ดิน พร้อมพร็อบอีกมากมายให้ถ่ายรูปกันได้เพลินๆ
บรรยากาศหน้าร้าน
ชั้นใต้ดินของร้าน โพสถ่ายรูปกันได้เต็มที่
ส่วนเครื่องดื่มก็มีทั้งกาแฟ (ร้านนี้มี Flat white ให้สั่งด้วย) รสชาติก็ดีงามตามมาตรฐาน มีเมนูภาษาอังกฤษ พนักงานพูดภาษาอังกฤษพอได้ เราสั่ง Hot Latte ไป ราคาแก้วละ 28 หยวน
ร้านเปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 19.oo น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 1 เดินต่ออีกประมาณ 10 นาที (ก่อนถึง Cafe Chez W)
4. PARAS Cafe
Brunch Cafe ชื่อดัง ที่ search google ก็เจอเป็นร้านแรกๆ แห่งนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสถานี MRT South Shaanxi Road ด้วยความที่ร้านไม่ใหญ่นัก ทำให้เราต้องไปต่อคิวรอเกือบ 2 ชม. T_T แนะนำว่าถ้าจะไปควรไปตั้งแต่ร้านเปิดนะ
ชั้นล่างของร้านเป็น Counter ทำกาแฟและสั่งอาหาร
มีที่ให้นั่งต่อคิวอยู่นิดหน่อย ที่นั่งของลูกค้าจะอยู่ที่ชั้น 2
เราสั่ง Orange Blossom Latte ซึ่งเป็นเมนูพิเศษของร้านในช่วงนี้มาลองชิมดู
เป็นลาเต้ที่ราดด้วยครีมนุ่มๆ รสส้ม ก็หวานอ่อนๆ ละมุนดี
มีขนมหลายอย่างให้สั่ง น่าชิมทั้งนั้นเลย
บรรยากาศร้านชั้น 2
ร้านเปิดทุกวัน วันธรรมดา เปิด 8.30 – 20.3o น. เสาร์อาทิตย์ เปิด 9.30 – 20.3o น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 1
5. Tao Heung
ร้านติ่มซำสไตล์ฮ่องกงที่โด่งดังในเซี่ยงไฮ้ร้านนี้ ตั้งอยู่ชั้น 3 ของห้าง IAPM Mall มีเมนูทั้งติ่มซำ และอาหารจีนสไตล์ฮ่องกง ราคาก็ค่อนข้างสูง (แต่ก็ยังถูกกว่าร้านดังๆ ในฮ่องกงนะ) อาหารและการบริการดีงามตามมาตรฐาน เมนูแนะนำที่ต้องสั่งคือ หมูกรอบ ซึ่งหนังบาง กรอบ แต่เนื้อหมูนุ่มสุด ไม่ต้องจิ้มน้ำจิ้มอะไรเลยก็อร่อย แต่ข้อเสียก็คือทั้งร้านไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ เมนูไม่มีภาษาอังกฤษ มีเพียงภาพให้ชี้ + ใช้ภาษามือกับพนักงาน
ภายในร้านมีโต๊ะเยอะมาก แต่เราเข้ามาไม่นานโต๊ะก็เต็ม
แนะนำให้มาตั้งแต่ร้านเปิด
อาหารทั้งหมดที่เราสั่งวันนี้ (ไม่นับหมูกรอบที่ลงท้องไปหมดแล้ว)
ซาลาเปาไส้ไหลเยิ้ม
แค่หน้าตาดีไม่พอ รสชาติดีเกินหน้าตาไปอีก เห็นแค่รูปยังหิว
ค่าเสียหายสำหรับมื้อนี้ ประมาณหัวละ 500 – 600 บาท
ร้านเปิดทุกวัน แบ่งเป็น 2 ช่วง 9.00 – 16.00 น. และ 17.30 – 22.00 น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 6 หรือ 7 (เข้าไปในห้างได้เลย)
6. Cha’s restaurant
ร้านอาหารจีน Local ที่การันตีด้วยรางวัล Reader’s choice award ปี 2017 และยืนยันได้ด้วยปริมาณคนที่มาต่อคิวหน้าร้าน เมนูส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารจีนทั่วๆ ไป เมนูเด็ดของร้านที่ต้องสั่ง คือ ปีกไก่ทอด และ ขนมปังหน้ากุ้ง
มีป้ายรางวัลการันตีโชว์อยู่หน้าร้าน
ปีกไก่ทอดอร่อยโดยไม่ต้องจิ้มอะไร
ขนมปังหน้ากุ้ง มากันทั้งตัวเต็มๆ
ร้านเปิดทุกวัน 11.00 – 01.30 น.
การเดินทาง : MRT South Shaanxi Road Exit 4 เดินต่อประมาณ 15 นาที
(เดินตรงมาเรื่อยๆ จากทางออกสถานีจนเจอสี่แยกที่มี Line Cafe อยู่ทางด้านซ้ายมือ ให้เลี้ยวไปทางขวาประมาณ 100 เมตร)
MRT South Huangpi Road ( Line 1 สายสีแดง)
7. S.ENGINE COFFEE
เป็นอีกร้านที่เราชอบเพราะมีกาแฟหลากหลายแบบให้เลือกชิม ทั้งเมนูพิเศษที่ทางร้านครีเอทเอง กาแฟ drip และขนมเค้กหน้าตาน่ากินอีกหลายอย่าง การตกแต่งของร้านออกแนว Minimal เน้นสีเงิน/ขาว/ดำ มีจุดเด่นคือบันไดเวียนที่อยู่กลางร้าน
บริเวณเคาน์เตอร์บาร์ชั้น 1
บันไดเวียนสีดำกลางร้าน
นั่งชม barista drip กาแฟเพลินๆ
เราสั่ง Shanghai Dumpling เป็นเค้กที่ทำหน้าตาเหมือนเสี่ยวหลงเปา
และกาแฟ Cold brew ผสมพีช อร่อยมากๆ ทั้งคู่
ร้านเปิดทุกวัน 8.00 – 22.00 น.
การเดินทาง : MRT South Huangpi Road Exit 2 เดินต่ออีกประมาณ 5 นาที
MRT Jing’an Temple (Line 2 สายสีเขียว / Line 7 สายสีส้ม)
8. Aunn Cafe & Co
ขอยกให้เป็นคาเฟ่ที่ Packaging design ดีงามที่สุดในเซี่ยงไฮ้ และ (เค้าร่ำลือว่า) cold brew ของที่นี่ก็ดีงามไม่แพ้กัน (เสียดายวันนี้ดื่มกาแฟไม่ไหวแล้ว เลยไม่ได้ลอง) ร้านตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัด Jing’an เดินข้ามถนนมาก็ถึงเลย
เคาน์เตอร์เท่มาก
แก้วสวยจนต้องเก็บกลับบ้าน ส่วน Apple tart ก็อร่อยมากกกกกก
บรรยากาศภายในร้าน
ร้านเปิดทุกวัน 8.30 – 22.00 น.
การเดินทาง : MRT Jing’an Temple Exit 1
9. ORITEA
เดินต่อจาก Aunn Cafe ประมาณ 50 เมตร จะเจอกับตึก 1788 E.A.T เข้าไปในตึกก็จะเจอกับร้านชา ORITEA ซึ่งทางร้านมีคอนเซปท์ คือ Handmade Tea เหมาะกับ Tea Lover สุดๆ ส่วนเราก็ได้ลอง 2 จาก 5 เมนูขายดีของร้าน คือ Oolong tea macchiato และ Aloe lemon soda
บริเวณเคาน์เตอร์ของร้าน
มีชาสกัด (ไม่รู้เรียกถูกหรือเปล่า) ซึ่งน่าจะเลือกใบชาได้ แต่ไม่ได้สั่งมาลอง
Oolong tea macchiato และ Aloe lemon soda ที่เราสั่งมาลองชิม
ส่วนตัวชอบ Aloe lemon soda เพราะรสเปรี้ยวซ่าของมะนาวโซดาพอคู่กับว่านหางจระเข้แล้วมันเข้ากันดี
บริเวณหน้าตึก 1788 E.A.T เปิดประตูเข้าไปจะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ
ร้านเปิดทุกวัน 10.00 – 21.00 น.
การเดินทาง : MRT Jing’an Temple Exit 1
10. Din Tai Fung (Nanjing West Road)
คนไทยคงรู้จักร้านอาหารจีนร้านนี้กันเป็นอย่างดี ถามว่าทำไมต้องถ่อไปกินที่เซี่ยงไฮ้? เพราะใน tripadvisor แนะนำน่ะสิ เราก็เลยไป 555 สาขาที่ไปหาไม่ยาก เดินไม่ไกลจากสถานี Metro ด้วย ร้านสาขานี้ตั้งอยู่ในห้าง Jing’an Kerry Centre Outlet ชั้น 4 ดีงามตรงที่พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ มีเมนูภาษาอังกฤษด้วย สร้างมาเพื่อชาวต่างชาติโดยเฉพาะ เมนูส่วนใหญ่ก็คล้ายๆ กับที่ไทย แต่ที่ต้องสั่งก็คือเสี่ยวหลงเปา โดยส่วนตัวคิดว่าที่จีนรสชาติดีกว่า ส่วนราคาก็กลางๆ ตกคนละประมาณ 100 – 200 หยวน
บรรยากาศภายในร้าน
เราสั่งเสี่ยวหลงเปาหน้ากุ้งมาลอง กุ้งเต็มปากเต็มคำ น้ำซุปอร่อย
มีวิธีการกินเสี่ยวหลงเปาแนะนำให้ด้วย
ไก่ต้มเหล้า และข้าวผัดหน้าหมูทอดก็จัดว่าเด็ด
ร้านเปิดทุกวัน 10.00 – 21.00 น.
