Kamikochi : จุดชมวิว Japan Alps ที่ต้องไปสักครั้งในชีวิต
หากพูดถึง Japan Alps นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการไปเที่ยวชม Snow wall
ที่ Tateyama Kurobe Alpine route ซึ่งถือเป็นเส้นทางยอดนิยม โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนแบบนี้
แต่วันนี้เราจะมาแนะนำอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งสำหรับชาวญี่ปุ่นแล้ว ถือเป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยม
และเป็นจุดที่สามารถชม Japan Alps ที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่งเช่นกัน เพียงแต่นักท่องเที่ยวชาวไทย
อาจจะยังไม่ค่อยได้ไปสัมผัสบรรยากาศของที่นี่กันเท่าไรนัก นั่นก็คือ "Kamikochi"
จะสวยงามและน่าไปเที่ยวขนาดไหน ตามมาได้เลยครับ...
Kamikochi อยู่ในจังหวัด Nagano จัดเป็นสถานที่พักตากอากาศยอดนิยมของชาวญี่ปุ่น (แต่ที่พักก็ราคาโหดมากเช่นกัน)และมีชื่อเสียงในเรื่องของวิว Japan Alps ที่สวยงาม หันหน้าไปทางไหน ใช้กล้องอะไรถ่ายก็สวย
ช่วงเวลาที่ดีในการมาเที่ยว Kamikochi อยู่ในช่วงเดียวกับเส้นทาง Tateyama Kurobe Alpine route คือ ช่วงกลางเดือนเมษายน ถึงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
สำหรับการเดินทางไป Kamikochi ของเราในครั้งนี้ จัดเป็น One day trip จาก Tokyo ซึ่งจริงๆ แล้วระยะทางไกลและเสียเวลาในการเดินทางไปพอสมควร แต่เนื่องจากเวลาที่จำกัดและอยากจะได้ไปในวันที่อากาศดีจริงๆ (เพื่อให้ได้รูปสวยๆ นี่แหละ) เลยตัดสินใจพักที่ Tokyo และดูพยากรณ์อากาศทุกวัน วันไหนที่อากาศดีค่อยมา ดังนั้นถ้าใครอยากมาและถือ JR Pass อยู่แล้ว จัด One day trip จาก Tokyo ได้สบายๆ ครับ เดี๋ยวจะแนะนำรายละเอียดเรื่องการเดินทางให้ แต่ถ้าจะให้แนะนำควรพักที่ Matsumoto เพราะเดินทางไม่ไกลนัก อีกทั้งสามารถจัดอีกวันเพื่อไปเที่ยว Tateyama Kurobe Alpine route ได้ด้วย จะได้เก็บวิวจากทั้งสองที่ให้คุ้มไปเลย
เราเริ่มการเดินทางโดยออกจาก Tokyo ก่อน 6 โมงเช้า เพื่อนั่ง Shinkansen จาก Tokyo ไป Nagano ต่อรถไฟธรรมดาจาก Nagano ไปที่ Matsumoto พอถึงสถานี Matsumoto แล้ว ไม่ต้องออกจากสถานี ให้เดินไปตามป้ายที่บอกทางไปชานชาลาที่จะไป Kamikochi (ALPICO Line for Shinshimashima) ซึ่งจะเป็นรถไฟ Local ของอีกบริษัท (ไม่ใช่ JR ใช้ JR Pass ไม่ได้นะ) โดยจะนั่งไปสุดสาย คือสถานี Shinshimashima ใช้เวลาประมาณ 30 นาที (ค่าโดยสาร 700 เยน/เที่ยว)
บรรยากาศภายในรถไฟหวานเย็นขบวนนี้
ข้างทางก็มีวิวสวยๆ ให้ดูตลอด อย่าเพิ่งหลับไปก่อนล่ะ
ถึงสถานี Shinshimashima จะเจอทางออก ให้ไปซื้อตั๋วเหมาที่เคาน์เตอร์ด้านซ้ายมือก่อนออก โดยตั๋วเหมานี้ จะรวมค่ารถไฟ ALPICO Line และรถบัสไป Kamikochi ไป - กลับ ราคา 4,550 เยน (ถูกกว่าซื้อแยกหลายเยนอยู่)
ก่อนเดินออกสถานีก็ต้องแสดงตั๋วเหมานี้ และ JR Pass (หรือตั๋วรถไฟ JR ที่เราซื้อมาจากต้นทาง) ให้คุณลุงนายสถานีตรวจด้วย ออกไปปุ๊บ ก็จะเจอรถบัสที่ไป Kamikochi จอดรออยู่ พร้อมแจ้งเวลาออกรถไว้ด้วย
สำหรับเวลาในการเดินรถไฟ แนะนำให้เข้าไปดูใน www.hyperdia.com โดยเลือสถานีปลายทาง คือ Shinshimashima
ส่วนเวลาเดินรถบัสที่จะต้องใช้เพื่อจัดเวลาการเดินทาง สามารถเข้าไปเช็คได้ที่
http://www.alpico.co.jp/en/transportation/overview.php?id=4
ส่วนใครไม่ได้ซื้อ JR pass จะนั่งรถบัสตรงจาก Tokyo มาที่ Kamikochi เลยก็ได้
แต่ไม่แนะนำหากจะมา One day trip เพราะเสียเวลาเดินทางเยอะกว่า
หน้าตา Pass และโบรชัวร์แนะนำเส้นทางท่องเที่ยว Kamikochi + ตารางเวลารถบัส
คุณลุงคนขับรถมาอธิบายเส้นทางที่จะเดินทางให้ฟัง ภาษาอังกฤษดีมาก
แค่วิวด้านหน้าสถานีก็ดีงามแล้ว
บรรยากาศระหว่างทาง (อย่าหลับเลย วิวสวย)
การเดินทางด้วยรถบัสจากสถานี Shinshimshima ไปสุดสายที่ Kamikochi ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. หากใครมีคุณพ่อคุณแม่ หรือญาติที่สูงวัยไปด้วยและไม่อยากเดิน แนะนำให้ไปลงรถบัสที่ป้ายสุดท้าย ซึ่งจะไปจอดที่ Kamikochi Bus Terminal แล้วเดินต่ออีกไม่ไกลเพื่อไปจุดชมวิว Kamikochi ที่บริเวณสะพาน Kappa (Kappabashi) ใช้เวลาสักพักในการถ่ายรูป เดินชมวิว ซื้อของกินของฝาก แล้วค่อยเดินกลับไปที่ Bus Terminal เพื่อนั่งรถกลับไปที่สถานี Shinshimashima
แต่วัยรุ่น (เหรอ?) อย่างเราๆ หรือคนที่ยังแข็งแรงอยู่ อยากจะมาแนะนำเส้นทางเดินป่าระยะสั้นๆ (ประมาณ 3 กม.)
ตาม Route ที่เราได้เดินทางในครั้งนี้นี่แหละ เพราะไหนๆ ก็ได้มา Kamikochi แล้ว ยังมีอีกหลายมุมที่สวยงามให้ได้เก็บภาพสวยๆ และการเดินป่าในสภาพอากาศที่ไม่ร้อน มีแสงแดดอ่อนๆ แบบนี้ มันดีมากกกกก อยากให้ได้ไปลองสักครั้ง โดยเวลาที่ใช้เดินป่า ให้เผื่อเวลาไว้สัก 2-3 ชม. เพราะต้องเผื่อเวลา ที่จะถ่ายรูปด้วย อย่างเราเอง เดินไปได้ 5 ก้าว หยุดถ่ายรูปอีกแล้ว เพราะในทุกๆ จุดที่เดินผ่านไป มันสวยงามแบบที่ว่าพยายามหามุมถ่ายรูปมาให้ดูดียังไง ก็ยังสู้ไปเห็นด้วยตาตัวเองไม่ได้จริงๆ
Credit : Japan-guide.com
Route การเดินป่าของเรา จะเริ่มจากป้ายรถบัส Taisho Ike (เวลาอยู่บนรถพยายามฟังด้วยนะ เขาจะประกาศบอก) จุดนี้มีจุดชมวิวที่เด่นดัง ก็คือ Taisho Ike หรือ บึง Taisho จากนั้นเดินตามเส้นทางเดินป่า เลียบแม่น้ำชมวิวภูเขา Yake-dake ต่อด้วยบึง Tashiro และไปจบที่สะพาน Kappa เป็นอันสิ้นสุดการเดินป่าในเส้นทางนี้
Route : Taisho Ike bus stop --> Taisho Ike --> Tashiro Pond --> Tashiro bridge --> Kappa bridge
Taisho Ike
ชมวิวภูเขา Yake-dake
บรรยากาศระหว่างทาง
เดินต่อมาจนถึงบริเวณนี้ จะเป็นทางแยกซ้ายและขวา
ให้เดินไปทางด้านขวา เพื่อไป Tashiro Pond ก่อน
ทางเดินไม้แบบนี้ เดินตรงไปเรื่อยๆ
ถึงจุดหมายของเราแล้ว Tashiro Pond
บรรยากาศเงียบสงบ น้ำใสมาก และสีแตกต่างกับ Tasho Ike สวยไปอีกแบบ
วิวแม่น้ำ Azusa และ Japan Alps จาก Tashiro bridge
ระหว่างทางจาก Tashiro bridge ไป Kappabashi จะมีโรงแรม และร้านอาหารอยู่ประปราย ถ้าใครอยากประหยัดงบ แนะนำให้ซื้อเตรียมมาเองตั้งแต่ในเมือง เพราะราคาอาหารที่นี่แพง แต่เราขี้เกียจแบก (เพราะแค่กล้องที่แบกมาก็หนักจะแย่แล้ว) จึงต้องมาฝากท้องมื้อเที่ยงที่โรงแรม Kamikochi Lemeiesta มี Lunch Set ในราคาที่สูงประมาณหนึ่ง (พอรับได้)
มื้อเที่ยงของเรา อร่อย แต่ไม่ค่อยอิ่ม 555
ด้านหน้าโรงแรมมีต้นซากุระกำลังบานพอดี
อิ่มท้องแล้ว ได้เวลาเดินต่อ วิวระหว่างทางก็ยังทำให้ตื่นตาตื่นใจได้เสมอ
จุดสุดท้ายในการเดินป่าของเรา คือ Kappabashi หรือสะพาน Kappa
ตรงบริเวณนี้ นักท่องเที่ยวเยอะมาก ผิดกับระหว่างทางที่เราเดินมา
จุดนี้จะเป็นจุดที่เห็น Japan Alps ได้ใกล้ที่สุด
ผู้คนมากมาย จะถ่ายรูปก็ต้องหาจังหวะดีๆ
แค่ได้มาเห็นวิวแบบนี้ ก็คุ้มแล้ว
หากใครอยากซื้อขนมหรือของฝาก มีร้านขายของอยู่ใกล้ๆ กับสะพาน Kappa
การเดินทางกลับ ให้เดินจากสะพาน Kappa ไปที่ Kamikochi Bus Terminal
ให้มองหาชานชาลาที่จะกลับไปสถานี Shinshimashima (เช็ครอบรถบัสได้จากโบรชัวร์ที่ได้จากสถานี)
พอเจอชานชาลาแล้ว ให้นำตั๋วเหมาที่เราซื้อไว้ ไปยื่นตรงบริเวณช่องจำหน่ายตั๋วและแจ้งรอบรถที่จะกลับ
พนักงานจะให้บัตรคิวเรามา ให้รอพนักงานตรงชานชาลาประกาศเรียกขึ้นรถตามคิวอีกที
ไม่ต้องกังวลเรื่องจองที่ หรือแย่งที่นั่งกันนะครับ ใครได้เลขคิวก่อนก็ได้ขึ้นก่อนตามลำดับ
พอถึงสถานี Shinshimashima ก็ขึ้นรถไฟเพื่อกลับไปสถานี Matsumoto ได้เลยครับ
สรุปการเดินทางแบบ One day trip จาก Tokyo ของเรา
- ออกเดินทางจากสถานี Oimachi 5.46 น. เพื่อมาขึ้น Shinkansen ที่สถานี Tokyo ไป Nagano เวลา 6.16 น.