การเดินทาง : MRT Jing’an Temple Exit 6
MRT West Nanjing Road (Line 2 สายสีเขียว / Line 12, 13)
11. Starbucks Reserve Roastery
Starbucks สาขานี้ ถือเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ณ เวลานี้) ตัวร้านมี 2 ชั้น พื้นที่รวม 2,700 ตร.ม. ภายในร้านมีทั้งโรงคั่ว ที่คั่วกันให้ดูสดๆ และยังมีบาร์ที่แบ่งตามชนิดของเครื่องดื่ม มีทั้งบาร์กาแฟธรรมดา บาร์ Teavana ที่จะเป็นเมนูชา บาร์กาแฟผสมกับช็อคโกแล็ต, แอลกอฮอล์ ให้เลือกชิมกันได้หลากหลายตามกำลังทรัพย์ รวมถึงเมล็ดกาแฟและใบชาแบบต่างๆ ให้ซื้อกลับไปชงที่บ้านได้ด้วย
เข้าไปจะเจอโรงคั่วกาแฟเด่นอยู่กลางร้าน
บรรยากาศตามบาร์ต่างๆ
มีร้านเบเกอรี่ด้วย
โซน Teavana มีชา Nitro ให้สั่ง และมีชาหลายแบบให้ลองชิม
โซนนี้ขายเมล็ดกาแฟ
ร้านเปิดทุกวัน 7.00 – 23.00 น.
การเดินทาง : MRT West Nanjing Road Exit 11
MRT Wujiaochang (Line 10 สายสีม่วงอ่อน)
12. Hai Di Lao Hot Pot (สาขาห้าง SUNING)
มาเซี่ยงไฮ้ทั้งที ถ้าไม่พาไปกินชาบูหมาล่าก็เหมือนมาไม่ถึง เราขอแนะนำร้านนี้เพราะมีหลายสาขา รสชาติอร่อย ราคาไม่แพงมาก และที่ดีที่สุดคือการบริการของร้านนี้เอาไปเลยเต็มร้อย!
จาก MRT Wujiaochang เดินมาตามทางที่จะไปทางออก 5 จะเจอร้าน KFC ซึ่งอยู่ชั้นใต้ดินของห้าง เดินเข้าไปในห้างจนเจอลิฟท์ที่อยู่ด้านในสุด กดลิฟท์ขึ้นไปชั้น 5 ก็จะถึงหน้าร้านเลย
ออกจากลิฟท์ทางด้านซ้ายจะมีพนักงานรอรับคิว
ห้องทางด้านขวาเป็นห้องรับรองสำหรับลูกค้าที่มารอต่อคิว
หลังได้บัตรคิวแล้ว เดินเข้าไปนั่งรอที่ห้องรับรองลูกค้าได้เลย เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอร้านชาบูที่มีห้องรับรองนี่แหละ นั่งไปได้แปบเดียวมีพนักงานเอาขนมกรุบกรอบใส่จานมาเสิร์ฟให้ถึงโต๊ะเลยจ้า แค่นั้นไม่พอ นั่งกินจนเกือบจะหมด พอพนักงานเห็นว่าจานที่กินพร่องไป นางก็เดินเอาขนมมาเติมให้ถึงที่ แถมที่โต๊ะยังมีน้ำดื่มให้เติมได้ไม่อั้น นี่ขนาดยังไม่ได้เสียเงินให้ร้านสักบาทเดียวนะ
ขนมฟรีที่ทางร้านมีให้ตักได้ไม่อั้นระหว่างรอคิว
ที่ประทับใจไปกว่านั้นคือ เรากับเพื่อนนั่งกินขนมแล้วมีขนมอย่างนึงหน้าตาคล้ายคอนเน่ของบ้านเรา แต่มันอร่อยและเข้มข้นกว่ามาก ทำให้เราเดินไปเติมบ่อยจนแอบกระซิบกับเพื่อนว่าจะแอบเอาใส่ถุงกลับบ้าน (เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีนะ) ไม่รู้พนักงานอ่านใจเราออกหรือฟังภาษาไทยออกก็ไม่รู้ แปบเดียวนางเดินเอาขนมที่เราชอบ ห่อใส่ถุงมาให้ประมาณ 4-5 ห่อ แล้วมายื่นให้ที่โต๊ะ โดยที่เรายังไม่ได้ร้องขอใดๆ ประทับใจใน Service Mind มากๆ
ขนมที่พนักงานเอาใส่ถุงกลับบ้านมาให้
นั่งรอคิวอยู่ประมาณ 20 นาทีก็ได้เข้าไปในร้าน แทบทั้งชั้นก็คือร้านนี้เนี่ยแหละ โต๊ะเยอะมาก แต่ลูกค้าก็เยอะมากเหมือนกัน ร้านนี้ไม่ใช่ Buffet นะ ต้องสั่งเป็นอย่างๆ ไป มีทั้งหมูและเนื้อ ส่วนน้ำซุปก็เลือกได้ว่าจะเอากี่แบบ (ค่าน้ำซุปก็คิดเงินเหมือนกัน) เมนูที่นี่ไม่มีภาษาอังกฤษ พนักงานพูดอังกฤษไม่ได้ แต่พนักงานยินดีช่วยเหลือเต็มที่มาก พยายามสื่อสารกับเราสุดๆ และก็คอยดูแลเราที่โต๊ะตั้งแต่สั่งอาหาร วิธีการกิน คอยเติมน้ำ ฯลฯ ซึ่งนี่ก็ตกใจนะ ไม่คิดว่าจะเจอการบริการอะไรแบบนี้ที่จีนเหมือนกัน
เราสั่งน้ำซุปไปสองแบบ เป็นซุปหมาล่า (ซึ่งเผ็ดมาก) และซุปข้น มีหอยตลับต้มมาด้วย
ก่อนจะเริ่มกินพนักงานเอาซองพลาสติดมาให้ใส่มือถือกันเปื้อนไว้อีก ดูแลทุกเรื่องจริงๆ
น้ำจิ้มและผลไม้จะมีบาร์ให้บริการตนเองอยู่หลายจุดทั่วร้าน
สำหรับมื้อนี้กินกันอิ่ม หมดค่าใช้จ่ายไปประมาณคนละ 120 หยวน เนื่องจากพนักงานบริการดี เรากับเพื่อนเลยตั้งใจจะให้ทิปเพิ่ม แต่พนักงานไม่รับจ้า ตื๊อยังไงก็ไม่รับ (เราไม่รู้ธรรมเนียมที่นี่เหมือนกันว่าเขาคิดยังไงกับเรื่องนี้) สุดท้ายเพื่อนเลยขอถ่ายรูปคู่กับพนักงานเป็นที่ระลึก เพราะประทับใจมาก 555
ร้านเปิดทุกวัน 24 ชม.
การเดินทาง : MRT Wujiaochang Exit 5
EVERYTHING & NOTHING at YUZ Museum
ช่วงสุดท้ายนี้เราจะพาไปเดินชมงานอาร์ทดีๆ ที่ YUZ Museum ซึ่งตอนนี้มีนิทรรศการที่ชื่อว่า EVERYTHING & NOTHING ผมงานของ RANDOM INTERNATIONAL จากประเทศอังกฤษ ซึ่ง RANDOM INTERNATIONAL เป็นกลุ่มที่เริ่มก่อมาตั้งแต่ปี 2005 โดยศิลปิน คือ Hannes Koch และ Florian Ortkrass เป็นผู้จัดตั้งกลุ่ม มี concept คือ ต้องการสร้างสภาพแวดล้อมจำลองขึ้นมา เพื่อดูพฤติกรรมของมนุษย์ที่ตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมนั้น ทั้งความรู้สึกนึกคิด การรับรู้ และสัญชาตญาณที่มีต่อสภาพแวดล้อมเหล่านั้น งานนี้ถือเป็น Solo Exhibition ครั้งแรกในเอเชียของ RANDOM INTERNATIONAL ด้วย โดยจะจัดงานที่ YUZ Museum ตั้งแต่ 20 เมษายน ถึง 14 ตุลาคม 2018
หลังจากซื้อตั๋วแล้ว ก็เดินเข้าชมงานได้เลย
ห้ามพกกล้องถ่ายรูปเข้าไป แต่ใช้กล้องมือถือถ่ายรูปได้
ชิ้นงานทุกชิ้นจะเป็นงานที่เราต้องมี interactive กับงานนั้นๆ เช่น ห้องทางซ้ายมือ จะมีแผงไฟ พอเราไปยืนด้านหน้า ไฟจะติดขึ้นมาเสมือนเป็นกระจกที่สะท้อนตัวเรา เวลาเคลื่อนไหว ไฟก็จะเคลื่อนไหวเหมือนตัวเราไปด้วย ส่วนห้องด้านขวาจะมีขวดสเปรย์ กับแม่พิมพ์ ให้เราเอาแม่พิมพ์ไปทาบที่ผนังสีเขียว แล้วเอาสเปรย์ซึ่งฉีดออกมาไม่มีสีไม่มีกลิ่น ฉีดลงไปตามแม่พิมพ์ พอเอาแม่พิมพ์ออกมาก็จะเห็นเป็นรอยสะท้อนแสงตามรูปแม่พิมพ์นั้น
ส่วนห้องที่เป็นไฮไลท์ และเป็นเหตุผลที่เราอยากมางานนี้ก็คือ RAIN ROOM
ห้องนี้จะมีฝนจำลองตกลงมาทั่วห้อง เหมือนสถานการณ์เวลาที่เราเจอฝนตก เราก็มักจะวิ่งเพื่อหลบฝน แต่ห้องนี้ยิ่งเราวิ่งหลบฝน เราจะยิ่งเปียก แต่จะทำยังไงให้ตัวไม่เปียกและยืนถ่ายรูปกลางสายฝนเท่ๆ แบบเราได้ ก็ต้องลองไปชมงานนี้ดูครับ
เดินถ่ายรูปกลางสายฝนได้ โดยไม่เปียก
เปิดวันอังคาร – อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) 10.00 – 21.00 น. (เข้าได้ช้าสุด 20.00 น.)
การเดินทาง : MRT Yunjin Road (Line 11) Exit 1 หรือ 2 เดินต่ออีกประมาณ 500 เมตร
เป็นยังไงกันบ้างครับกับเซี่ยงไฮ้ในอีกมุมหนึ่งที่หลายๆ คนอาจจะไม่รู้ ว่าที่จริงแล้วเซี่ยงไฮ้ก็มีความเก๋ ความฮิป ไม่แพ้ที่อื่นเหมือนกัน ใครที่ชอบถ่ายรูป รักการเดินมิวเซียม และงานอาร์ท เซี่ยงไฮ้ก็เป็นอีกเมืองหนึ่งที่ไม่ควรพลาด ค่าครองชีพไม่ได้แพงมากเหมือนฮ่องกง หรือ ญี่ปุ่น แถมอาหารการกินก็ดีงาม เรื่องคนจีนหรือห้องน้ำที่เราหวาดกลัว เอาจริงๆ ก็ไม่ได้แย่เท่าที่คิด เหมือนบ้านเราแหละที่มีทั้งคนที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป เอาจริงๆ คนส่วนใหญ่ในเซี่ยงไฮ้ก็มีมารยาทที่ดี ไม่แทรกแถวแซงคิว (สี่วันที่เราอยู่เจอแซงคิวไม่ถึง 10 คน) ห้องน้ำตามสถานที่ท่องเที่ยวสะอาดพอใช้ได้ ห้องน้ำในห้างหรือร้านอาหารใหญ่ๆ สะอาดดีมากๆ หมดกังวลเรื่องห้องน้ำในภาพจำเก่าๆ ไปได้เลย
นอกจากนี้ยังมีอีกหลายที่ที่เราหาข้อมูลไว้ว่าน่าสนใจ แต่เวลามีจำกัดเลยไปได้ไม่หมด ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับไปอีกหลายๆ ครั้ง หรือถ้าใครมีโอกาสได้ไป ลองหาข้อมูลให้ดี จะพบว่าเซี่ยงไฮ้ไม่ได้มีดีแค่ The Bund หรือ Yuyuan Garden เท่านั้น แล้วครั้งหน้าเราจะพาไปเที่ยวที่ไหนอีก รอติดตามกันนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันครับ 🙂
Fukushima : 10 Places you must go in Autumn
เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ร่วงของญี่ปุ่นแล้ว หลายๆ คนคงมีแพลนหรือใฝ่ฝันอยากจะไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นสักครั้ง (หลายคนอาจจะอยากไปซ้ำอีกหลายๆ ครั้ง) ซึ่งเราเองก็ได้มีโอกาสไปชมใบไม้เปลี่ยนสีตามสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยว ทั้งใน Tokyo, Kyoto, Osaka แต่วันนี้เราอยากจะนำประสบการณ์ดีๆ และสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามไม่แพ้ที่อื่น และอยากให้ได้ไปลองสัมผัสความสวยงามนี้ด้วยตัวเองสักครั้ง
สถานที่ที่ว่านั่นก็คือ จังหวัด Fukushima นั่นเอง เนื่องจากเมื่อปีที่แล้วทางจังหวัด Fukushima และทางเพจ WeLoveFukushima ได้เชิญเราไปท่องเที่ยวในจังหวัด Fukushima เป็นเวลา 1 สัปดาห์ ซึ่งช่วงที่เราไปก็ตรงกับช่วงใบไม้เปลี่ยนสีพอดี บอกตามตรงว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีแพลนไปเที่ยวที่ Fukushima เลย เพราะคิดว่าคงไม่มีอะไร แต่ที่ไหนได้พอจัดทริปเข้าจริงๆ ก็พบว่ามีสถานที่ที่น่าสนใจเยอะแยะไปหมด และแต่ละที่ก็มีความสวยงามแตกต่างกันไปตามแต่ฤดูกาล เรียกได้ว่าพอกลับมาแล้ว ก็เตรียมแพลนไปซ้ำในช่วงฤดูอื่นทันที
สำหรับรีวิวนี้ เราจะรวบรวมสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสี พร้อมกับข้อมูลการเดินทางคร่าวๆ ให้ได้อ่านกันสบายๆ ส่วนใครอยากอ่านแบบละเอียดจัดเต็มหรืออยากชมรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ของจังหวัด Fukushima สามารถเข้าไปชมได้ทาง website : https://www.welovefukushima.com หรือจะเข้าไปชมที่หน้า website ของเราเองที่ http://www.porsuke.com
ถ้าพร้อมแล้ว ก็ตามมาเที่ยวกันได้เลยครับ…
Fukushima อยู่ตรงไหน?
Fukushima เป็นจังหวัดหนึ่งในภูมิภาค Tohoku ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น มีพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น คลอบคลุมพื้นที่ชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิคมากกว่า 150 กม. ลึกเข้าไปในภูเขาของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู
การเดินทาง
จาก Tokyo สามารถเดินทางไปจังหวัด Fukushima ด้วยรถไฟ Shinkansen ใช้เวลาเพียง 1 ชม.ครึ่ง โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถซื้อ JR Pass หรือ JR East Pass (Tohoku Area) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการนั่งรถไฟ Shinkansen และรถไฟของบริษัท JR ได้ ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ ทางการท่องเที่ยวจังหวัด Fukushima ได้ให้ JR East Pass (Tohoku Area) แบบ Flexible สำหรับใช้ 5 วันมาด้วย ทำให้ประหยัดค่าเดินทางได้เยอะเชียวแหละ
JR Pass หรือ JR East Pass (Tohoku Area) ต้องซื้อจากประเทศไทยก่อนเดินทาง แล้วค่อยไปแลกเป็น JR Pass ตัวจริงเมื่อไปถึงประเทศญี่ปุ่น ครั้งนี้เราขึ้นเครื่องไปลงที่สนามบิน Narita ซึ่งจุดแลก JR Pass จะอยู่ที่ชั้น B1 (JR EAST Travel Service Center) อยู่ตรงข้ามกับสถานี Narita Express โดยใช้หลักฐานการซื้อที่ได้จากประเทศไทย, Passport ของเรา และแจ้งวันที่จะเริ่มใช้ Pass ให้เจ้าหน้าที่ทราบ
จัดแผนการท่องเที่ยวยังไงดี?
เนื่องจากครั้งนี้เราไปเที่ยวในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีพอดี จึงขอแนะนำเกี่ยวกับการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Fukushima คร่าวๆ แล้วกัน
สำหรับช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Fukushima สามารถเริ่มชมได้ตั้งแต่ปลายเดือนกันยายนจนถึงต้นเดือนพฤศจิกายน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นกับสถานที่ที่เราจะไปชมด้วย ว่าจะไปชมที่ไหน ด้วยพื้นที่ของจังหวัดที่กว้าง และมีภูมิประเทศหลากหลาย ทำให้การเปลี่ยนสีของใบไม้ในแต่ละจุดจะไม่พร้อมกัน
ช่วงปลายเดือนกันยาถึงกลางเดือนตุลาคม : Bandai Azuma Skyline (Jododaira), Mount Adatara
บริเวณที่สูงบนภูเขา จะเริ่มเปลี่ยนสีก่อนจุดอื่นๆ ช่วงพีคน่าจะประมาณสัปดาห์ที่ 1 – 2 ของเดือนตุลาคม
ช่วงกลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน : เป็นช่วงเวลาที่สามารถชมได้หลายที่ แต่ถ้าเป็นที่ที่มีใบแปะก๊วย อาจจะช้ากว่าที่อื่นๆ
– กลางถึงปลายเดือนตุลาคม : Bandai Azuma Lakeline (Goshikinuma, Nakatsugawa Gorge), Bandaisan Gold Line, Aizu-Miyashita)
– ปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน : เมือง Aizu-Wakamatsu (Ouchi-juku, Tono Hetsuri, Tsuruga Castle)
สำหรับแผนการเดินทางของเรา เนื่องจากเราไปช่วงวันที่ 20-27 ตุลาคม ซึ่งแม้จะเลยช่วงพีคของ Azuma Bandai Skyline ไปแล้ว แต่ก็ยังเก็บไว้ในแพลน จึงเลือกที่จะเที่ยวในตอนบนของจังหวัด Fukushima ก่อน แล้วค่อยไล่ลงมาเที่ยวในแถบ Aizu-Wakamatsu ตามแผนดังนี้
21/10/2017 – เดินทางถึง Fukushima
22/10/2017 – Mount Adatara (ขึ้น Adatara Ropeway) *พายุเข้า ไม่ได้เห็นอะไรเลย T_T
23/10/2017 – เที่ยวในเมือง Koriyama
24/10/2017 – Azuma Bandai Skyline / Lake Line / Gold Line ไปพักที่ Aizu-Wakamaysu
25/10/2017 – Ouchi Juku / Tono Hetsuri / Tsuruga Castle
26/10/2017 – Goshikinuma / Inawashiro Lake
27/10/2017 – ชมวิวรถไฟ Tadami Line ที่ Aizu-Miyashita
รีวิวนี้เราจะไม่ได้ไล่ไปตามแพลนเที่ยวของเรา แต่จะไล่ลำดับสถานที่เที่ยวตามช่วงระยะเวลาที่ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีไล่จากเปลี่ยนก่อนไปหลังสุด เพื่อที่ว่าจะได้วางแผนเที่ยวกันได้สะดวก ส่วนจะมีที่ไหนบ้างตามไปชมกันครับ
1. Bandai Azuma Skyline (Jododaira)
เป็นเส้นทางที่คนนิยมมาชมใบไม้เปลี่ยนสีกันมากที่สุด ร่ำลือว่าถนนเส้นนี้สวยมากไม่ว่าจะมาในฤดูไหนก็ตาม ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ คือ ช่วงปลายเดือน ก.ย. – ต้นเดือน ต.ค.