- เดินทางถึง Taisho Ike เวลา 10.30 น. (โดยประมาณ)
- เดินจาก Taisho Ike ไปถึงสะพาน Kappa เกือบบ่ายสาม (เรื่อยเปื่อยมาก 555)
- กลับจาก Kamikochi รอบ 15.15 น. ถึงสถานี Matsumoto 17.15 น.
- ถึง Tokyo ประมาณ 3 ทุ่ม
ถามว่าเหนื่อยมากไหม ก็ไม่มากเท่าที่คิดนะครับ เพราะเวลาเดินทางก็สามารถหลับงีบได้เป็นระยะ
หากมีเวลาจำกัดแบบนี้ ก็ไม่ยากที่จะมา Kamikochi เพียงแต่ต้องจัดเวลาดีๆ เพราะรถมีรอบน้อย
และที่สำคัญ ควรดูพยากรณ์อากาศให้ดีก่อนมา และหลีกเลี่ยงวันเสาร-อาทิตย์ และวันหยุดของคนญี่ปุ่น
Kamikochi อาจไม่ได้เป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยนัก
แต่เราตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เพราะอยากให้เห็นว่าในญี่ปุ่นก็ยังมีธรรมชาติที่สวยงาม
และมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ให้ได้มาลองสัมผัสกัน หวังว่าเพื่อนๆ ที่ได้เข้ามาชม
จะได้รับแรงบันดาลใจในการออกเดินทาง และเก็บ Kamikochi ไว้ใน Plan การไปญี่ปุ่นคราวหน้าด้วยนะครับ
แล้วไว้ถ้ามีโอกาส จะเข้ามาแนะนำที่เที่ยวใหม่ๆ ให้ได้ชมกันอีก
ขอบคุณที่เข้ามาเยี่ยมชมครับ
10 Places in Singapore which you 'MUST' Check-in.
ไปสิงคโปร์ เที่ยวไหนดี?
นี่เป็นคำถามแรกที่ผุดขึ้นมาตอนจัดทริปนี้
อาจเพราะนี่เป็นครั้งที่ 2 ของเรา สำหรับการไปเที่ยวสิงคโปร์ จึงหมดความตื่นเต้นกับการไปถ่ายรูปคู่ Merlion และอยากหลีกหนีความวุ่นวายใน Universal Singapore
แล้วถ้าไม่ไปที่เหล่านั้น จะเหลืออะไรในสิงคโปร์ให้เที่ยวล่ะ?
สำหรับคนชอบถ่ายรูป และเบื่อความวุ่นวายจากนักท่องเที่ยวอย่างเรา ทริปนี้จึงเป็นการไปเที่ยวตามสถานที่ที่น่าไปถ่ายรูปไว้ Check in อวดเพื่อน หรือถ้าจะถ่ายรูปจริงจังกว่านั้น โดยเฉพาะสาย Cityscape ก็ไปตามรอยได้ด้วยเหมือนกัน วันนี้จึงคัดมา 10 สถานที่ ที่ไหนๆ ก็จะไปสิงคโปร์อยู่แล้ว ก็ควรแวะไปถ่ายรูปฮิปๆ ซะหน่อย จะมีที่ไหนบ้าง ตามไปชมกันได้เลยครับ
1. Marina Barrage
Marina Barrage คือ เขื่อนกักเก็บน้ำขนาดยักษ์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Garden by the bay และ Marina bay sands ถือว่าเป็นจุดที่นักท่องเที่ยว และชาวสิงคโปร์นิยมมาพักผ่อ
Tips : ถ้ามาช่วงเย็น ถ่ายไปทางฝั่ง Marina bay จะย้อนแสงเต็มๆ หากจะมาถ่าย Portrait ควรพก reflex หรือแฟลชติดตัวมาด้วย
การเดินทาง : จาก MRT Bayfront สามารถเดินทะลุ Garden by the bay มาที่ Marina Barrage ได้ ระยะทางประมาณ 1.5 กม. หรือถ้าไม่อยากเดิน ให้ลงที่ MRT Marina Bay แล้วต่อรถบัสสาย 400 ไปลงที่หน้า Marina Barrage ได้เลย
2. Fort Canning Park
สวนสาธารณะขนาดใหญ่อีกแห่งห
Tips : แนะนำให้ไปแต่เช้า เพราะคนจะได้ไม่เยอะ และถ้าพกเลนส์ wide angle ไปได้ จะทำให้ได้รูปดีๆ มากกว่านี้ (เราพกไปแต่ฟิกระยะ 35 mm พยายามแล้วได้แค่นี้ T_T)
การเดินทาง : MRT Dobhy Ghaut ออกทาง Exit A เดินข้ามถนนไปจะเจออุโมงค์เ
3. MICA building
MICA = the Ministry of Information, Communications and the Arts.
ความสำคัญของตึกนี้ เราไม่รู้จริงๆ T_T
แต่ความดีงามคือสีสันภายนอก
Tips : การถ่ายรูปมุมนี้ต้องถ่ายจา
***ควรพกเลนส์ wide ไป เพื่อความสวยงามของภาพ
การเดินทาง : MRT Clarke Quay ตึกอยู่หัวมุมถนน ใกล้ๆ กับ Clarke Quay
4. Rocher Center
ตึกหลากสี สภาพคล้ายแฟลตตำรวจบ้านเรา
เป็นที่อยู่อาศัยของชาวสิงค
สามารถไปถ่ายรูปได้สบายๆ ไม่ต้องเสียเงิน (แต่ก็ควรเคารพ Privacy ของคนที่อยู่อาศัยในตึกด้วย
มุมในภาพเป็นมุมยอดนิยม คือเห็นตึกฟ้า ชมพู เหลือง พร้อมกัน ถ่ายออกมาดูเท่ดี
Tips : พกเลนส์ wide ไปเถอะ ชีวิตจะดี
การจะถ่ายมุมนี้ ถึงตึกแล้วต้องเดินต่อขึ้นม
การเดินทาง : MRT Bugis
5. Wheeler's Yard
คาเฟ่สำหรับคนรักจักรยาน ซึ่งนอกจากจะเป็นที่ชุมนุมข
ตัวร้านตั้งอยู่ในโกดังซึ่ง
Tips : ควรมาตั้งแต่ร้านเปิด เพราะคนไม่เยอะ ถ่ายรูปสะดวก มีโต๊ะนั่งสบาย
การเดินทาง : MRT Novena Exit B (ออกมาทางที่มีป้ายเขียนว่า
6. Haji Lane
Haji Lane เป็นซอยของฮิปสเตอร์ก็ว่าได้
มีความเก๋ของร้านค้า ทั้งสีสันของตึก การจัดวางสินค้า
และไฮไลท์ของที่นี่คือ street art เท่ๆ ที่มีให้เดินถ่ายรูปเล่นได้
แต่ที่เราชอบ Haji Lane มากเป็นพิเศษ เพราะมี Cafe น่ารักๆ ชื่อ Shop Wonderland ให้เราไปนั่งจิบชาเขียวอร่อ
การเดินทาง : MRT Bugis เดินไปประมาณ 500 เมตร
7. National Gallery
พิพิธภัณฑ์ที่รวบรวมงานศิลป
เพิ่งเปิดให้เข้าชมเมื่อปลา
Tips : เสียค่าเข้า 20 SGD ในพิพิธภัณฑ์ งานส่วนใหญ่สามารถถ่ายรูปได
การเดินทาง : MRT City Hall
8. ION Sky
จุดชมวิวมุมสูงของสิงคโปร์ ขึ่งตั้งอยู่บนชั้น 55 ของห้าง ION Orchard นอกจากความดีงามในเรื่องของ
Tips : มีการจำกัดเวลาขึ้น เฉพาะ 15.00 - 18.00 น. เท่านั้น และบางวันถ้ามีการจัด Event ก็จะปิดไม่ให้ขึ้นไป สามารถ Check วันได้จาก official website ของ ION sky ได้เลย
การเดินทาง : MRT Orchard เข้ามาที่ห้าง ION ให้ขึ้นไปที่ชั้น 4 เพื่อต่อลิฟท์ไปยัง ION Sky
9. Henderson wave bridge
สะพานรูปเกลียวที่เป็นแหล่ง
Tips : อย่ามาตอนเย็น เพราะคนเยอะ ถ่ายรูปไม่ได้เลย
อยากมาถ่ายรูปแบบเป็นส่วนตั
การเดินทาง : MRT Harbourfront ขึ้นรถบัสสาย 145 จากหน้าห้าง Vivocity ประมาณ 15 นาที เจอสะพานปุ๊บ ให้ลงป้ายรถเมล์ตรงสะพานได้
10. Garden by the bay
หลายคนอาจจะรู้สึกว่า "หูย ที่นี่ก็ป๊อบนี่" ใช่! ที่นี่เป็นที่ที่ mass มาก แต่เราก็อยากให้มา โดยเฉพาะการถ่ายรูป supertree ในช่วงยามเย็นถึงค่ำนี่แหละ
ส่วนสวนใน dome ทั้ง Cloud forest และ Flower dome ถ้าคิดว่าไม่ได้มีโอกาสมาบ่
Tips : พกเลนส์ wide มาเถอะ ชีวิตจะดีมาก
ส่วนที่เสียเงิน จะเสียเฉพาะ Cloud forest และ Flower dome ถ้าซื้อตั๋วหน้างาน ราคา 28 SGD แต่ถ้ามีแพลนไปเที่ยว Chinatown แวะไปซื้อตั๋วที่ร้าน Sea Wheel Travel จะเหลือราคา 18 SGD เท่านั้น
ส่วน Supertree เดินเข้าออกได้ตามสบาย มากี่รอบกี่วันก็ได้เพราะฟรีตลอด
การเดินทาง : MRT Bayfront
Effortless Cool Copenhagen
หลังจากถูกชักชวนให้มาเขียนบล็อกด้วยกัน รู้สึกดีใจและตื่นเต้นมาก เลือกอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องอะไรดี
สุดท้ายตกลงปลงใจกับ 'โคเปนเฮเก้น' เมืองที่หลงรักมากที่สุดในบรรดาทุกเมืองที่ไปเยือนมา พอได้ยินอย่างนี้แล้วก็มักจะพบกับคำถามต่อมาว่า ทำไมถึงชอบโคเปนเฮเก้น ซึ่งพยายามทุกครั้งที่จะอธิบายออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรม แต่ไม่สำเร็จสักที ที่ทำได้คงเป็นการพยายามสื่อความรู้สึกปลื้มใจต่อไปยังเพื่อนพี่น้อง อยากชักชวนทุกคนมารู้จักเมืองนี้กัน