จุดชมใบไม้แดงที่เป็น Highlight ของที่นี่คือที่ราบสูง Jododaira แต่น่าเสียดายที่เราไม่ได้ขึ้นไปถึงจุดนั้นเพราะวันที่ไปมีพายุหิมะเข้าพอดีทำให้ไม่สามารถขับรถขึ้นไปต่อได้ แต่วิวระหว่างทางที่ขับรถขึ้นไปก็มีจุดให้แวะถ่ายรูปได้อยู่เรื่อยๆ ขนาดช่วงที่เราไปใบไม้ร่วงไปพอสมควรแล้วแต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความสวยงาม และความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติที่รายล้อมอยู่ตลอดเส้นทางนี้
การเดินทาง : แนะนำเช่ารถขับดีที่สุดครับ เพราะสะดวกและสามารถควบคุมเวลาในการเที่ยวแต่ละจุดได้ดีกว่า
Jododaira (mapcode : 475181060*30)
แต่ถ้าไม่สะดวกขับรถก็มีรถบัสให้บริการที่หน้าสถานี JR Fukushima (รถขับไปถึง Jododaira ไม่ได้แวะจอดระหว่างทาง) สามารถสอบถามรอบรถและจุดขึ้นรถได้ที่ Tourist Information Center ที่สถานี JR Fukushima ได้เลยครับ
2. Bandai Azuma Lakeline
เป็นเส้นทางที่อยู่ต่ำลงมากว่า Skyline ขับผ่าน Lake ต่างๆ เช่น Akimoto Lake, Hibara Lake และมีจุดท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Nakatsugawa gorge, Lake Hibara และ Goshikinuma หรือบึงน้ำ 5 สี
Nakatsugawa gorge (mapcode : 937003541*44)
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ คือ ประมาณสัปดาห์ที่ 2-3 ของเดือน ต.ค.
แนะนำว่าควรขับรถไปเพราะสะดวกที่สุด (หากไม่มีแพลนเช่ารถไม่แนะนำให้มาครับ เพราะใช้เวลาเดินทางพอสมควร และรอบรถมีไม่บ่อย)
สามารถชมวิวใบไม้แดงที่มีลำธารตัดผ่านแบบในรูปด้านบนได้จากบนสะพาน แต่ถ้าใครมีเวลาแนะนำให้เดินลงไปด้านล่างครับ (ทางเดินทำเป็นขั้นบันไดไว้ให้ แต่มีทางชันเป็นบางช่วง ถ้ามีไม้เท้าไว้ใช้ค้ำยันจะปลอดภัยกว่าครับ)
จุดชมวิวบนสะพาน
ทางเดินลงไปลำธารด้านล่าง
Sanko Paradise
ขับรถจาก Nakatsugawa gorge ไม่นานนัก จบพบจุดชมวิว Sanko Paradise ที่สามารถมองเห็นทะเลสาบทั้ง 3 แห่ง คือ ทะเลสาบ Akimoto, ทะเลสาบ Onogawa และทะเลสาบ Hibara จุดสังเกตคือ จะมีรถนักท่องเที่ยวจอดแวะถ่ายรูปกันเยอะเลยครับ ตรงนี้อากาศดี วิวสวยมาก
Lake Hibara (mapcode : 413532866*06)
จุดเด่นของ Lake Hibara คือวิวทะเลสาบแบบ Panorama ที่มี Background เป็นภูเขาน้อยใหญ่ที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี ที่จุดนี้มีบริการเรือสำหรับนั่งชมวิว และสามารถเดินจากจุดนี้ไปที่ Goshikinuma ได้ (ระยะทางประมาณ 3 กม.)
การเดินทาง : จากสถานี JR Inawashiro สามารถนั่งรถบัสเส้นทางเดียวกับที่มา Goshikinuma มาลงที่ป้าย Urabandai-Kougen eki เพียงแต่รอบรถจะน้อยกว่า สามารถสอบถามรอบรถบัสได้ที่ Tourist Information Center ที่สถานี Inawashiro หรือสถานี Aizu-Wakamatsu
Goshikinuma
Goshikinuma หรือบึงน้ำ 5 สี เป็นสถานที่ชมใบไม้เปลี่ยนสียอดนิยมอีกแห่งหนึ่งของ Fukushima บึงนี้เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ Bandai ส่งผลให้เกิดบึงขนาดต่างๆ กัน และด้วยแร่ธาตุที่อยู่ตามบึงต่างๆ ส่งผลให้น้ำในบึงมีสีที่แตกต่างกันไปด้วย จุดที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวก็คือ Bishamon-numa ซึ่งเป็นบึงที่มีขนาดใหญ่สุดและมีน้ำที่สีสวยที่สุด แต่เราไม่ได้จบอยู่แค่ที่บึงแรกเท่านั้น เพราะไฮไลท์จริงๆ ของที่นี่ ก็คือการเดินชมบึงทั้งหมด ในระยะทางรวมประมาณ 3 กม. ซึ่งพอไปสุดทางก็จะไปบรรจบที่ Lake Hibara ได้
ระหว่างทางจะมีแผนที่และป้ายบอกชื่อบึงต่างๆ ให้ทราบ
การเดินทาง : จากสถานี JR Inawashiro นั่งรถบัสมาลงที่ป้าย Goshikinuma-Iriguchi มีรถออกทุก 1/2 ถึง 1 ชม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที
3. Bandaisan Gold Line
ถัดมาจาก Lakeline เข้าสู่ Gold Line มีเส้นทางเดินป่ายอดนิยม คือ Happodai ซึ่งมีความสวยงามในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และมีน้ำตก Baya-ike ให้ได้แวะชมความสวยงามกันด้วย ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาชม คือ ประมาณกลางเดือน ต.ค. ส่วนการเดินทาง แนะนำให้ขับรถมาสะดวกที่สุดครับ เพราะมีจุดสวยๆ ให้ได้แวะถ่ายรูปข้างทางตลอด
น่าเสียดายช่วงที่เราไปใบไม้ร่วงไปเยอะแล้ว
แต่ใบไม้ตามภูเขาที่เห็นได้ตลอดเส้นทางที่ขับรถยังคงสวยงามอยู่
เหลืองอร่ามสมกับชื่อ Gold Line จริงๆ
4. Adatara
Mount Adatara หรือภูเขา Adatara เป็นอีกภูเขาหนึ่งที่มีชื่อเสียงของ Fukushima และได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 100 แห่ง ของภูเขาที่ดีที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นที่เล่นสกียอดนิยมของนักท่องเที่ยวในช่วงฤดูหนาว แต่จากการหาข้อมูลมา ที่นี่ก็เป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่มีความสวยงามไม่แพ้ Mount Bandai เช่นกัน (ดูได้จากในรูปโปสเตอร์)
ช่วงเวลาที่ดีในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Mount Adatara เริ่มตั้งแต่ช่วงต้นถึงกลางเดือนตุลาคม
น่าเสียดายว่าช่วงที่เราไปมีพายุเข้าพอดี ทำให้มองไม่เห็นทัศนียภาพใดๆ บนภูเขาเลย แต่เราได้ทำรีวิวการเดินทางไว้ให้แล้วในนี้ : http://www.porsuke.com/2017/11/30/fukushima_day2/ สามารถตามไปอ่านกันได้เลย
5. Ouchi juku
ถ้าหากพูดชื่อหมู่บ้านที่มีเอกลักษณ์ และเป็นสถานที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่ได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น คงไม่พ้นหมู่บ้าน Shirakawago แต่ที่ Fukushima ก็มีหมู่บ้านน่ารักๆ และมีเอกลักษณ์ไม่แพ้กันอย่าง Ouchi juku ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิยมในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีด้วย
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ คือประมาณปลายเดือน ต.ค. ถึงต้นเดือน พ.ย.
การเดินทางก็สะดวก เพียงนั่งรถไฟจากสถานี Aizu-wakamatsu ไปลงที่สถานี Yunokamionsen แล้วต่อรถ Shuttle Bus จากสถานีไปลงที่ปากทางเข้าหมู่บ้านได้เลย
รายละเอียดการเดินทางสามารถอ่านได้จากลิงค์นี้ครับ http://www.porsuke.com/2018/04/09/fukushima_day5/
6. Tono Hetsuri
Tono Hetsuri หรือหน้าผาหินล้านปี ซึ่งเกิดจากหน้าผาหินที่ถูกน้ำในแม่น้ำ Okawa กัดเซาะ โดยใช้เวลานับล้านปีจนออกมารูปร่างหน้าตาคล้ายกับเจดีย์ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสีบรรดาใบไม้บนต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าผาต่างแข่งกันเปลี่ยนสีหลากหลาย ทั้งแดง เหลือง ส้ม สลับกันไป จัดเป็นอีก Landmark ที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของจังหวัด Fukushima ที่ไม่ควรพลาด
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสี คือ ประมาณปลายเดือน ต.ค. ถึงต้นเดือน พ.ย.
การเดินทาง : นั่งรถไฟจากสถานี Yonokamionsen ต่อไปอีก 2 สถานี ลงที่สถานี Tonohetsuri
วิวระหว่างทางสวยงามมาก อย่ามัวแต่คุยหรือกดมือถือเล่นกันล่ะ
7. Koriyama
Asaka-Kunitsuko Shrine
แม้ว่า Koriyama จะไม่ได้มีชื่อเสียงในด้านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเหมือนจุดอื่นๆ ใน Fukushima เพราะมีความเป็นเมืองค่อนข้างมาก แต่การเดินเล่นในเมือง Koriyama เพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสีก็เป็นอะไรที่น่าสนใจและเพลิดเพลินไม่แพ้กัน ซึ่งแต่ละจุดสามารถเดินมาได้จากสถานี JR Koriyama หรือจะนั่งรถบัสจากหน้าสถานีมาก็ได้
บริเวณทางเข้า Asaka-Kunitsuko Shrine ที่นี่ใบไม้เปลี่ยนสีสวยมาก ไม่เสียค่าเข้าชมด้วย
21st Century Anniversary Park สวนสาธารณะใจกลางเมือง Koriyama
ส่วนใครสนใจรีวิวเต็มๆ ของ Koriyama เชิญตามลิงค์นี้ได้เลย http://www.porsuke.com/2017/12/03/fukushima_day3/
8. Tsuruga-jo
ปราสาท Tsuruga เป็นปราสาทที่ขึ้นชื่อของเมือง Aizu-Wakamatsu ซึ่งเป็นสถานที่ที่น่ามาชมใบไม้เปลี่ยนสีเช่นกัน และที่สำคัญช่วงฤดูใบไม้ร่วงจะมีการเปิดไฟ Light-up ตั้งแต่ประมาณ 17.00 น. จนถึง 21.00 น. ด้วย
ช่วงเวลาที่ดีในการมาชมใบไม้แดง คือช่วงปลายเดือน ต.ค. – ต้นเดือน พ.ย.
การเดินทาง : จากสถานี Aizu-Wakamatsu นั่ง Classic town bus มาลงที่ป้าย A28 Kitademaru Odouri (แนะนำให้นั่ง Bus คันสีเขียว จะถึงไวกว่าครับ)
ใบไม้แดงรอบปราสาท
Light up ในยามค่ำคืน
9. Tenkyokaku
Tenkyokaku คือบ้านพักตากอากาศของเจ้าชาย Arisugawa Takehito แห่งราชวงค์ Meiji ซึ่งถูกมอบให้อยู่ในความดูแลของจังหวัด Fukushima เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1952
บ้านพักตากอากาศนี้ ตั้งอยู่บนเนินสูงติดกับ Lake Inawashiro บริเวณด้านนอกของตัวบ้านเต็มไปด้วยต้นไม้ซึ่งทยอยกันเปลี่ยนสีสวยงาม สามารถเดินถ่ายรูปเล่นรอบๆ บ้านได้ ส่วนใครอยากจะชมการตกแต่งภายในบ้าน และข้าวของเครื่องใช้ตั้งแต่สมัยโบราณที่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี ก็สามารถเสียเงินค่าตั๋วเข้าไปชมได้เช่นกัน
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสี คือ ช่วงปลายเดือน ต.ค. ถึง ต้นเดือน พ.ย.
การเดินทาง : จากสถานี JR Inawashiro นั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Nagahama (ใช้เวลาประมาณ 15 นาที) สามารถขอตารางรถบัสได้ที่ Tourist Information Center สถานี Aizu-Wakamatsu หรือ Inawashiro
10. สถานี AizuMiyashita (จุดชมวิวรถไฟ Tadami)
ปิดท้ายด้วยอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ไม่อยากให้พลาดในการมาเที่ยว Fukushima นั่นคือการมาถ่ายรูปรถไฟ Tadami Line ที่รายล้อมไปด้วยหุบเขาซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี แม้ว่าช่วงที่เรามาจะยังไม่ถึงช่วงพีค แต่ก็สวยงามคุ้มค่าแก่การมาชม
ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การมาชมใบไม้แดง : ต้นเดือน พ.ย.
การเดินทาง : นั่งรถไฟ Tadami line จากสถานี Aizu-Wakamatsu มาลงที่สถานี AizuMiyashita (ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.กว่าๆ)
แล้วต่อรถตู้หน้าสถานี (ค่าบริการ 500 เยน/ เที่ยว) ไปยังจุดชมวิว (ขากลับสามารถเดินลงมาที่สถานีได้ ระยะทางประมาณ 1.5 กม.)
จุดชมวิวที่นี่จะมีทั้งหมด 3 จุด คือ A, B และ C + D (จุดสูงสุด สามารถถ่ายรูปรถไฟได้ทั้งสองมุมในที่เดียว)
ซึ่งถ้าถามเราว่าจุดไหนควรค่ามากสุด เราแนะนำ C + D เพราะอยู่สูง เห็นวิวดีสุดๆ แต่ก็ต้องพกเลนส์ที่สามารถซูมได้พอสมควร แต่ถ้าขี้เกียจเดินหรือมีเลนส์ที่ซูมได้ไม่มาก เราว่าจุด A กับ B ก็สวยงามใช้ได้ เดี๋ยวจะเอารูปแต่ละจุดที่ถ่ายได้มาให้ชมกัน
รูปนี้ถ่ายจากจุด A จะเห็นได้ว่ารอบๆ โดยเฉพาะด้านล่าง จะมีต้นไม้บังค่อนข้างมาก
แต่ระยะอยู่ไม่ไกลจากราง ถ้ามีเลนส์ซูมหรือมา Crop รูปออก ก็พอได้อยู่
รูปนี้ถ่ายจากจุด B จะเห็นว่าค่อนข้างโปร่งมากขึ้น ไม่มีต้นไม้ด้านบนบัง
แต่ต้นไม้ด้านล่างก็ยังบังเยอะอยู่ ถ้าคนสูงๆ หน่อยหรือมีขาตั้งกล้องก็อาจจะพอหลบมุมได้
ส่วนรูปนี้ถ่ายจากจุด C ซูมสุดเลนส์ที่ระยะ 70 mm
(และ Crop ภาพอีกนิดหน่อย)ก็จะได้มุมที่สวยงามแบบนี้
แพนกล้องไปทางด้านซ้ายจะเจอวิวจุด D สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องจากรูปที่จุด C ได้เลย
(รถไฟรอบแรกจะมาถึงจุด C แล้วไป D / รอบที่สองจาก D แล้วไป C ระยะเวลาห่างกันประมาณ 10 นาที)
และทั้งหมดนี้ก็คือส่วนหนึ่งของจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีในจังหวัด Fukushima ที่เราได้มีโอกาสไปชมมา
ก็หวังว่าจะพอเป็นไอเดียให้เพื่อนๆ ได้มีตัวเลือกเพิ่มสำหรับแพลนในการชมใบไม้เปลี่ยนสีในปีนี้ หรือปีถัดๆ ไปได้อีก ขอบคุณที่แวะเข้ามาอ่าน มาเยี่ยมชมในเพจของเรานะครับ
แล้วรีวิวต่อไปจะมีอะไรมาแนะนำอีก อย่าลืมติดตามกัน
และถ้าไม่อยากพลาด Content หรือรีวิวใหม่ๆ อย่าลืมกด Like และกด See First กันด้วยนะครับ
[Fukushima Diary] Day 5 : Raining day in Aizu-Wakamatsu
ตื่นมาพร้อมกับพบว่าบรรยากาศยามเช้าที่ Aizu-Wakamatsu ครึ้มฟ้าครึ้มฝน และเต็มไปด้วยหมอก
หยิบมือถือขึ้นมาเช็คพยากรณ์อากาศวันนี้ก็พบว่าฝนกลับมาตกอีกแล้ว
แต่ก็ยังดีที่ไม่ใช่พายุ และตกแค่วันนี้วันเดียวแหละ
แอบเซ็งเล็กน้อยเพราะแพลนวันนี้มีแต่สถานที่ Outdoor และต้องเดินเป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ตามที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า แต่ก็มีแผนสำรองนั่นคือการไปหาคาเฟ่ไว้แวะเวลาฝนตก
สำหรับแพลนของ Day 5-6 ตั้งใจที่จะเที่ยวภายในเมือง Aizu-Wakamatsu และใกล้เคียง โดยงดการใช้ JR East Pass ทั้ง 2 วัน และจะเดินทางโดยใช้ Aizu Gurutto Card แทน ส่วนสถานที่ที่จะไปในวันนี้ก็คือ
- หมู่บ้าน Ouchi juku
- Tono Hetsuri
- ปราสาท Tsuruga
เราเริ่มออกเดินทางแต่เช้า เพื่อจะได้ไปให้ทันรถบัสเที่ยวแรกที่จะไปหมู่บ้าน Ouchi juku แต่ก่อนไปต้องแวะซื้อ Aizu Gurutto Card ที่สถานี Aizu-Wakamatsu ซะก่อน
สถานี Aizu-Wakamatsu ในยามเช้า
นี่คือหน้าตาของรถไฟ Aizu Railway Line จอดรอตรงชานชาลาที่ 5
จุดหมายแรกของเรา ต้องนั่งรถไฟสายนี้ไปลงที่สถานี Yunokamionsen
ข้อดีของการออกเที่ยวแต่เช้า ก็คือ รถไฟจะโล่งมาก เลือกที่นั่งได้ตามสะดวก
นี่คือหน้าตาของ Aizu Gurutto Card สามารถใช้เดินทางภายในเมือง Aizu-Wakamatsu
ได้ทั้งรถไฟ (JR, Aizu Railway) และรถบัส ได้ไม่จำกัด 2 วันติดต่อกัน ราคา 2,670 เยน
ถ้ามีแพลนจะเที่ยวในเมือง Aizu-Wakamatsu 2-3 ที่ อยู่แล้ว ใช้ card นี้คุ้มค่ามากๆ
สำหรับรายละเอียดอ่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.welovefukushima.com/fukushima-aizu-gurutto-card/
วิวข้างทางสวย ดูเพลินๆ อย่ามัวแต่หลับล่ะ