โคเปนเฮเก้น เมืองหลวงของเดนมาร์ก หนึ่งในสมาชิกกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย แม้ว่าจะเป็นเมืองหลวงแต่ถือว่ามีขนาดค่อนข้างเล็กมาก โดยทั่วไป ทริปชาวไทยไปสแกนดิเนเวียนั้นจะเน้นหนักที่นอร์เวย์ ประเทศซึ่งมีทัศนียภาพงดงาม ฟยอร์ด แสงเหนือ พระอาทิตย์เที่ยงคืน โดยมักจะแวะผ่านโคเปนเฮเก้นกัน 1-2 วัน แต่ทริปนี้เราเน้นหนักอยู่ที่โคเปนเฮเก้นกันยาวๆ ค่ะ
เรามาถึงสนามบิน Copenhagen Kastrup กันแต่เช้า สนามบินค่อนข้างเงียบผิดกับช่วงกลางวัน วิธีการเข้าเมืองที่ง่ายและย่อมเยาที่สุดคงเป็น Metro M2 นั่งยาวถึงในเมือง เช็คอินโรงแรมแล้วเป็นอันเสร็จสรรพ พร้อมลุย
Copenhagen on Two Wheels
เรื่องการเดินทางภายในเมืองนี้ แนะนำที่สุดคือ การปั่นจักรยาน คือจิตวิญญาณของการเที่ยวเมืองนี้เลยค่ะ ที่นี่มีเลนจักรยานเกือบ 100% ผู้คนใช้จักรยานในชีวิตประจำวันแบบจริงจัง ใครรักการปั่นจักรยานอยู่แล้วจะมีความสุขมาก ช่วงแรกอาจงงกับระบบชิดขวาสักเล็กน้อย แต่ไม่นานก็ชิน สามารถหาเช่าจักรยานได้ตามสถานีรถไฟใหญ่หรือที่โรงแรมส่วนใหญ่ก็มีให้เช่าค่ะ
Cykelslangen ทางลัดสำหรับจักรยานเท่านั้น
Nyhavn, Strøget, Den Lille Havfrue and Hans Christian Andersen
เริ่มต้นทริปแต่ละเมือง ก็คงหนีไม่พ้นการเยี่ยมชมแลนด์มาร์กของแต่ละแห่ง
Nyhavn ท่าเรือที่มีบ้านหลากสีมักเป็นที่แรกที่เรานึกถึง ฤดูร้อนผู้คนออกมาเดินเล่น นั่งพักผ่อน คึกคักมากตั้งแต่เช้า เราแวะซื้อไอศกรีมและชูโรสทานระหว่างนั่งดูผู้คนไปพลาง แล้วไปเดินเล่นถนนคนเดิน Strøget กันต่อ ร้านรวงแถบนี้มีเยอะมาก ครบครันสำหรับขาช้อป ผลิตภัณฑ์เด่นประจำตำบล คือ Lego สาขานี้ร้านเล็กแต่ของเยอะ และหลายรุ่นก็หาไม่ได้ที่บ้านเรา, Royal Copenhagen เครื่องจานชาม Porcelain สีขาวลายน้ำเงินคลาสสิกในแบบเดียวกับที่ราชวงศ์เดนมาร์กใช้, Bang & Olufsen ลำโพงสวยเสียงดีสัญชาติเดนมาร์ก และอื่นๆ อีกมากมายให้เลือกชมเลือกช้อปกันตามอัธยาศัย
บ้านหลากสีที่ Nyhavn
Strøget ถนนที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนตลอดวัน
มื้อเช้าที่ Cafe Europa 1989
ร้านอาหารที่แนะนำระหว่างเดินช้อปปิ้งที่ Strøget เริ่มต้นกับอาหารเช้าที่ Cafe Europa 1989 มีมุมนั่งรับแดด มองผู้คนได้เพลินๆ มื้อกลางวันที่ A Hereford Beefstouw ร้านสเต็กอร่อย ต่อของหวานที่ Conditori La Glace ร้านขนมแห่งแรกของโคเปนเฮเก้น เปิดมาตั้งแต่ปี 1870 ที่ต้องสั่งเลยคือ Sportskage ขนมที่อยู่หน้าโบชัวร์หลักของร้าน เป็นนูกัตบดกับครีมฟูนุ่มท็อปด้วยชูเพสทรี จิบกับชาร้อนแล้วฟินสุดๆ หรือหากเป็น Chocolate Lover ก็ต้องไม่พลาด Hotel Chocolat ค่ะ
ไปต่อกันที่ Den Lille Havfrue หรือ The Little Mermaid อีกจุดท่องเที่ยวสำคัญของที่นี่ นางเงือกน้อยมีที่มาจากตัวละครดังในนิทานของ Hans Christian Andersen นักเขียนชื่อดังชาวเดนมาร์ก เนื้อเรื่องในนิทานฉบับดั้งเดิมนั้นจบแบบไม่สวยนัก ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็จบแบบเศร้าเสียมาก ส่วนตัวเลยชอบเวอร์ชั่นที่ดิสนีย์เอาไปแปลงแล้วแฮปปี้เอนดิ้งมากกว่า
Eat Like There’s No Tomorrow
เรื่องอาหารการกินเป็นอีกส่วนที่ทำให้เรารักโคเปนเฮเก้น อาหารอร่อยหลากหลายชนิดทั้งคาวหวาน ทั้งอาหารพื้นบ้านและเมนูต่างๆ จากทั่วโลก ที่ทำการบ้านมานี่กลับมาอีกกี่สิบครั้งถึงจะทานครบ !! อาหารท้องถิ่นลำดับแรกที่ต้องห้ามพลาดเลย คือ Smørrebrød ขนมปังหน้าต่างๆ ที่ต้องสั่งคือหน้าปลา Herring ทานแล้วรู้สึกว่ามาถึงถิ่นสแกนฯ แล้วจริงๆ ร้านโปรดของเราคือ Aamanns ซึ่งมีทั้งโซนร้านที่นั่งทานจริงจังแบบ Fine Dining และโซน Deli & Take Away ร้านอื่นที่แนะนำ คือ Restaurant Schønnemann ร้านโปรดของเชฟดัง René Redzepi แห่ง Noma และ Hallernes ร้านเล็กราคาย่อมเยาในตลาด Torvehallerne
สำหรับ New Nordic Cuisine โด่งดังที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Noma ซึ่งได้รับรางวัลอันดับ 1 Word’s Best Restaurant ถึง 5 ครั้ง แต่การจะกินของดีนั้นย่อมมีอุปสรรค เพราะเป็นร้านที่จองยากมาก หากจองเองในเว็บต้องกดจองทันทีตั้งแต่เวลาที่เริ่มเปิดจอง 3 เดือนล่วงหน้า แน่นอนว่าทริปนี้จึงอดไปตามระเบียบ แต่จะต้องมาซ้ำให้ได้แน่นอนค่ะ ทริปนี้เรามาลิ้มลองอาหารแบบนิวนอร์ดิกนี้ ที่ UFormel มีเมนูให้เลือกประมาณ 15 เมนู เปลี่ยนเรื่อยๆ ตามฤดูกาล แต่ขอแนะนำ 4 Courses with Wine Pairing คุ้มค่าที่สุด พืชผักท้องถิ่นนำมาปรุงพิเศษ หน้าตาดี และอร่อยแบบรู้สึกว้าวทุกจาน !! บางจานนี่มาเสิร์ฟปุ๊บ สงสัยว่าผักแบบนี้เอามาทำของหวานได้ด้วยเหรอ? แต่ผสมผสานกันออกมาแล้วดีเหลือเชื่อ ส่วนไวน์ที่เลือกมาอาจยังไม่โดดเด่นมาก แต่เข้ากันกับอาหารได้ดีจริงๆ นับเป็นมื้อแห่งความประทับใจค่ะ
นอกจากอาหารในแบบฉบับของที่นี่แล้ว ยังมีอาหารอร่อยจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งสเต็ก เบอเกอร์แบบอเมริกัน, อาหารทะเลสดๆ ไปจนถึงร้านอาหารไทยชื่อดังระดับมิชลินสตาร์ Kiin Kiin ให้ลิ้มลองกัน ถูกใจสายกินแน่นอนค่ะ
Drink Till You Drop
มาต่อกันที่สายดื่ม เมืองนี้นับว่าเป็นสวรรค์ของคนรักกาแฟและคนรักเบียร์ค่ะ เราชอบทั้งสองอย่างเลยติดใจหนักไปอีก การคั่วเมล็ดกาแฟของที่นี่จะมีลักษณะเฉพาะตัว (Nordic Roasting Style) ร้านดังของที่นี่ต้อง Coffee Collective กาแฟดี บาริสต้าเด่น ได้รับรางวัลระดับโลกมาแล้ว มี 3 สาขาให้ไปลิ้มลองกัน อีกร้านที่เราชอบมาก คือ Copenhagen Coffee Lab
ส่วนเบียร์ดังของที่นี่อย่าง Carlsberg และ Tuborg นั้น เรียกได้ว่าถูกกว่าน้ำเปล่า !! ดื่มแทนน้ำได้ มึนแต่หัววันกันเลยทีเดียว แต่ดีเด่นที่สุดคงต้องยกให้ Craft Beer ที่กระแสกำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ห้ามพลาด Mikkeller, To Øl และ Warpigs สามเจ้านี้การันตีความดีงามเลยค่ะ มีเบียร์ให้เลือกหลายสิบชนิด สำหรับรีวิวร้านกาแฟและร้านเบียร์แห่งโคเปนเฮเก้นแบบละเอียดจัดเต็ม รอติดตามบล็อกถัดไป เร็วๆ นี้แน่นอนค่ะ
Tivoli
Tivoli สวนสนุกแห่งความฝันของทุกคน แม้ว่าจะชอบหรือไม่ชอบเล่นเครื่องเล่น หากมาเดินที่นี่ก็จะมีความสุขกันแน่นอน สวนสนุกเก่าแก่อายุมากกว่า 100 ปี พื้นที่ไม่ใหญ่โตแต่มีครบครัน สวนสวย ขบวนพาเหรด ร้านอาหารหลากหลาย เครื่องเล่นทั้งแบบผาดโผนและแบบน่ารัก มีอีเวนต์หรือคอนเสิร์ตจัดกันบ่อยๆ ช่วงที่เรามาเป็นช่วง Jazz Festival ก็มีวงดนตรีมาเล่นขับกล่อมเพลิดเพลินใจทุกวัน ราคาค่าเข้า 110 DKK ค่าเครื่องเล่นแบบ Unlimited 220 DKK หากใครที่คิดว่าจะเล่นเครื่องเล่นผาดโผนมากกว่า 3 อัน แนะนำให้ซื้อแบบนี้ค่ะ คุ้มสุดๆ เครื่องเล่นเด่นก็คือ Rutschebanen รถไฟเหาะรางไม้แบบคลาสสิก แต่สำหรับขาโหด หวาดเสียวสุดๆ ต้องเป็นรถไฟเหาะ The Demon และ เครื่องบิน Vertigo
Copenhagen Jazz Festival