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที ก็ถึงสถานี Yunokamionsen
เป็นสถานีเล็กๆ ดูเก่าๆ มีที่ให้นั่งพักไม่มากนัก
ภายในสถานีมี Free Wifi ด้วย
ในสถานีมี Locker อยู่เท่านี้ อย่าแบกกระเป๋าใหญ่มาละกัน
เดินออกมาด้านหน้าสถานี มีป้ายบอกทางไปขึ้นรถบัสชัดเจน
แต่เรายังพอมีเวลาเหลือ กว่ารถจะมา ขอเดินสำรวจรอบๆ สถานีก่อนแล้วกัน
เดินออกจากสถานีแล้วเลี้ยวมาทางด้านขวา
จะเจอ Onsen ฟรีให้นั่งแช่เท้า อยู่ติดกับสถานี
น่าเสียดายที่วันนั้นอากาศไม่ดี แถมมีหมอกบัง
ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นใบไม้เปลี่ยนสีบนภูเขาเต็มตากว่านี้
ได้เวลาก็เดินกลับมารอรถบัสที่ป้าย
จะมีตารางเวลาเดินรถให้ดูด้วย ช่องบนสุดคือเวลาจากสถานี Yunokamionsen
ขึ้นรถไปจะมีคุณป้าเป็นกระเป๋ารถเมล์อยู่ 1 คน
บอกป้าไปเลยว่าขอซื้อตั๋ว Round trip ป้าพูดภาษาอังกฤษได้อยู่ ราคาตั๋ว 1,000 เยน
บรรยากาศบนรถ คนไม่มากเพราะเรามาเช้าวันธรรมดา
นั่งรถประมาณ 20 นาที ก็ถึงปากทางเข้าหมู่บ้านแล้ว เดินต่อเข้าไปอีกนิด
จากปากทางเข้าหมู่บ้านเดินเข้าไปประมาณ 50 เมตร จะเจอกับถนนกลางหมู่บ้าน
ที่ตัดทอดยาวไปตั้งแต่ต้นทางจนถึงบริเวณเนินเขา สามารถเดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงของหมู่บ้านได้
มีร้านค้าขายของที่ระลึก ร้านอาหาร และของกินเล่นอยู่รายทางไปเรื่อยๆ
เดินผ่านร้านนี้แล้วสะดุดตา เหมือนเห็นภาษาไทยแวบๆ
เดินเข้าไปดูใกล้ๆ…ใช่เลย สงสัยคนไทยจะมาเที่ยวกันเยอะ 555
ลองซื้อมาชิมสักชิ้น อร่อยดีนะ ชิ้นละ 120 เยน กินเพลินๆ
ด้านหน้าคือเนินเข้าซึ่งอยู่สุดทางของหมู่บ้าน สามารถเดินขึ้นไปชมวิวได้
จุดชมวิวหมู่บ้าน เสียดายที่ช่วงที่เราไปใบไม้ยังเปลี่ยนสีไม่มาก แถมอากาศยังไม่เป็นใจไปอีก
แม้จะยังไม่ถึงช่วงพีค แต่ก็มีมุมให้ถ่ายรูปได้อยู่นะ
ลองเดินออกนอกเส้นทางของหมู่บ้าน มาเจอวิวแบบนี้ถ่ายรูปเพลินเลย
เดินถ่ายรูปจนทั่วแล้ว ก็ถึงเวลาไปเที่ยวต่อ ให้เดินกลับมาขึ้นรถตรงปากทางเข้าหมู่บ้าน
แต่ให้เดินไปขึ้นรถที่ฝั่งตรงข้ามกับตอนลง
ขากลับเจอคุณป้าคนเดิม เพิ่มเติมคือโปสการ์ดที่ระลึกรูปรถแบบต่างๆ
กลับมาที่สถานี Yunokamionsen นั่งรถไฟต่อไปอีก 2 สถานี ลงที่สถานี Tonohetsuri
วิวระหว่างทางจากสถานี Yunokamionsen มาที่สถานี Tonohetsuri มันดีมาก
แนะนำให้นั่งทางฝั่งขวา (ขาไป) และฝั่งซ้าย (ขากลับ)
สถานี Tonohetsuri เล็กมาก เหมือนเป็นแค่ชานชาลามากกว่า
แต่ใบไม้รอบสถานีก็สวยงาม พอให้เดินถ่ายรูปได้บ้าง
ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ และมีทีท่าจะตกหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใช้เวลาถ่ายรูปที่นี่ได้ไม่มากนัก
ช่วงที่มาใบไม้ยังไม่พีค แถมฝนตกไปอีกน้ำเลยขุ่น เสียใจ T_T
หลังจากเดินตากฝนที่ Tono Hetsuri จนเปียกพอประมาณ ก็ได้เวลากลับมาที่ Aizu-Wakamatsu เพื่อไปคาเฟ่ที่เราแพลนไว้ และไปปิดท้ายวันนี้ที่ปราสาท Tsuruga โดยเราจะเดินทางกันด้วย Classic Town Bus (สามารถใช้ Aizu Gurutto Card ได้ครับ) ซึ่งมีรถ 2 สี เขียวและแดง เส้นทางเดินรถเดียวกันแต่ขับวน loop ต่างกัน สามารถขอ map ได้จาก Tourist Information Center ที่สถานี Aizu-Wakamatsu ได้เลย
เรานั่งรถคันสีแดง เพื่อไปลงที่ป้าย A28 Kitademaru Odouri อยู่ใกล้กับป้ายหน้าปราสาท Tsuruga ถ้าเริ่มตั้งต้นจากสถานี Aizu-Wakamatsu แนะนำให้นั่งคันสีเขียว จะใกล้กว่าครับ แต่เราเจอคันสีแดงกำลังจะออกพอดี เลยเลือกขึ้นคันนี้ นั่งอ้อมหน่อยแต่ก็ได้ชมเมืองไปในตัว
ฝั่งตรงข้ามป้ายรถบัสที่เราลงเมื่อกี้มีคาเฟ่น่ารักอยู่ร้านนึง แต่ไม่ใช่ร้านที่เราตั้งใจมา
เดินจากป้ายรถบัสมาประมาณ 500 เมตร จะเจอร้าน “Aizu Lover’s Coffee”
เป็นร้านเล็กๆ เกือบเดือนเลยไปด้วยซ้ำ เพราะรถจอดบังหน้าร้านเต็มเลย
นอกจากจะเป็นคาเฟ่แล้ว ที่นี่ยังเป็นโรงคั่วเมล็ดกาแฟด้วย
สั่งกาแฟที่เคาน์เตอร์นี้ แล้วนั่งรอได้เลย
Hot Latte ที่เราสั่งมาชิม มีเมล็ดให้เลือกหลายแบบ แต่เราให้บาริสต้าเลือกให้
รสชาติกลมกล่อม ไม่ขม อมเปรี้ยวนิดๆ ติดปลายลิ้น เหมาะกับคนที่ไม่ชอบดื่มกาแฟเข้มๆ แบบเรา
พิกัดร้าน Aizu Lover’s Coffee : https://goo.gl/maps/u7ryF2hzfuT2
หลังเติมคาเฟอีนแล้ว ก็ได้เวลาเดินไปที่ปราสาท Tsuruga กันต่อ เพราะที่นี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยมมาชมใบไม้เปลี่ยนสีกัน แต่เนื่องจากเรามาถึงที่นี่ก็เกือบเย็นแล้ว จะเข้าไปเดินในปราสาทก็คงไม่คุ้มค่าตั๋วสักเท่าไร เลยตั้งใจจะมาชม Light Up ที่จะจัดช่วงเย็นถึงค่ำๆ ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง
ระหว่างทางเดินเข้าไปที่ปราสาท มีคาเฟ่น่านั่งอยู่ด้วย แต่เน้นขายมื้อกลางวัน
ตอนเย็นจะแปลงสภาพเป็นบาร์ มีไอศครีมให้กินกรุบกริบ แต่ไม่มี Main Dish ให้สั่ง
ใบไม้แดงในเมือง Aizu-Wakamatsu ก็ยังไม่ถึงช่วงพีคเช่นกัน
อีกสักสัปดาห์น่าจะสวยกว่านี้
บรรยากาศที่ปราสาท Tsuruga ก่อนพระอาทิตย์ตก
ประมาณ 6 โมงเย็นก็เริ่มเปิดไฟแล้ว
ได้ชม Light up แบบนี้ ก็สวยงามดี คนไม่เยอะเหมือนช่วงกลางวันด้วย
บรรยากาศสวนบริเวณรอบปราสาท Tsuruga เปิดไปให้ได้ชมใบไม้แดงในยามค่ำคืน
ส่วนขากลับจากปราสาทไปที่สถานี Aizu-Wakamatsu ถ้าสะดวกสุดแนะนำให้นั่งแท็กซี่ ระยะทางไม่ไกลมากครับ แต่ถ้าไปคนเดียวแบบเรา แนะนำให้เปิด Google Map แล้วเช็คบริเวณป้ายรถเมล์ที่อยู่ใกล้ที่สุด (แต่ก็เดินไกลพอสมควรนะ) พร้อมหมายเลขรถบัสที่เราสามารถขึ้นได้ ก่อนขึ้นก็ถามคนขับสักนิดว่าไปถึง Aizu-Wakamatsu Station ไหม คนขับเขาพอเข้าใจเราได้อยู่ครับ (Classic Town Bus รอบสุดท้ายหมดก่อน 17.00 น. ถ้าจะมาชม Light up จัดสรรเวลารถให้ดีนะครับ)
หมดไปแล้วอีกวันกับการเดินเที่ยวแบบเปียกๆ เล็กน้อย (ก็ยังดีกว่าพายุในวันแรกๆ นะ) ถือว่าได้ตามแพลนที่ตั้งใจไว้ แต่ก็แอบเสียดายที่ไม่ได้รูปสวยๆ เท่าที่คิด พรุ่งนี้เราจะยังอยู่ในแถบ Aizu เหมือนเดิม แต่จะพาไปเที่ยวที่ไหนไว้รอติดตามกันนะครับ
สำหรับใครที่อยากติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ของเรา
หรืออัพเดทกระทู้ใหม่ๆ ก่อนใคร
ฝากติดตามใน Facebook Fanpage : ThirtyWander ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/thirtywander
หรือจะติดตามชมรูปสวยๆ ได้ที่ Instagram : porsuke13
[Fukushima Diary] Day 4 : ขับรถขึ้นบันได (Mount. Bandai) ใน 1 วัน
ต้อนรับเช้าวันใหม่ด้วยฟ้าหลังฝนที่สดใส
อากาศเย็นขึ้นกว่าเมื่อวานเล็กหน่อย แต่ที่ดีที่สุด คือ ไม่มีฝนตก
วันนี้เราแพลนจะขับรถไปเที่ยวภูเขา Bandai กัน
สำหรับเส้นทางในการขับรถ มี 3 เส้นทางยอดนิยม ได้แก่
- Bandai Azuma Skyline – เป็นเส้นทางที่คนนิยมมาชมใบไม้เปลี่ยนสีกันมากที่สุด ร่ำลือว่าถนนเส้นนี้สวยมากไม่ว่าจะมาในฤดูไหนก็ตาม ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการมาชมใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ คือ ช่วงปลายเดือน ก.ย. – ต้นเดือน ต.ค.