เทศกาลแจ๊ซที่นี่นับเป็นอีกงานที่มีชื่อเสียงระดับโลก จัดทุกเดือนกรกฎาคมของทุกปี รวมเวลาทั้งหมด 10 วัน ช่วงที่จัดจะเป็นช่วงฤดูร้อน อากาศดีมากและผู้คนคึกคัก ในหนึ่งวันจะมีโปรแกรมยาวเหยียด เป็นแจ๊ซหลากหลายแนว เลยไปจนถึง Soul, Funk, Groove Venue ก็มีหลากหลายทั้งแบบจริงจังในฮอลล์ใหญ่ ดนตรีในสวน ขบวนพาเหรด วงเล็กๆ ตามร้านกาแฟ บาร์แจ๊ซ ตลาด หรือถนนคนเดิน เรียกได้ว่ามีทุกมุมเมือง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ สำหรับปี 2016 นี้ นักดนตรีมีชื่อที่มาร่วมงานนี้ โดดเด่นที่สุดก็คือมือกีตาร์ชาวอเมริกัน Pat Metheny บัตรขายหมดเร็วมาก ส่วนนักดนตรีคนอื่นๆ แม้เราจะไม่รู้จักแต่ก็ดูรายละเอียดจาก Application Jazz.dk ได้ว่าขณะนี้รอบตัวเรามีวงไหนเล่นอยู่บ้าง ห่างไปกี่กิโลเมตร เล่นแนวไหนอย่างไร ชมฟรีหรือมีค่าบัตร รวมทั้งเข้าไปดูคลิปของแต่ละวงก่อนได้ คอแจ๊ซควรต้องหาโอกาสมาสักครั้งค่ะ
หากไม่ได้มาช่วงที่มีเทศกาล ขอแนะนำให้แวะเที่ยว La Fontaine แจ๊ซบาร์เก่าแก่ที่สุดของโคเปนเฮเก้น มีวงดนตรีเล่นทุกคืนวันศุกร์และเสาร์, Jazzhus Montmartre แจ๊ซคลับเก่าแก่ที่มีนักดนตรีระดับตำนานเคยมาเล่นแล้วมากมาย และ Mojo Blues Bar ร้านนี้ดนตรีจะหลากหลายแนวกว่า มีเล่นทุกวันค่ะ
When Design Matters
อย่างที่เราทราบกันดีว่าประเทศแถบนี้ขึ้นชื่อเรื่องการออกแบบที่มีลักษณะเฉพาะตัว เรียบง่ายแต่ดูดี คือคำจำกัดความของสแกนดิเนเวียนสไตล์ ตึกสวยที่แนะนำให้ไปเยี่ยมชม คือ Den Blå Planet อะควาเรี่ยมสวย ภายนอกดูคล้ายน้ำวน เปิดใหม่เมื่อปี 2013, Cirkelbroen สะพานข้ามคลองรูปวงกลมที่เปิดใหม่ในปี 2015 นอกจากดีไซน์สวยแล้ว ยังเป็นจุดแวะพักผ่อนริมแม่น้ำ ฝั่งตรงข้ามมองไปเห็นอีกตึกสวย The Black Diamond ด้วย
หรือหากนั่งรถไฟออกไปชานเมืองสักเล็กน้อย มี Gallery ใหญ่ Lousiana Museum of Modern Art สวยงามทั้งดีไซน์ และ Exhibition ของที่นี่ก็จัดได้ดีมาก สำหรับเฟอนิเจอร์และของใช้จิปาถะนั้นมีให้เลือกซื้อเยอะมากค่ะ พุ่งตรงไปยังช็อปของแต่ละยี่ห้อได้เลย แต่หากยังไม่มียี่ห้อในดวงใจ แนะนำเดินชมที่ Illums Bolighus ที่ถนนคนเดิน Strøget เป็นร้านรวมเฟอนิเจอร์มากมายหลายยี่ห้อให้เลือกซื้อกัน ใครโปรดปรานดีไซน์แบบนี้ก็เตรียมตัวเจ็บหนักกันได้เลยค่ะ
Tips & Tricks
- การเดินทางวิธีอื่นนอกจากจักรยานนั้น คือ Metro และ Bus ระบบของที่นี่คือ ขึ้น 1 ครั้งภายใน 2 โซน จะใกล้หรือไกล คิดราคาเท่ากันหมดคือ24DKK ดังนั้นถ้าใช้บริการวันละ 3-4 ครั้งขึ้นไป แนะนำซื้อ Day Pass (มีแบบ 1, 3 และ 7 วัน) จะคุ้มกว่าค่ะ
- เครื่องขายตั๋วหลายแห่งมีแต่เครื่องที่รับเฉพาะบัตรเท่านั้น ไม่มีที่ให้ใส่เงินสดเลย แนะนำพกติดตัวไว้อุ่นใจ ดีที่สุดคือบัตรเดบิตที่มี Chip และ PIN Code เนื่องจากบัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมอัตราแลกเปลี่ยนและบางแห่งมีชาร์จค่ารูดบัตรเพิ่มเติมด้วย
- ส่วนหนึ่งที่สินค้าในละแวกนี้ค่อนข้างแพง เนื่องจากมีค่า VAT ถึง 25% !! ดังนั้นการซื้อสินค้าจากที่นี่หากหักลบกับ Tax Refund ที่จะได้คืนแล้ว อาจแพงกว่ายุโรปอื่นๆ ไม่มากนักค่ะ อย่าลืมทำ Tax Refund ก่อนออกจากเดนมาร์ก เคาเตอร์ Global Blue อยู่ที่ Terminal 2 อย่าลืมเผื่อเวลาเนื่องจากบางช่วงคิวยาวพอสมควร
Useful Websites/Books
- VisitCopenhagen เว็บท่องเที่ยวทางการของโคเปนเฮเก้น ละเอียด แนะนำได้ดี และร้านอาหารที่เลือกมาแนะนำค่อนข้างเชื่อถือได้มาก
- Mad About Copenhagen รูปสวยจากคาเฟ่น่ารัก อาหารอร่อยทั่วทุกมุมเมืองให้เราไปตามรอย
- AOK.DK เว็บรีวิวคาเฟ่และร้านอาหารในเดนมาร์ก มีการจัดอันดับร้านยอดฮิตของแต่ละปี
- Lonely Planet ยังคงเป็นหนังสือที่มีข้อมูลจำเป็นละเอียดครบถ้วน
- Citix60 Copenhagen 60 สถานที่แนะนำจากศิลปิน 60 คน คำแนะนำเชิงลึกแบบฉบับคนท้องถิ่น
- Copenhagen Style Guide พิกัดร้านรวงน่ารัก ทั้งในหมวด Eat, Sleep, และ Shop
9h Narita Airport - โรงแรมแคปซูลในสนามบิน Narita
เพื่อนๆ ที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น โดยเฉพาะ backpacker ที่ต้องการประหยัดงบ
อาจจะประสบปัญหากับเที่ยวบินที่ไปถึงสนามบินดึกๆ บ้าง หรือไม่ก็ไฟล์ทกลับออกแต่เช้าตรู่
ทริปโตเกียวเที่ยวก่อน ผมก็เจอปัญหานี้เหมือนกันครับ เพราะต้องบินกลับไฟล์ทเช้าประมาณ 9 โมง
ถึงสนามบินอย่างช้าก็ไม่ควรเกิน 7 โมง ลองคิดดูสิว่าต้องตื่นนอนมาอาบน้ำแต่งตัวกันตั้งแต่กี่โมง
ไหนจะรถไฟรอบเช้า ที่ส่วนใหญ่เริ่มวิ่งกันประมาณ 6 โมง กว่าจะมาถึงสนามบินคงไม่ทัน
ผมจึงมองหาที่พักใกล้สนามบิน Narita แล้วก็ไปเจอกับ 9h (อ่านว่า nine hours)
ซึ่งเป็นโรงแรมแคปซูลที่ตั้งอยู่ในสนามบิน Narita เลย
ก่อนหน้านี้ผมเคยได้ยินชื่อของ 9h มาก่อน แต่เป็นโรงแรมแคปซูลที่เกียวโต
เคยมี plan จะไปลองพักดูเหมือนกัน เพราะชอบการออกแบบและสไตล์ของโรงแรมที่ดู minimal ดี
แต่ก็ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปลองสักครั้ง (เพราะสงสารเพื่อนร่วมทริปที่จะต้องมาลำบากตรากตรำด้วย)
จนคราวนี้นี่แหละ ได้โอกาสเหมาะ เลยไปลองสักทีเพราะทำเลของโรงแรมนี้คือดีมาก
ดี เพราะมันตั้งอยู่ใน Terminal 2 ของสนามบิน Narita เลย
เวลานั่ง Narita Express หรือ Keisei line ก็ลงสถานี Narita Terminal 2
เดินมาทางออกจะมีป้ายของโรงแรมบอกทางอยู่เรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวหลงเลยครับ
เข้ามาถึงก็จะเจอล็อบบี้สีขาวล้วน สบายตา และมีพนักงานต้อนรับรอเราอยู่
จากล็อบบี้ ก็จะมีประตูทางเข้าแยกฝั่งชาย - หญิง เปิดเข้ามาก็จะเจอล็อกเกอร์เรียงกันเป็นแถว
ล็อกเกอร์สูงและกว้างพอที่จะใส่กระเป๋าเดินทางได้
ตรงจุดนี้จะเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บสมบัติก็จัดการให้เรียบร้อย
เดินทะลุไปก็จะเป็นห้องน้ำ และห้องอาบน้ำ (ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูนะ)
ในส่วนของ Capsule นั้น นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้นอนเหมือนกัน
ก็กว้างขวาง นอนสบายใช้ได้อยู่นะครับ แต่ถ้าเป็นคนตัวใหญ่อาจจะอึดอัดหน่อย
ใน Capsule มีความเก๋ตรงที่สามารถเปิดเสียงเพลง เสียงทะเล หรือเสียงนกร้อง
เอาไว้กลบเสียงกรนของ Capsule ข้างเคียง หรือเปิดไว้กล่อมนอนก็ได้
แถมมีปลั๊กไฟไว้ให้ชาร์จแบตได้ด้วย
สำหรับค่าที่พัก แบ่งตามนี้ครับ
1. พักเหมาเป็นวัน (check-in 12.00 น. check-out ก่อน 10.00 น. ของวันถัดไป) ราคา 4,900 เยน
2. พักชั่วคราว (คิดเป็นชั่วโมง) ราคา 1,500 เยน/ชม. (ให้บริการแบบนี้เวลา 9.00-18.00 น.)
3. แวะมาอาบน้ำอย่างเดียว ราคา 1,000 เยน สามารถมาใช้บริการได้ตลอด 24 ชม.
ใครสนใจเข้าไปจอง หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ninehours.co.jp/en/narita
Sailor Moon Exhibition : นิทรรศการที่สาวกเซเลอร์มูนต้องห้ามพลาด!
หากพูดถึงวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่เข้าถึงคนไทย และคนทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
สิ่งแรกที่นึกถึงก็คือ การ์ตูน หรือ มังงะ (ในภาษาญี่ปุ่น) ซึ่งถือเป็นวัฒนธรรมที่ทำรายได้ให้ญี่ปุ่นอย่างมาก
อีกทั้งยังสร้างแรงบันดาลใจ และความฝันให้เด็กหลายๆ คน (รวมถึงเราด้วย) อยากจะไปญี่ปุ่นให้ได้สักครั้ง
ซึ่งการ์ตูนที่เรียกว่าเป็นขวัญใจตลอดกาล และเป็น Symbol ของญี่ปุ่นไปแล้ว เช่น โดราเอมอน, Hello Kitty
Dragon Ball, One Piece เป็นต้น
แต่การ์ตูนผู้หญิง ที่โด่งดังมากในยุค 90 และตราตรึงในความทรงจำของใครหลายๆ คน
คงจะเป็นเรื่องอื่นไปไม่ได้ นอกจาก "เซเลอร์มูน" เพราะการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ใช่เฉพาะผู้หญิง
(และเก้งกวางทั้งหลาย) เท่านั้นที่ชอบดู แต่ผู้ชายหลายคนก็ดูด้วย (ดูเฉพาะฉากแปลงร่างหรือเปล่าไม่รู้)
ไม่น่าเชื่อว่าการ์ตูนเรื่อง เซเลอร์มูน จะครบรอบ 20 ปีแล้ว
ในปีนี้ที่ประเทศญี่ปุ่น จึงได้จัดนิทรรศการที่ชื่อว่า
"The Exhibition of Pretty Guardian Sailor Moon" ขึ้นมาเฉลิมฉลองในโอกาสนี้
ซึ่งในงาน จะมีการรวบรวมผลงานการเขียนการ์ตูนเรื่องนี้ทั้งหมดตลอด 20 ปี ของ อ. Naoka Takeuchi
ตั้งแต่ draft แรก จนกระทั่งเสร็จสมบูรณ์ ทั้งในแบบ comic และ animation,
คฑาของเซเลอร์มูน, Model, หนังสือการ์ตูนฉบับแปลภาษาต่างๆ และ Poster
โดยนิทรรศการนี้จัดขึ้นที่ Roppongi Hills ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน ถึง 19 มิถุนายน 2559
เป็นจังหวะพอดีที่คราวนี้ เราได้ไปโตเกียวในช่วงที่มีนิทรรศการพอดี จึงนำภาพบางส่วนในงานมาให้ได้ชมกัน
นิทรรศการจัดที่ชั้น 52 ของ Roppongi Hills
ซึ่งบริเวณนี้เป็นจุดชมวิวเมือง Tokyo และ Tokyo Tower ที่สวยงามอีกจุดหนึ่ง
เดินเข้ามาด้านใน บริเวณโดยรอบมีการตกแต่งด้วยโปสเตอร์ของเซเลอร์ต่างๆ
ใครอยากเก็บภาพโปสเตอร์พวกนี้ ตอนท้ายงานมีโปสการ์ดให้ซื้อเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันได้
มีแบ็คดรอปให้ถ่ายรูปคู่กับเซเลอร์มูนด้วย
หรือถ้าใครอยากถ่ายรูปคู่กับแบ็คดรอปของเซเลอร์ทั้ง 5 แบบนี้
(ภาพจาก www.tiewyeepoon.com)
เชิญต่อคิวได้เลยครับ (คิวยาวอยู่เหมือนกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าเสียเงินไหม)
เราเลยถ่ายมาได้แค่ด้านหลัง 555
มีคฑาของเซเลอร์มูนมาโชว์ด้วย
Comic และ Model ของเซเลอร์ต่างๆ
ในส่วนของนิทรรศการ ประมาณ 90% ห้ามถ่ายรูป
แต่ถ้ามีโอกาสได้มาดูของจริง จะฟินมากครับ (ขนาดคนที่ไปด้วยไม่ใช่แฟนตัวจริงยังตื่นตาตื่นใจเลย)
เพราะมีโปสเตอร์สวยๆ ทั้งเวอร์ชั่นญี่ปุ่นและต่างประเทศ อีกทั้งได้เห็น story board ที่เป็น draft แรกๆ
ที่อาจารย์ Naoka เขียนไว้ เรียกได้ว่านิทรรศการนี้ exclusive กันสุดๆ
น่าเสียดายที่นำภาพมาให้ชมกันได้แค่บางส่วนเท่านั้น
เดินออกมาจากนิทรรศการแล้ว ถ้ายังไม่หนำใจพอ
เดินไปต่อคิวที่ cafe หน้านิทรรศการกันต่อได้เลยครับ
เพราะช่วงนี้ทาง cafe ได้จัดทำเมนูพิเศษ ตกแต่งให้เข้ากับ Theme เซเลอร์มูน
ให้สาวๆ (หรือจะหนุ่มๆ ก็ได้) ถ่ายรูปอาหารและขนมหน้าตาสวยๆ ไว้แชร์ให้เพื่อนๆ ได้ดูกัน
แต่ขอเตือนว่าให้รีบไปต่อคิวนะ เพราะคิวยาวมาก (ไม่เหมาะกับคนที่ขี้เกียจรอแบบเรา)
เพื่อนๆ คนไหนที่สนใจอยากมาชมนิทรรศการเซเลอร์มูน
รีบกันหน่อยนะครับ เพราะเหลืออีกเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น
การเดินทางมาที่ Roppongi Hills ก็ไม่ยากครับ
นั่ง Subway Tokyo Metro Hibiya Line มาลงที่สถานี Roppongi
ออกทาง Exit 1C เดินออกมาจะเจอกับ Roppongi Hills เลยครับ
ค่าเข้าชม 1,800 เยน (สามารถเข้าชมในส่วนของ Mori Art Museum ได้ด้วย)
Sky Deck
ไหนๆ ก็มาถึง Roppongi Hills แล้ว ถ้าไม่ขึ้นไปชมวิวเมืองโตเกียวบน Sky Deck ก็เหมือนมาไม่ถึง
เพราะการชมวิวในชั้น 52 นั้น มันยังไม่จุใจพอสำหรับคนชอบถ่ายรูปอย่างเรา
เพียงคุณเพิ่มเงินอีกแค่ 500 เยน เพื่อขึ้นไปชมวิวที่ดาดฟ้าของตึก หรือที่เรียกว่า Sky Deck นั่นแหละ
แล้วคุณจะได้พบกับวิวสวยๆ แบบนี้ . . .
แนะนำเพิ่มอีกนิดว่า ถ้ามาในช่วงเย็น-ค่ำ จะได้เก็บภาพทั้งกลางวันและกลางคืน
เพราะวิวตอนกลางคืน ก็สวยงามไม่แพ้กันครับ
ย่ำหิมะ ท้าลมหนาว ที่ Moerenuma Park
ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นได้ให้ Free Visa กับนักท่องเที่ยวชาวไทย
จะเห็นได้ว่าคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นเยอะขึ้นมากกกกกกกก
หลายๆ คนก็ไม่ได้ไปแค่รอบเดียว ไปแล้ว ไปอีก (แบบผมเป็นต้น แฮะๆ)
จนสุดท้าย เริ่มเบื่อกับการไปเที่ยวตามสถานที่ซึ่งเป็น Landmark ต่างๆ
ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่เริ่มเบื่อกับการไปตาม Landmark ดังๆ เลยเริ่มเสาะหาสถานที่ใหม่ๆ ที่น่าสนใจ
และยังไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวไป จุดประสงค์หลักก็เพื่อหาสถานที่ถ่ายรูปสวยๆ นี่แหละ
จังหวะพอดีกับการวางแผนทริป Hokkaido หน้าหนาวครั้งนี้
บอกตามตรงว่าไม่รู้จะไปเที่ยวตรงไหนใน Sapporo บ้างดี เพราะครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ได้ไป
(แต่เป็นครั้งแรกสำหรับหน้าหนาว...ที่หนาวโคตรๆ) เลยลองเปิดเว็บบ้าง Guide book บ้าง
จนได้เจอกับสถานที่ในฝันสำหรับคนชอบถ่ายรูป และไม่ชอบความพลุกพล่านวุ่นวาย นั่นก็คือ Moerenuma Park
Moerenuma Park เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่อยู่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง Sapporo
สร้างโดยการถมขยะลงในหนองน้ำขนาดใหญ่ โดยถมเฉพาะตรงกลาง ให้มีน้ำอยู่ล้อมรอบ
รวมพื้นที่สวนทั้งหมด ประมาณ 1,200 ไร่เลยทีเดียว ซึ่งผู้ออกแบบสวนแห่งนี้ คือ Isamu Noguchi
ที่ได้เริ่มออกแบบไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1988 และได้เสียชีวิตในปีนั้น (ก่อนที่สวนจะเริ่มก่อสร้าง)
แต่การก่อสร้าง ก็ได้ทำตามแบบที่ Isamu Noguchi ออกแบบไว้ และทยอยเปิดให้เข้าใช้ได้ทีละส่วน
จนสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ค.ศ. 2005
How to go ?
- นั่ง Subway Toho Line จากสถานี Sapporo ไปลงที่สถานี Kanjodori higashi
- ออกจากสถานีทาง Exit 2 (มีป้ายบอกให้ไป Bus Terminal) ถึงทางออกให้เดินมาทางด้านขวาประมาณ 50 เมตร จุดขึ้นรถบัสจะอยู่ทางด้านขวามือ
- นั่งรถบัสสาย 69 หรือ 79 ก็ได้ ไปลงที่ป้าย Moerenumakoen higashiguchi ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชม. (เวลานั่งให้ฟังดีๆ เพราะเสียงประกาศชื่อป้ายจะเบาและพูดเร็ว) ค่ารถ 210 เยนตลอดสาย
ป้ายรถบัส Moerenumakoen higashiguchi
ลงจากรถมา จะเจอทางเข้าสวน (ป้ายสีน้ำเงิน) อยู่ทางซ้ายมือ
ขากลับ ให้ข้ามมารอรถบัส (สาย 69 หรือ 79 ก็ได้) ตรงป้ายรอที่มีตู้โค้กสีแดงๆ
บริเวณหน้าทางเข้า มีต้นไม้เต็มไปหมด ถ้ามาฤดูร้อนคงเขียวชอุ่ม สดชื่นน่าดู
ทางเดินเข้ามาเต็มไปด้วยหิมะ เดินระมัดระวังกันด้วยนะครับ เพราะลื่นมาก
จุดแรกที่เข้ามาแล้วจะเจอเลย ก็คือ ภูเขา Moere ซึ่งเป็นเนินเขาเล็กๆ ที่อยู่ในบริเวณสูง
ด้วยความสูงประมาณ 62 เมตร ทำให้สามารถเดินขึ้นไปได้
ซึ่งบนยอดเนินสามารถมองเห็นวิวเมือง Sapporo ได้
ส่วนในฤดูหนาวคนญี่ปุ่นก็ชอบขึ้นไปเล่นสกีจากบนยอดเขานี่แหละ
ตอนเช้าๆ เนินเขาจะยังเห็นหิมะเรียบๆ ให้ความรู้สึกสงบ เยือกเย็นดี
ช่วงสายๆ คนญี่ปุ่นจะเริ่มมาเล่นสกีกันแล้ว จากภูเขาหิมะที่ราบเรียบ
ก็จะมีร่องรอยของสกีและ snow board เต็มไปหมด
จุดที่สอง ก็คือ ปิระมิดแก้ว Hidamari ซึ่งภายในมีร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก
ห้องจัดประชุม และชั้นบนสุดจะเป็นจุดชมวิว ซึ่งจะเปิดตั้งแต่เวลา 9.00 - 19.00 น.
และปิดทุกวันจันทร์แรกของเดือน ซึ่งผมก็โชคดีมาก เพราะมาในวันที่มันปิดพอดี T_T
เดินต่อเข้ามาด้านใน น่าเสียดายตรงที่ช่วงนี้เป็นฤดูหนาว (มาก) ทุกส่วนของสวนจึงเต็มไปด้วยกองหิมะ
ทำให้เดินลำบากมาก และบางส่วนก็ปิดไม่ให้เดินเข้าไป ทำให้ไม่สามารถสำรวจพื้นที่ของส่วนได้ทั้งหมด
แต่ในวิกฤต ก็มีโอกาส เพราะเค้าก็ได้เนรมิตส่วนนี้ให้กลายเป็นลานสกี
ซึ่งก็มีคนญี่ปุ่นส่วนหนึ่งมาเล่นสกีรอบๆ สวนนี้ ในขณะที่กะเหรี่ยงอย่างเราๆ
ก็เดินชมวิวถ่ายรูปเท่าที่ได้ตามอัตภาพ เพียงเท่านี้ ก็ดีแล้ว เพราะ landscape ของสวนนี้มันดีมาก
จุดที่สาม คือ ภูเขาจำลอง Play Mountain สูงประมาณ 30 เมตร มีบันได้ให้เดินขึ้นไปได้
(แต่ตอนนี้ถูกหิมะกลบหมดแล้ว) แต่เราไม่เห็นใครเดินขึ้นบันไดเลย เพราะคุณลุงที่มาเล่นสกี
ก็ยังปีนป่ายขึ้นไปด้วยตัวเอง แล้วก็ไถลลงมาด้วยความเพลิดเพลิน (เห็นแล้วก็อยากจะลองบ้าง)
จุดสุดท้าย (ที่สามารถเดินไปได้) คือ Tetra Mound
เป็นปิระมิดทีทำด้วยสแตนเลส ตรงลานโดยรอบนั้นใช้จัดกิจกรรมต่างๆ
ซึ่งคาดว่าจะใช้ทำได้ในฤดูอื่นที่ไม่ใช่ฤดูหนาวแน่ๆ เพราะแค่เดินไปยังทำไม่ได้เลย T_T
สุดท้ายนี้ สำหรับคนที่ไปเที่ยว Sapporo โดยเฉพาะคนที่ชอบถ่ายรูป และไม่ว่าจะไปฤดูกาลใดก็ตาม
อยากให้ลองแวะไปที่สวน Moerenuma เพื่อเดินเล่น ถ่ายรูปชิลๆ สัก 2-3 ชม.
รับรองว่าจะได้รูปสวยๆ กลับมาอัพอวดเพื่อนลง Social network กันได้อย่างเพลิดเพลินแน่นอน
แต่รีวิว Hokkaido ของเรายังไม่หมดเท่านี้ ยังมีที่ถ่ายรูปสวยๆ จัดให้เป็น Hi-light
สำหรับคนชอบถ่ายรูปมาให้ชมกันอีก 2 ที่
แล้วรอติดตามชมกันได้ ทาง Facebook Fanpage : P O R S U K E
ถ้ายังไม่ได้กด Like กดได้ทางด้านขวามือของ Blog เลยครับ :-)
อยากไป Sapporo Snow Fest เตรียมตัวยังไงดี?
งาน Sapporo Snow Festival จะจัดในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
จากปีที่ผ่านๆ มา งานจะเริ่มในช่วงประมาณวันที่ 5 ก.พ. (อาจบวกลบ 1-2 วัน) แล้วลากยาวไปประมาณ 1 สัปดาห์
แนะนำว่าให้มาช่วงวันต้นๆ เพราะหิมะที่จัดแสดงจะยังสวยงามอยู่ ถ้ามาวันท้ายๆ หิมะอาจละลายไปบ้างแล้ว
ให้เลือกซื้อ เลือกหาได้ในราคาที่ถูกกว่าเมื่อก่อนมาก ทั้ง Low Cost และ Full service
แต่สายการบินที่บินตรงมา Sapporo มีเพียงสายการบินเดียว ก็คือ การบินไทย
ซึ่งก็ต้องไปลุ้นราคากันเอง ว่าจะมีโปรปล่อยมาเมื่อไร เพราะ route นี้ การบินไทยไม่ค่อยลดราคา
(เพราะไม่มีคู่แข่ง) และที่สำคัญคือ ช่วง Snow Festival แบบนี้ คงยากที่จะหาตั๋วราคาโปร
ดังนั้น ถ้าตั้งใจจะประหยัดงบประมาณ ตัดเรื่องบินตรงไปได้เลย
อ้าว! แล้วจะบินไปลงที่ไหนดี? แล้วจะจองตั๋วเมื่อไรดีล่ะ?
ก่อนตอบคำถามพวกนี้ จะเล่าประสบการณ์ของเราให้ฟังก่อนแล้วกัน
เมื่อเดือน ก.พ. ปี 2558 AirAsia X ประกาศว่าจะเปิดเส้นทางบินตรง กรุงเทพ - ซัปโปโร
ด้วยราคาตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ในราคาประมาณ 7 พันกว่าบาท (ยังไม่รวมค่าจิปาถะอีกมากมาย)
ตอนนั้นตาลุกวาวมาก และคิดไม่นานเลยกับการรอที่จะจองไป Snow Festival โดยได้ตั๋วโปรขาไปมาเรียบร้อย
กะว่าขากลับ ค่อยหาโปรบินกลับจากโตเกียวแล้วกัน
สุดท้าย...Route นี้ ยกเลิกจ้า... T_T
AirAsia ให้ข้อเสนอมาตอนแรก คือ
1) เปลี่ยนเวลาเดินทาง มาบินช่วงเดือน มิ.ย. ที่ยังสามารถทำการบินได้
2) เปลี่ยนสนามบินที่จะไป (แต่ระยะเวลาที่เดินทาง +/- 14 วัน จาก booking ที่จอง)
3) คืนเงิน
4) คืนเป็น credit shell ไว้ซื้อตั๋วใหม่
เราเลือกข้อ 2 โดยบินวันเดิม แต่ไปลงสนามบินนาริตะแทน และหาตั๋วขากลับจาก Narita ด้วย
ที่เราสามารถหาตั๋วโปรได้ในราคาที่พอใจ และสายการบินที่เรา Happy
เพราะมีสายการบิน Low cost ของญี่ปุ่น เช่น Jetstar, Vanilla Air
เพราะช่วงนั้น คนญี่ปุ่นก็ไปเยอะ เป็นช่วงเทศกาล ยิ่งจองเร็วเท่าไร หรือมีโปรจองข้ามชาติมาเมื่อไร
เพราะยิ่งจองตั๋วไปญี่ปุ่นได้เร็ว จะได้รีบจองตั๋วในประเทศได้เร็วขึ้น (จะได้เจอแต่ตั๋วราคาดีๆ ไง)
แต่ปัญหานี้จะหมดไปในไม่ช้า เพราะปีนี้ จะมีการเปิดใช้ชินคังเซ็น นั่งตรงจาก Tokyo ไป Sapporo
ขอเตือนจากความผิดพลาดของตัวเองก่อนเลยนะ กาดอกจันทร์หลายๆ ดอกเลย
(มีกำหนดวันที่สามารถยกเลิกได้โดยไม่เสียเงิน)
หรือถ้าไม่ได้จองโดยตรงกับเว็บโรงแรม การจองผ่าน Booking หรือ Agoda ก็หาโรงแรมและอ่านเงื่อนไขดีๆ
หาอันที่ไม่ต้องจ่ายตังค์ และสามารถยกเลิกได้โดยไม่เสียเงิน
ก็ยังสามารถมายกเลิกที่พักได้ โดยไม่ต้องเสียเงิน
ติดตรงที่เรามาช้าไป...
ทั้งหมดนี้ก็เป็นคำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ สำหรับเพื่อนๆ ที่อยากไปเที่ยว Snow Festival (หรือไปเที่ยวญี่ปุ่นเมืองไหนก็ได้ โดยเฉพาะในหน้าเทศกาล หน้าซากุระหรือใบไม้แดง ที่คนไปเยอะๆ) หรือมือใหม่ที่อยากไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง หวังว่าจะได้ไอเดียจากบทความนี้ไปบ้างนะครับ
แล้วอย่าลืมรอติดตามรายงานสด Hokkaido Snow Trip ครั้งนี้ได้ จากหน้าเพจ PORSUKE นะครับ :-)
เตรียมตัวไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นกันเถอะ : EP 1 - Obara / Korankei
ช่วงนี้ใครๆ ก็ไปญี่ปุ่น
แถมปีนึงไปกันหลายๆ รอบก็มี
ผมก็เป็นนะ ถึงจะไปญี่ปุ่นมาหลายรอบแล้ว บางทริปก็ไปที่เดิมๆ
แต่ยังไงก็ยังชอบ และอยากไปใหม่เรื่อยๆ อยู่ดี
ตอนนี้ก็เริ่มจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว หลายๆ คนก็คงจะเริ่มเตรียมตัวไปชมใบไม้แดงกัน
ผมเลยถือโอกาสรวบรวมสถานที่ชมใบไม้แดง (ที่เคยได้ไปมา) ทั้งที่ popular อยู่แล้ว
และไม่ได้ popular ในหมู่คนไทยนัก มาให้ได้เลือกสรร จัดลงไปในแพลนทริปกันครับ
ก่อนอื่น ต้องบอกก่อนว่า รีวิวนี้จะไม่ได้รีวิววิธีการเดินทางที่ละเอียดมากนัก
แต่จะบอกเส้นทางคร่าวๆ และมีรูปที่ผมถ่ายรวบรวมมาให้ เป็น guideline ให้ดู
และจะไล่ไปเป็นโซนๆ เพื่อให้การจัดแผนการเดินทางเป็นไปได้ง่ายขึ้นครับ
เนื่องจากใน 2 ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสไปญี่ปุ่นในช่วงใบไม้แดงทั้ง 2 ปีติดกัน
โดยได้เดินทางไปในโซนภาคกลางของญี่ปุ่น หรือภูมิภาค Chubu โดยมีศูนย์กลางที่ Nagoya
ภูมิภาค Kansai (Osaka, Kyoto, Kobe, Nara) และ Kyushu นิดหน่อย
จะรีวิวไล่เรียงกันไปตามเวลาที่ใบไม้แดงจะเริ่มพีคของแต่ละจุดนะครับ
มาเริ่มกันที่ ภูมิภาค Chubu
โซนนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยเท่าไรนัก
อาจจะเป็นเพราะการเดินทางไปชมในแต่ละที่ ไม่สะดวกเท่าแถบ Kansai
แต่ก็ไม่ได้ลำบากนักที่จะออกเดินทางไปชม
เพราะแถบนี้มีที่ชมใบไม้แดงสวยๆ และน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการชมใบไม้แดงในโซนนี้
แนะนำให้มาในช่วงสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของเดือนพฤศจิกายนครับ
มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ
1. Korankei
Korankei ตั้งอยู่ในจังหวัด Aichi เป็นหุบเขาที่โด่งดังเรื่องใบไม้เปลี่ยนสีเป็นอันดับ 1 ในภูมิภาค Chubu
ลักษณะของที่นี่เป็นหุบเขา มีแม่น้ำโทโมเอะไหลผ่าน ลักษณะ Landscape ที่นี่คล้ายๆ Arashiyama
มีวัด Kojakuji ตั้งอยู่บนเนินเขา และมีสะพานไม้สีแดง Taiketsukyo เป็น Landmark ให้ถ่ายรูปครับ
นอกจากนี้ ในช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ยังมีการประดับไฟช่วงกลางคืน ตั้งแต่ 17.00 -21.00 น. ด้วย
แต่การเดินทางไปที่นี่ด้วยขนส่งสาธารณะ ค่อนข้างลำบาก ต้องวางแผนการเดินทางให้ดีครับ
การเดินทาง
***แนะนำให้พักที่ Nagoya เพื่อการสะดวกในการเดินทางครับ
ตั้งต้นที่สถานี JR Nagoya ให้เดินมาที่สถานี Meitetsu Nagoya (เป็นรถไฟของเอกชน ไม่สามารถใช้ JR pass ได้)
นั่งมาลงที่สถานี Higashiokazaki (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที)
แนะนำว่าให้ขึ้นรถรอบก่อน 7.30 น. ครับ เพื่อที่จะได้ไปขึ้นรถบัสเที่ยว 8.30 น. ไป Korankei ได้
จากสถานี Higashiokazaki นั่ง Meitetsu bus จากหน้าสถานี ไปที่ Korankei
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. (ระยะทางไม่ไกลมาก แต่รถบัสจอดแทบทุกป้าย)
***คำเตือน
1. รถบัสจะคิวยาวและค่อนข้างแน่น แนะนำว่าถ้ามาถึงให้รีบต่อคิวเลยครับ จะได้นั่ง
2. รถบัสจาก Higashiokazaki มีรอบ 8.30, 9.10, 10.10, 12.10 (สำหรับช่วงครึ่งเช้า)
รถบัสจาก Korankei มีรอบ 10.51, 12.51, 14.51 และรอบสุดท้าย 17.51
(เวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้ แนะนำให้เช็คที่สถานีอีกครั้งครับ)
2. Obara
หากอยากชมใบไม้แดงและซากุระพร้อมๆ กันต้องมาที่นี่
เนื่องจากที่ Obara มีการปลูกดอกซากุระสายพันธุ์พิเศษ นั่นคือ Shikizakura หรือ ซากุระสี่ฤดู
ซึ่งสามารถบานได้ปีละ 2 ครั้ง และที่นี่ยังเป็นที่ที่ปลูกซากุระชนิดนี้ มากถึง 10,000 ต้น
จุดชมซากุระและใบไม้แดง ที่เด่นๆ เลยจะมีทั้งหมด 6 จุด
ถ้าท่านมีแรงเดิน และมีเวลามากพอ แนะนำให้ไล่จากจุดสุดท้ายมาที่จุดแรกครับ
แต่ถ้ามีเวลาน้อย หรือพาพ่อแม่ไปเที่ยวด้วย กลัวจะเดินไม่ไหว
ผมขอแนะนำจุดชมซากุระและใบไม้แดงที่ไม่ควรพลาด ทั้งหมด 3 ที่ครับ
จุดที่ 1 Fureai Park
จุดนี้เป็นป้ายแรกที่รถบัสจะจอด เมื่อเข้าสู่เขต Obara ครับ
ซึ่งตรงจุดนี้ จะมีการจัดนิทรรศการ Obara Shikizakura Matsuri ในช่วงเดือน พ.ย.