- Bandai Azuma Lakeline – เป็นเส้นทางที่อยู่ต่ำลงมากว่า Skyline ขับผ่าน Lake ต่างๆ เช่น Akimoto Lake, Hibara Lake และมีจุดท่องเที่ยวยอดนิยมอย่าง Goshikinuma หรือบึงน้ำ 5 สี
- Bandaisan Gold Line – อยู่ต่อมาจากเส้น Lakeline มีเส้นทางเดินป่ายอดนิยม คือ Happodai ซึ่งมีความสวยงามในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสี และมีน้ำตก Baya-ike ให้ได้แวะชมความสวยงามกันด้วย
แผนการเดินทางของเราที่คิดไว้ คือ เริ่มต้นที่สถานี Fukushima ขับรถไปตามเส้นทาง Bandai Azuma Skyline จนถึง Jododaira จากนั้นขับเข้า Lakeline แวะ Nakatsugawa และ Hibara Lake (ไม่ได้แวะ Goshikinuma) ไปต่อที่ Bandaisan Gold Line* (ถ้ามีเวลาเหลือ) และคืนรถที่ Aizu-Wakamatsu
สำหรับคนที่วางแผนจะขับรถวันเดียว แนะนำให้จัดแบบเราได้เลย เพราะเวลาเดินทางจะได้ไม่ต้องย้อนไปย้อนมา เนื่องจาก Bandai Azuma Skyline จะอยู่ใกล้กับ Fukushima ไปจบตรง Gold Line ซึ่งห่างจาก Aizu-Wakamatsu ประมาณ 20 ก.ม. ทำให้ไม่ต้องเดินทางย้อนกลับมาที่ Fukushima ซึ่งถ้าวางแผนแบบเราก็ต้องแวะไปนอนค้างที่ Aizu-Wakamatsu ด้วยนะ หากจะไปเช้าเย็นกลับที่ Fukushima ก็อาจจะต้องวางแผนการเดินทางและเวลาให้ดี เพราะช่วงใบไม้เปลี่ยนสีประมาณ 5 โมงเย็นก็มืดแล้ว
หรือหากใครไม่อยากเปลี่ยนที่พักบ่อยๆ การตั้งต้นและจบทริปที่ Koriyama ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดี เพราะเป็นเมืองที่อยู่กลางๆ ระหว่างสองเมืองข้างต้น การเดินทางไปทั้ง Skyline และ Lakeline ก็สะดวกทั้งคู่
แต่ถ้าจะให้ดี อยากให้แบ่งเป็น 2 วันมากกว่า วันนึงไป Skyline ส่วนอีกวันไป Lakeline + Gold Line จะได้มีเวลาเที่ยวแต่ละจุดได้อย่างเต็มที่ เพราะนอกจากจุดหมายที่เราแพลนไปแล้ว ระหว่างทางก็สวยงามมากเช่นกัน ได้แวะข้างทางถ่ายรูปกันตลอดทางแน่นอน
ลองดูซิว่าแผนที่วางไว้กับความเป็นจริงที่เจอ…จะเป็นยังไง?
สำหรับการเช่ารถขับที่ Fukushima บริเวณรอบสถานี Fukushima มีบริษัทให้เช่ารถหลายบริษัท ครั้งนี้เราเลือกใช้บริการของ Nippon Rent-A-Car เนื่องจากเปรียบเทียบราคาแล้ว ในช่วงที่เราจองเจ้านี้ราคาดีสุด และมารับรถสะดวกเพราะอยู่ทางฝั่ง East Exit ของสถานี Fukushima เดินมาแปบเดียวก็เจอเลย
รถที่เราเลือกเช่า คือ Honda Jazz ราคาค่าเช่า + ค่าประกันรถ (ยังไม่รวมค่าน้ำมัน) = 9,720 เยน / 12 ชม. (หากจองล่วงหน้า / รับและคืนรถที่สาขาเดียวกันราคาจะถูกลงกว่านี้ ) ค่าน้ำมัน (ที่ต้องเติมให้เต็มถังก่อนคืนรถ) ประมาณ 1,100 เยน รวมแล้วก็ตกประมาณ 3000 บาทต่อวัน ถ้ามากันสัก 3-4 คน เช่ารถขับแบบนี้ราคาถูกและสะดวกกว่าเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน Fukushima ครับ
ก่อนนำรถออก เจ้าหน้าที่ก็จะแนะนำเรื่องการใช้รถ การใช้ GPS และกฎจราจรในญี่ปุ่นให้เราฟังคร่าวๆ ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่เราได้มาขับรถเที่ยวในญี่ปุ่นด้วยตัวเอง เลยอยากจะมาแนะนำเกี่ยวกับการขับรถในประเทศญี่ปุ่นให้ได้อ่านกันคร่าวๆ
- ประเทศญี่ปุ่น พวงมาลัยอยู่ฝั่งขวาเหมือนประเทศไทย การขับรถ / การเลี้ยว กฎจราจรส่วนใหญ่คล้ายๆ บ้านเรา
- แต่ต้องระวังเรื่องการใช้ความเร็วในการขับขี่ ควรสังเกตป้ายจำกัดความเร็ว ซึ่งจะมีให้เห็นอยู่เป็นระยะ “ควรขับความเร็วไม่เกินที่ป้ายกำหนด” เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาครับ ซึ่งความเร็วบางทีก็ต่ำมากจนขับแล้วอาจจะรู้สึกอึดอัดไปบ้าง (ส่วนใหญ่ไม่เกิน 50 กม./ชม.) แต่ก็ปลอดภัยดี เพราะที่ญี่ปุ่นมีแยกและไฟแดงเยอะ เพื่อนเราเคยขับเร็วเกิน เจอรถตำรวจขับตามมาแล้วก็มี ถ้าไม่อยากเสียเวลาเที่ยวเพราะต้องไปสถานีตำรวจ ขับตามกฎไว้ก่อนดีที่สุด
- เวลาเลี้ยวซ้าย “ต้องรอสัญญาณไฟทุกครั้ง” และหากเลี้ยวไปแล้วมีคนกำลังจะเดินข้ามถนน ต้องหยุดให้คนเดินข้ามไปก่อน
- เวลาเลี้ยวขวา บางแยกไม่มีสัญญาณไฟเลี้ยวขวา ดังนั้น หากไฟเชียวแล้ว ให้รอจังหวะเลี้ยวได้เลย แต่ต้องให้รถที่ขับทางตรงไปก่อนเสมอ และหากเลี้ยวไปเจอคนข้ามถนน ก็ต้องหยุดให้คนข้ามไปก่อนเช่นกัน
- ห้ามแซงระยะประชิด และไม่ควรแซงซ้าย
- หากขับช้า ควรขับเลนซ้ายเสมอ
- จอดในที่ที่เขาให้จอดรถเท่านั้น อย่าจอดข้างทางสุ่มสี่สุ่มห้า และให้คอยสังเกตด้วยว่าที่จอดนั้นต้องเสียเงินค่าจอดด้วยหรือไม่ (ส่วนใหญ่สถานที่ท่องเที่ยวใน ตจว. จะมีที่จอดรถให้ฟรี)
- เวลาขึ้นทางด่วน หากไม่ได้ใช้ ETC card (คล้ายๆ Easy pass บ้านเรา) ให้เข้าช่องปกติ และรับบัตรขึ้นทางด่วนมาก่อน และจ่ายเงินที่ปลายทางตอนออกจากทางด่วน (บนทางด่วนขับได้เร็วไม่เกิน 80 กม./ชม.)
ส่วนเรื่องการใช้ GPS เราสามารถกรอกได้ทั้งเบอร์โทรศัพท์ของจุดหมายปลายทาง (ถ้ามี) หรือจะใช้ mapcode ก็ได้ ซึ่งบริษัทเช่ารถส่วนใหญ่จะมี mapcode แจกให้ ตามรูปนี้
ถ้าพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางกันได้เลย!