มีร้านอาหารญี่ปุ่นมาเปิดร้านขายกัน คึกคักดี และที่สำคัญคือเป็นจุดเดียวที่มีห้องน้ำให้เข้า
ดังนั้นการแวะที่นี่ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมในการเที่ยวในจุดต่อๆ ไปถือเป็นเรื่องดีครับ
ส่วนซากุระและใบไม้แดงในบริเวณนี้ ก็มีให้ชมหนาแน่นประมาณหนึ่ง
จะมีเป็นบันไดและสะพานไม้ให้เดินชมในบริเวณโดยรอบ ถ่ายรูปได้บ้าง
แต่ช่วงที่ผมไปซากุระยังไม่ Full bloom เลยดูโล่งๆ ไปนิด
จุดที่ 2 Ichibajoshi
บริเวณนี้ มีวัด Saiunji และ Ichiba castle ruin ซึ่งสองอย่างนี้ผมไม่ได้อินมากนัก
แต่ซากุระและใบไม้แดงตรงนี้ หน้าแน่น และเรียงตัวกันสวยงามดีครับ
เป็นอีกจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาด และเดินจากจุดแรกมาไม่ไกลมากนัก
(ถ้าจะไปจุดอื่นควรนั่งรถบัสไป เพราะเดินไกลและเป็นทางขึ้นเขา)
หลังจากเดินเล่นตรงจุดนี้แล้ว แนะนำให้เดินกลับไปตรงป้ายรถบัสที่เราลงที่จุดแรกครับ
เพื่อที่จะได้รอรถไปต่อที่จุดที่ 3 ซึ่งห่างจากจุดแรกประมาณ 2 กม.
จุดที่ 3 Senmishikizakura no sato
จากป้ายรถบัสที่เราลงที่จุดแรก นั่งรถต่อมาอีกประมาณ 3 ป้าย
จะถึงป้ายที่มีชื่อว่า Kaminigi ให้ลงที่ป้ายนี้ได้เลย แล้วค่อยเดินไปที่จุดไฮไลท์ของเรา
ตรงบริเวณ Kaminigi จะมีต้นซากุระ และใบไม้แดง
อยู่ขนาบข้างคลองเล็กๆเป็นจุดถ่ายรูปที่ไม่ควรพลาดเช่นกันครับ
เดินชมวิวจากป้าย Kaminigi ตรงขึ้นเขามาเรื่อยๆ จะเจอจุดไฮไลท์ของเราทางซ้ายมือ
นั่นคือ Senmishikizakura no sato ซึ่งบริเวณนี้มีต้นซากุระขึ้นหนาแน่นมากกกกกกที่สุด
ถ่ายรูปกันได้เพลินๆ ยาวๆ เลยครับ
การเดินทาง
***แนะนำให้พักที่ Nagoya เพื่อการสะดวกในการเดินทางครับ
ตั้งต้นที่สถานี JR Nagoya ให้เดินมาที่สถานี Subway Nagoya (เป็นรถไฟของเอกชน ไม่สามารถใช้ JR pass ได้)
นั่ง subway Higashiyama line ยาวๆ มาลงที่สถานี Toyotashi (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที)
แนะนำว่าให้ขึ้นรถรอบประมาณ 7.00 น. ครับ เพื่อที่จะได้ไปขึ้นรถบัสเที่ยว 8.30 น. ไป Obara ครับ
จากสถานี Toyotashi ให้เดินออกมาทาง East gate ขึ้นรถบัสที่ป้ายรถบัสเบอร์ 1
ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. (ระยะทางไม่ไกลมาก แต่รถบัสจอดแทบทุกป้าย)
***คำเตือน
1. รถบัสจะคิวยาวและค่อนข้างแน่น แนะนำว่าถ้ามาถึงให้รีบต่อคิวเลยครับ จะได้นั่ง
2. เวลารถบัสทั้งขาไปและขากลับ แนะนำให้ดูรายละเอียดในกระทู้ของคุณ Atwin ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
Tips :
- ถ้าอยากเที่ยว 2 ที่ใน 1 วัน ทำได้ไหม? --> ทำได้ครับ "ถ้าเช่ารถขับเอง" แต่น่าจะเหนื่อยมาก
และต้องจัดสรรเวลาดีๆ เพราะรถจะติดมาก โดยเฉพาะ Korankei แนะนำให้เที่ยววันละที่ดีกว่าครับ
- ถ้ามีผู้สูงอายุไปด้วย แนะนำให้เช่ารถครับ เพราะต่อรถหลายต่อ และรถบัสโอกาสได้นั่งน้อยมาก
สำหรับรายละเอียดเรื่องการเดินทาง รอบรถ และจุดชมวิวอื่นๆ ทั้งใน Obara และ Korankei
สามารถดูได้จากกระทู้ของคุณ Atwin ได้เลยครับ (เพราะผมก็ใช้กระทู้นี้เตรียมตัวเดินทางเช่นกัน)
http://pantip.com/topic/30726210
สำหรับที่ชมใบไม้แดงในภูมิภาค Chubu ยังไม่หมดเพียงเท่านี้นะครับ
ไว้รอติดตามกันนะ :-)
(TAIPEI REVIEW) "ADD" ไทเปก็มีตลาดปลานะเออ!
พูดถึงคำว่าตลาดปลาปุ๊บ
ด้วยประสบการณ์ของคนส่วนใหญ่ มักจะคิดถึงตลาดปลาซึกิจิที่โตเกียว
หรือไม่ก็ตลาดปลาแถวมหาชัย
พอนึกถึงตลาดปลา เราก็จะได้กลิ่นคาวโชยมา เดินไปตามทางเดินก็จะแฉะๆ ชื้นๆ
เสียงพ่อค้าแม่ค้าดังจอแจในช่วงเช้าตรู่
แต่ที่ดีที่สุดก็คือจะได้กินปลาและอาหารทะเลสดๆ และราคาไม่แพง
หากภาพจำของคุณที่มีต่อตลาดปลาเป็นอย่างที่ผมบอกไปข้างต้น
รีวิวนี้จะทำให้คุณลืมภาพตลาดปลาแบบนั้นไปได้เลย
สำหรับใครที่กำลังวางแผนจะมาเที่ยวไต้หวัน (เพราะตั๋วเครื่องบินตอนนี้มักถูกมากจริงๆ)
รีวิวนี้ ผมจะพาทุกคนไปหาอาหารทะเลสดๆ อร่อยๆ และราคาไม่แพงที่ตลาดปลาไทเปกันครับ
ตลาดปลาไทเป มีชื่อเก๋ๆ ว่า "Addiction Aquatic Development" หรือย่อกันว่า "ADD"
ตลาดปลานี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยบริษัท Mitsui Food & Beverage Enterprise group
ซึ่งตลาดปลาที่นี่ จะเป็นอาคารคล้ายโกดัง มี 2 ชั้น
ที่สำคัญคือ ติดแอร์ ดูแล้วลักษณะเหมือน supermarket ย่อมๆ มากกว่าตลาดบ้านๆ
ดังนั้นลืมคำว่าเหม็น แฉะ ชื้น สกปรก ไปได้เลย
สำหรับวิธีเดินทางมาที่ตลาดปลาแห่งนี้ ก็มาไม่ยากครับ
อันดับแรก ให้นั่ง MRT สายสีแดง มาลงที่สถานี Yuanshan ออกมาทาง Exit 1
จาก MRT Yuanshan ถ้าท่านถึกพอ จะเดินไปที่ตลาดปลาก็ได้ ระยะทางประมาณ 2 กม.
หรือถ้ามากัน 2 คนขึ้นไป ก็โบกแท็กซี่ แล้วบอกว่าไป ไถเป่ยหวี่ซื่อ (台北魚市 tái běi yú shì)
แท็กซี่จะพาไปส่งถึงตลาดปลาทันที แต่ถ้าไปคนเดียว (แบบผม) หรืออยากประหยัดงบ
นั่งรถเมล์โลดครับ!
ออกจากสถานีมาปุ๊บ ให้มองทางซ้ายมือ จะเจออาคารใหญ่ๆ แบบนี้ และมีป้ายรถเมล์อยู่ด้านหน้าครับ
ให้มองหาป้ายรถเมล์สาย R50 ตามรูปเลยครับ
จากรูป จะมีตารางเวลารถออกทางด้านมุมบนขวา
แนะนำว่าให้วางแผนให้ดี และมาถึงก่อนเวลารถบัสออกประมาณ 15 นาที
เพราะรถมักจะมาก่อนเวลา และแวะจอดแป๊บเดียวครับ
พอขึ้นรถบัสมาแล้ว ให้ลงป้ายที่ 3 : The Second Wholesale Fruit and Vegetable Market (第二果菜市場)
ใช้เวลาจากสถานี MRT Yuanshan มาถึงป้ายนี้ประมาณ 15 นาที
ลงจากรถเมล์ จะเจอถนนแบบนี้ (มีถนนยกระดับอยู่ทางด้านซ้าย) ให้เดินตรงต่อไปจนถึงแยกครับ
พอถึงทางแยกให้เดินข้ามทางม้าลาย ลอดใต้ทางยกระดับ
เดินตรงข้ามไปทางฝั่งตรงข้ามเลยครับ
ข้ามฝั่งมาแล้ว ให้มองทางซ้ายมือจะเห็น 7-11 เดินตรงมาถึงหัวมุม 7-11 แล้วเลี้ยวขวาได้เลย
พอเลี้ยวมาปุ๊บ มองทางซ้ายจะเห็นอาคารสีฟ้า มีรูปปลา ให้เดินเลี้ยวซ้ายตรงมุมรั้วของอาคารนี้
เลี้ยวซ้ายมาจะเจอแบบนี้ ให้เดินตรงไปจนถึงตึกสีเทาๆ จะเป็นสามแยก
พอถึงสามแยก เหลือบมองไปทางด้านซ้าย จะเจอที่หมายของเราละครับ
โซน outdoor ด้านหน้าจะมีต้นไม้วางประดับ (ไม่รู้ขายด้วยไหม)
กับบ่อปลาให้เดินชมเรียกน้ำย่อยเล็กน้อย ประตูทางเข้าจะอยู่ด้านนี้แหละครับ
พอเข้าไปก็จะมีบ่อ + ตะแกรงใส่น้ำยาฆ่าเชื้อ ให้เราเดินผ่านก่อนเข้าไปด้านใน
คำเตือนก็คือ ทางเข้าด้านนี้ เข้าแล้วเข้าเลย ห้ามเดินออก เพราะว่าเค้าจะคุมเข้มเรื่องความสะอาดครับ
เข้ามาด้านในแอร์เย็นฉ่ำ มีบ่อกุ้ง ปู ปลา ให้เดินชมและเลือกซื้อกันตามสะดวก
ไม่มีกลิ่นเหม็น และสะอาดสะอ้านมากครับ
ถ้าขี้เกียจไปแกะเองที่บ้าน ก็มีแบบทำสำเร็จ เหมือนที่วางขายตาม supermarket
ทั้งอาหารสด และ ซูชิ ราคาก็ไม่แพงเลยครับ แถมยังได้ปลาที่เพิ่งทำสดๆ ด้วย
นอกจากของสดแล้ว ก็มีแผนกย่าง และปรุงสำเร็จให้เลือกซื้อ น่ากินทั้งนั้นเลย
แล้วถ้าอยากกินที่นี่สดๆ เลยล่ะ...ทำไงดี
นี่แหละ คือไฮไลท์ของการมาเที่ยวตลาดปลา เพราะที่นี่ก็มีส่วนของร้านอาหาร ปรุงกันสดๆ กินกันเดี๋ยวนั้นเลย