จุดหมายแรกของเรา คือ Jododaira (mapcode : 475181060*30) ซึ่งเป็น Hilight ของ Bandai Azuma Skyline ทางที่ขับไปช่วงแรกเป็นถนน 4 เลน ขับได้สบายๆ ขับไปประมาณ 20 ก.ม. จะเจอจุดแวะพักข้างทาง มี minimart, ร้านค้า และห้องน้ำให้แวะพักก่อนขึ้นเขา
แค่วิวรอบๆ จุดพักรถก็สวยแล้ว
มื้อเช้าของเรา
ทางขับขึ้นเขาจะเหลือ 2 – 3 เลน ยิ่งสูงก็เจอใบไม้เปลี่ยนสีเพิ่มขึ้น
แต่ก็มีต้นไม้บางส่วนที่ใบร่วงไปหมดแล้ว
มีนักท่องเที่ยวจอดรถถ่ายภาพข้างทางเป็นระยะ ถ้าไม่ขับรถมาก็น่าเสียดาย
วิวข้างทางของถนนเส้น Bandai Azuma Skyline
เราขับรถมาจนถึงประมาณ 20 ก.ม. สุดท้ายก่อนจะถึง Jododaira ก็เจอรถติดอยู่ 5-6 คัน มีเจ้าหน้าที่เดินมาแจ้งว่าวันนี้ไม่สามารถขับขึ้นไป Jododaira ได้ เนื่องจากมีหิมะตกตั้งแต่เมื่อคืนขวางถนนไว้ T_T ตอนนั้นคืออึ้งๆ ไปแปบนึงเพราะต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน แล้วก็ผิดหวังด้วยที่ไม่ได้ไป Jododaira เพราะตั้งใจจะไป trekking แต่ในเมื่อไปต่อไม่ได้ ก็เปลี่ยนแพลนไปจุดหมายต่อไปทันที
Bandai Azuma Lakeline
จุดหมายแรกของเราใน Lakeline คือ Nakatsugawa George (mapcode : 937003541*44) ระหว่างทางจาก Skyline มา Lakeline จะผ่านจุดชมวิวข้างทางจุดแรกที่ “Lake Akimoto”
จุดชมวิว Lake Akimoto
ลานจอดรถและร้านค้าที่ Nakatsugawa George
Mapcode จะไปสิ้นสุดที่สะพาน ซึ่งเป็นจุดชมวิวของ Nakatsugawa George แต่ก่อนจะถึงมีทางแยกขึ้นเนินทางด้านขวา จะเป็นลานจอดรถขนาดใหญ่ (จอดฟรี) และมีร้านอาหาร ร้านค้า เพื่อเตรียมตัวก่อนเดินไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ Nakatsugawa George
ทางเดินจากจุดจอดรถ จะเป็นทางดิน มีท่อนไม้วางทำเป็นขั้นบันได เนื่องจากเมื่อคืนฝนเพิ่งตก มันก็จะแฉะพอสมควร เวลาเดินอาจจะต้องระมัดระวัง แต่เห็นคุณลุงคุณป้าชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่หวั่น เดินลงกันเพียบเลย
ระหว่างทางเดินลงเต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี สวยงามมาก
ใช้เวลาเดินลงมาประมาณ 10 นาที ก็ถึงที่หมายของเรา
(ทางเดินช่วงสุดท้ายค่อนข้างชัน ถ้าพกไม้เท้าไปด้วยก็จะดีมาก)
Nakatsugawa George
จะเหนื่อยหน่อยก็ตอนขากลับ ที่ต้องเดินขึ้นเนี่ยแหละ
แต่ระหว่างทางก็ยังมีใบไม้สวยๆ ให้ชม
เดินขึ้นมาด้านบน เพื่อมาชมวิวจากสะพาน
วิวจากด้านบน มองลงไปเห็นลำธารด้านล่างพร้อมใบไม้เปลี่ยนสีที่ริมลำธาร สวยงามมากจริงๆ
เดินชมวิว ถ่ายรูป Nakatsugawa George แล้ว ก็ได้เวลาเดินทางกันต่อ โดยที่จุดหมายต่อไปของเราก็คือ Lake Hibara แต่เราไม่ได้รีบร้อนที่จะไปถึงจุดนั้นมากนัก เพราะระหว่างทาง มีจุดชมวิวที่สวยงามให้ได้จอดแวะอยู่เรื่อยๆ และมีร้านกาแฟ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Lake Hibara (mapcode : 413532866*06) ที่เราแพลนจะแวะด้วย
ตรงไหนมีรถจอด ก็แวะได้เลย นี่แหละความสะดวกของการเช่ารถขับ
จุดชมวิวข้างทางสวยๆ
จุดชมวิวนี้เรียกว่า “Sanko Paradise” สวยเหมือนสวรรค์เลยใช่ไหมล่ะ
ระหว่างทางไป Lake Hibara เราได้แวะไปหากาแฟดื่มตอนบ่ายที่ร้าน MOTO Cofee (พิกัดตาม Google Map : https://goo.gl/maps/fpd8KxXUhUK2) ซึ่งร้านนี้ก็เป็นอีก 1 ร้านกาแฟใน Fukushima ที่ไม่ควรพลาด
ร้านเป็นบ้านไม้ มีสองชั้น น่ารักมาก
เข้ามาด้านในจะเจอเคาน์เตอร์ สามารถสั่งกาแฟได้ตรงนี้
ภายในร้านตกแต่งด้วยไม้ และสีฟ้า ให้ความรู้สึกอบอุ่น ผ่อนคลาย
มีที่นั่งริมหน้าต่างบานใหญ่สำหรับรอกาแฟ หรือนั่งพัก
เดินขึ้นมาชั้นสอง จะเจอที่นั่งริมหน้าต่างบานใหญ่ มองเห็นวิวสวยๆ ด้านนอก
ชีสเค้กอร่อยมาก ถ้ามาแล้วต้องสั่ง
คุณ Osanai Motoki และ ภรรยา
เจ้าของร้าน MOTO Coffee ที่คอยแนะนำกาแฟและขนมอร่อยๆ
หลังได้คาเฟอีนจนตาสว่าง (มานิดนึง) ก็ขับรถไปกันต่อที่ Lake Hibara (mapcode : 413532866*06) บริเวณนี้มีใบไม้เปลี่ยนสีให้ชมบ้าง แต่วิวทะเลสาบแบบ Panorama ที่สวยงามและเงียบสงบ ทำให้เรานั่งชมวิวและรับลมหนาวอยู่ที่นี่ได้พักใหญ่
หากใครมีเวลาถ้าอยากจะนั่งเรือล่องในทะเลสาบก็มีให้บริการ
เดินข้ามถนนมาที่ฝั่งตรงข้ามกับ Lake Hibara พอมีใบไม้เปลี่ยนสีให้ได้ชมบ้าง และจากบริเวณนี้ จะมีเส้นทางเดินสำรวจ Lake ต่างๆ ซึ่งสามารถทะลุไปยังบึงน้ำ 5 สี (Goshikinuma Lake) ได้ แต่เราจะมาสำรวจเส้นทางเดินนี้ในวันต่อไป (รอตามรีวิวกันได้อีกทีครับ) ดังนั้นถึงไม่มีรถส่วนตัวมาที่ Lake Hibara ก็สามารถนั่งรถบัสมาลงได้ครับ (ใช้รถบัสสายเดียวกับที่ไป Goshikinuma แต่มีเฉพาะบางรอบที่รถจะขับเลยมาถึงที่ Lake Hibara)
ขับรถต่อไปที่จุดสุดท้ายของวันนี้ นั่นก็คือ Bandaisan Gold Line (mapcode : 413319806*03) น่าเสียดายที่เรามาถึงจุดนี้ช่วงเย็นแล้ว ทำให้มีเวลาในการเดินชมแต่ละจุดไม่มากนัก และบางจุดใบไม้เปลี่ยนสีก็เลยพีคมาแล้ว ถ้าเป็นไปได้ แยก Bandaisan Gold Line กับ Lake line มาอีกวันนึงเลย น่าจะดีกว่าครับ จะได้ไม่ต้องรีบร้อนเที่ยวกันจนเกินไป
จุดแรกของ Gold Line คือ Happoudai ซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้สีเหลือง สมกับชื่อ Gold Line
น่าเสียดายช่วงที่มาเลยพีคมาแล้ว ใบไม้ร่วงไปเยอะเลย
ถ้ามีเวลาสามารถเดินเข้าไปสำรวจด้านในได้
ระหว่างทางมีวิวสวยๆ ให้แวะจอดถ่ายรูปได้เรื่อยๆ
จาก Bandaisan Gold Line ก็ถึงเวลาต้องขับรถกลับไปที่ Aizu-wakamatsu (ระยะทางประมาณ 20 ก.ม.) เพื่อคืนรถให้ทันตามเวลาและพักที่ Aizu-wakamatsu ต่ออีก 3 คืน สำหรับการขับรถในเส้นทางนี้ สามารถขับได้ไม่ยากครับ ถึงแม้เส้นทางลัดเลาะตามเขาส่วนใหญ่จะเป็นถนน 2 เลน แต่ที่ญี่ปุ่นก็ขับรถไม่เร็ว ถนนดี ไม่ชัน ไม่มีเลี้ยวหักศอกเหมือนขับขึ้นเขาแบบบ้านเรา เพียงแค่ศึกษากฎจราจรให้ดี ขับรถความเร็วไม่เกินตามที่กำหนด (จะมีป้ายกำหนดความเร็วเตือนให้เห็นเป็นระยะ) เพียงเท่านี้ก็สามารถขับรถเที่ยวได้อย่างปลอดภัย สะดวก และสามารถควบคุมเวลาได้ง่ายกว่าไปรถสาธารณะ หวังว่ารีวิวนี้คงพอจะช่วยให้เห็นภาพและวางแผนการเดินทางเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีบนภูเขา Bandai กันได้ง่ายขึ้นนะครับ
สำหรับใครที่อยากติดตามการเดินทางทริปอื่นๆ ของเรา
หรืออัพเดทกระทู้ใหม่ๆ ก่อนใคร
ฝากติดตามใน Facebook Fanpage : ThirtyWander ด้วยนะครับ
https://www.facebook.com/thirtywander
หรือจะติดตามชมรูปสวยๆ ได้ที่ Instagram : porsuke13