โดยที่ชั้น 1 จะแบ่งเป็นสองโซน โซนแรกจะเป็นซูชิ (ซึ่งผมไปทานที่โซนนี้) และอีกโซนจะเป็นซีฟู้ดย่างครับ
โซนปิ้งย่าง
โซนซูชิ
และด้วยความที่ชอบกินปลาดิบมาก ผมจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อชิมซาชิมิสดๆ ของโซนซูชิครับ
ซึ่งโซนของร้านอาหารนั้น จะเริ่มเปิดตั้งแต่ 10 โมงเช้า ถ้าใครจะมาทาน แนะนำให้มาถึงก่อนซัก 15 นาทีครับ
เพราะตอนที่ผมมาถึง เค้าจะเริ่มแจกบัตรคิวประมาณ 15-20 นาทีก่อนร้านเปิดครับ
แล้วถ้ามาหลัง 10 โมงล่ะ จะได้กินไหม
คำตอบคือได้ แต่คิวจะยาวมากกกกกกกกกกก เพราะขนาดผมมาก่อน 10 โมง ก็ปาไป 20-30 คิวแล้วครับ
(โชคดีที่ผมได้คิวที่ 6 อิอิ)
ก่อนจะพูดถึงข้อดีของการมากินซูชิและซาชิมิสดๆ ที่นี่
ผมขอพูดถึงข้อเสียก่อนแล้วกันครับ ซึ่งมีดังต่อไปนี้
1. ถ้าคิดว่าจะมานั่งกินชิวๆ สบายๆ ที่นี่ ลืมไปได้เลยครับ เพราะทุกที่เป็นที่ยืนกิน
เพราะเค้าต้องการให้เรา "รีบกิน" และ "รีบไป"
ดังนั้นถ้าจะพาพ่อแม่ปู่ย่าตายายมา ถ้าไม่อึดจริง อย่าพาแกมาทรมานเลยครับ
2. ไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ ภาษาจีนล้วนๆ
และด้วยความรู้ภาษาจีนเท่ากับ 0 จึงต้องสื่อสารภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ กับพนักงาน
(ซึ่งภาษาอังกฤษแย่กว่าเราอีก) , ภาษามือ และชี้เมนูที่โต๊ะข้างๆ สั่ง เพื่อให้ได้มาซึ่งซูชิที่อยากกิน
ข้อเสียที่นึกออกมีเท่านั้น
ต่อไปมาดูข้อดีกันดีกว่า
1. สด! สดจริงๆ พ่อครัวก็มาทำให้กินกันสดๆ ตรงหน้า
นอกจากอาหารจะเข้าปากแล้ว ยังอิ่มตาไปด้วยเมนูที่คนอื่นสั่ง
ถ่ายรูปกันได้อย่างเพลิดเพลิน (บางคนอาจจะเพลินกับการมองพ่อครัวไปด้วยก็ได้)
2. ถูก ราคาถูกมากครับ ยกตัวอย่างเช่น แซลมอน คำละ 40 บาท (โดยประมาณ)
กุ้ง คำละ 80 บาท (กุ้งในรูป ไอ้ที่มีหัวกุ้งมาด้วยน่ะครับ หวานมาก)
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ เป็นเพราะเราอ่านเมนูไม่ออก เลยไม่รู้ว่าอันไหนราคาเท่าไรบ้าง
เลยทำให้วางแผนการสั่งไม่ถูก ตอนที่สั่งเลยเลือกชี้ๆ ที่อยากกินไปก่อน โดยประมาณการณ์ราคาในใจเอาเอง
จึงไม่กล้าสั่งเยอะ (เพราะกลัวเงินไม่พอ 555) ทำให้ได้ลองไปไม่กี่อย่างเอง
อุปกรณ์พร้อม
สั่งเสร็จปุ๊บ บิลวางปั๊บ (แต่อ่านไม่ออกและไม่มีราคา)
ส่วนอันนี้เป็นเมนูที่สั่งมา
ไข่แซลมอนดีงามมาก หวาน ละลายในปากกันเลยทีเดียว
ปลาดิบ กุ้งหวาน หอยเชลล์ คือหวานมาก ดีมาก อร่อยมากกกกกกก
ที่จริงยังมีอีก 2 จาน (แต่ถ่ายรูปไม่ทัน T_T)
สนนราคามื้อนี้ ผมหมดไปประมาณห้าร้อยกว่าบาท
รูปนี้ถ่ายก่อนเดินออกมาจากร้าน
ถ้าใครมาสายกว่า 10 โมง หรือกะมากินมื้อเที่ยง
ก็คงต้องรอคิวกันยาวๆ เลยครับ
พอกินเสร็จปุ๊บ ก็ปิดท้ายด้วยวิธีการเดินทางกลับมาสถานี MRT Yaunshan ละกันครับ
เดินออกมาจากทางออกของตลาดปลาแล้ว ให้เลี้ยวซ้าย จะเห็นทางแบบนี้
ให้เดินตรงไปเรื่อยๆ จนเจอ Family Mart
ถึง Family Mart เลี้ยวซ้ายปุ๊บ ก็จะเจอป้ายรถเมล์ครับ ยืนรถรถเมล์สาย R50 ได้เลย
ส่วนอันนี้เป็นตารางเวลารถ แนะนำเหมือนขามา คือให้มาถึงก่อนเวลาอย่างน้อย 15 นาทีครับ
นั่งไปประมาณ 2 หรือ 3 ป้ายนี่แหละ ก็จะถึงป้ายรถเมล์ที่เราขึ้นมาตอนแรกจาก MRT Yuanshan เลย
สุดท้ายนี้ ใครที่มาไทเป แล้วอยากกินปลาดิบอร่อยๆ
ไม่ควรพลาดที่จะแวะมากินปลาดิบสดๆ ที่ตลาดปลาไทเป หรือ ADD
และหวังว่ารีวิวของผมจะช่วยให้เดินทางกันได้สะดวกมากขึ้น
หากชอบก็ช่วยแชร์ด้วยนะ และที่สำคัญอย่าลืมมากด Like Page "P O R S U K E" ใน Facebook
หรือกด Like จาก banner ด้านข้างของ Blog ได้เลยครับ
(TAIPEI REVIEW) ปีนเขา Xiangshan ถ่ายรูปที่จุดชมวิว Taipei 101
ไปไทเปคราวนี้ ผมตั้งใจจะไปถ่ายรูปวิวเมืองไทเป เอาจุดที่เห็น Taipei 101 ชัดๆ ด้วย
เปิดหารีวิวแล้ว จุดชมวิวที่แนะนำก็คือเขา Xiangshan
ซึ่งรีวิวส่วนใหญ่บอกว่าต้องเดินเยอะ ไม่มีรถสาธารณะผ่าน หรือไม่ก็ต้องนั่งแท็กซี่ไป
ก็เลยปลงตก และคิดว่าถ้าอยากได้รูป ก็ต้องอดทนเดินหน่อยแหละ (ไม่อยากนั่งแท็กซี่เพราะขี้เกียจสื่อสาร และแพงด้วย)
สุดท้าย เลยเปิด google map และเดินตามทางไปเรื่อยๆ
จนใกล้จะถึงทางขึ้นเขา...ก็พบว่า ตอนนี้มีสถานี MRT อยู่ใกล้ๆ ทางขึ้นเขาแล้ว
เลยอยากมารีวิวให้ดู เพราะจะได้ไม่ต้องเดินไกล (แบบผม T_T) และคนที่อยากไปชมวิว
จะได้บรรจุเขา Xiangshan ไว้เป็น 1 ใน List ที่ต้องมา เมื่อมาเยือนไทเป
การเดินทางมาที่เขา Xiangshan นั้นไม่ยากเลย (แต่เดินเยอะนะ อันนี้ขอเตือน)
นั่ง MRT สายสีแดง (สายเดียวกับ Taipei Main Station นั่นแหละ) มาลงที่สถานีปลายทาง Xiangshan
ซึ่งถ้าใครจะมาเที่ยว Taipei 101 ด้วย ให้ลงที่สถานี Taipei 101 ซึ่งอยู่ก่อนหน้ามา 1 สถานีเท่านั้น
พอถึงสถานี MRT Xiangshan แล้ว ให้ออกทาง Exit 2
ออกจากสถานี จะเจอป้ายแบบนี้ ให้ไปทาง Xiangshan Trail (LingYun Temple) ครับ
จากจุดนี้ใช้เวลาเดินขึ้นเขา 20 นาที (แต่เดินจริงๆ เกินกว่านั้นแน่นอน)
เดินตรงมาตามทางเรื่อยๆ
พอสุดทางจะเป็นสามแยก และเจอร้านอาหารนี้
จะมีป้ายชี้ทาง ให้เลี้ยวไปทางด้านซ้าย เดินต่อไปประมาณ 200 เมตรครับ
เดินต่อมาตามทางเรื่อยๆ ทางจะเริ่มชันเป็นเนินสูงขึ้นไป
จนกระทั่งมาเจอป้ายนี้ครับ ถึงทางขึ้นเขาแล้ว
ระยะทางขึ้นเขา 650 เมตร
ดูเหมือนไม่มาก แต่เป็นทางขึ้นเขานะครับ
ขอเตือนว่า ถ้าเป็นโรคหัวใจ หรือ ไม่ฟิตพอ อย่าเดินขึ้นครับ เพราะเหนื่อยมาก
พอเดินขึ้นมาได้สักพัก จะมีทางแยกออกเป็น 2 ทางครับ
ผมเลือกเดินไปทางขวา (เพราะคนส่วนใหญ่เดินทางด้านนี้)
ไม่รู้ว่าถ้าไปอีกฝั่งจะเจออะไรเหมือนกัน
ทางเป็นบันได สูงบ้าง ต่ำบ้าง ระหว่างทางจะมีเก้าอี้ให้นั่งพักเหนื่อยเป็นระยะๆ ครับ
ช่วงที่ผมไปเป็นหน้าร้อน เหนื่อยมาก เหงื่อท่วมเลย (แถมแบกกล้องขึ้นไปอีก)
แนะนำว่าให้เตรียมน้ำขึ้นมาด้วยนะครับ เพราะด้านบนไม่มีน้ำขาย
พอขึ้นมาถึง จะมีจุดชมวิว 2 จุด
จุดแรกที่เจอ จะเป็นระเบียงไม้ยื่นออกไป ถ้าพอใจจะดูแค่ตรงนั้นก็โอเคครับ
แต่ถ้าอยากได้วิวสวยๆ หน่อย ก็เดินต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร ซึ่งจุดนั้น ตากล้องจะนิยมขึ้นไปมากกว่าครับ
แนะนำว่าควรรีบไปจับจองที่นั่งก่อนฟ้าจะมืดครับ เพราะยิ่งเย็น คนยิ่งเยอะ
ตำแหน่งที่วิวดีๆ ตากล้องก็จะมาตั้งกล้องจองไว้แล้ว แต่ก็ต้องทำใจนิด ว่าเราจะได้รูปอยู่มุมเดียว
คือมุมที่เราจองนั่นแหละ เพราะย้ายไปไหนไม่ได้ 555
ผมเดินขึ้นเขาไปตั้งแต่ 5 โมงเย็นครับ คนยังไม่เยอะมาก
แล้วก็จับจองที่ถ่ายรูปไว้ตั้งแต่เย็น อยู่จนฟ้ามืด น่าเสียดายที่ได้รูปมุมเดียว
เพราะทริบนี้พกไปแต่กล้องติดเลนส์ฟิก ระยะ 35 mm กับ 55 mm เลยไม่ค่อยได้รูปหลากหลายเท่าไร
แต่การได้รูปในระยะเวลาที่แตกต่างกัน ก็มีความสวยงามคนละแบบ
ใครที่ชอบถ่ายรูป Landscape หรืออยากมาชมวิวเมืองไทเป และ Taipei 101 สวยๆ แบบนี้
ไม่ควรพลาดกับการมาปีนเขา Xiangshan นะครับ